วรรณกรรมนำใจ Lite Literature

กรงไฟ ๒๕


cover_krongfire

นวนิยายเรื่องนี้ เขียนขึ้นเพื่อความบันเทิง
หากมีชื่อ-สกุล เรื่องราวใดพ้องกับบุคคลจริง ต้องกราบขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย

ชลนิล



(ต่อจากฉบับที่แล้ว)


สองสามีภรรยาฟังเรื่องจากเชนกับรุ่งรตีจบก็นิ่ง เรื่องราวผ่านหูกระทบสัมผัสภายใน จิตใจคุณจิตใสและสามียามเพิ่งออกจากวัดมีความโปร่งเบา สัมผัสภายในจึงแจ่มชัด บิดเบี้ยวน้อย

“ครั้งนี้เป็นคำเตือนจากคุณยายจริงหรือเปล่าครับแม่” เชนถาม

คุณจิตใสยิ้มอ่อนๆ ไม่ต้องรอให้มีคำถาม เธอก็รู้แต่แรกได้ยินแล้วว่าเป็นฝีมือคุณนายพวงทองจริงๆ

“จ้ะ” คำตอบเรียบง่าย

“แล้วเราจะทำยังไงดีคะ” รุ่งรตีกังวลเป็นห่วง “จะเกิดเรื่องร้ายกับพ่อ ลุงแล้วก็พวกอาจริงหรือเปล่า”

“เรื่องนั้นคงพูดลำบาก” คุณจิตใสทำหน้าที่ผู้ตอบ ขณะท่านนายพลนิ่งเงียบฟัง

“แปลว่ายังไงคะ รุ้งไม่เข้าใจ”

คุณจิตใสเรียบเรียงคำพูด การจะอธิบายถึงสัมผัสภายในกับคนหนุ่มสาวที่ไม่เคยฝึกจิตคงยาก เธอเองก็ไม่ได้เก่งกาจ ขนาดมองเห็นภาพอนาคตได้เที่ยงชัด ฉะนั้นการให้บอกว่าเรื่องในอนาคตอย่างนั้นจะเกิดขึ้นจริงหรือไม่ จึงไม่กล้ายืนยัน

ที่จะบอกได้ก็แค่...ฝันนั้นมาจากสังหรณ์ของคุณนายพวงทองจริง...

ปัญหาคือ...สังหรณ์คุณนายพวงทองเที่ยงตรงจริงหรือไม่...

คุณจิตใสไม่กล้ายืนยัน...ขนาดเธอกับสามีก็ยังไม่กล้ายืนยัน สัมผัสตนเองจะชัดเจนแม่นยำ...

เรื่องของอนาคต ไม่ใช่จะบอกตรงเป๊ะๆ เหตุปัจจัยปัจจุบันมีส่วนสำคัญ...จะทำให้มันเป็นไปอย่างที่เห็น...หรือหักลำผิดเพี้ยนไปคนละทาง...

อนาคตเป็นสิ่งไม่เที่ยง...เธอไม่กล้ายืนยันในสิ่งที่มันไม่เที่ยง...

“เอาเป็นว่า...เย็นนี้ป้าจะไปคุยกับรามดูก่อน ส่วนคนอื่นค่อยวันหลัง”

นี่คือคำตอบของคุณจิตใส...ไม่ว่าอนาคตจะเป็นเช่นไร การดำรงตนด้วยความไม่ประมาทย่อมเป็นสิ่งที่ดี

“เราจะเตือนน้ารามยังไงครับแม่...เราไม่รู้เลยว่าใครคือศัตรูที่ปองร้ายพวกเขา...ตอนนี้เหมือนเราอยู่ในที่แจ้ง...ศัตรูอยู่ที่ลับ”

คุณจิตใสมองหน้าสามี พบรอยกระจ่างในดวงตา ความสงบเย็นแผ่ออกมากระทบเกื้อกูลกัน

“ถ้าพี่น้องรักใคร่ปรองดองกัน...ศัตรูที่ไหนก็เข้ามาทำอันตรายยาก”

นายพลทางธรรมพูดสะดุดใจลูกชายอย่างแรง

“แต่ถ้าพี่น้องแตกแยก ไม่ลงรอย มัวแต่ห่วงสมบัติ...บางที...ก็ไม่จำเป็นต้องมีศัตรูที่ไหนมาทำร้ายหรอก...เพราะแต่ละคนต่างก็ปองร้ายกันและกันอยู่แล้ว”

เชนได้คิด...ศัตรูภายนอก ไม่น่ากลัวเท่าศัตรูภายใน...ภัยร้ายข้างนอก...ไม่น่ากลัวหวาดหวั่นเท่าภัยข้างตัว...





บทที่ ๒๐



มีอะไรที่คุณนายพวงทองทำได้บ้าง...สังหรณ์มัวซัวของดวงวิญญาณที่มีจิตผูกพัน ยึดติดกับอดีตไม่สามารถส่องภาพอนาคตที่ชัดเจนออกมา แรงสั่นสะเทือนของการรับรู้ที่ไม่แจ่มชัดเช่นนี้ทำให้คุณนายพวงทองหวาดหวั่นอย่างหนัก

จิตที่สื่อเชื่อมต่อกับเชน รุ่งรตีจึงฉายภาพตามความคิดปรุงแต่งคุณนายพวงทองอย่างที่เห็น

มันมีความหมายอย่างไร กระทั่งคุณนายก็ไม่อาจหยั่งรู้ เพียงแค่ “รู้สึก” ลูกทั้งสี่กำลังเผชิญกับมรสุมร้ายที่อาจคร่าทำลายชีวิต

นอกจากส่งคำเตือนผ่านหลานทั้งสอง คุณนายพวงทองสามารถทำได้อีกเรื่อง

...ค้นหาศัตรู...ผู้ที่จะทำให้ลูกของเธอสู่จุดจบ...

ถึงตอนนี้คุณนายพวงทองยังไม่อาจชี้ชัดว่าเป็นใคร แต่สัมผัสภายในกระทบถึงกระแสอำมหิตที่แผ่มาจากใครบางคน...คนนั้นอยู่ไม่ไกลเลย...

บ้านของรามอาจไม่ใหญ่โตกว้างขวางโอ่อ่าเท่าบ้านทรัพย์ยั่งยืนสิริไพศาลแต่ก็ไม่สามารถเรียกว่าบ้านหลังเล็กๆ เด็ดขาด

บ้านสองชั้นระดับหรู บนเนื้อที่สามไร่ เรือนคนงาน ลูกจ้างดูแลบ้านมีลักษณะเดียวกับทาวน์เฮาส์สวยๆ ถูกแยกต่างหาก สนามหญ้ากว้างตกแต่งสวยงามเช่นสวนเศรษฐีทั่วไป

คุณจิตใสบอกให้เชนจอดรถหน้าบ้านแล้วมองดูว่ามีใครมาเปิดประตูรับบ้าง...จังหวะลงตัวที่พบศรีนวล ภรรยารามกำลังเดินชมสวนอยู่คนเดียว

“สวัสดีค่ะพี่จิต” ศรีนวลจำรถได้จึงมาทักทายที่หน้าประตู

“สวัสดีจ้ะ...พี่แวะมาเยี่ยม” คุณจิตใสทักตอบ

ชั่วเวลาไม่กี่นาที ทั้งหมดก็มานั่งคุยกันที่ริมระเบียงหน้าบ้านราม

“รามอยู่หรือเปล่า” คุณจิตใสตั้งคำถาม

“รามยังไม่กลับหรอกค่ะพี่จิต เห็นว่าเย็นนี้นัดคุยกับพวกน้องๆ ที่ร้านครัวพวงทอง” ศรีนวลตอบ

“แล้วศรีไม่ไปดูร้านหรือจ๊ะ” คุณจิตใสทราบว่าศรีนวลรับหน้าที่ดูแลร้านครัวพวงทองและตลาดแทนสีดาที่ตายไป

“คงอีกสักพักค่ะพี่ ธรรมดาจีเขาดูแลดีอยู่แล้ว ศรีแค่ไปช่วยเท่านั้นเอง”

คุณจิตใสได้ยินเช่นนั้นก็พอรู้ ระหว่างสุขศจีกับศรีนวลมีความขัดแย้งในทีเรื่องการดูแลบริหารกิจการร้านและตลาด

“เอ...พวกเขานัดคุยกันเรื่องอะไร” ผู้เป็นแขกสงสัย

“คงเรื่องเดิมมั้งคะพี่” ฟังน้ำเสียงศรีนวลก็แน่ใจจะได้ยินเรื่องลึกเรื่องลับของคนครอบครัวนี้ไม่มากก็น้อย “เรื่องเงิน เรื่องการดูแลบริหารงาน”

พูดจบฝ่ายเจ้าของบ้านก็ถอนใจ แววตาความรู้สึกไม่ได้มีการเหน็ดเหนื่อยเหมือนท่าทาง

“ศรีก็เบื่อ...บอกกับเฮียหลายครั้งแล้วว่าอยากอยู่บ้านเฉยๆ ไม่อยากยุ่งกิจการในครอบครัวเขา”

คุณจิตใสรอฟังคำพูดโดยไม่จำเป็นต้องไถ่ถาม

“แต่เฮียนั่นแหละเคี่ยวเข็ญศรี บอกว่าจีคนเดียวดูแลไม่ไหวแน่ ต้องมีคนช่วย อย่างที่ร้านนี้ไม่เท่าไหร่ แต่ตลาดของเรามันใหญ่โตขนาดนั้น ปัญหาจุกจิกเยอะ ถ้าไม่มีคนไว้ใจได้มาช่วยจะลำบาก”

แก้วน้ำที่นำมาให้แขกยังไม่พร่อง ฝ่ายเจ้าของบ้านกลับดื่มน้ำในแก้วตนเองเกือบหมด ก่อนสาธยายต่ออย่างติดลม

“แล้วก็จริงด้วยค่ะพี่จิต...ปัญหาที่ตลาดเยอะจริงๆ พวกแม่ค้าจะเอาโน่นเอานี่ ทั้งพวกคนเก็บเงินที่ชอบมุบมิบเงินแม่ค้าขาจร...บางทีตลาดเราก็ต้องจัดดนตรีลูกทุ่งเรียกคน คืนกำไรให้พวกแม่ค้าอีก...โอ๊ยสารพัด...ดีนะที่เฮียแกเป็นนายกเทศมนตรี ไม่งั้นพวกเทศบาลคงมากวนพวกเราน่าดู แต่ถึงอย่างนั้น พวกกองอนามัย พวกสุขาภิบาลก็ขยันมาตรวจตลาดเราจัง วางระเบียบจุกจิกน่ารำคาญ ฟังทีไรปวดหัวทุกที”

ตลอดเวลานั้นคุณจิตใสกับเชนได้แต่นั่งฟัง หาจังหวะสอดแทรกไม่ได้เลย

“จีเขาไม่ค่อยสนใจปัญหาเท่าไหร่หรอกค่ะพี่จิต ห่วงก็แต่โน้น บัญชีรายรับ ตรวจเช็คแทบไม่ยอมให้กระเด็นสักบาท ขนาดศรีหวังดีขอเข้าไปช่วยผ่อนแรงเขาบ้างกลับโดนไล่ตะเพิด พี่จิตก็รู้ว่าจีปากร้ายแค่ไหน ไม่เคยเกรงใจใครสักคน”

เจตนาที่คุณจิตใสมาบ้านรามก็เพื่อเตือนให้เขาระวังตัว หาวิธีป้องกันเรื่องร้ายที่อาจมาถึง พอไม่พบก็ตั้งใจลา แต่ฝ่ายภรรยาเจ้าของบ้านกลับยึดเธอเป็นที่บ่น ระบายอารมณ์ ไม่ก็หาแนวร่วมฝ่ายตรงข้ามสุขศจีอีกคน

ตลอดเวลาที่นั่งฟังจึงได้ยินแต่เรื่องปัญหาความขัดแย้งระหว่างศรีนวลกับสุขศจี โดยฝ่ายหนึ่งเป็นพี่สะใภ้มีเจตนาดีอยากช่วยเหลือ อีกฝ่ายเป็นน้องสามีปากร้าย ขี้ระแวง ไม่เกรงใจใคร กระทั่งละโมบโลภมาก อาจถึงขั้นยักยอกรายได้ตลาดไปใช้ส่วนตัว

กว่าคุณจิตใสจะขอตัวกลับบ้านได้ก็เย็นย่ำ ศรีนวลไม่มีทีท่าจะไปร้านครัวพวงทองอย่างที่บอกแต่แรก อาจเพราะเห็นพี่น้องอยู่รวมกัน หล่อนไม่สมควรวุ่นวายก็ได้

ขับรถออกจากบ้านรามได้ เชนค่อยยิ้มออก หัวเราะขัน พูดทีเล่นทีจริงกับมารดา

“โอ้โห...มาคราวนี้หูชาจริงๆ นี่ถ้าใครมาได้ยินอย่างเราและเชื่อทุกคำที่น้าศรีนวลแกบอก คงมองเห็นน้าจีเป็นนางมารร้ายอันดับหนึ่งเลยนะครับนี่”

คุณจิตใสรับฟังด้วยใบหน้าละมุนไม่แสดงการตอบรับหรือปฏิเสธ ชั่วขณะหนึ่งก็ลองส่งจิตออกสัมผัสจิตสุขศจีดู...ฉับพลันนั้น...ความรู้สึกที่ตอบกลับทำให้เธอต้องนิ่ง...

...จิตของสุขศจีกำลังมัวมืดด้วยเมฆหมอกบางอย่าง...เป็นความสลัวรางที่กำลังเดินทางไปสู่ความมืดดำ สัมผัสแล้วชวนให้นึกอยากหนีห่าง...

คุณจิตใสตั้งสติ...บอกต่อตนเอง...อย่าเพิ่งเชื่อ “สัมผัส” ทางจิตของตนมากนัก...ปุถุชนเช่นคุณจิตใสอาจมีสัมผัสที่บิดเบี้ยว ผิดเพี้ยนตามอคติความรัก ความชังได้

เมื่อครู่เธอเพิ่งฟัง “ภาพร้าย” ของสุขศจีเต็มสองหู จะมากจะน้อย สัญญาความจำเรื่องเหล่านี้คงมีผลปัจจัยต่อสัมผัสจิตด้วยเช่นกัน

เชนเห็นมารดานิ่งเงียบ จึงถามต่อ

“เราจะเอายังไงดีครับ ไปหาพวกน้าเขาที่ร้านครัวพวงทองเลยดีมั้ย อยู่กันครบแบบนี้จะได้เตือนทุกคนทีเดียวพร้อมกันเลย”

“อย่าเพิ่งเลย” คุณจิตใสตอบหลังจากนิ่งคิดชั่วพัก

“อ้าว...ทำไมล่ะครับแม่ ถ้าฝันของผมเป็นจริง เวลาของน้ารามก็เหลือไม่มากแล้ว เราน่าจะรีบบอกเขาให้ระวังตัว”

คุณจิตใสไม่ตอบคำถามลูกชาย...พูดตามเหตุผลก็ควรเป็นเช่นนั้น...แต่บางอย่างในใจกระตุกรั้ง บอกให้รอก่อน เรื่องนี้ควรพูดกันทีละคนรายตัวจะได้ประโยชน์กว่า

คุณจิตใสตอบไม่ถูก...อะไรบางอย่าง”...ในใจนั้นมันคืออะไรกันแน่ ครั้งนี้เธอขอเชื่อมันไว้ก่อน



การสนทนาระหว่างพี่น้องเริ่มเคร่งเครียดตั้งแต่ยังไม่มีใครเอ่ยปาก อาหารเครื่องดื่มวางเหมือนเครื่องประดับฉาก ไม่มีใครสนใจรับประทาน

ทั้งสี่คนนั่งแยกกันสองด้าน แบ่งฝ่ายกันกลายๆ ...รามนั่งกับสมุทร...ลักษณ์นั่งกับสุขศจี

คำถามแรกคืออะไร...ใครจะเป็นคนเอ่ยปากก่อน

“อาหารพร้อมแล้ว กินข้าวกินปลาก่อนค่อยคุยกัน” รามเอ่ยชวนน้องกินข้าวในฐานะพี่ใหญ่

“ยังกินลงเหรอเฮีย” สุขศจีพูดเสียงเย็น รามหน้าตึง

“พูดอะไรเกรงใจคนเป็นพี่ใหญ่บ้างนะจี” สมุทรออกปากพูดแทน

“แล้วคนเป็นพี่ใหญ่ทำตัวสมควรให้นับถือมั้ยล่ะ” หล่อนย้อน

“เฮียเขาทำอะไรผิด แกถึงมานั่งด่าฉอดๆ อยู่อย่างนี้”

“กินอยู่กับปาก รู้อยู่แก่ใจยังมีหน้ามาพูด...แล้วเฮียหมุดได้ประโยชน์อะไรจากเฮียล่ะถึงมาออกรับแทนกันแบบนี้” สุขศจีไม่ลดละวาจา

“ไอ้จี...”

“ไม่ต้องมาขึ้นเสียงเลย จะให้พูดมั้ยว่าเฮียสองคนเอาเงินกงสีไปเท่าไหร่ แล้วเอาเงินในบัญชีที่ควรเป็นของจีไปเท่าไหร่”

“เออ...เอาไปเท่าไหร่ฉันรู้ ไม่จำเป็นต้องให้แกจิกหัวด่าอย่างนี้หรอก” สมุทรไม่หยุดเถียง

“ดีแล้วที่ยอมรับว่าเอาไปน่ะ...แล้วเมื่อไหร่จะเอามาคืน” คำสวนตอบไวปานกัน

เจอคำพูดนี้ สมุทรก็อึ้ง มองหน้ารามเป็นเชิงให้ช่วยพูด

“ยังคืนตอนนี้ไม่ได้” รามบอก

“ถ้างั้นบอกได้มั้ยว่าเฮียกับหมุดเอาเงินไปทำอะไรตั้งมากมาย” ลักษณ์รีบพูดก่อนน้องสาวจะอาละวาดจนเสียเรื่อง

“ไอ้หมุดมันเอาไปซื้อหุ้นบริษัทมันคืน” รามยกเรื่องน้องชายมาตอบก่อน

“อ้าว มีฝรั่งมาร่วมทุนก็ดีอยู่แล้ว ได้ขยายกิจการ ลดความเสี่ยง เจ็บตัวก็น้อย” ลักษณ์แย้งอย่างไม่เข้าใจ

“เรื่องอะไรจะให้ฝรั่งมาเป็นนาย มันมีหุ้นอยู่ก็มีสิทธิวางนโยบาย เราจะทำอย่างที่เห็นสมควรมันก็ค้านตะบัน เอาแต่นโยบายมันเป็นหลัก”

“ที่เขาค้านน่ะ มันถูกหรือเปล่า” ลักษณ์ย้อน รู้นิสัยน้องชายดีว่าไม่เคยเห็นตัวเองผิดสักครั้ง

“มันจะถูกได้ยังไงล่ะเฮียลักษณ์...ดูอย่างง่ายๆ ตอนนี้พวกบริษัทเงินทุนเขาแข่งกันปล่อยกู้ขนาดไหน ไอ้แฟรงก์กลับเบรก ให้ตรวจสอบลูกหนี้ละเอียดยิบ แล้วอย่างนี้ใครจะมากู้เรา”

“เขาก็พูดถูก” ลักษณ์ให้ความเห็น “ไม่สังเกตหรือว่าคนไทยเป็นหนี้กันทั้งประเทศ...เอาเงินอนาคตมาใช้กันหมดแล้ว ถ้าเศรษฐกิจล้มครืนอีกเราจะกระอักเลือดตาย”

“เป็นไปไม่ได้หรอก ยุคนี้มันคนละสมัยกับยุคฟองสบู่แตก พวกคนใหญ่คนโตเขาเคยผ่านประสบการณ์ตรงนั้นแล้ว ต้องเตรียมหาทางป้องกันล่วงหน้าแน่ๆ”

ลักษณ์ยิ้มเย็น

“ก็เพราะเคยผ่านช่วงฟองสบู่แตกมาแล้วไง...คนพวกนั้นถึงสามารถเรียนรู้วิธีได้ว่า...พวกเขาจะหาผลประโยชน์ได้ยังไงก่อนมันจะแตก และถ้ามันแตกแล้ว เขาจะกอบโกยกันได้ลักษณะไหน”

สมุทรอึ้ง แม้จะเกิดอาการเสียววาบในใจ แต่ก็รีบสลัดมันออกอย่างเร็ว

“ถึงยังไงผมก็ซื้อหุ้นคืนได้แล้ว ตอนนี้ไม่จำเป็นต้องมาพูดเรื่องนี้อีกหรอก”

“จริง...พูดไม่พูดก็มีค่าเท่ากัน...จีแค่อยากรู้ เมื่อไหร่จะได้เงินคืน” สุขศจีสอด

“พูดไปพูดมาก็วนมาที่เดิม...ทวงเงิน...” สมุทรกระแทกเสียง

“พวกเฮียมีเรื่องต้องใช้เงินกันทั้งนั้น แล้วจีไม่มีเรื่องต้องใช้เงินบ้างหรือไง”

“ฉันไม่เห็นแกจะเอาเงินไปลงทุนอะไร แค่กินแค่อยู่ตอนนี้ก็แสนจะสบาย” สมุทรย้อน

“จีจะลงทุนทำอะไรไม่เห็นเกี่ยวกับพวกเฮียนี่ อย่างน้อยจีก็ใช้เงินตัวเอง ไม่ใช่เงินกงสี” คำท้ายกระเทือนถึงพี่ชายทั้งสอง

รามหน้าบูด สมุทรฮึดฮัดอยากระบายโทสะ

“แกจะไปลงทุนทำอะไร” รามถามสะบัด หมั่นไส้ปนระอา

“เฮียจะรู้ไปทำไม แค่ตอบว่าจะคืนเงินจีเมื่อไหร่ก็พอ”

...ปัง...

รามตบโต๊ะดังลั่นด้วยโทสะ อับจนคำตอบ

“เฮีย” ลักษณ์ออกหน้าพูด “น้องมันไม่ผิดนะ”

คำพูดของลักษณ์ทำให้เพลิงโทสะที่กำลังโหมตามชะงักงัน

“ที่พวกเรามาประชุมนี่ก็เพื่อปรึกษาหารือ คุยกันอย่างพี่น้อง ไม่ใช่มาทะเลาะกัน”

“ไอ้ฉิบหาย ก็น้องมันไม่นับถือพี่ คอยแต่ทวงเงินกันเหยงๆ แบบนี้ใครจะทนได้วะ” รามตอบ

“เฮียก็ให้คำตอบมันไปเลยสิ จะคืนเงินได้เมื่อไหร่ แล้วอีกอย่างสิทธิที่มันจะได้รับประโยชน์ในแต่ละเดือนน่ะก็คืนให้มันได้แล้ว พิทักษ์มันก็ตายไปแล้ว จะยื้อไว้อีกทำไม” ลักษณ์ชักเก็บอารมณ์ไม่อยู่

“กูยังไม่คืน...ไม่ให้อะไรทั้งนั้น” รามพูดคำขาด

“เฮียพูดหมาๆ อย่างนี้ได้ยังไง”

ลักษณ์อดรนทนไม่ไหว โพล่งไฟโทสะใส่เช่นกัน...คนตระกูลทรัพย์ยั่งยืนสิริไพศาลแท้จริง ไม่มีใครใจเย็นกว่าใคร

“ไอ้ลักษณ์ มึงพูดดีๆ นะ” รามชี้หน้า

“ก็ใจเย็นตั้งนานแล้ว ทนฟังอยู่นี่ว่าเมื่อไหร่จะยอมตกลงกันสักที”

“กูยังให้ไม่ได้ แล้วก็ไม่ให้ด้วย”

“งั้นผมจะเข้าพบท่านมงคล อธิบายเรื่องราวทั้งหมดให้ท่านฟัง ขอร้องให้ท่านช่วยลงมาจัดการ...แล้วยื่นร้องต่อศาลให้อายัดมรดกทั้งหมดไว้ก่อน จนกว่าเฮียจะเคลียร์ปัญหาเรื่องเงินกงสีเรียบร้อย คืนสิทธิคืนเงินให้จีมันครบ”

“ไอ้ลักษณ์...มึง...” มือที่ชี้หน้าสั่นระริก

“เลือกเอาเฮีย...ในเมื่อคุยกันดีๆ แบบพี่น้องแล้วไม่ฟังกัน ผมก็ต้องใช้วิธีนี้”

“ตามใจ” เมื่อโกรธถึงขีดสุด เสียงของรามก็เยียบเย็น ดวงตาฉายประกายดุดัน “มึงจะสู้กับกูยังไงก็เอา...กูไม่ถอยอยู่แล้ว ให้มันรู้กันไปว่าใครมันจะแน่กว่าใคร”

นี่คือวาจาประกาศสงครามสายเลือด มีมรดกนับหมื่นล้านเป็นเดิมพัน...เดิมพันนี้ไม่น่ามีคุณค่าใดเลย หากเทียบกับสายสัมพันธ์พี่น้องที่กอดคอกันมา ลำบากด้วยกันเพื่อก่อตั้งรากฐานทรัพย์สมบัติเหล่านี้

รามถอยไม่ได้ เขาอยู่ในจุดสำคัญ จำเป็นต้องใช้เงินเพื่อสร้างประโยชน์ในกาลข้างหน้า ส่วนลักษณ์ก็ถอยไม่ได้...ดูเหมือนเขาออกหน้าสู้แทนน้องสาวก็จริง หากเนื้อแท้ในใจก็ด้วยความหวงแหนสมบัติ วันนี้รามกับสมุทรเอาเงินกงสีมาใช้ได้ ต่อไปยิ่งหยิบใช้สนุกมือ ถ้าไม่ยับยั้งเสียแต่เดี๋ยวนี้สมบัติส่วนที่เป็นของเขาก็จะวอดวายตามไปด้วย

คุณนายพวงทองรวมผลประโยชน์ของทุกกิจการเข้าเป็นบริษัทกงสีก็เพื่อให้มัน “ยั่งยืน” ถาวรชั่วลูกชั่วหลาน เป็นมหาสมบัติเที่ยงแท้ของคนตระกูลทรัพย์ยั่งยืนสิริไพศาลเท่านั้น...โดยหารู้ไม่...ความไม่เที่ยงเป็นสัจจะโลก...ไม่มีสิ่งใดไม่เปลี่ยนแปลง...ความ “ยั่งยืน” แท้จริงไม่มี

หากคุณนายพวงทองรู้เหตุการณ์ล่วงหน้าเช่นนี้...เธอจะทำเช่นไร...

คุณนายพวงทองไม่อาจรู้อนาคต ยิ่งไม่อาจเปลี่ยนแปลงสิ่งที่ตนกระทำล่วงไปแล้วได้...เวลานี้หัวอกเธอแทบระเบิดเป็นเสี่ยง เมื่อเห็นลูกทั้งสี่แตกคอกันชนิดยากจะผสานด้วยเรื่องสมบัติ

พี่น้องทั้งสี่ไม่อาจล่วงรู้...ในห้องวีไอพีร้านครัวพวงพองนั้น นอกจากพวกตน ยังมีดวงวิญญาณดวงหนึ่ง เฝ้ามองดูการสนทนาพูดจาแตกคอของพวกเขาด้วยหัวใจร้าวราน

คนเป็นแม่เจ็บปวดใจเพียงใดที่เห็นลูกทะเลาะกัน แค้นเคือง ผูกโกรธ ไม่เหมือนคนเป็นพี่น้อง คุณนายพวงทองได้เห็นมากกว่าการทะเลาะเบาะแว้งด้วยสมบัติ กระแสอันอึงอลวนเวียนอยู่ในนั้นมันไม่ใช่มีแค่โทสะ แต่มันเต็มไปด้วยพยาบาท มาดร้าย อาฆาต ผูกใจเจ็บชนิดสามารถฆ่ากันให้ตายได้ทีเดียว

คุณนายพวงทองกลัวอย่างยิ่ง...กลัวว่าสิ่งที่หวาดหวั่นจะเป็นจริง

“อย่าทะเลาะกันเลยลูก...คุยกันดีๆ”

เสียงคุณนายพวงทองทอดอ่อน โหยหวน

“จำที่แม่สอนไม่ได้หรือ...พี่น้องต้องรักใคร่ปรองดอง...ต้องช่วยเหลือกันและกัน”

วาจาที่กล่าวย้ำยิ่งสร้างความเจ็บช้ำแก่คุณนายพวงทอง ด้วยว่าลูกทุกคนต่างลืมเลือนคำพูดตนจนหมดสิ้น ไม่อาจได้ยินถ้อยคำขอร้องครั้งนี้สักครึ่งคำ

ความเศร้า ผิดหวัง เจ็บปวดรวมกองเป็นภูเขาทุกข์โถมทับจิตใจหนักหน่วง รุนแรง คุณนายพวงทองมืดมิดไปหมด...มืดมิดจนทำอะไรไม่ถูก ไฟทุกข์เผาใจจนไม่สามารถระลึกได้ว่า...ความทุกข์เหล่านั้นมาจากสาเหตุใด

ราม ลักษณ์ สมุทร สุขศจีออกจากห้องนานแล้ว ออกไปพร้อมกับคำประกาศศึกสงครามสายเลือด และออกไปพร้อมกับขุดทะเลทุกข์ แล้วจับดวงวิญญาณมารดาตนเหวี่ยงลงไป โดยไม่อาจรู้ได้...จะเงยหน้าขึ้นมาเมื่อใด



“เมื่อตอนเย็นพี่จิตมาหาเฮียแน่ะ”

ศรีนวลรีบบอกสามีเมื่อเห็นเขาเข้าบ้าน

“อือ” รามแสดงอาการรับรู้ เดินหน้าบูดบึ้งไม่เหลือบมองภรรยา

“เฮียเป็นอะไรไปน่ะ” ศรีนวลซัก

“ไม่ต้องมายุ่งได้มั้ย” รามหันมาตวาดใส่

ศรีนวลหัวหด คราวนี้รู้แน่รามกำลังโกรธจัด อารมณ์กรุ่นมาจากนอกบ้าน ความที่อยู่ด้วยกันมาเป็นสิบปีจึงปิดปากไม่พูดจา ไม่ต้องถามไถ่อะไรทั้งสิ้น ทำได้อย่างเดียวคือหาทางเอาอกเอาใจให้เขาผ่อนคลาย สบายใจพอจะระบายเอง

รามโกรธ หัวเสีย เครียด เรื่องวันนี้ทำให้เขาแทบบ้าตาย ลักษณ์กับสุขศจีเรียกร้องให้คืนเงินกงสี คืนเงินในบัญชี มิเช่นนั้นเกิดเรื่องใหญ่... เขาก็อยากคืนเงิน แต่มันทำไม่ได้

เงินจมอยู่กับพรรคอาภาสกรตั้งเท่าไหร่ ขนาดยังไม่ถึงฤดูเลือกตั้งด้วยซ้ำ นี่แค่เงินอุดหนุนพรรคและจ่ายเพื่อเป็น “ว่าที่ปาร์ตี้ลิสต์” เท่านั้น ถ้าถึงตอนเลือกตั้งจริง ต้องมีเงินสำหรับหาเสียงซื้อเสียง จ่ายหัวคะแนน เป็นเงินที่ยังบอกจำนวนไม่ได้

หลังจากพบภาสกร เพื่อขอให้ช่วยเซ็นยอมรับพินัยกรรมฉบับสองดัดหลังพิทักษ์ เขาก็ได้รับการโน้มน้าวแกมชักชวนจากภาสกรให้เข้าร่วมพรรค คราวนี้ภาสกรดึงหัวหน้าพรรคฝ่ายค้านมาพูดคุยด้วย บอกสภาพการเมืองปัจจุบันที่รัฐบาลเริ่มเสื่อมความนิยมลงทุกวัน โดยฝ่ายค้านไม่ต้องทำอะไรเลย...มั่นใจว่าเมื่อมีการเลือกตั้งใหม่ ต้องเกิดการพลิกล็อกผิดคาดแน่

ฝ่ายค้านต้องได้เป็นรัฐบาล ขณะที่รัฐบาลกลับเป็นฝ่ายค้าน ถึงตอนนั้นรามจะได้รู้ว่าตนเลือกข้างถูก

รามครุ่นคิดข้อเสนอของภาสกรกับหัวหน้าฝ่ายค้าน ถ้าเข้าร่วมพรรคของภาสกรก็จะมีโอกาสทุกอย่างที่ต้องการ

เมื่อเข้ามาก็ต้องมีค่าใช้จ่าย รามเดินมาบนถนนการเมืองขนาดนี้ ไม่มีทางถอยกลับเด็ดขาด การเมืองไม่มีมิตรแท้ ศัตรูถาวร เมื่อคิดจะยืนบนเส้นทางสายนี้ต้องพร้อมที่จะเสียสละทุกสิ่ง เพื่อจุดหมายที่ตนเองต้องการ...ตำแหน่งทางการเมือง...

ตัวเลขทางบัญชีกงสีที่หายไป รวมถึงเงินในบัญชีที่ควรเป็นของสุขศจี มันยังไม่พอใช้เป็นบันไดการเมือง รามจึงกล้าคัดง้าง ดื้อรั้น ดันทุรังไม่ยอมคืนเงิน ไม่ยอมให้สุขศจีเข้ามามีสิทธิในสมบัติเวลานี้

เขาอยากบอกกับน้องทุกคน...ขอเวลาอีกสักหน่อย รอให้ได้ตำแหน่งทางการเมือง...ตอนนั้นเข้าจะเอื้อประโยชน์แก่ทุกคนมากกว่าเงินที่สูญเสียไป...แต่ลักษณ์กับสุขศจีไม่เปิดโอกาสให้เขาพูด

เมื่อน้องแข็งมา เขาก็แข็งตอบ คนอย่างรามไม่เคยกลัวใคร หากลักษณ์เข้าหาท่านมงคลได้ เขาก็พบภาสกรได้เหมือนกัน ทั้งคู่เป็นผู้จัดการมรดก ภาสกรไม่ยอมให้เขาแพ้แน่...ศึกครั้งนี้ถอยไม่ได้...



“ดึกแล้ว ยังไม่นอนอีกหรือจ๊ะ”

เชนแปลกใจที่ได้รับโทรศัพท์จากรุ่งรตียามนี้

“รอพ่อน่ะพี่เชน เหงาๆ เลยโทรมาหา” เสียงหล่อนบอกตรงตามความรู้สึก

“หัดเป็นเด็กขี้เหงาตั้งแต่เมื่อไหร่” เขาถามด้วยน้ำเสียงเปื้อนยิ้ม

“เป็นมานานแล้ว ไม่อยากบอกเอง” รุ่งรตีย่นจมูกใส่โทรศัพท์

“แล้วรักษาไม่หายเหรอ โรคขี้เหงานี่” เขาล้อ

“ลองดูแล้วล่ะ ใครๆ เขาบอกว่าเป็นโรคนี้ ต้องเข้าผับเข้าเธคถึงจะหาย รุ้งก็ลองเข้าไปดู มันก็หายเป็นพักๆ เดี๋ยวก็กลับเป็นอีก ดูเหมือนหมอที่นั่นเขาจะเลี้ยงไข้ยังไงพิกล”

เชนหัวเราะ นึกขันคำเปรียบเทียบเจ้าหล่อน

“งั้นพี่ให้ยาเอง รับรองไม่เลี้ยงไข้”

“ยาอะไรเอ่ย” หล่อนแกล้งถาม...คิดว่าจะได้คำตอบแบบผู้ชายทั่วไป...ประเภทว่า...ตัวพี่นี่ไง...ใช้คุยแก้เหงาได้...

“ใช้ สติ จ้ะ” คำตอบผิดคาด “มีสติรู้สึกตัวบ่อยๆ ก็เลิกเหงาแล้ว...คนเราที่เหงาก็เพราะว่างมาก ฟุ้งซ่านมาก คิดโน่นคิดนี่ แล้วก็หาเรื่องให้ใจตัวเองหม่นซึม เศร้า เหงาได้ตลอด”

รุ่งรตีหัวเราะคิก

“มีขายที่ไหน...แถวปากซอยบ้านรุ้งคงไม่มี”

“สติไม่มีขาย...อยากได้ต้องพยายามฝึกตามระลึกรู้ ให้มันเกิดขึ้นเอง”

“ยากอย่างนี้ รุ้งว่าโทรคุยกับพี่เชนดีกว่า ง่ายดี...เลิกเหงาแล้วด้วย” น้ำเสียงหล่อนมีรอยยิ้มใส

เชนยิ้มอ่อนใจให้กับโทรศัพท์ อธิบายต่อไปคงไม่มีประโยชน์แล้ว

“คืนนี้ที่รอน้าลักษณ์ ก็เพื่อจะบอกเรื่องความฝันใช่มั้ย”

“ถูกต้องจ้า...แล้วพี่เชนกับคุณป้าไปบ้านลุงรามได้ความว่ายังไงบ้าง” หล่อนสนใจ

“ไปแล้วไม่เจอ น้าศรีแกบอกว่า พวกน้าเขานัดคุยกันที่ร้านครัวพวงทอง”

“แล้วคุณป้าไม่ตามไปด้วยเหรอ” รุ่งรตีสงสัย

“ไม่จ้ะ แม่บอกให้พี่พากลับบ้านเลย พอถามว่าทำไมไม่ไป แกก็ไม่ตอบ”

“อย่างนี้น่าเป็นห่วงลุง”

“พี่ว่าพรุ่งนี้แม่คงไปอีก ไม่ต้องกลัวหรอก” เขารู้ใจมารดา “รุ้งล่ะ จะบอกน้าลักษณ์ว่ายังไง”

“พูดตรงๆ ดีมั้ย ว่าฝันเห็นหลุมศพ แล้วคุณย่าก็มาเตือน” ตอบกึ่งเล่นกึ่งจริง

“งั้นบอกว่าไปดูหมอมา ยังน่าเชื่อถือกว่านะ” เขาพูดอารมณ์เดียวกับหล่อน

“นั่นสิ งั้นบอกว่าไปดูหมออย่างพี่เชนแนะนำดีกว่าเนอะ” รุ่งรตีตีขลุม

“เฮ่ย...พี่พูดเล่น” เขาหัวเราะที่โดนหลอกกลับ

“เอ...รุ้งว่าได้ยินเสียงรถนะ พ่อคงมาแล้วละ”

“งั้นคุยแค่นี้ก่อนก็ได้ รุ้งรีบไปเถอะ”

“ใช่แล้ว ต้องรีบไปดัก ไม่งั้นพอพ่อเข้าห้องก็กวนไม่ได้แล้ว”

“ราตรีสวัสดิ์จ้ะ”

“ค่ะ...พี่เชน”

รุ่งรตีวางโทรศัพท์ ลุกขึ้นชะโงกดูที่หน้าต่าง เห็นบิดาลงมาจากรถพร้อมสุขศจี แสดงว่าเชนพูดถูก ทุกคนนัดคุยกันที่ร้านครัวพวงทอง ลักษณ์ถึงกลับบ้านพร้อมสุขศจีอย่างนี้

หญิงสาวออกจากห้อง ตั้งใจดักเจอบิดาที่ชั้นล่าง เรื่องที่จะคุยสำคัญมาก รั้งรอไม่ได้เลย



(โปรดติดตามต่อฉบับหน้า)



แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP