จุดหมายปลายธรรม Destination@Dharmma
สติจำเป็นในที่ทุกสถานในกาลทุกเมื่อ
งดงาม
This e-mail address is being protected from spambots. You need JavaScript enabled to view it
ในคราวที่แล้ว เราได้คุยกันในเรื่อง “อยู่กับคนที่ศีลไม่เท่ากัน”
ซึ่งในตอนท้ายนั้น ผมได้ยกเรื่องของภริยาของพรานกุกกุฏมิตรมาเล่านะครับ
หลังจากนั้น ก็มีญาติธรรมท่านหนึ่งอีเมล์มาสอบถามว่า
ที่ผมได้เล่าถึงเรื่องภริยาของพรานกุกกุฏมิตรว่า ไม่ถือว่าเป็นผู้ที่ทำบาปอกุศล
เพราะขณะยื่นอาวุธให้แก่สามีของนางนั้น นางไม่ได้มีจิตคิดจะให้พรานกุกกุฏมิตรไปฆ่าสัตว์
ญาติธรรมท่านนี้สงสัยว่า ถ้ารู้อยู่แล้วว่าอาวุธที่นางยื่นให้สามีไป สามีจะเอาไปฆ่าสัตว์
(เพราะว่าพรานกุกกุฏมิตรเป็นนายพรานและหาเลี้ยงชีพโดยการล่าสัตว์)
แต่ยังยื่นอาวุธให้แต่โดยดี แม้ว่าจะทำตามที่สามีได้สั่งก็ตาม
เช่นนี้ไม่ถือว่ามีจิตอกุศล และร่วมทำบาปอกุศลด้วยหรือ
ผมเชื่อว่าบางท่านอาจจะมีข้อสงสัยนี้เช่นเดียวกัน
จึงเห็นว่าน่าจะเป็นประโยชน์แก่ท่านอื่น ๆ ด้วย หากจะได้อธิบายเพิ่มเติมในที่นี้
เรียนว่าสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้เราเข้าใจเรื่องภริยาของพรานกุกกุฏมิตรได้ดีนั้น
คือเราจะต้องเจริญสติให้เป็นเสียก่อน
โดยสามารถรู้ทันสภาวะที่เกิดขึ้นในกายในใจตนเองอย่างเป็นปัจจุบัน
ในคาถาธรรมบท ยมกวรรคที่ ๑ (พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย ธรรมบท)
พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรงสอนว่า
“ธรรมทั้งหลายมีใจเป็นหัวหน้า มีใจประเสริฐที่สุด สำเร็จแล้วแต่ใจ”
http://84000.org/tipitaka/attha/v.php?B=25&A=268&Z=329
ดังนั้น ใจเราเป็นสิ่งสำคัญที่สุดว่าสิ่งที่เราทำนั้นจะเป็นกุศลหรืออกุศล
ขอยกตัวอย่างในเรื่องของการถือศีล
การถือศีลนั้นจะต้องเริ่มต้นที่ใจเป็นสำคัญ
หากเราขาดเสียซึ่งจิตใจที่จะงดเว้นการทำผิดศีลแล้ว ย่อมไม่ถือว่าเป็นการรักษาศีล
แม้ว่าในขณะนั้น เราจะไม่ได้ทำผิดศีลเลยก็ตาม
บางท่านเข้าใจว่าจิตใจที่จะงดเว้นนั้นไม่เป็นสิ่งจำเป็น ขอแค่เราไม่ทำผิดศีลก็พอแล้ว
โดยเพียงแค่เราไม่ทำผิดศีล ก็ถือว่าเราได้รักษาศีลโดยอัตโนมัติแล้ว
ขอเรียนว่าความเข้าใจดังกล่าวยังคลาดเคลื่อนอยู่ครับ
ถ้าเรามองว่าในขณะใดที่เราไม่ได้ทำผิดศีล ก็จะถือเป็นการรักษาศีลโดยอัตโนมัติแล้ว
อย่างนี้เด็กทารกแรกเกิด หรือทารกตัวเล็กที่ยังทำอะไรไม่ได้เอง
เด็กทารกเหล่านั้นก็จะกลายเป็นผู้ทรงศีลโดยอัตโนมัติ
ในทำนองเดียวกัน หากมีผู้ป่วยเป็นอัมพาตทั้งตัวขยับตัวไม่ได้เลย
ต้องให้คนอื่นช่วยป้อนข้าวป้อนน้ำให้ ช่วยอาบน้ำ ทำความสะอาด และช่วยทุกอย่าง
ผู้ป่วยเป็นอัมพาตนั้นก็จะกลายเป็นผู้ทรงศีลโดยอัตโนมัติ
หรือหากมีนักโทษอุกฉกรรจ์โดนคุมขังเดี่ยว และล่ามโซ่ไว้กับเสา ขยับไปไหนไม่ได้
ทำให้ไปทำผิดศีลข้อใด ๆ ไม่ได้แล้ว นักโทษนั้นก็จะกลายเป็นผู้ทรงศีลโดยอัตโนมัติ
เราจะเห็นได้ว่าเด็กทารกก็ดี ผู้ป่วยอัมพาตก็ดี และนักโทษดังที่กล่าวนั้นก็ดี
ไม่ได้ถือว่าเป็นผู้ทรงศีลโดยอัตโนมัตินะครับ เพราะว่าขาดจิตใจที่มุ่งงดเว้นการทำผิดศีล
ฉะนั้นแล้ว การรักษาศีลนั้นเริ่มต้นที่ใจ โดยแม้เราอยู่ในวิสัยที่จะทำผิดศีลได้ เราก็ไม่ทำ
เพราะว่าเรามีจิตใจที่งดเว้นและตั้งใจรักษาศีล
เรื่องกุศลและอกุศลนั้นก็เป็นไปในทำนองเดียวกับเรื่องศีลครับ
กล่าวคือใจเป็นสำคัญ ใจจะเป็นตัวชี้วัดว่าเราก่อกุศล หรือก่ออกุศล
ยกตัวอย่างว่ามีลูกคนหนึ่งซื้อข้าวมันไก่มาให้คุณพ่อทานที่บ้าน
ถามว่าการกระทำเช่นนี้เป็นกุศลหรืออกุศลครับ?
(ลองนึกคำตอบดูก่อนนะครับ)
...
ผมตอบว่า ไม่ทราบครับ เพราะต้องทราบก่อนว่าลูกคนนั้นมีเจตนาอย่างไร
หากลูกมีเจตนามุ่งให้คุณพ่อได้ทานอาหารอิ่มท้อง มุ่งให้คุณพ่อมีความสุข
มุ่งให้คุณพ่อรู้สึกดีใจว่าลูกห่วงใยท่าน อย่างนี้ก็เป็นกุศล
แต่หากลูกมีเจตนามุ่งให้คุณพ่อมีไขมันคอเลสเตอรอลขึ้นเยอะ ๆ
เพื่อที่ว่าท่านจะได้ป่วยและตายเร็ว ๆ และตนเองจะได้รับมรดก อย่างนี้ก็เป็นอกุศล
หรือสมมุติว่า เราไปเห็นชายหนึ่งกำลังนั่งสวดมนต์งึมงำ ๆ อยู่
เราก็อาจจะมองว่าเขากำลังทำกุศลกรรม โดยการสวดมนต์
แต่หากว่าแท้จริงแล้ว ชายคนนั้นต้องการสาปแช่งให้ศัตรูของเขาตายเร็ว ๆ
ชายคนนั้นจึงมานั่งสวดมนต์เพื่อสาปแช่ง
ระหว่างที่สวดมนต์นั้นจิตใจของเขาก็ครุ่นคิดแต่เรื่องอาฆาตแค้น
และหมกมุ่นกับเรื่องที่ต้องการให้ศัตรูของเขาตายเร็ว ๆ เช่นนี้ก็ย่อมเป็นบาปอกุศล
ฉะนั้นแล้ว เพียงแค่เรามองพฤติกรรมอย่างหนึ่งของคน ๆ หนึ่งแล้ว
จะให้บอกว่าพฤติกรรมนั้นเป็นกุศลหรืออกุศลนั้น บางทีเราก็อาจตอบไม่ได้นะครับ
ยกตัวอย่างอีกครับ สมมุติว่ามีคน ๆ หนึ่งเดินเหยียบมดตายเป็นร้อยตัว
ถามว่าการกระทำเช่นนั้นเป็นกุศลหรืออกุศลครับ?
หากข้อเท็จจริงคือว่า เขาเห็นและเจตนาเดินเหยียบมดให้ตาย ก็ย่อมเป็นอกุศล
แต่หากข้อเท็จจริงคือว่า เขาเป็นคนตาบอด และเดินไปโดยไม่เห็นมดบนพื้น
เขาก็เดินบนพื้นไปเรื่อย ๆ โดยไม่ได้มีเจตนาจะเหยียบมดเลย เพียงแต่ว่าเขาไม่เห็นมด
เช่นนั้นแล้ว ก็ไม่ถือว่าการเดินเหยียบมดตายของเขาเป็นบาปอกุศลครับ
ถึงตรงนี้แล้ว เราก็คงจะพอเห็นภาพนะครับว่าจิตใจเป็นสิ่งสำคัญ
จิตใจเป็นประธานที่ว่าจะทำให้การกระทำทางร่างกายนั้นเป็นกุศลหรือเป็นอกุศล
ที่ผมใช้คำว่า “จิตใจเป็นประธาน” นั้น หมายถึง “จิตใจในเวลาขณะนั้นแต่ละขณะ”
ซึ่งหากท่านใดเคยฝึกหัดเจริญสติแล้ว ก็คงเข้าใจได้ชัดเจนว่า จิตใจในแต่ขณะเป็นอย่างไร
แต่หากท่านใดไม่เคยฝึกหัดเจริญสติมาก่อน ก็อาจจะเข้าใจยากอยู่บ้างครับ
คือว่าเราต้องดูจิตใจของเราในแต่ละขณะ ๆ ไป ไม่ใช่ดูรวดเดียวเป็นช่วงเวลายาว ๆ
ยกตัวอย่างเช่น เราต้องการพาคุณพ่อคุณแม่ไปที่วัดเพื่อถวายสังฆทานสร้างบุญกุศล
แต่ว่าคุณพ่อคุณแม่ไม่ยอมไป โดยอ้างโน่นอ้างนี่ ซึ่งเราเห็นว่าเป็นข้ออ้างที่ไร้สาระ
เราจึงพูดชักจูงใจให้ท่านไปวัด ซึ่งตรงนี้ก็ยังเป็นเจตนาอันเป็นกุศลอยู่
แต่พอคุยไปเรื่อย ๆ เริ่มถกเถียงไปเรื่อย ๆ เราก็เริ่มไม่พอใจ และเริ่มโมโห
เราปล่อยให้ความโมโหเข้าครอบงำใจ ปล่อยให้ความอยากเอาชนะเข้าครอบงำใจ
ในกรณีดังกล่าว แม้ว่าเจตนาตอนเริ่มแรกของเราจะเป็นกุศลก็ตาม
แต่ในขณะเวลาที่ใจเราโดนความไม่พอใจ หรือความอยากเข้าครอบงำแล้วนั้น
การที่เราเถียงหรือคุยกับคุณพ่อคุณแม่ในขณะนั้นย่อมเป็นอกุศลครับ
และเป็นการที่เราเถียงหรืออธิบายเพื่อสนองความไม่พอใจ หรือความอยากเท่านั้น
ฉะนั้นแล้ว เราจะพิจารณาเพียงวัตถุประสงค์เริ่มแรกอย่างเดียวไม่ได้
แต่เราจะต้องพิจารณาจิตใจของเราในแต่ละขณะ ๆ เป็นปัจจุบันไปเลยว่า
จิตใจในแต่ละขณะ ๆ นั้นเป็นกุศลหรืออกุศลกันแน่
ซึ่งเราจะสามารถพิจารณาจิตใจเราในแต่ละขณะ ๆ ได้นั้น เราต้องอาศัยการเจริญสติครับ
ยกตัวอย่างอีกนะครับ สมมุติว่าเราซื้อน้ำกล่องมา ๓ อย่าง
คือน้ำนมถั่วเหลือง ๑ น้ำชาเขียว ๑ และน้ำผลไม้ ๑
เราซื้อมาอย่างละ ๑๐๐ กล่อง เพื่อจะเตรียมตักบาตรพระในวันรุ่งขึ้น
เราก็นั่งจัดของตักบาตรลงถุงพลาสติกจำนวน ๑๐๐ ชุด เพื่อจะได้สะดวกเวลาใส่บาตร
ในระหว่างที่เรานั่งหยิบของตักบาตรใส่ลงถุงพลาสติกนั้น
ก็เป็นช่วงเวลาเดียวกับตอนจบของละครเรื่องโปรดของเรา
เราจึงนั่งชมละครไปด้วย โดยลุ้นและเชียร์นางเอกด่าและตบกับนางร้ายเพื่อแย่งพระเอก
แต่มือเราก็จัดของตักบาตรใส่ถุงพลาสติกไปด้วยในเวลาเดียวกัน
และเมื่อละครจบเรื่อง เราก็จัดของตักบาตรเสร็จ ๑๐๐ ชุดพอดี
ถามว่าในระหว่างที่เราชมละครและลุ้นเชียร์เขาด่าและตบกัน
แต่มือเราจัดของตักบาตรไปด้วยนั้น จิตใจของเราเป็นกุศลหรืออกุศลครับ?
ตอบว่าเป็น “อกุศล” นะครับ เพราะจิตใจของเราอยู่ที่ละคร
จิตใจเราไม่ได้อยู่ที่การตักบาตร
แล้วถามว่าขณะนั้น มือเรากำลังจัดของตักบาตรอยู่ใช่ไหม?
ตอบว่า “ใช่”
ถามว่าเรารู้ไหมว่าของที่จัดนั้น จะนำไปตักบาตรถวายพระ?
ตอบว่า “รู้”
ถามต่อไปว่า เช่นนี้ทำไมขณะที่จัดชุดของตักบาตรนั้น จิตใจจึงไม่เป็น “กุศล” ล่ะ?
ตอบว่า ก็เพราะว่าในขณะนั้น จิตใจไม่ได้ “รู้” หรือ “อยู่กับ” การตักบาตรซึ่งเป็นกุศล
ในขณะนั้น จิตใจไป “รู้” หรือ “อยู่กับ” ละครที่กำลังเชียร์คนอื่นเขาตบกันซึ่งเป็นอกุศล
แม้ว่ามือของเรากำลังจัดชุดของใส่บาตรก็ตาม
แต่จิตใจกลับไปหมกมุ่นอยู่ในเรื่องที่เป็นอกุศล จึงเท่ากับว่าขณะนั้น ใจกำลังเป็นอกุศลอยู่
เมื่อใจเป็นประธาน และเป็นอกุศล ก็เท่ากับว่าในขณะนั้นเรากำลังก่ออกุศลอยู่ครับ
ขอยกอีกตัวอย่างหนึ่ง สมมุติว่าเราไปถวายสังฆทานที่วัด
โดยในขณะที่เรากำลังถวายสังฆทานอยู่นั้น
เรามองไปเห็นแฟนเรามากับกิ๊ก โดยทั้งสองคนกำลังเดินเข้ามาในวัด
(แต่ว่าทั้งสองคนนั้นมัวแต่กระหนุงกระหนิงจนไม่เห็นเรา)
เรารู้สึกโมโหมากและครุ่นคิดวางแผนว่าจะจัดการแฟนเราอย่างไรดี
ในระหว่างที่ปากเรากล่าวคำถวายสังฆทานตามคนอื่น ๆ นั้น
แต่ใจเราก็หมกมุ่นครุ่นคิดแต่เรื่องแค้นแฟน จะทำร้ายแฟน จะทำร้ายกิ๊กคนนั้น
ถามว่าในขณะเวลานั้น เรากำลังก่อกุศล หรืออกุศลครับ?
ตอบว่าเรากำลังก่อ “อกุศล” อยู่นะครับ เพราะใจเราเป็นประธาน
โดยตัวอย่างเรื่องจัดของตักบาตร และถวายสังฆทานที่ได้ยกมาข้างต้นนี้
หากร่างกายเรากำลังทำกุศลกรรมอยู่ แต่ใจเราไม่ได้อยู่ในสิ่งที่เราทำนั้น
ในทางกลับกัน ใจกลับไปหมกมุ่นอยู่ในสิ่งอกุศลแล้ว ก็เท่ากับว่าเรากำลังก่ออกุศลกรรม
ในทำนองเดียวกันนะครับ หากภริยาของพรานกุกกุฏมิตรกำลังส่งอาวุธให้สามี
แต่ท่านไม่ได้ระลึกในสิ่งที่เป็นอกุศลกรรม ท่านไม่ได้ระลึกว่าสามีจะใช้อาวุธนั้นทำผิดศีลอะไร
อกุศลกรรมย่อมไม่มีแก่ท่านครับ
ถามว่าท่านรู้ไหมว่าสามีเป็นนายพราน?
ตอบว่า “รู้” ครับ
แต่ว่าในขณะที่ท่านส่งอาวุธให้สามีนั้น ท่านไม่ได้ไป “รู้” หรือ “อยู่กับ” เรื่องผิดศีลเหล่านั้น
เสมือนกับกรณีที่เรานั่งจัดของตักบาตร แต่จิตใจเราไม่ได้อยู่กับการตักบาตรครับ
กุศลกรรมไม่ได้เกิดขึ้นแก่เราในขณะที่เรากำลังจัดของตักบาตร ฉันใด
อกุศลกรรมก็ไม่ได้เกิดขึ้นแก่ภริยาของพรานกุกกุฏมิตรในขณะที่กำลังส่งอาวุธ ฉันนั้น
มาถึงตรงนี้ เราคงเห็นได้ว่าหากขาดเสียซึ่งสติแล้ว แม้ว่าร่างกายเรากำลังทำสิ่งดี ๆ อยู่ก็ตาม
แต่จิตใจเราไหลไปอยู่ในเรื่องอกุศลแล้ว ก็เท่ากับว่าเรากำลังก่ออกุศลอยู่ในขณะนั้น
ทีนี้ จิตใจเราสามารถจะไหลไปอยู่กับอกุศลได้ง่าย ๆ และบ่อยมาก ๆ เป็นธรรมดา
แม้ว่าเรากำลังอยู่ในวัด อยู่ในโบสถ์ กำลังสวดมนต์ หรือกำลังนั่งสมาธิก็ตาม
สติเป็นตัวที่ช่วยรักษาจิตใจเราไม่ให้ไหลตามไปกับสิ่งอกุศลและกิเลสทั้งหลายนั้น
ถ้าเราเข้าใจตรงนี้แล้ว ก็ย่อมจะเห็นได้ว่าการเจริญสติเป็นสิ่งที่สำคัญมาก ๆ
สมดังที่ครูบาอาจารย์ท่านสอนว่า “สติจำเป็นในที่ทุกสถานในกาลทุกเมื่อ” ครับ
< Prev | Next > |
---|