วรรณกรรมนำใจ Lite Literature

ทางยมทูต ๙



way cover




ชลนิล



(ต่อจากฉบับที่แล้ว)



            แท็กซี่จอดริมถนนใกล้ร้านแต่งรถจักรยานยนต์ คนขับพยักพเยิดบอกด้วยสีหน้ายิ้ม ๆ

            “เจ้าเต้น่าจะทำงานพาร์ทไทม์ขายของอยู่ในนั้นแหละ”

            “ครับ”

            ขณะกำลังขยับตัวลงจากรถ เสียงแท็กซี่กลางคนพูดเชิงแนะนำ

            “ถ้าเราเข้าใจจิตใจตัวเองเท่าไหร่ ก็น่าจะเข้าใจอีกฝ่ายมากเท่านั้น ก่อนจะโน้มน้าวใจใคร...ต้องรู้ใจตัวเองด้วยเหมือนกัน”

            นัยน์ตาคมหรี่ลงทบทวนวาจา มองคู่สนทนาอยากได้คำอธิบายเพิ่ม

            “ลงไปเถอะ เดี๋ยวก็รู้เองแหละว่าจะคุยกับเด็กนั่นยังไง”

            ร้านแต่งรถจักรยานยนต์ว่างลูกค้า เต้...เด็กหนุ่มคนขายนั่งหลังเคาน์เตอร์สินค้าคนเดียว สีหน้าหม่นซึมเหมือนในหัวมีเรื่องครุ่นคิดไม่หยุด

            ขุนคีรีเดินดูสินค้าภายในร้าน พบว่าที่นี่มีอุปกรณ์แต่งรถหลายยี่ห้อ อะไหล่มอเตอร์ไซค์ประเภทบิ๊กไบค์ไปจนถึงสติกเกอร์แต่งรถหลายลวดลาย

            “ต้องการอะไหล่ชิ้นไหนครับพี่”

            เต้เพิ่งสังเกตลูกค้ารายใหม่ ซึ่งให้ความสนใจอะไหล่บิ๊กไบค์ราคาค่อนข้างสูงจึงเอ่ยปากทักถาม

            ชายหนุ่มบอกความต้องการ

            “มี...ของยี่ห้อ...นี้มั้ย” เขาจงใจถามหาอะไหล่บิ๊กไบค์ยี่ห้อดังราคาแพง

            “โห...ยี่ห้อนี้แพงมาก ร้านเราไม่ได้สต๊อกของไว้ ถ้ายังไงพี่จองไว้ก่อน ทางเราสั่งของให้ได้ครับ”

            “งั้นหรือ” ตอบรับไม่แปลกใจ

            ขุนคีรีถามถึงอุปกรณ์ตกแต่งมอเตอร์ไซค์อีกสองสามอย่าง พูดคุยแบบคนคุ้นเคยกับมอเตอร์ไซค์ประเภทนี้ระดับเซียน ทำให้เด็กหนุ่มคนขายทึ่ง สนใจลูกค้ารายใหม่เป็นพิเศษ

            “พี่แต่งรถไปแข่งหรือครับ”

            “เคยแต่งรถแข่งด้วย ประกวดด้วย”

            “โห...พี่ใช้บิ๊กไบค์ยี่ห้ออะไร รุ่นไหนมาบ้าง”

            ชายหนุ่มบอกชื่อรุ่น ยี่ห้อรถมอเตอร์ไซค์ที่เคยใช้ ยิ่งทำให้คนฟังตื่นเต้นสนใจ ด้วยลักษณะท่าทางบุคลิกแบบเขาการใช้มอเตอร์ไซค์คันใหญ่ ยี่ห้อดังในฝันของเด็กหนุ่มทั้งหลายไม่ใช่เรื่องแปลก

            “เคยขับทางไกลไปไหนบ้างครับ”

            “ไปตั้งแต่เขาใหญ่...เชียงใหม่ เชียงราย ไกลสุดน่าจะเป็นทริปข้ามไปลาว เวียดนามกับเพื่อน ๆ”

            คนฟังตาโตตื่นเต้น

            ทุกสิ่งเป็นเรื่องจริง...ขุนคีรีเคยท่องเที่ยวเดินทางอิสระบนมอเตอร์ไซค์คันใหญ่ ทราบว่าเป็นความฝันเด็กหนุ่มหลายคน เขาจงใจเล่าเรื่องพวกนี้ให้อีกฝ่ายฟังเพื่อให้เกิดความไว้เนื้อเชื่อใจ สนิทสนมกว่าเดิม

            “ตอนนี้พี่ยังแข่งรถ...เดินทางไกลอยู่มั้ยครับ” ถามใส่ใจอยากรู้จริง ๆ

            “ไม่...พี่เลิกแข่งรถนานแล้ว”

            “ทำไมครับ”

            ชายหนุ่มนิ่งไตร่ตรอง ควรพูดมากแค่ไหน บางอย่างเป็นเรื่องอดีตไม่อยากรื้อฟื้น เป็นแผลในใจยังรักษาไม่หาย

            “น้องสนใจอยากแข่งรถเหมือนกันหรือ” เขาย้อนถาม

            “เมื่อก่อนเคยแข่ง...แต่หยุดไปนาน พรุ่งนี้คิดว่าจะลงสนามอีกครั้ง”

            “หยุดแข่งไปนานอย่างนี้ ทำไมคิดกลับมาแข่งอีกล่ะ”

            คราวนี้เด็กหนุ่มนิ่งอั้น พูดไม่ออกเฉย ๆ ภาพอดีตย้อนกลับมาจนต้องขบริมฝีปากแน่น ไม่แสดงกิริยาแปลก ๆ ให้ลูกค้าเห็น

            “น้องชื่ออะไร” ขุนคีรีเลือกคำถามง่ายเพื่อดึงเด็กหนุ่มจากอาการนิ่งเงียบ

            “ชื่อ...เต้ครับ”

            “พี่ชื่อขุน...” วาจาเริ่มต้นคล้ายเจ้าตัวพยายามเปิดใจออกมา “เรื่องที่เลิกแข่งรถ...พอจะเล่าให้ฟังได้...อยากฟังมั้ย”

            ชายหนุ่มเสี่ยงทิ้งไพ่เล่าเรื่องตนเอง หวังให้อีกฝ่ายวางใจยอมเล่าเรื่องส่วนตัวเช่นกัน

            “ครับ” เต้ตอบรับทันที...รูปร่างหน้าตา บุคลิกลูกค้าคนนี้ไม่ธรรมดา ดูก็รู้ว่าผ่านประสบการณ์แบบผู้ชายขาลุยมาไม่น้อยจึงอยากฟังเรื่องราวของเขา

            “เมื่อก่อนพี่ชอบความเร็วมาก...มีเพื่อนกลุ่มใหญ่ขับบิ๊กไบค์ด้วยกัน บางทีนัดแข่งรถกับกลุ่มอื่น วางเดิมพันกันแล้วแต่ตอนนั้นใครอยากได้อะไร...”

            เต้แสดงทีท่าสนใจวงการแข่งรถในอดีตขุนคีรี ผู้เล่าเรื่องต้องรีบปัดเข้าประเด็นสำคัญ

            “แข่งขันครั้งนึง...วางเดิมพันสูงพอสมควร พี่โดนฝ่ายตรงข้ามโกง...แอบวางยารถทำให้สะดุดเร่งไม่ขึ้น เกือบเกิดอุบัติเหตุร้ายแรงแต่เอาตัวรอดมาได้...”

            “พี่ทำยังไง...เอาเรื่องพวกมันหรือเปล่า”

            “ตอนนั้นอยากเอาเรื่องเหมือนกัน แต่ไม่มีหลักฐานมีแค่พยานเป็นเพื่อนในกลุ่มเห็นใครบางคนมาทำลับ ๆ ล่อ ๆ ที่รถ...แต่ชี้ตัวไม่ได้ พวกนั้นไม่ยอมรับ...พี่ไม่อยากให้เรื่องบานปลายเลยยอมจบเรื่องเสียเดิมพันไป”

            “แค่นั้นเองหรือครับ”

            “มันไม่แค่นั้นน่ะสิ เพื่อนที่เห็นรถพี่ถูกวางยาโดนใครไม่รู้รุมซ้อมบาดเจ็บ พวกเพื่อนด้วยกันรวมกลุ่มนัดฝ่ายตรงข้ามมาเคลียร์โดยไม่บอกพี่ สุดท้ายก็ตีกันจนเป็นเรื่องราว”

            “ทำไมพวกเพื่อนไม่บอกพี่ล่ะครับ”

            “ตอนนั้นพี่ไม่สบาย พวกมันไม่อยากให้ออกไปลุย”

            ขุนคีรีตอบแค่นั้น ทั้งที่จริงตนเองป่วยเล็กน้อย ออกไปลุยแก๊งฝ่ายตรงข้ามได้...แต่ทุกคนรู้...หากให้ลูกชายพ่อเลี้ยงผู้มีอิทธิพลออกหน้า เรื่องราวไม่จบง่ายดาย ยามชายหนุ่มเลือดขึ้นหน้า สติหลุดอาจมีคนตายจริง ๆ ซึ่งจะเป็นเรื่องราวใหญ่โตตามมา

            “ผลเป็นยังไงครับ...ใครแพ้”

            ชายหนุ่มหัวเราะหึหึในลำคอ

            “แพ้ทั้งสองฝ่าย เพื่อนพี่แอบเอาระเบิดประกอบเองที่พี่ทำไว้เล่น ๆ ไปด้วย กะว่าถ้าเพลี่ยงพล้ำจะได้ใช้เปิดทางหนี แต่กลายเป็นก่อเรื่องใหญ่กว่าเดิม คนไม่รู้อีโหน่อีเหน่รับเคราะห์ด้วย”

            พูดถึงตรงนี้สีหน้าเด็กหนุ่มสลดลง ขุนคีรีทราบว่าวาจาสุดท้ายตนกระทบใจอีกฝ่ายอย่างแรง

            “เต้...” เขาเรียกเสียงหนัก “การแข่งครั้งสุดท้ายของเราเกิดเรื่องไม่ดีอย่างพี่หรือเปล่า”

            “ครับ” เต้ไม่ปิดบัง “ผมทำแฟนตัวเองตาย!”

            “ทำไมยังคิดกลับไปแข่งอีก”

            “ถ้า...ผมไม่ลงแข่งคืนพรุ่งนี้...ผมคงไม่กล้าจับมอเตอร์ไซค์ไปตลอดชีวิต”

            ‘คนพันธุ์เดียวกัน’ ฟังแล้วเข้าใจ หลังจากทำคนรักเสียชีวิต เด็กหนุ่มเกิดความรู้สึกผิดรุนแรง จนไม่กล้าจับ ไม่กล้าเข้าใกล้มอเตอร์ไซค์...นั่นทำให้เกิดความหวาดกลัวต่อสิ่งเกี่ยวข้องเชื่อมโยงกันอีกไม่น้อย

            สี่ห้าเดือนผ่านมาเขาพยายามรักษาเยียวยาจิตใจตนเอง ต้องการเอาชนะความกลัว ข้ามความรู้สึกผิดที่เกาะกินใจ และเห็นว่า...หนามยอกต้องเอาหนามบ่ง...กลับมาแข่งรถอีกครั้งเพื่อรักษาบาดแผลในใจ

            เต้ไม่ต้องพูดจาอธิบายความในใจ ขุนคีรีเข้าใจลึกซึ้ง...เพราะมันใกล้เคียงความรู้สึกตนเอง

            ...มิน่า...แท็กซี่สุรชัยถึงบอกก่อนลงจากรถ...ถ้าเข้าใจจิตใจตนเอง ก็จะเข้าใจอีกฝ่าย...ก่อนจะโน้มน้าวใจใคร ต้องรู้ใจตัวเองเหมือนกัน...

            ขุนคีรีถามใจตนเอง...หากประสบเหตุการณ์เดียวกัน แล้วมีคนมาห้ามลงแข่ง ตนจะเชื่อหรือไม่...

            คำตอบที่ได้ทำให้ไม่อยากทัดทาน หรือหยุดการกระทำคืนพรุ่งนี้ของเด็กหนุ่มเลย

            “สมมุตินะเต้...” ชายหนุ่มฝืนความรู้สึก หาหนทางพยายามทำภารกิจตามที่ได้รับ “ถ้าพรุ่งนี้เราลงแข่งแล้วเกิดอุบัติเหตุ...เจ็บตัว หรืออาจเสียชีวิต...จะนึกเสียใจมั้ย”

            “ไม่ครับ” ตอบโดยไม่ต้องคิด

            นั่นทำให้ขุนคีรีนิ่งงัน ทราบว่าไม่สามารถห้ามปราม หยุดยั้งเด็กหนุ่มตรงหน้าได้แล้ว



--------------- ------------ --------------



            ความฝันคืนนี้ไม่มียมทูตหินผานำทาง ไม่เห็นกระทั่งผู้ช่วยยมทูตรูปหล่อขุนคีรี นั่นทำให้บัวบุษราแอบหวั่นใจลึก ๆ ต่อให้รู้ว่าแค่ฝันแต่ความรู้สึกทั้งหมดชัดเจนเหมือนจริงชวนขนลุก

            หญิงสาวยืนบนเนินดินริมถนนเหนือโค้งอันตราย มองลงไปข้างล่างเห็นวิญญาณ ‘ฟาง’ เด็กสาวเดินไปมาด้วยใบหน้าเศร้าสร้อย หม่นหมอง ไม่รู้สึกตัว

            เธอรวบรวมความกล้า สวดมนตร์ในใจสามจบก่อนเดินลงไปหา แอบปลอบใจตัวเอง ต่อให้ยมทูตหินผาไม่ตามมาก็น่าจะสอดส่องอยู่ห่าง ๆ พออุ่นใจบ้าง

            “น้องชื่อฟางหรือเปล่าคะ” ทักทายง่าย ๆ ตรง ๆ

            วิญญาณเด็กสาวหันมามองแววตาว่างเปล่า ไม่รู้สึกตัว

            “พี่ชื่อบัวนะ...เราคุยกันได้มั้ย” บัวบุษรายิ้มกว้าง ทอดสะพานไมตรี

            “คุย...อะไร” เสียงแหบพร่า ท่าทางจมกับความเศร้าไม่รับรู้โลก อาจไม่มีผู้ใดสนทนาด้วยเนิ่นนานแล้ว

            “คุยเรื่องเพลง...นักร้อง...ดารา ซีรีย์เกาหลี ฟุตบอลพรีเมียร์ลีกก็ได้...ฟางชอบอะไรล่ะ” พยายามหยอดมุกเรียกอารมณ์ขัน

            แววตาว่างเปล่าฉายรอยรับรู้เล็กน้อย

            “ไม่อยากคุย” ตอบห้วน ๆ

            “อ้าว...อย่างนี้พี่ก็จ๋อยเลยดิ...ตั้งแต่เกิดมาเพิ่งโดนปฏิเสธแบบนี้ครั้งแรกนะเนี่ย”

            เสียงพูดแจ้ว ๆ ผสานอารมณ์ขันเบิกบานคล้ายเครื่องมือ ช่วยขับไล่บรรยากาศหม่นมัวออกไป วิญญาณเด็กสาวแสดงอาการรับรู้มากขึ้น

            “พี่...เป็นใคร...มาที่นี่ได้ยังไง” ดวงวิญญาณเป็นฝ่ายถาม

            “แหม...เพิ่งแนะนำตัวตะกี้เอง ลืมแล้วเหรอ...พี่ชื่อบัว...เป็นคนผ่านทาง แวะมาคุยด้วยจ้ะ”

            “คน...ผ่าน...ทาง”

            เด็กสาวทวนวาจาถอนใจเหน็ดเหนื่อย เริ่มรู้สึกตัวทีละน้อย

            “แล้ว...หนูเป็นใคร...” ถามด้วยความไม่รู้จริง ๆ

            บัวบุษราคาดว่าวิญญาณดวงนี้น่าจะยังสับสนกับชีวิตในภพใหม่ ความทรงจำเก่าขาดวิ่นเลือนราง ยังไม่อาจยอมรับสภาพปัจจุบันเต็มที่

            “น้องชื่อฟาง...จำได้มั้ยคะ”

            การเรียกชื่อซ้ำอีกครั้งอาจช่วยกระตุ้นความทรงจำเดิม

            “...ฟาง...” ทวนคำเบา ๆ แล้วอีกชื่อหนึ่งผุดตามมา “...เต้...”

            ชื่อคนสำคัญกระจ่างในใจ ความทรงจำค่อยไล่เรียง ใบหน้าซีดเผือดลงเรื่อย ๆ

            “เต้...ขับมอเตอร์ไซค์...พาหนูไปตาย!”

            เพียงคำนี้หลุดจากปาก บรรยากาศรอบกายเปลี่ยนไปทันที เมฆทะมึนดำหนาแน่นก่อตัวเบื้องบน ความอึดอัดรุ่มร้อนแผ่กระจาย สีหน้าเด็กสาวเผือดขาวราวสวมหน้ากาก ดวงตาจัดจ้าโกรธแค้น

            “ฟาง...น้องจำอะไรได้อีกมั้ย...เรื่องดี ๆ ระหว่างกันน่ะ...อย่าง...วันวาเลนไทน์”

            บัวบุษราฟังรายละเอียดข่าวเด็กสาว ฟังสัมภาษณ์คนใกล้ชิดรวมถึงเด็กหนุ่มคนรัก จึงพอหาทางกระตุ้นให้ระลึกถึงเรื่องดี ๆ บ้าง

            “วาเลนไทน์...” เด็กสาวทวนคำ นัยน์ตาฉายรอยรำลึกอ่อนหวาน “เต้เอากุหลาบแต่งเต็มมอเตอร์ไซค์มาจอดเซอร์ไพรซ์หน้าบ้านแต่เช้า...วันนั้นเราไปดูหนังด้วยกัน...”

            ฟางพูดเรื่องราววันวาเลนไทน์มีความสุข บรรยากาศชวนขนลุกเปลี่ยนเป็นสดใส

            “นั่นสิ...ความรักมักมีเรื่องราวดี ๆ ให้เราประทับใจเสมอนะ” หญิงสาวพูดจาสอดคล้องกับเธอ

            “แต่...” ดวงตาเด็กสาวยังเศร้า “ตอนนี้ไม่มีเต้แล้ว...เต้ไม่อยู่ที่นี่อีกแล้ว”

            “เขาไม่เคยมาหาฟางเลยหรือ”

            “เคยมา...จำไม่ได้เมื่อไหร่...หนูอยากตามเขาไป...แต่...ไปได้ไม่ไกลต้องกลับมาที่นี่อีก...จากนั้น...เขาก็ไม่มา...หนูรอ...รอ...รออย่างเจ็บปวดทุกข์ทรมาน...รอจนลืม...ถ้าไม่ลืมหนูคงทรมานใจทนไม่ไหว...”

            “ถ้าเจอเขาอีกครั้ง...ฟางจะทำยังไง” หญิงสาวเสี่ยงทิ้งคำถามสำคัญ

            ใบหน้าเด็กสาวหดหู่ เอียงคอครุ่นคิด ทบทวนความรู้สึกในใจ

            “หนูเหงา...ไม่อยากอยู่ที่นี่คนเดียว...ถ้าเต้มาอีกครั้ง...หนูจะทำทุกอย่าง...เพื่อเราได้อยู่ด้วยกัน!”

            บัวบุษราเสียววาบในใจ สัมผัสแรงห่วงหวงผูกพันมากกว่าความอาฆาตมาดร้าย ทว่า...จะเป็นความรู้สึกด้านใด วิญญาณดวงนี้อาจกระทำเรื่องเลวร้ายเกินเยียวยา

            หากคืนพรุ่งนี้เต้มาแข่งมอเตอร์ไซค์ตามกำหนดเดิม ชีวิตเด็กหนุ่มเหมือนแขวนบนเส้นด้าย แล้วแต่วิญญาณเด็กสาวจะตัดสินใจ

            บัวบุษรามาพูดคุย กระตุ้นให้ฟางรู้สึกตัวล่วงหน้า ปลุกความทรงจำที่หลับใหล อาจเป็นการชักนำให้เกิดเรื่องร้ายแรงคาดไม่ถึง

            ทว่า...ต่อให้ไม่ปลุกเวลานี้ พรุ่งนี้เมื่อเด็กหนุ่มมาถึง เจ้าหล่อนย่อมรู้สึกตัว ความทรงจำกลับมาเหมือนเดิม เวลานั้นสัญชาตญาณทำงาน ไม่มีใครรู้จะเกิดอะไรขึ้น

            การเรียกความจำดวงวิญญาณล่วงหน้า อาจเป็นดาบสองคม...จะเป็นเรื่องดีหรือร้ายอยู่ที่จะจัดการต่ออย่างไร



--------------- ------------ --------------



            ถนนยามดึกไร้ยวดยานวิ่งไปมา บริเวณลานกว้างริมทางมีฝูงมอเตอร์ไซค์จอดเรียงราย รอเวลาปล่อยตัวรอบสุดท้าย

            เส้นทางสายนี้เพิ่งตัดใหม่ใช้เป็นทางเลี่ยงเมือง ผู้คนส่วนใหญ่ยังไม่รู้จักไม่คุ้นเคยรถราน้อยกว่าสายอื่น เป็นเหตุให้กลุ่มวัยรุ่นนัดกันมาแข่งจักรยานยนต์ยามค่ำคืนประจำ

            “ลงเท่าไหร่วะไอ้เต้”

            เสียงถามจากด้านหลัง เต้ไม่ตอบ สายตามองถนนทอดยาวด้วยจิตใจไม่อยู่กับเนื้อตัว

            “ไอ้เต้ มึงเป็นอะไรไปวะ” เสียงเดิมถามอีกครั้ง

            เต้ค่อยได้สติ หันมาด้วยใบหน้าเผือด ริ้วรอยกังวลปรากฏในดวงตา

            “มึงถามอะไรกู” ย้อนถามเสียงแหบพร่า

            “กูถามว่า...มึงจะลงเงินพนันเท่าไหร่”

            “เท่าไหร่แล้วแต่มึง...กูขับอย่างเดียว”

            “เออ...งั้นเดี๋ยวจัดการให้”

            เต้เบือนหน้าจากเพื่อน เดินหามอเตอร์ไซค์คู่ใจ เอื้อมมือจับคล้ายต้องการเรียกความมั่นใจคืนมา

            ...การแข่งครั้งนี้ไม่ใช่เพื่อเงินเดิมพัน...ไม่ใช่แค่ความสนุก แต่เพื่อเอาชนะความกลัว ความรู้สึกผิดในใจอย่างเด็ดขาด...

            ลมรัตติกาลพัดพากลิ่นแปลก ๆ โชยชาย ฟ้ามืดเช่นเคยมืด แมลงกลางคืนส่งเสียงระงมจากสองข้างทาง เด็กหนุ่มรู้สึกเหมือนมีสายตาจับจ้องไม่ห่าง ทำให้เย็นวะวาบตั้งแต่ต้นคอถึงไขสันหลัง

            เขาขบริมฝีปากระงับอาการแปลก ๆ หวนคิดถึงคำพูดลูกค้าในร้านแต่งรถเมื่อวาน

            ...ถ้าลงแข่งแล้วเกิดอุบัติเหตุ...บาดเจ็บ...เสียชีวิต...จะเสียใจหรือไม่...

            คำตอบคือ...ไม่...ถ้าเกิดเหตุเช่นนั้นจริง เท่ากับได้ชดใช้ความผิดตนเอง...ชดใช้ชีวิตแก่ฟาง...ผู้หญิงที่เขารัก

            เมื่อชดใช้แล้ว ย่อมปลดเปลื้องความรู้สึกผิดในใจเสียที

            เต้ก้าวขาคล่อมอาน บิดลูกกุญแจ นักแข่งอื่นประจำที่เตรียมพร้อมไม่แตกต่างกัน

            ถนนข้างหน้าโล่ง แสงไฟสีส้มสาดส่องดูวังเวงแห้งแล้ง แมลงข้างทางหรี่เสียงลงราวกับรอคอยเวลาสำคัญ

            เสียงกรรมการแข่งขันตะโกนบอกทุกคน

            “เฮ้ย ขับเส้นทางเดิมนะโว้ย...ไปตามถนนรอบเมือง ผ่านสี่แยกสองแยก เส้นชัยอยู่หน้าโรงพยาบาล”

            มีคนเคยถาม...ทำไมเส้นชัยต้องอยู่หน้าโรงพยาบาล ทั้งที่สถานที่นั้นห้ามมีเสียงดังรบกวน

            คำตอบคือ...ถ้าเกิดอุบัติเหตุก่อนหน้านั้น จะมีรถพยาบาลมารับทันท่วงที!

            ลมยะเยือกพัดมาเป็นสัญญาณเตือน

            หนึ่ง...สอง...สาม

            นาฬิกาในใจเต้ดังเป็นจังหวะ สมาธิจดจ่อถนนเบื้องหน้า

            “ระวัง...”

            เสียงดังขึ้นพร้อมเสียงเข้าเกียร์ เร่งเครื่อง

            “เตรียมตัว”

            เสียงเร่งเครื่องดังสนั่น

            “ไป!”

            รถพุ่งทะยานดังติดปีกบิน แสงไฟเกือบยี่สิบดวงพุ่งตรงเป็นลำยาว โลดแล่นไม่ผิดกับงูพระเพลิงแข่งขันล่าเหยื่อ เสียงแผดร้องของเหล่ามอเตอร์ไซค์ไม่ต่างจากเสียงอสุรกายเพิ่งได้รับการปลดปล่อยจากขุมนรก

            ...และ...อาจกลับไปนรก...อีกครั้ง!











บทที่ ๖



            หัวค่ำ ก่อนเด็กวัยรุ่นรวมกลุ่มแข่งมอเตอร์ไซค์

            สุรชัยทำหน้าที่พาขุนคีรีมาส่งร้านขายอุปกรณ์แต่งรถจักรยานยนต์อีกครั้ง จากนั้นนั่งรอในรถเปิดวิทยุฟังเพลงเพลิดเพลินจนได้ยินเสียงซ่า ๆ เสียงเพลงขาด ๆ หาย ๆ จึงปิดเครื่อง หันมองเบาะข้างพบยมทูตหินผานั่งอยู่ตั้งแต่เมื่อใดไม่ทราบ

            “ตามมาดูแลเด็กหรือท่านหินผา” หยอกล้ออารมณ์ดี

            ยมทูตไม่ตอบวาจา อีกฝ่ายไม่ใส่ใจเอ่ยปากคุยต่อ

            “เด็กอีกคนเข้านอนหรือยัง”

            “อีกสักพักกระมัง” คราวนี้ยอมเปิดปากตอบ

            “เฮ้อ...ภารกิจที่ท่านให้พวกนั้นมันคลุมเครือพิกล บอกหนูบัวให้ไปคุยกับวิญญาณคนตาย บอกเจ้าขุนให้คอยห้ามคนเป็นไม่ให้แข่งมอเตอร์ไซค์...เจตนาจริงคืออะไรกันแน่”

            “คิดว่าอะไรล่ะ”

            “จะไปรู้เรอะ” สุรชัยตอบง่าย “ที่รู้คือเจ้าขุนทำภารกิจไม่สำเร็จ เด็กหนุ่มนั่นยังไงก็ลงแข่งแน่...ต่อให้ตามมาคุยอีกครั้งก็ไม่มีประโยชน์”

            “ไม่สำเร็จก็ไม่สำเร็จสิ”

            “อ้าว...พูดอย่างนี้แสดงว่ามีเจตนาแอบแฝงสิ”

            “คราวก่อนบอกเขาเองไม่ใช่หรือ...ถ้าเข้าใจตัวเอง ก็จะเข้าใจอีกฝ่ายมากขึ้น...”

            บอกเพียงเท่านี้แท็กซี่สุรชัยเข้าใจ เด็กหนุ่มที่จะลงแข่งคืนนี้คือภาพสะท้อนชีวิตขุนคีรีวันวาน...เมื่อเขาโน้มน้าวใจอีกฝ่ายไม่สำเร็จ ยิ่งทำให้รู้จักตนเองในอดีตมากขึ้น

            “งั้นท่านคิดว่าขุนคีรีจะทำอย่างไรต่อไป” ถามสีหน้าจริงจัง

            “ไม่ว่าจะทำอย่างไร เราแค่คอยดู...เพราะมันจะบอกตัวตนปัจจุบันของเขา”

            “ถ้าอย่างนั้น การส่งหนูบัวไปคุยกับวิญญาณเด็กสาวนั่นโดยไม่บอกวัตถุประสงค์อะไรเลย ก็มีเจตนาแอบแฝงเหมือนกัน”

            “ไม่ได้แอบแฝง...เพราะรู้อยู่แล้วเมื่อบัวบุษราได้คุยกับวิญญาณดวงนั้น เธอจะสามารถชี้เส้นทางเหมาะสมให้เด็กสาวได้โดยเราไม่จำเป็นต้องบอกอะไรล่วงหน้า”

            “ฟังแล้วเป็นภารกิจพิลึกชอบกล” แท็กซี่บ่น

            “เราแค่ชี้นำ...กระตุ้น...พวกเขาต่างหากเป็นผู้เลือกสรรเส้นทางเดินตนเอง”

            คำพูดยมทูตทำให้มนุษย์เผยรอยยิ้มบาง ๆ ระลึกถึงบุคคลหนึ่ง

            “นี่เป็นคำพูดของน้ายม...เอ๊ย...ท่านพญามัจจุราชใช่มั้ย”

            “ใช่” ยมทูตพยักหน้า “ท่านอ้างถึงวาจาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า...เคยชี้ทางแก่เหล่าสรรพสัตว์ว่า...เราคือผู้บอกทาง...ทำเช่นไรจึงจะได้มนุษย์สมบัติ สวรรค์สมบัติ...ทำเช่นไรจะร่วงลงอบายภูมิ หรือทนทุกข์ทรมานในนรก...สุดท้าย...สัตว์โลกจะเป็นผู้เลือกสรรเอง”

            อดีตยมทูตฝึกหัดระบายลมหายใจยาว ดวงตาฉายแววเคารพ

            “น่าเสียดายนะ...ชาวพุทธจำนวนไม่น้อยได้ยินคำสอนนี้ตั้งแต่จำความได้ ก็ยังเลือกเส้นทางผิด ๆ อยู่เสมอ”

            ยมทูตตัวจริงตั้งคำถามกลับมา

            “รู้หรือไม่...ความหมายของ ‘ยมทูต’ คืออะไร”

            ใบหน้าชายกลางคนละมุนลงก่อนตอบ

            “ท่านมัจจุราชเคยบอกผม...ยมทูต...ย่อมหมายถึง ‘ผู้นำสาร’ จากยมโลก”

            “แล้วคิดว่า...ยมโลก...อยากส่ง ‘สาร’ ใดแก่เหล่ามนุษย์ผู้โง่เขลาบ้าง”

            สุรชัยสูดลมหายใจยาวลึก ดวงตาฉายรอยยิ้มสดใส

            “น้ายม...ท่านพญามัจจุราชเคยถามผมอย่างนี้...ผมตอบว่า...คงมีมากมายหลายข้อความ...หนึ่งในสารสาระสำคัญที่ยมโลกอยากบอกมนุษย์คือ...ทำอย่างไรจึงจะตกนรก...ทำอย่างไรจึงจะพ้นอบาย...ตอนนั้นท่านยิ้มแล้วบอกว่า...ถ้าเข้าใจสารนี้แล้วก็อย่าลงไปให้เห็นหน้าในนรกเด็ดขาด...ตำแหน่งยมทูตฝึกหัดไม่มีหรอก...เพราะยมทูตก็คือยมทูต ผมเป็นแค่มนุษย์คนหนึ่งที่ติดต่อโลกหลังความตายได้เท่านั้น”

            ชายกลางคนหัวเราะเบา ๆ ก่อนพูดต่อจนจบ

            “ท่านยังบอกอีกว่า...เมื่อเข้าใจและรู้ว่าจะดำเนินชีวิตอย่างไรจึงจะไม่เสีย ‘ชาติ’ ที่เกิดเป็นคนแล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องติดต่อยมโลกอีก”

            “ตอนนี้คุณก็ยังช่วยงานยมทูต” ผู้ฟังค้าน

            “ผมถือว่านี่เป็นงานพาร์ตไทม์ งานหลักจริง ๆ คือพยายามยกระดับจิตใจตัวเองให้สูงขึ้น งานรองคือทำมาหากินเลี้ยงตัวเองและครอบครัว...ส่วนตรงนี้เป็นงานนอกเวลา ตอบแทนบุญคุณที่ท่านช่วยให้ตาสว่าง ไม่อย่างนั้นชีวิตผมคงกลายเป็นอีกแบบแน่”

            “ท่านพญามัจจุราชได้ยินคงพอใจ”

            “ท่านล่ะ...ยมทูตหินผา...ชายหนุ่มคนนั้นจะเป็นภารกิจสุดท้ายก่อนหมดวาระแห่งยมทูต เป็นเดิมพันสำคัญหนึ่งใน ‘ปัจจัย’ ชี้คติภพข้างหน้าตัวเอง ท่านมั่นใจแค่ไหน”

            ดวงตายมทูตหรี่ลง ฉายแววราบเรียบยากอ่านความในใจ

            “เราทำหน้าที่ตนให้ดี...แค่นั้น...ผลจะเป็นอย่างไร ไม่จำเป็นต้องคาดเดา”

            ได้ยินเช่นนั้นสุรชัยพยักหน้ายอมรับ ไม่จำเป็นต้องเอ่ยถามอะไรอีก...เส้นทางยมทูตของคู่สนทนาใกล้สิ้นสุด ภารกิจสุดท้ายเป็นเหมือนแต้มคะแนนสำคัญ...บอกว่าปลายทางยมทูตของตนอยู่ที่ใด



(โปรดติดตามต่อฉบับหน้า)



แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP