วรรณกรรมนำใจ Lite Literature

เร้น ๖



Ren



ชลนิล


(ต่อจากฉบับที่แล้ว)



            หลังเผาศพครูแกลง ครอบครัวธันวายังไม่กลับ จิตแพทย์หนุ่มมีโอกาสคุยกับเหลนครูแกลงอีกครั้ง คราวนี้เด็กหนุ่มสดใสกว่าเดิม พูดคุยมากขึ้น

            “ที่จริงผมไม่น่าเสียใจขนาดนั้น ทั้งที่มั่นใจว่าทวดไปดีแน่ ๆ ท่านจะได้อยู่ในที่สบายกว่านี้จนเทียบกันไม่ได้ ไม่ต้องลำบากในร่างสังขารที่แก่ใกล้ผุพัง อายุร้อยปี จะลุกเดินเหินก็ลำบาก จะกินจะดื่มก็ยาก ขนาดนั่งเฉย ๆ ยังปวดทรมาน...การอยากให้ท่านอยู่กับผมไปนาน ๆ แบบนั้น มันเป็นความเห็นแก่ตัวของผมจริง ๆ”

            “ทั้งหมดนี้ มันยืนยันคำสอนที่ทวดบอกผมเสมอ ‘จิตใจเป็นสิ่งบังคับไม่ได้’ ขนาดผมเรียนรู้วิชาของทวดมาตั้งแต่เล็ก มองเห็นความตายเป็นเรื่องธรรมดา ไม่ค่อยเสียใจกับการสูญเสีย...แต่พอมาถึงทวด...คนที่ผมรัก ผูกพันยิ่งกว่าพ่อแม่ ใจมันก็เศร้าจนอดร้องไห้ไม่ได้”

            พอได้ยินเด็กหนุ่มบอกว่าเรียนวิชาครูแกลงตั้งแต่เล็ก ธันวาจึงถามว่า เขาเรียนรู้อะไรบ้าง

            เพชรแบ่งวิชาครูแกลงเป็นสามยุค...

            ยุคแรก เป็นวิชาอาคม ไสยเวท อย่างที่คนสมัยโบราณร่ำเรียนกัน แต่ของครูแกลงท่านจะเน้นให้ลูกศิษย์ฝึกสัมมาสมาธิก่อน เพื่อไม่ให้หลงใหล จนถูกอาคมครอบงำ

            ยุคสอง หลังแต่งงาน ท่านต้องสืบทอดตำรายาสมุนไพรไทยจีน การแพทย์แผนโบราณไทยจีนจากครอบครัวภรรยา หลังจากศึกษาจนเชี่ยวชาญ ท่านก็สามารถผนวกเอาการแพทย์แผนโบราณ การใช้สมุนไพรมารวมกับอาคม อำนาจจิต จนเกิดเป็นการรักษาแบบเอกเทศ ไม่เหมือนใคร สามารถช่วยเหลือรักษาผู้คนกว้างขวาง มากมาย

            ยุคสาม...ยุคสุดท้ายวัยชรา ท่านเน้นสอนเรื่องจิต...ให้ลูกศิษย์ หลานศิษย์ฝึกเรียนรู้ ตามดูจิตใจตนเอง เข้าใจธรรมชาติของจิตโดยไม่แทรกแซง จนกระทั่งเห็นว่า จิตไม่ใช่ ‘เรา’ มันถูกบีบคั้นให้แปรเปลี่ยนตามเหตุปัจจัยทุกขณะจิต ไม่สามารถควบคุม บังคับได้อย่างต้องการ

            เพราะเมื่อเห็นจริง ยอมรับจริงแล้วว่า จิตไม่ใช่เรา...ก็จะเห็นว่าทุกสิ่งในโลก ไม่มีความเป็น ‘เรา’ อยู่เลย

            ธันวาฟังเรื่องราววิชาที่ครูแกลงสั่งสอนลูกศิษย์แต่ละรุ่นด้วยความประหลาดใจ เคยคิดว่าสิ่งที่ปู่กับน้องชายร่ำเรียนเป็นวิชาเร้นลับ บุคคลธรรมดาทั่วไปไม่สามารถเข้าถึง เรียนรู้ได้...จนกระทั่งฟังคำอธิบายอย่างเป็นรูปธรรม เห็นลูกศิษย์ หลานศิษย์ครูแกลงมากมายขนาดนี้ ความเข้าใจเดิมจึงเปลี่ยนแปลงไป เกิดความรู้ใหม่ขึ้นมา

            ‘วิชา’ ที่คิดว่ามันถูกปกปิด ซ่อนเร้นลึกลับ ก็เพราะตนเองไม่เคยสนใจเรียนรู้ ไม่เคยเปิดตา เปิดใจมองดูมันตามความเป็นจริง จึงสร้างภาพหลอกลวง ให้ตัวเองหลงเชื่อว่ามันซับซ้อน ไกลตัวจนน่ากลัว

            พอความเข้าใจเริ่มเปลี่ยน จึงมองปู่กับน้องชายอีกแบบหนึ่ง รู้สึกว่าใกล้ชิดกันมากกว่าเดิม

            มาถึงวันนี้...ชีวิตจำเป็นต้องเข้าไปวุ่นวายกับโลกไสยเวทอย่างเลี่ยงไม่ได้ มีนาถูกดวงวิญญาณที่โดนฆาตกรรมติดตาม คนที่สามารถช่วยได้อย่างพิจิก เมษาก็ไม่อยู่ เขาจึงไม่อาจอยู่เฉย ต้องก้าวเข้าไปช่วยเหลือ

            ใจหนึ่งอดคิดไม่ได้ อยากให้ปู่ทั้งสองยื่นมือออกมาช่วยลูกหลานอย่างเคย แต่เห็นว่าพวกท่านสูงวัย อายุเก้าสิบรอมร่อ ร่างกายไม่แข็งแรงเหมือนเดิม หนำซ้ำหลังจากงานศพครูแกลง ท่านผู้เฒ่าทั้งสองล้วนวางมือจากงานทุกด้าน ไม่มีแรงช่วยเหลือใคร อีกทั้งยังบอกกับลูกหลานว่า...

            “งานของฉันตอนนี้คือ...เตรียมตัวตายอย่างศิษย์มีครู!”



- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -



            รุ่งเช้า

            พิจิกพาธันวาเดินไปหาปู่เผด็จ ซึ่งปลูกเรือนหลังเล็กส่วนตัวอยู่ด้านหลัง

            หลังจากทักทาย พูดคุย ไถ่ถามสารทุกข์สุกดิบเรียบร้อย เผด็จก็ยื่นซองเอกสารปึกบาง ๆ มาให้หลานชายคนโต

            “อะไรครับปู่” ธันวารับมาอย่างสงสัย

            “ข้อมูลคดีการตายของเสี่ยหมงทั้งหมด ซึ่งทางตำรวจยังไม่เปิดเผยกับสื่อมวลชน”

            หลานชายตาค้าง นึกไม่ถึงท่านผู้เฒ่าจะสามารถนำข้อมูลนี้มาให้ได้

            “ตั้งแต่เสี่ยหมงตาย คุณย่ามีปัญหา เข้าไปพัวพันกับโครงการเมืองใหม่ คุณปู่เลยให้ ‘เด็ก ๆ’ สืบหารวบรวมข้อมูลคดีทั้งหมดมาให้” พิจิกอธิบายด้วยสีหน้ายิ้ม ๆ ไม่เห็นเป็นเรื่องแปลก ก่อนอธิบายเสริม เพิ่มเติมจนกระจ่าง

            “ที่จริง...หลังจากคุณณีรนุชออกมาโวยวายอย่างนั้น ตำรวจเขาก็ไม่เพิกเฉยหรอก แต่แอบสืบลับ ๆ ไม่ให้พวกสื่อ และฝ่ายตรงข้ามรู้เท่านั้นเอง”

            ธันวาถอนใจอย่างไม่อยากเชื่อ รู้ว่า ‘เผด็จ’ ปู่ของเขาแผ่พระคุณกับผู้คนมากมายด้วยความจริงใจ ‘เด็ก ๆ’ ปู่มีทุกวงการ ทุกคนเคารพรักปู่อย่างยิ่ง จำเป็นเมื่อใด พวกเขาพร้อมช่วยเหลือ ให้ความร่วมมือโดยไม่เกี่ยงงอน

            “ผมคิดว่าปู่วางมือหมดแล้ว” ชายหนุ่มพึมพำ

            “ลูกเมียเดือดร้อนอย่างนี้ ปู่จะวางอุเบกขาเอาตัวรอดคนเดียวได้ยังไง...มันเป็น ‘หน้าที่’...!” ท่านผู้เฒ่าบอก

            หลานชายพยักหน้าเข้าใจ ก่อนเงยขึ้นสบตาปู่ด้วยประกายกล้าอย่างคนจริง

            “ปู่ไม่ต้องห่วง ผมจะจัดการต่อเองครับ”

            เผด็จลูบศีรษะหลานชายคนโตอย่างวางใจ รู้ว่าเมื่อใดหลานคนนี้เอ่ยปากรับรอง ท่านย่อมสบายใจได้ คำพูดธันวามีน้ำหนัก ไม่คลอนแคลน เป็นหลานชายที่ผู้เฒ่าภูมิใจไม่น้อยกว่าหลานชายอีกคน



- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -



            ตอนสาย

            มีนาเตรียมขับรถของที่บ้านออกไปรับดวงสุดา...มารดาธันวาตามนัด เพื่อพาไปหาณีรนุช พี่สาวเสี่ยหมง

            ยังไม่ทันสตาร์ทรถ ได้ยินเสียงแตรดังหน้าบ้าน เด็กลูกจ้างวิ่งออกไปดูแล้วรีบกลับมาบอกอย่างรวดเร็ว

            “คุณนายบ้านโน้นมารับคุณมีนาค่ะ”

            โปรดิวเซอร์สาวคว้ากระเป๋าขึ้นสะพาย เดินกึ่งวิ่งไปหน้าประตู ไม่อยากให้ผู้ใหญ่รอนาน ตั้งใจบอกผู้อาวุโสว่าตนจะขับรถพาไปเอง ไม่ต้องอาศัยคนขับรถบ้านโน้นก็ได้

            พอถึงหน้าประตู กลับเห็นชายหนุ่มตัวสูง ผิวขาวจัด ยืนอยู่หน้ารถตนเองด้วยมาดนิ่ง พลางพยักหน้าไปทางประตูด้านข้างคนขับ พร้อมบอกง่าย ๆ

            “รถเธอเสีย ไปรถฉันสิ”

            มีนาถอนใจเฮือกใหญ่ ตอบวาจาห้วน ๆ

            “บ้านฉันไม่ได้มีรถคันเดียว”

            “รู้...ขึ้นมา” ชายหนุ่มไม่ใส่ใจ

            หญิงสาวนึกฉุน อยากเล่นตัว...เมื่อวานหล่อนอ้อนวอนแทบตาย เขาทำเฉย ไม่ไยดี จู่ ๆ วันนี้กลับมาจอดรถรอหน้าบ้าน ไม่บอกกล่าวล่วงหน้า แถมชวนขึ้นรถง่าย ๆ ราวกับมั่นใจว่าหล่อนต้องไปโดยไม่อิดเอื้อน

            “ไม่ต้องหรอกหมอ ฉันขับรถไปเองได้” ด้วยจริตผู้หญิง จึงตอบอย่างนั้น

            ธันวามองนิ่ง ไม่เซ้าซี้ ไม่พูดซ้ำ คนที่เลื่อนกระจกรถออกมาพูดด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม วาจาอ่อนหวานคือดวงสุดา แม่เขาเอง

            “ลูกมีนจ๋า...นั่งรถกับแม่เร้ว ขืนไปกันแค่สองคนแม่เหงาแย่เลย”

            มีนาอยากถอนใจ แว้ดใส่ชายหนุ่มตรงหน้า...สองคนนี้เป็นแม่ลูกกันจริงหรือเปล่า?...ถ้าธันวาได้ความหวาน น่ารักของแม่มาสักนิด หล่อนคงหลงเขาชนิดถอนตัวไม่ขึ้นแน่

            อาการตั้งท่าแข็งขืน เตรียมปะทะกับธันวาห่อเหี่ยวลง กลายเป็นส่งยิ้มสดใส เปิดประตูออกไปอย่างร่าเริง ขณะเดินผ่านหน้าชายหนุ่มยังส่งรอยยิ้มแปลก ๆ

            หญิงสาวเลือกเปิดประตูด้านหลัง ไม่นั่งข้างคนขับอย่างชายหนุ่มบอก พอขึ้นมานั่งรถคู่กับมารดาธันวาก็พูดเสียงสดใส ตั้งใจให้คนที่อยู่นอกรถได้ยิน

            “ดีจังเลยค่ะแม่ดา...วันนี้ได้คุณหมอใหญ่เป็นโชเฟอร์ด้วย...แหม...จะมีคนขับแท็กซี่ที่ไหนหล่อขนาดนี้มั้ยน้า”

            ดวงสุดาอมยิ้ม รู้ทันคำเหน็บแนมของหญิงสาว เหลือบมองลูกชายที่แสดงสีหน้าเฉยเมย ไม่ยินดียินร้ายใด

            ธันวาไม่สนใจ เดินไปเปิดประตูฝั่งคนขับแล้วขึ้นรถประจำที่ ดวงตาฉายแววปลอดโปร่ง โล่งใจ บริเวณหน้าบ้านหญิงสาวไม่มีกลุ่มพลังงานแปลก ๆ คอยวนเวียน เฝ้ารอคอยเจ้าหล่อน

            แสดงว่าพิจิกพูดถูก ดวงวิญญาณเสี่ยหมงไม่ได้เกาะติดตามมีนาตลอดเวลาขนาดนั้น








บทที่ ๔



            “คุณหมอธันเขานึกยังไงคะ ถึงยอมเป็นแท็กซี่ให้แม่ดาวันนี้” มีนาถามราวกับโชเฟอร์ข้างหน้าไม่มีตัวตน

            “ไม่ทราบสิจ๊ะ หลังเจ้าจิกมันไปขึ้นเครื่องที่กรุงเทพฯ จู่ ๆ ธันก็ใจดี เดินมาบอกว่าจะขับรถให้”

            บุคคลที่ถูกกล่าวถึงไม่เอ่ยปากพูดจาตอบโต้ ทำหน้าที่ขับรถอย่างเดียว

            บ้านณีรนุชอยู่จังหวัดเดียวกัน แต่นอกตัวเมือง ระยะทางไม่ไกลนัก ถนนโล่งเช่นนี้ใช้เวลาประมาณครึ่งชั่วโมงน่าจะไปถึง

            “คุณย่ากรองอยากให้แม่ดาไปคุยเรื่องอะไรกับเขาคะ” มีนาถาม

            “เรื่องโฉนดที่ดินจ้ะ” ดวงสุดาตอบก่อนขยายความ “ตอนคุณย่าไปเซ็นสัญญาร่วมทุนน่ะ ทางนั้นเขาขอโฉนดที่ดินแปลงที่จะทำโครงการหมู่บ้านจัดสรรของเราไว้ บอกว่าต้องรวบรวมเป็นหลักฐาน เพื่อยื่นขออนุมัติทีเดียว”

            “ต้องใช้โฉนดตัวจริงด้วยหรือคะ” มีนาสงสัย “มีนว่าแค่นี้ถ่ายสำเนาให้เขาเก็บไว้ก็ได้”

            “นั่นสิ แม่ก็ว่าอย่างนั้น” ดวงสุดาเห็นด้วย “ทางเราไม่ได้ตั้งใจเอาที่ดินเข้าจำนองเพื่อกู้แบงก์สักหน่อย อีกอย่างเราก็วางเงินมัดจำร่วมทุนไว้แล้วตั้งเยอะ”

            “ฟังดูแปลก ๆ นะคะ”

            “จ้ะ...เสียดายตอนนั้นแม่ติดงานทางอื่น ไม่ได้ไปเป็นเพื่อนคุณย่าตอนเซ็นสัญญา เลยไม่รู้ว่าเขากล่อมท่านยังไง”

            “แล้วแม่ดาได้ถามท่านมั้ยคะ”

            “ไม่ได้ถามหรอก ท่านบอกตอนเสี่ยหมงตายนี่แหละว่ากลัวมีปัญหา ถามทางนั้นก็ไม่มีใครรู้ว่าโฉนดอยู่ไหน”

            “ถ้าหาไม่ได้จริง ๆ เราแจ้งความว่าโฉนดหายแล้วขอให้ทางที่ดินออกโฉนดใหม่ดีมั้ยคะ” มีนาเสนอความเห็น

            “แม่ไม่รู้ว่าคุณย่าท่านเอาโฉนดไปให้เขาถือเฉย ๆ หรือทำสัญญาอะไรควบด้วย ถึงท่านจะยืนยันว่าไม่ได้เซ็นอะไรสุ่มสี่สุ่มห้าแน่นอน แม่ก็ยังกลัวว่าฝ่ายนั้นเล่นไม่ซื่อ แอบสอดไส้ให้ท่านเซ็น ถ้าเราแจ้งว่าหาย แล้วเขาเอาโฉนดมายืนยันทีหลัง มันจะกลายเป็นทางเราแจ้งความเท็จ”

            ดวงสุดาพูดสมกับเป็นภรรยานายตำรวจใหญ่ มีนาฟังแล้วถอนใจ เหลือบมองโชเฟอร์ข้างหน้า ไม่รู้เขาจะหนักใจไปกับหล่อนด้วยหรือไม่



            ธันวาหนักใจ...หนักใจตั้งแต่อ่านข้อมูลคดีการตายเสี่ยหมงแล้ว ยังดีที่ตอนนั้นพิจิกยังไม่ออกจากบ้าน ร่วมอ่านข้อมูลด้วยกันพร้อมสรุปความเห็นง่าย ๆ

            “โครงการเมืองใหม่ของเสี่ยหมงนี่ มันเป็นงานต้มตุ๋นระดับชาติเลยนะพี่ธัน” พิจิกพูดแล้วอธิบายเพิ่ม “เขาลากเอาชื่อคนใหญ่คนโตมาเอี่ยวด้วย ทำให้นักธุรกิจที่เป็นเหยื่ออย่างคุณย่าหลงเชื่อ โดนหลอกเต็ม ๆ”

            ธันวาถอนใจเบา พูดอย่างไตร่ตรอง

            “ถ้าเสี่ยหมงไม่ตาย อีกไม่นานโครงการนี้ต้องถูกแฉ เรื่องแดง มีการสาวไส้กันยาวแน่”

            “เสี่ยหมงเลยจำเป็นต้องตาย!” พิจิกสรุป

            สองพี่น้องมองหน้า เกิดความเข้าใจร่วมกันชัดเจน เค้าโครง สมมุติฐานถูกร่างขึ้นในหัวเป็นเรื่องราวไม่ต่างกัน ยิ่งวิญญาณเสี่ยหมงมาขอความช่วยเหลือเช่นนี้ เท่ากับเป็นการยืนยัน

            รถแหกโค้งชนต้นไม้...ไม่ใช่อุบัติเหตุ

            “เอาเรื่องเฉพาะหน้าก่อน” ธันวาดึงความคิดกลับมา “เราจะช่วยคุณย่ายังไง”

            “งั้นต้องแยกก่อนว่าระหว่างเงินมัดจำกับโฉนดที่ดิน อะไรจะเอากลับมาง่ายกว่ากัน” พิจิกตั้งโจทย์

            “คุณย่าเซ็นสัญญาร่วมทุน โอนเงินเข้าบัญชีเขาไปแล้ว คงเอาคืนยาก...โฉนดน่าจะง่ายกว่า...แต่ทำไมต้องวางโฉนดตัวจริงให้เขาด้วย” ธันวาตั้งข้อสงสัย

            “ผมว่า...ทางนั้นอาจตั้งใจใช้เป็นข้อผูกมัด เหมือนเป็นเครื่องประกันโดนนัยว่า คุณย่าจะถอนตัวยกเลิกสัญญาทีหลังไม่ได้” พิจิกออกความเห็น

            “แสดงว่าโฉนดที่ดินน่าจะยังอยู่กับเสี่ยหมง ไม่ก็ทนาย...คนในครอบครัว” ธันวาครุ่นคิดแจกแจง

            “ถ้าพวกนั้นพร้อมกันใจปกปิด บอกว่าไม่รู้ เราก็ไม่มีปัญญาเรียกคืนได้” แววตาพิจิกฉายรอยบางอย่าง

            “ทำยังไงเราถึงจะรู้ว่าโฉนดที่ดินคุณย่าอยู่ไหน ใครเป็นคนเก็บไว้” จิตแพทย์หนุ่มตั้งคำถาม

            คนเป็นน้องชายอมยิ้มตอบง่าย ๆ

            “ถามกับเสี่ยหมงแล้วกัน”

            ธันวาสบตาน้องชาย ดวงตาฉายแววจริงจัง

            “จิกช่วยคุยให้ได้มั้ย” ถามอย่างไม่สงสัยในฝีมือ

            “ผมไม่มีเวลา เดี๋ยวต้องรีบขับรถไปกรุงเทพฯ เตรียมเช็คอินขึ้นเครื่องเย็นนี้แล้ว”

            คำตอบเช่นนี้ไม่ทำให้คนเป็นพี่ชายหมดหวัง สายตาแลตรง รู้ว่าน้องชายมีคำแนะนำอื่น

            “แต่...สองครอบครัวเรานี่ ไม่ได้มีแค่พวกคุณปู่ ผม กับหมวยเล็กเท่านั้นนะ ที่เห็นผี!”

            “มีนา...” ธันวารู้ความสามารถพิเศษของเธอ

            “ใช่แล้ว...เจ้มีนนี่แหละ”

            “มันกลัวผีจะตาย” พูดกึ่งบ่น

            “ถ้าผีอยากให้เราช่วย...ผีก็ต้องช่วยเราก่อนสิ” พิจิกพูดเป็นนัย

            ธันวานิ่ง ก้มหน้าครุ่นคิด ก่อนเงยขึ้นสบตาน้องชายอย่างเข้าใจ

            “งั้นก่อนจะให้ผีช่วย ก็ต้องให้มีนายอมช่วยเราก่อน!”



- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -



            ‘ความกลัว’ เป็นอารมณ์ปกติของมนุษย์ สมัยเด็กเรามักกลัวโน่นนี่นั่นสารพัด จนโตขึ้นมา ความกลัวบางอย่างหายไป แต่ก็มีความกลัวบางชนิด ฝังรากในใจ ไม่หายไปง่าย ๆ

            ทว่ายังมีความกลัวบางประเภท...มันไม่หายไปไหน แต่พอรับมือกับมันได้...เพราะเจอมันเสียจนเคยชิน

            สมัยเด็ก มีนากลัวผีเข้าขั้นปอดแหก แค่ได้กลิ่นผิดปกติ อากาศรอบตัวเปลี่ยน หรือแว่วเสียงแปลก ๆ เธอก็เผ่นแน่บคนแรกแล้ว

            พอโตขึ้นมา ความกลัวผีไม่หายไป เพียงแต่มีประสบการณ์เจอมันบ่อยครั้งจนชาชิน อีกทั้งน้องสาว กับปู่เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านไสยเวท คอยเตือน แนะนำ จนถึงขั้นทำเครื่องรางของขลังให้ติดตัว เธอจึงตั้งสติเร็ว ไม่โวยวายร้องกรี๊ดวิ่งป่าราบอย่างตอนเด็กอีก

            เมื่อคืน เธอรับมือการเผชิญหน้ากับวิญญาณเสี่ยหมงกับผีริมถนนได้อย่างไม่ขาดสติ ใจสัมผัสรู้ว่าอีกฝ่ายไม่มีเจตนาร้าย หนำซ้ำมาขอความช่วยเหลือ สัญชาตญาณบางอย่างในใจถูกปลุก เกิดจิตเมตตาอยากช่วยวิญญาณที่โดนฆาตกรรมตายดวงนี้ขึ้นมา



            การชอบช่วยเหลือผู้อื่น ทั้งคนและสัตว์น้อยใหญ่เป็นนิสัยติดตัวมีนาตั้งแต่เล็ก ‘คุณนายเภา’ มารดาเธอมักบ่น โวยวายหลายครั้งกับพฤติกรรมลูกสาว

            “ตายแล้วหมวยมีน...ไปอุ้มหมาโดนรถชนมาทำไม ดูสิเลือดเต็มตัวไปหมดแล้ว”

            “หนูสงสารมัน แม่ดูตามันสิ...น่าสงสารออก พามันไปหาหมอหน่อยนะ...นะคะแม่”

            นั่นแค่เรื่องเล็ก คุณนายเภาไม่เสียดายเงินค่ารักษาหมาอยู่แล้ว แต่เรื่องที่แทบทำให้เธอหัวใจวายยังมี

            “คุณนาย...รีบไปดูคุณหนูมีนหน่อย กำลังฟัดกับหมาเป็นฝูงเลย”

            ภาพที่เห็นคือเด็กหญิงตัวน้อยถือไม้ยืนจังก้า คอยหวดปัดไล่หมาดุสามสี่ตัว ป้องกันไม่ให้มันเข้ามากัดขย้ำลูกแมวที่กำลังตัวสั่นงก ๆ ด้วยความหวาดกลัว

            “มีน...หนูรู้มั้ยว่ามันอันตราย” คนเป็นแม่คอยพร่ำสอน

            “ถ้าหนูไม่ช่วย...ลูกแมวมันก็โดนกัดสิคะ น่าสงสารออก แค่หลงกับแม่ มันก็กลัวจะตายอยู่แล้ว พวกหมาใจร้ายยังจะมากัดมันอีก...หนูไม่ยอมหรอก”

            คุณนายเภาพูดอะไรไม่ออก ถึงอย่างนั้นก็มีบางเรื่องที่เธอถือว่าใหญ่โต จนถึงขั้นเตรียมไม้เรียวจะฟาดลูกสาววัยแปดเก้าขวบแล้ว

            “มีนา...ทำไมลูกถึงขโมยเงินในเก๊ะขายของไปจนหมดแบบนี้”

            เงินในลิ้นชักขายของวันนั้นมีจำนวนร่วมหมื่น

            เด็กหญิงมีนาปาดน้ำตาตอบ หลังจากโดนพายุโทสะมารดา

            “หนูเอาเงินไปช่วยอ้อม...บ้านอ้อมโดนไฟไหม้ ไม่เหลืออะไรเลย มีแค่ชุดนักเรียนตัวเดียวที่ใส่เมื่อวาน”

            คราวนี้คนเป็นแม่ไม่รู้ควรจัดการลูกสาวอย่างไรดี จะลงโทษให้สำนึกผิด หรือปล่อยให้เธอแสดงน้ำใจกับเพื่อนฝูง

            คนที่ช่วยคลี่คลายปัญหานี้คือคุณย่าประนอม

            “ย่าจะยกเงินจำนวนนี้ให้หนูไปช่วยเพื่อนดีไหม”

            “ดีค่ะ” เด็กหญิงมีนายิ้มออก

            “แต่หนูขโมยเงิน ต้องถูกลงโทษ หนูยินดีรับโทษหรือเปล่า”

            “ลงโทษยังไงคะ” เด็กหญิงหน้าเสีย

            “หนูจะถูกหักค่าขนมครึ่งหนึ่งไปหนึ่งปี และหนูจะไม่ได้แต๊ะเอียปีใหม่จากผู้ใหญ่ทุกคน”

            เด็กหญิงมีนานิ่งคิดครู่หนึ่งก่อนตัดใจพยักหน้าอย่างกล้าหาญ

            “ค่ะ”

            ย่าประนอมมองหลานสาวด้วยแววตาเมตตา มือลูบศีรษะอย่างอ่อนโยน

            “จำไว้นะลูก...หมวยมีนจะช่วยใครย่าไม่ว่า ดีใจที่หลานมีจิตใจโอบอ้อมอารี แต่คนที่มีใจอารี ต้องไม่ใช่ขี้ขโมย เอาของคนอื่นไปช่วยเพื่อน...เราไม่ควรทำบาปเพื่อไปสร้างบุญนะลูก...”

            มีนาสะอื้นฮัก จดจำวาจาคุณย่าจนขึ้นใจ

            น่าเสียดาย คุณย่าผู้อารี เข้าใจเธอที่สุดอายุไม่ยืนยาวเหมือนคุณปู่...ท่านเสียชีวิตตอนอายุได้หกสิบกว่า ๆ หลังจากนั้นคุณปู่คงคาก็อยู่ตามลำพัง โดยไม่มีใครมาแทนที่ย่าประนอมได้เลย



            มีนาได้รับการถ่ายทอดจิตใจอารีจากคุณย่ามาเต็ม ๆ กระแสวิงวอนร้องขอจากวิญญาณเสี่ยหมงกระแทกใจอย่างแรง ต่อให้เกิดความเกรงกลัวใด เธอก็ยังมุ่งหน้าอยากช่วยเหลืออยู่ดี

            บางที การตั้งใจทำสกู๊ปตัวอย่างรายการไปเสนอผู้ใหญ่ อาจเป็นแค่ผลพลอยได้ไปแล้ว



- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -



            บ้านณีรนุชอยู่เขตรั้วเดียวกับเสี่ยหมง อาณาเขตกว้างขวาง ล้อมรั้วกำแพงสูง โดดเด่นสามารถมองเห็นจากถนนใหญ่

            พอเลี้ยวรถไปจอดหน้าประตู ติดต่อสอบถามลูกจ้างในบ้าน คำตอบที่ได้รับคือ...

            “คุณณีกับครอบครัวเสี่ยไปทำบุญถวายเพลพระที่วัดค่ะ”

            ศพเสี่ยหมงตั้งสวดที่วัดใกล้บ้าน ยังไม่มีกำหนดเผา แขกเหรื่อเพื่อนฝูงคนรู้จักมาฟังสวดศพทุกคืน ส่วนทางบ้านจะจัดอาหารทำบุญเลี้ยงพระเพลทุกวัน

            “แม่ไม่ได้โทรนัดเขาก่อนหรือครับ” ธันวาถาม

            “เปล่าจ้ะ” ดวงสุดาตอบโดยไม่อธิบายเหตุผล

            “ขืนนัดมาก่อน เดี๋ยวเขาก็หาเรื่องหลบหน้า” มีนากระซิบอธิบายเอง

            ธันวาไม่ต่อวาจานั้น ลงจากรถแล้วถามเส้นทางไปวัดจากลูกจ้างคนเดิม พอได้รับคำอธิบายก็รู้ว่าอยู่ไม่ไกล มั่นใจว่าไม่หลง จึงขับรถออกไปคิดว่าใช้เวลาไม่เกินสิบนาทีก็ถึง



            ออกจากบ้านเสี่ยหมงมาประมาณห้านาทีก็มองเห็นซุ้มประตูวัดอยู่ข้างหน้า เป็นวัดใหญ่ทันสมัย เนื้อที่กว้างขวาง น่าจะมีคนมาทำบุญ บูรณะก่อสร้างกุฏิ ศาลาใหม่ ๆ เป็นประจำ

            ทันทีที่รถแล่นผ่านซุ้มประตูวัด บรรยากาศหม่นลอยเอื่อยเคลื่อนมากระทบใจ มีนาขนลุกซู่ ไม่กล้าเหลียวซ้ายแลขวาออกนอกรถ สังเกตเห็นชายหนุ่มคนขับมีอาการชะงักชั่วขณะ ก่อนผ่อนคลายตามปกติ

            ธันวาขับรถมาจอดหน้าศาลาฉัน ซึ่งอยู่ใกล้กับศาลาตั้งศพ บริเวณเดียวกันมีรถยนต์จอดเกือบสิบคัน น่าจะเป็นคนในครอบครัวเสี่ยหมง และชาวบ้านญาติโยมที่มาทำบุญตามปกติ

            พอดับเครื่องยนต์ กระแสความรู้สึกจากภายนอกแล่นมากระทบใจ คล้ายเป็นการเอ่ยทักทาย ร้องเรียก กระแสนี้ธันวาสัมผัสได้ตั้งแต่ขับรถเข้ามาในวัดแล้ว

            ...ดวงวิญญาณเสี่ยหมงน่าจะอยู่แถวนี้...

            จิตแพทย์หนุ่มหันไปบอกผู้โดยสารด้านหลัง

            “แม่ขึ้นศาลาไปหาคุณณีรนุชก่อนนะครับ...ผมมีเรื่องจะคุยกับมีนานิดหน่อย”

            “เอ๊ะ...คุยอะไร” มีนาอุทานแกมขัดใจ

            “ได้จ้ะ” ดวงสุดายิ้มรับ ไม่เอ่ยถามลูกชายต้องการคุยกับหญิงสาวเรื่องอะไร

            หลังหลุดคำอุทาน มีนานิ่งไม่เอ่ยปากคัดค้าน ธันวาลงไปเปิดประตูให้มารดา รอจนอีกฝ่ายขึ้นบันไดศาลาเรียบร้อย จึงก้าวเข้ามานั่งเบาะหลังรถข้างหญิงสาว

            “มีอะไร คุณหมอ” มีนาเอ่ยปากท่าทางระวังตัว

            “ฉันมีเรื่องอยากให้เธอช่วย” ธันวาไม่เยิ่นเย้อ

            ฟังจากน้ำเสียง เรื่องที่เขาเอ่ยปากย่อมไม่ใช่คำของ่าย ๆ เรื่องธรรมดาทั่วไปแน่

            มีนาแอบกลืนน้ำลาย พอจะเดาคำขอของเขาได้ลาง ๆ เพราะสัมผัสภายในใจรับรู้ถึงสิ่งแปลกปลอม ‘บางตน’ กำลังยืนอยู่นอกรถ รอคอยให้หล่อนหันไปมอง

            มีนาฝืนตัวเองสุดฤทธิ์ พยายามจ้องหน้าธันวาเข้าไว้...ถึงจะหมั่นไส้ผู้ชายตรงหน้าอย่างไร หน้าตาหล่อ ๆ ของเขามันก็ยังน่ามองกว่าใบหน้าซีด ๆ เทา ๆ ที่กำลังยืนอยู่ข้างกระจกนอกรถอยู่ดี



(โปรดติดตามต่อฉบับหน้า)



แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP