วรรณกรรมนำใจ Lite Literature

กรงไฟ ๓๔




cover_krongfire

นวนิยายเรื่องนี้ เขียนขึ้นเพื่อความบันเทิง
หากมีชื่อ-สกุล เรื่องราวใดพ้องกับบุคคลจริง ต้องกราบขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย

ชลนิล



(ต่อจากฉบับที่แล้ว)


บทที่ ๒๖



สนามบิน

สถานที่ที่มีคนมากหน้าหลายตา มากมายด้วยต่างชาติต่างภาษา คนมารับมาส่ง คนเดินทางทั้งผู้มาเยือนและผู้จากไป

หนึ่งในคนที่มารอรับ “คนเดินทาง” คือสุขศจี...หล่อนยืนรอทีท่าภายนอกมั่นใจ ในดวงตากลับมีแววกระวนกระวาย

“คนเดินทาง” ที่สุขศจีรอคอยมาถึง เขาเป็นชายวัยเกือบสี่สิบ รุ่นเดียวกับหล่อน ยังดูหนุ่มภูมิฐาน มาดนิ่ง ดูแลรูปร่างสมวัย ใบหน้ามีร่องรอยของหนุ่มหล่อมากเสน่ห์ในอดีต

รอยยิ้มผลิบานบนใบหน้าสุขศจี ยิ้มเช่นนี้หล่อนไม่เคยมีให้ใครง่ายนัก ดวงตาประกายจรัสยินดี เต็มด้วยความรัก หลงใหล

เขายิ้มมุมปาก อ้าแขนออกรับเมื่อหล่อนเข้ามาหา

“ดีใจจังเลย หลิง” น้ำเสียงสุขศจีบอกความรู้สึกทั้งหมด

“ผมก็ดีใจที่ได้มาที่นี่” อีกฝ่ายตอบกลับ ภาษาไทยชัดเปรี๊ยะ น้ำเสียงแววตามีรอยมาดหมาย ที่ผู้อื่นได้ยิน ได้เห็นอดหวั่นลึกไม่ได้

“ดีใจที่ได้มา” ...ดีใจเช่นไร...ดีใจเพราะอะไร

สุขศจีมัวแต่ดีใจที่เห็นชายคนนี้มาถึง จึงไม่ได้สังเกตชายอีกเกือบสิบคนที่เดินตามหลังห่างๆ คล้ายบอดี้การ์ด ลูกน้องผู้ซื่อสัตย์ แต่ละคนวัยหนุ่มฉกรรจ์ ดวงตาเรียบเย็น รังสีอำมหิตฉายออกมาทั้งที่พยายามทำตัวกลมกลืนผู้โดยสารขาเข้าและขาออกคนอื่น

หลิงมาพร้อมกับลูกน้องมือพระกาฬ...จุดประสงค์ของเขาคืออะไร

ห่างไปประมาณช่วงเสา มีสายตาคู่หนึ่งเก็บภาพคนกลุ่มนี้ละเอียด เป็นดวงตาแรงแค้นฉายโชน เขาเห็นหลิง สุขศจี รวมถึงกลุ่มชายหนุ่มฉกรรจ์ตามหลัง ขณะมองก็ประเมินขุมกำลังฝีมือฝ่ายตรงข้าม

คนกลุ่มนั้นเดินลับหายจากสายตา เขาจึงถอนใจยาว

บุญส่งลอบติดตามสุขศจีมาตลอด เพื่อจะหาหลักฐานยืนยันความผิด หาวิธีแก้แค้นแทนเจ้านาย

วันนี้เขาเห็นฝ่ายตรงข้ามชัดตา ตามสายตา “คนพันธุ์เดียวกัน” จึงมั่นใจ พวกมันไม่ใช่หมู เรียกว่าเสือดุที่มีขุมกำลังน่ากลัวซุกซ่อนด้วยซ้ำ

...มาเฟียฮ่องกงกลุ่มนี้น่ากลัวตามคาด...

หลังจากรามตาย ลูกน้องส่วนใหญ่แตกกระสานซ่านเซ็น ศรีนวลกับลูกไม่มีความสามารถเลี้ยงคนได้อย่างราม ยังเหลือพวกจงรักภักดีอยู่กลุ่มหนึ่งซึ่งยกบุญส่งเป็นหัวหน้า พร้อมทำทุกอย่างเพื่อแก้แค้นแทนนายตน

คนกลุ่มนี้จงรักภักดีด้วยใจจริง เคยได้รับบุญคุณจากรามท่วมหัว ไม่ใช่คนลืมบุญคุณกันง่ายๆ เช่นเดียวกับบุญส่ง คำว่าตายแทนเจ้านายสำหรับเขามันเล็กน้อย บุญส่งทำให้รามได้มากกว่านั้น...ไม่ว่ารามจะมีชีวิตอยู่หรือไม่...

เขารอดชีวิตเป็นผู้เป็นคนได้เพราะราม ครอบครัวพ่อแม่ลูกเมียอยู่ดีมีสุขเพราะรามเกื้อหนุน ดังนั้น...เขาจึงขายชีวิตให้กับราม ตั้งแต่ก้าวแรกที่ยอมเป็นลูกน้องแล้ว

บุญส่งประเมินกลุ่มกำลังของตน เทียบเคียงกับฝ่ายตรงข้าม เห็นความแตกต่างชัด เฉพาะบอดี้การ์ดตามหลังยังขนาดนี้ แล้วขุมกำลังจริงจะขนาดไหน

ถึงอย่างนั้นเขายังเชื่อในความเป็น “เจ้าถิ่น” ของตน...มังกรร้ายแค่ไหนก็ตาม...ยากจะเอาชนะงูเจ้าถิ่นได้ง่ายๆ



ลักษณ์ตรวจสอบเช็คข้อมูลต่างๆ ผ่านคนที่รู้จักหลายคน หลายด้าน จนยอมรับ...สิ่งที่ได้ยินจากบุญส่งเป็นความจริงไม่ผิดเพี้ยน

สุขศจี...น้องสาวตนมีส่วนน่าสงสัยคดีฆาตกรรมจริงๆ คำว่า “มีส่วนน่าสงสัย” อาจฟังดูเบาไปด้วยซ้ำ ที่ถูกควรเป็น “ผู้ต้องสงสัย”

เพื่อนที่ฮ่องกงรู้จักกิตติศัพท์มาเฟียกลุ่มของ “หลิง” มาเฟียกลุ่มนี้มีอิทธิพลกว้างขวาง เข้าไปถึงในจีนแผ่นดินใหญ่ เคยมีปัญหาตอนเจ้าพ่อคนเก่าตาย ต่างฝ่ายต่างแย่งอำนาจกัน จน “หลิง” ได้ผงาดขึ้นเป็นเจ้าพ่อชั่วเวลาไม่นานนี้จึงเรียบร้อย

บนเส้นทางสู่ “อำนาจ” ของหลิงได้มาอย่างลำบาก แต่คงไม่ยากเกินไปนัก หากมีอำนาจเงินจากสุขศจีหนุนหลัง

เมื่อโยงเรื่องต่างๆ ประกอบกันลักษณ์ได้ภาพรวมที่น่าตระหนกขึ้นมาภาพหนึ่ง

การที่สุขศจีต้องโอนเงินไปให้หลิงบ่อยๆ เป็นจำนวนมาก เพื่อใช้เป็นทุนการแย่งชิงอำนาจเจ้าพ่อ...ที่ผ่านมาสุขศจีจะโวยวาย ก้าวร้าวทุกครั้งที่ผลประโยชน์รายได้หล่อนถูกตัด หรือไม่ก็มีลักษณะหวงสมบัติกงสีจนกล้าปะทะพี่ชายใหญ่

ตอนพิทักษ์ใช้อำนาจศาลแบ่งมรดกส่วนของสีดา...สุขศจียอมให้ใช้พินัยกรรมฉบับที่สองจนชนะคดี แต่เมื่อพิทักษ์ขออุทธรณ์ ยื่นเรื่องคุ้มครองประโยชน์ เขากับเนื้อนวลจึงต้องตาย

เหตุการณ์ที่ดูเหมือนอุบัติเหตุ...หากมองอีกมุม...น่าจะเป็นการ “เก็บงาน” ให้สิ้นซาก

ล่าสุด...รามยักยอกเงินกงสี ไม่ยอมคืนสิทธิทายาทแก่สุขศจี อีกทั้งเอาเงินในบัญชีที่ควรเป็นของหล่อนไปใช้ โดยไม่ยอมคืนง่ายๆ จนลักษณ์เตรียมฟ้องศาลสู้ความตามกฎหมาย แต่สุขศจีไม่ใจเย็นขนาดนั้น คนที่จำเป็นต้องใช้เงินจากหล่อนยิ่งรุ่มร้อนกว่า

นี่เป็นสาเหตุฆาตกรรมได้หรือไม่...

ลักษณ์ไม่อยากเชื่อความคิด เรื่องราวที่ปะติดปะต่อแบบสุ่มเดาของตน แต่ขณะได้ยินเรื่องราว คำพูดของเพื่อนจากฮ่องกงว่าเห็นสุขศจีไปไหนมาไหนกับหลิงประจำ ความสัมพันธ์ไม่น่าธรรมดาทำให้เขายากจะบิดเบือนเรื่องราวเป็นอื่นได้

หากเขาไม่เชื่อเรื่องเหล่านี้ เหตุใดถึงต้องการให้รุ่งรตี ลูกสาวคนเดียวไปอยู่อเมริกา ลักษณ์ไม่กล้ายอมรับต่อตนเอง เขากำลังพยายามปกป้องลูกสาว ให้เธอหนีไกลจากอันตรายเหล่านี้

เสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้น อดสะดุ้งไม่ได้ ลักษณ์หยิบขึ้นมาเห็นเบอร์แปลกๆ น่าจะมาจากเครื่องสาธารณะ ไม่คิดจะรับสาย แต่เกิดความรู้สึกส่วนลึกบอกให้รีบรับ...มันมีเรื่องสำคัญที่เขาควรรู้รออยู่ในนั้น

“ฮัลโหล” ลักษณ์รับสายเสียงไม่สู้ดีนัก

“คุณลักษณ์...ผมเอง” เสียงห้าวคุ้นหู ฟังแล้วจำได้ชัด

“บุญส่ง...มีอะไร” เขาถามใจกึ่งอยากรู้ กึ่งผลักไส

“ผมโทรมาจากสนามบิน” คำพูดซ่อนนัย ก่อนจะเฉลยเวลาต่อมา “เจอน้องสาวคุณมารับคนคนหนึ่ง”

“ใคร” เขาอดถามไม่ได้

“หลิง...เจ้าพ่อคนใหม่” คำตอบแกมเยาะ

ลักษณ์ฟังแล้วเย็นวูบ เหมือนมีเงาทะมึนปกคลุมฉับพลัน

“แล้วยังไง” เขาฝืนใจถาม

มีเสียงหัวเราะแปลกๆ ดังมาก่อนคำตอบยอกย้อน

“ผมต่างหากที่ต้องถามคุณว่า...แล้วจะทำยังไง”

คำตอบเหมือนซุงกระทุ้งกลางอก...เขาควรจะทำอย่างไร...รอดูเหตุการณ์เฉยๆ...เตรียมรับมือ...หรือเรียกสุขศจีมาคุยกันให้รู้เรื่อง ทั้งหมดนี้เขาทำอะไรได้บ้าง

บุญส่งหัวเราะเยาะหยันอีกครั้งก่อนวางหู

ลักษณ์เหนื่อย อยากพักผ่อน หลับตานานๆ แล้วลืมตาขึ้นมาอีกทีเพื่อเห็นว่าปัญหาทุกอย่างผ่านพ้นไปแล้ว แต่ก็เป็นไปไม่ได้ เพียงแค่หลับตาลงไม่ถึงสองนาที โทรศัพท์มือถือเครื่องเดิมก็ดังอีกครั้ง ฟังเหมือนเสียงปิศาจร้ายร้องคร่ำครวญไม่เลิกรา

ถอนใจหนักๆ หยิบโทรศัพท์มาดู พบเบอร์จากต่างประเทศ น่าจะเป็นเพื่อนที่ฮ่องกงจึงรีบรับสายเผื่อได้ข้อมูลเพิ่มเติม

“เฮ่ย...ว่าไง” ลักษณ์ทักอย่างเป็นกันเอง

“มีข่าวล่าสุดจะบอก” เสียงอีกฝ่ายฟังชัดแม้จะอยู่คนละประเทศ

“เออ...มีอะไร” ขณะพูด ชักรู้สึกว่าจะได้ยินข่าวไม่สู้ดี

“แก๊งของไอ้หลิงท่าจะมีปัญหาว่ะ” เสียงพูดกึ่งขำขัน

ลักษณ์ตั้งใจฟัง เรื่องราวที่ได้ยินต่อจากนั้น มันไม่ชวนให้อารมณ์ดีแม้แต่น้อย

หลังจากหลิงประกาศตัวเป็นเจ้าพ่อไม่นาน ก็โดนดัดหลังจากคนที่เสียผลประโยชน์ในแก๊งทำให้ “ธุรกิจมืด” หลายอย่างประสบปัญหา บ้างถูกจับ ถูกควบคุม ทำให้แก๊งขาดรายได้ ล่าสุดข่าวว่าหลิงต้องหลบกระแสสักพัก โดยไม่มีใครรู้ว่าเขาไปอยู่ที่ไหน นอกจากคนสำคัญในแก๊งเท่านั้น

เสียงรายงานข่าวจากฮ่องกงจบลง ลักษณ์บอกขอบใจ พูดจาอีกเล็กน้อยก่อนวางหู...สายตาราวกับเห็นเมฆทะมึนรอขวางอยู่เบื้องหน้า

คนที่ฮ่องกงไม่รู้หลิงหลบซ่อนตัวอยู่ไหน...เขากลับรู้...รู้อีกว่าการมาของหลิงครั้งนี้ไม่ใช่แค่ซ่อนตัว...แต่จะมาสร้างอาณาจักรใหม่ เพื่อเป็นแหล่งธุรกิจหาเม็ดเงินให้ตนเอง

อาณาจักรแห่งนั้น...คืออาณาจักรตระกูลทรัพย์ยั่งยืนสิริไพศาล



งานสวดศพคืนสุดท้ายเรียกผู้คนที่คุ้นเคย หรือได้ยินชื่อเสียงของรามมาร่วมงานกันเต็มศาลาจนล้นถึงเต็นท์ด้านนอก กลุ่มคนเหล่านั้นปะปนด้วยตำรวจ นักข่าว นักเลง หลายชนชั้นอาชีพ ผู้ใหญ่ระดับจังหวัดหลายคนมานั่งร่วมงาน โดยศรีนวลคอยรับรองไม่ให้ขาดตกบกพร่อง

หากมีใครสังเกตสักนิดจะพบว่า งานคืนนี้ขาดบุคคลสำคัญสามคน ลักษณ์ สมุทร สุขศจี น้องในไส้ผู้ตาย ทั้งสามไม่มางานสวดศพคืนสุดท้ายด้วยเหตุผลที่ผู้คนหาคำตอบไม่ถูก เอ่ยถามศรีนวลก็ไม่ได้รับคำตอบอะไร นอกจากบอกว่า

“พวกน้องๆ เขาคงติดธุระอยู่มั้งคะ”

จะเป็นธุระใดยากมีคนตอบได้ และคงไม่มีใครเซ้าซี้ถามให้เจ้าภาพรำคาญใจเปล่าๆ

ถึงสามพี่น้องตระกูลทรัพย์ยั่งยืนสิริไพศาลไม่มาคืนนี้ ยังมีรุ่งรตี บุตรสาวของลักษณ์มาพร้อมกับเชน ทั้งคู่มาถึงก่อนพระสวดเล็กน้อย เห็นคนล้นศาลาจนเต็มเต็นท์ด้านนอก จึงบ่นไม่จริงจังนัก

“ป้าศรีนวลแกรีบเผาลุงจังนะพี่เชน คนที่เขายังไม่ได้มา เลยต้องรีบมาฟังสวดให้เจ้าภาพเห็นหน้าก่อน”

เชนไม่ตอบคำถามนั้น เลี่ยงเป็นเรื่องอื่น

“ตรงนั้นมีเก้าอี้ว่าง ไปนั่งกันเถอะ” เชนชี้เก้าอี้ว่างสองตัวที่อยู่มุมเต็นท์ด้านนอก

รุ่งรตีรู้ทัน เขาจงใจไม่นินทาเจ้าภาพ จึงยิ้มหมั่นไส้ก่อนยอมไปนั่งแต่โดยดี

เสียงพระสวดสาธยาย ผู้ฟังทั้งหลายนั่งนิ่งสงบงัน ผู้คนที่คุยกันแจ้วๆ ด้านนอกศาลาพากันเงียบ ตั้งใจฟังแสดงความเคารพผู้ตาย เมื่อความเงียบเข้าปกคลุม เสียงสวดก้องกังวานชัดถ้อยคำ สร้างบรรยากาศขรึมขลัง

เชนสัมผัสความวังเวงแปลก กระแสหม่นเศร้าบางอย่างลอยกระทบใจ เขาเหลือบมองตามเงามืด หวังจะได้เห็นเงาร่างบนรถเข็นของสตรีชราผู้อมทุกข์...คุณนายพวงทองอาจมานั่งฟังสวดศพลูกชายด้วยจิตใจหมองเศร้า ความทุกข์ใจปนความหม่นซึม...แกแทบไม่รู้สึกตัว มองเห็นลูกตายทีละคน จนหัวใจปวดร้าว พวกเขาตายทั้งที่ยังไม่สมควรตาย

เสียงสวดถึงท่อนสุดท้าย เจ้าภาพรอถวายจตุปัจจัย...หลังสวดเสร็จพระทยอยออกจากศาลา แขกเริ่มจับกลุ่มคุยกัน แขกระดับผู้ใหญ่ทยอยกลับ ศรีนวลและลูกออกมาส่งที่หน้าศาลา ลูกชายเจ้าภาพหันมาเห็นรุ่งรตีนั่งอยู่ที่เต็นท์นอกศาลาจึงเดินมาทัก

“เป็นยังไงบ้างรุ้ง”

“หวัดดีพี่เอก” รุ่งรตีทักญาติผู้พี่อย่างกันเอง หล่อนกับลูกของรามเรียนอยู่ประเทศเดียวกัน เพียงคนละรัฐเท่านั้น

“มาอยู่เมืองไทยนานหรือยัง” เอกถาม

“ก็สักพักใหญ่ พี่เอกจะกลับมาอยู่เลยมั้ย”

“ไม่ล่ะ” เอกตอบพลางหันมามองเชน “นั่นเชนใช่มั้ย”

“ใช่ครับ สวัสดีครับพี่เอก” เชนยกมือไหว้ ทั้งที่อีกฝ่ายอายุมากกว่าไม่กี่ปี

“ไม่เจอกันนานเลยนะ” ลูกของรามเรียนต่อต่างประเทศตั้งแต่สมัยมัธยม นานๆ กลับบ้านทีจึงไม่คุ้นกับเชน

“ครับพี่” เชนตอบรับ

“ทำอะไรอยู่ล่ะ เรียนต่อหรือทำงานแล้ว”

“ทำงานแล้วครับ” เชนตอบ สังเกตอีกฝ่ายไม่สนใจอยากรู้เรื่องของตนเท่าไหร่ ที่มาคุยก็ต้องการพูดจากับหญิงสาวข้างๆ มากกว่า

“พ่อรุ้งไม่มาเหรอ” นี่เป็นคำถามนำ

“ไม่มามั้ง รุ้งไม่เห็นนี่” หญิงสาวตอบแบบไม่รู้ต้นสายปลายเหตุ

“แล้วพรุ่งนี้จะมามั้ย” อีกฝ่ายถาม

“น่าจะมานะ ก็วันเผาไม่ใช่เหรอ” รุ่งรตีฉุกใจกับคำถามแปลก

“ก็ดี ขอให้มาจริงเถอะ...คงไม่ใช่หลบหน้ากัน” คำพูดนี้ไม่อาจปกปิดความหมิ่นหยันได้

“พ่อไม่หลบหน้าใครหรอก” หญิงสาวชักฉุน เสียงแข็ง “พี่เอกมีธุระอะไรหรือเปล่า ไปรอเจอพ่อที่บ้านคืนนี้ก็ได้”

“ไม่จำเป็นหรอก” เอกยิ้มแปลก “ถ้าพ่อรุ้งมางานเผาพรุ่งนี้ ก็ช่วยบอกแกทีแล้วกันว่า...หลังจากเผาศพเสร็จ แม่พี่มีเรื่องอยากคุยด้วย”

“หลังเผาศพเลยเหรอ” รุ่งรตีทวนคำ

“ใช่...เสร็จพิธีเผา แม่ขอเชิญพ่อรุ้งแล้วก็พวกอาไปที่บ้านด้วย”

คำพูดฟังแปร่ง แต่รุ่งรตีก็ยังรับคำ

“ได้...แล้วรุ้งจะบอกให้”

“ขอบใจ” ชายหนุ่มพูดจบก็ผละจากไป

รุ่งรตีมองตาม รู้สึกหมั่นไส้พิกล

“พี่เอกแกเป็นอะไรไปนะ...เมื่อก่อนก็ยังคุยกันดีๆ ทำไมตอนนี้ทำท่าแปลกๆ”

เชนฟังคำพูดหญิงสาวโดยไม่มีความเห็นเพิ่มเติม สายตามองตามชายหนุ่มที่คุยกับมารดาและน้องสาว สีหน้าเคร่งเครียด สักพักก็มีการพยักหน้ายอมรับ ก่อนเข้าศาลา

ชายหนุ่มกำลังจะชวนหญิงสาวกลับ บังเอิญสายตาเห็นชายแปลกหน้าเดินตามสามแม่ลูกเข้าศาลาสวดศพ ดูเหมือนแขกรายอื่น แต่เชนมีความรู้สึกว่าไม่ใช่ ถ้าเป็นแขกทั่วไป ต่อให้เขาไม่รู้จักก็เคยผ่านตาบ้าง งานค้าขายทำให้มีโอกาสรู้จักคนมาก ผ่านตาลูกค้าในจังหวัดมากหน้าหลายตา แต่กับชายที่เดินตามสามแม่ลูกนั้น นับว่าแปลกหน้าจริงๆ

“นั่งรอที่นี่ก่อนนะ เดี๋ยวพี่มา” เชนบอกกับรุ่งรตี ก่อนลุกไปที่ศาลา หญิงสาวไม่ทันคัดค้าน

ในศาลามีคนบางตาลง เหลือแขกคนสนิท ญาติของศรีนวลและเจ้าหน้าที่ประจำวัด เชนมองหาชายแปลกหน้าไม่พบ ไม่แน่ใจหลบอยู่มุมไหน ศาลานี้ก็เปิดโล่งเข้าออกได้หลายทาง

“อ้าวเชนเองหรือ...ขอบใจนะที่มาฟังสวดคืนนี้” ศรีนวลหันมาเห็นจึงเอ่ยปากทัก

“ครับน้าศรี” เชนยิ้มรับ

“พ่อแม่เราไม่มาด้วยหรือ” ศรีนวลถามเรื่อยๆ

“เห็นว่าจะมางานเผาพรุ่งนี้เลยครับ” เชนตอบ

“จ้ะ...จ้ะดี...ยังไงก็ขอบใจนะที่มา” ศรีนวลพูดจบก็เดินไปหาลูก เตรียมตัวกลับบ้าน

เชนมองรอบศาลาอีกครั้ง แน่ใจว่าคนที่ตามหาไม่อยู่จึงกลับออกมา พบรุ่งรตียืนรอหน้าศาลาพอดี

“เข้าไปลาเจ้าภาพเหรอ” รุ่งรตีถาม เชนเป็นคนมีสัมมาคารวะไปลามาไหว้ ผิดกับตนเอง

ชายหนุ่มยิ้ม ไม่ตอบอะไร

“กลับกันหรือยัง หรือว่าอยากไปไหนต่อ” เขาถาม

“ไปไหนดีล่ะ ขี้เกียจกลับบ้าน ไม่อยากทะเลาะกับพ่อ” รุ่งรตีบ่น

เชนส่ายหน้า ความสัมพันธ์สองพ่อลูกเริ่มจะดีขึ้นแล้ว กลับแย่ลงเพราะลักษณ์ตั้งใจส่งรุ่งรตีไปเรียนต่อที่อเมริกา เจ้าหล่อนจึงประท้วงหาเรื่องกลับบ้านค่ำๆ มืดๆ อาศัยเกาะเขาเป็นเพื่อนมางานสวดศพ ขับรถตระเวนรอบเมือง ไม่ก็ชวนกินอาหารมื้อดึกตามร้านโน้นร้านนี้ เชนนึกอยากขัดใจ แนะนำให้หล่อนพูดจากับพ่ออีกที แต่เขาก็ไม่ได้ทำ...กลับพอใจที่ได้ไปไหนมาไหนกับหล่อน ฟังเจ้าหล่อนพูดจาแจ้วๆ ไม่รู้เบื่อ

“ไม่รู้สิ” เชนตอบตามความรู้สึกจริง

“แหม...ช่วยคิดหน่อยก็ไม่ได้” รุ่งรตีทำท่างอน

เชนจะขยับปากตอบ สายตาก็มองเห็นชายแปลกหน้าคนเดิมยืนอยู่ที่มุมศาลา กำลังมองศรีนวลและลูกขึ้นรถ ท่าทางให้ความสนใจเป็นพิเศษ

ชายหนุ่มขยับจะเดินเข้าไปหา ดูหน้าให้ชัด รุ่งรตีกลับดึงแขนเขาไว้

“จะรีบไปไหนพี่เชน”

เชนหันมาจะตอบหล่อน จากปลายหางตาก็เห็นชายแปลกหน้าคนนั้นเดินเกาะกลุ่มแขกคนอื่นหายลับแล้ว จึงต้องถอนใจอย่างเสียดาย

“สนใจอะไรเป็นพิเศษน่ะพี่เชน แหมมีสาวสวยอยู่ตรงหน้าทั้งคนทำเป็นไม่มอง” หญิงสาวพูดแกมหมั่นไส้

ชายหนุ่มอารมณ์ดี พอจะยิ้มให้เจ้าหล่อน

“อย่าสนใจเลย รุ้งตัดสินใจได้หรือยังว่าจะกลับบ้านหรือไปไหนต่อ”

“ไปนั่งชมวิวดีกว่า”

รุ่งรตีตัดสินใจเรียบร้อย



จุดชมวิวของรุ่งรตีเป็นลานจอดรถริมถนนเลียบแม่น้ำ มองเห็นสะพานเป็นฉากหลัง ฟ้าใสกระจ่าง ดาวดารดาษพร่างพรายนับล้านดวง สายน้ำไหลเอื่อยเยือกเย็น รอบด้านไม่มีผู้คน ห่างออกไปอีกสักช่วงหนึ่ง จะมีร้านอาหารริมน้ำบางร้านที่ยังเปิดไฟบริการแขก

หญิงสาวยื่นกาแฟกระป๋องให้เชนพร้อมรอยยิ้มใส

“จิบกาแฟเย็นๆ ใต้แสงดาวนนี่ โรแมนติกดีนะพี่เชน”

“พี่ว่าเปลี่ยนจากกาแฟเย็นเป็นชาร้อนๆ ท่าจะดีกว่า” ถึงพูดอย่างนั้น เขาก็จิบกาแฟไม่อิดเอื้อน

“งั้นมาซดเบียร์แข่งกันก็แล้วกัน” หญิงสาวยิ้มล้อเลียน

“ท่าจะเคยทำบ่อย”

“ก็เคย...สมัยโน้นล่ะ...พอตอนนี้มาคิดดูก็แปลกใจ...ทำไมเราทำได้ถึงขนาดนั้นนะ”

รุ่งรตียิ้มขันตัวเอง

“มันบ้าน่าดู แล้วก็ไม่ได้มีประโยชน์อะไรเลย...นอกจากเมาแล้วอ้วกเหมือนหมา”

“อืม...ยังดีนะที่คิดได้” น้ำเสียงเขามีความหมายชมมากกว่าประชด

“ฟังแม่งๆ แฮะ...ชมหรือเปล่า” เจ้าหล่อนนัยน์ตาใสจ้องมองเขา “แต่รุ้งก็สมควรถูกด่าแล้วล่ะ ตอนนั้นทำตัวบ้าสุด หลุดโลกซะปานนั้น...ถ้ามีใครถามว่าทำเพราะอะไร...ก็คงตอบกวนๆ ไปว่า พอใจ แต่ถ้ามาถามตอนนี้...มองย้อน...รุ้งคงบอกว่า...ทำประชดพ่อไปอย่างนั้นเอง”

น้ำเสียงตอนท้ายมีร่องรอยความเจ็บปวดเคลือบแฝง

“ประชดเขาแล้วทำให้ตัวเราต้องเสียหายนี่ มันไม่คุ้มเลยนะ” เชนพูดเรื่อยๆ ไม่แทรกเจตนาสั่งสอน

“ตอนนั้นมันจะคิดอะไรได้ล่ะพี่เชน” รุ่งรตีหัวเราะเสียงปร่า “สมองมันเล็กกว่าถั่วเขียวอีกมั้ง ทำอะไรตามใจตัวเองตลอด เหมือนจะหาสิ่งที่มาทดแทนสิ่งที่เราอยากได้จริงๆ แต่มันไม่ได้”

ถึงรุ่งรตีจะไม่บอกว่า “สิ่งที่อยากได้จริงๆ” ตอนนั้นคืออะไร เชนก็สัมผัสน้ำเสียง ความรู้สึกหล่อนออก วัยขนาดนั้น เด็กเช่นหล่อนจะต้องการอะไร ถ้าไม่ใช่ความรัก ความอบอุ่น คนเป็นพ่อเป็นแม่กลับเห็นว่าการส่งลูกสาวไปอยู่โรงเรียนประจำ ไปเรียนต่อต่างประเทศ เป็น “สิ่งที่ดีที่สุด” สำหรับลูกแล้ว

“บางที...คนเรา ต่างวัยก็ต่างมุมมองกัน” เชนใช้น้ำเสียงอ่อนโยน ในใจนึกแผ่เมตตาอบอุ่นเฉกเช่นมารดาเคยทำให้แก่คู่สนทนา

“นั่นสิพี่เชน ตอนนี้รุ้งก็สงสัยว่าทำไมพ่อถึงยังจะส่งรุ้งไปเรียนต่ออีก ทั้งที่เห็นอยู่ว่ามันไม่ได้เรื่อง” หญิงสาวมีน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยอารมณ์ขุ่น

เชนค่อยผ่อนลมหายใจ เวลานี้เขาทำได้เพียงเป็นผู้ฟัง

“รุ้งว่า...รุ้งอยู่ที่นี่ ทำตัวดีขึ้นเยอะแล้วนะ...ถึงจะหลักลอย ไม่คิดจะเรียนอะไร ไม่สนใจทำงานเป็นชิ้นเป็นอัน แต่รุ้งก็เลิกเที่ยว เลิกเมา แล้วก็เลิกขยันผลาญเงินพ่อเหมือนเมื่อก่อนอีก...อย่างนี้จะเอาอะไรนักหนา”

ชายหนุ่มนึกยิ้มในใจ...คำว่า “ดีขึ้น” ของรุ่งรตี หากเทียบกับมาตรฐานของลูกทั่วไป น่าจะบอกว่าอยู่ในขั้น “แย่” ด้วยซ้ำ ...วูบหนึ่งของความคิด เชนอดนึกแปลกใจไม่ได้ ทำไมตนเองถึงพอใจผู้หญิง “แย่ๆ” คนนี้

“น้าลักษณ์เขาก็ยังไม่ได้บังคับจริงจังไม่ใช่หรือ” เชนพูดใจเย็น

“ยังไม่บังคับ แต่ก็พูดทุกครั้งที่เจอหน้า อย่างนี้จะไม่ให้อารมณ์เสียได้ยังไง”

“ถ้างั้นรุ้งลองต่อรองสักหน่อยสิ ไม่ต้องถึงขนาดไปเรียนต่างประเทศ เอาแค่กรุงเทพฯ ก็ได้ พวกมหาวิทยาลัยเอกชนมีเยอะแยะ คิดเสียว่าพบกันครึ่งทาง”

“โหย ไม่ไหวหรอกพี่เชน ให้ไปเริ่มเรียนใหม่กับเด็กสิบเจ็ดสิบแปดอายเขาตายเลย”

ชายหนุ่มยิ้มขัน รุ่งรตีพูดเหมือนตนเองแก่เสียเต็มประดา อายุขนาดหล่อน อย่างมากก็แค่นักศึกษาปีท้ายๆ เริ่มเรียนกับเด็กเพิ่งจบมัธยม ไม่ถึงกับแตกต่างมากนัก

“งั้นเรียนมหาวิทยาลัยเปิดก็ได้ ไม่จำเป็นต้องเข้าห้องเรียน ลงทะเบียนไว้แล้วก็อ่านหนังสือไปสอบเอา”

ทางเลือกนี้รุ่งรตีไม่รู้จะหาทางเลี่ยงอย่างไร จะให้ตอบตรงๆ ว่า “ขี้เกียจเรียน” ก็อายชายหนุ่มตรงหน้า เชนทำตัวเหมือนแบบฉบับลูกที่พ่อแม่คนไหนก็อยากได้ จนบางครั้งหญิงสาวรู้สึกละอายใจที่อยู่ใกล้ เมื่อคิดเปรียบเทียบตนเองกับเขาแล้วช่างเห็นความต่างมากมาย นึกไม่ออกเหตุใดถึงสนิทชิดเชื้อกับเขาได้มากขนาดนี้

ทั้งคู่มีอะไรเหมือนกัน ที่เป็นแรงดึงดูดให้ลงใจ จนเกิดความคุ้นเคยอยากใกล้จนมองไม่เห็นช่องว่างอยู่เลย

“อือ...เอาไว้พ่อไล่ให้ไปเรียนต่ออีกเมื่อไหร่ รุ้งค่อยบอกอย่างนี้แล้วกัน”

รุ่งรตียอมลงต่อเหตุผลของเขา ที่จริงการเรียนมหาวิทยาลัยเปิดก็ไม่ยากเย็นอะไร แค่อ่านหนังสือแล้วก็ไปสอบ ต่อให้ไม่ผ่านก็ไม่เห็นเป็นไร หล่อนไม่ได้ตั้งใจอยากเรียนเอาปริญญาอยู่แล้ว

เชนยิ้มอ่อนโยน ที่จริงรุ่งรตีไม่ใช่ผู้หญิงดื้อรั้นจนถึงที่สุด หากหล่อนศรัทธาใคร และคนนั้นมีเหตุผลพอ...หล่อนก็พร้อมจะยอมรับได้ไม่ยากเย็น

สังหรณ์แปลกเดิมของเชนเริ่มเวียนมากวนใจ เขาไม่คิดว่าลักษณ์จะหวังให้ลูกสาวตัวเองร่ำเรียนจนจบปริญญาจากต่างประเทศเพื่อมาอวดใคร ทำไมถึงคะยั้นคะยอให้รุ่งรตีไปไกลหูไกลตาขนาดนั้น เขาเชื่อว่ามันต้องมีเหตุผลอื่น...เป็นเหตุผลที่ยากจะคาดเดา



(โปรดติดตามต่อฉบับหน้า)




แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP