วรรณกรรมนำใจ Lite Literature

กรงไฟ ๒๒


cover_krongfire

นวนิยายเรื่องนี้ เขียนขึ้นเพื่อความบันเทิง
หากมีชื่อ-สกุล เรื่องราวใดพ้องกับบุคคลจริง ต้องกราบขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย

ชลนิล



(ต่อจากฉบับที่แล้ว)

 

เวลาผ่านไป...ในความมืด มีความเงียบ...หลังจากเซ็นเอกสารเสร็จ บุญส่งไม่ได้ปล่อยพิทักษ์ เนื้อนวลอย่างที่พูด กลับทิ้งทั้งคู่ไว้ในความมืด ใช้ผ้าปิดปากพิทักษ์ป้องกันร้องตะโกนให้คนช่วย ทิ้งคำพูดสุดท้ายก่อนลา

กูอัดวิดีโอคำสารภาพของมึงไว้หมดแล้ว...รวมทั้งเอกสารฉบับนี้...หวังว่ามึงคงจะไม่มายุ่งกับครอบครัวนายกูอีก...อยู่ที่นี่สักคืนนะมึง...พรุ่งนี้เช้าคงมองหาทางรอดได้เองนั่นแหละ

บุญส่งจากไป พิทักษ์เงี่ยหูฟังเสียงฝีเท้า...ไม่ได้มีเพียงคนเดียว เขาไม่เชื่อบุญส่งจะทำงานคนเดียว คิด วางแผนเองทั้งหมดคนเดียว

รามต้องอยู่เบื้องหลังแน่ แต่รู้แล้วได้ประโยชน์อะไร มีหลักฐานอะไรเอาผิดท่านนายกเทศมนตรี...ต่อให้อ้างแรงจูงใจ อ้างตนเองเป็นพยาน รามก็มีลูกน้องที่ซื่อสัตย์อย่างบุญส่งเป็นผียอมตายแทน ส่วนเขามีหลักฐานพยานยืนยันมัดตัวคดีฆ่าสีดา รับรองเข้าคุกก่อนรามแน่

เวลานี้ทำได้อย่างเดียว...หาทางเอาตัวรอดจากที่นี่ก่อน

ในความมืดมีความเงียบ...ในความเงียบถ้าเงี่ยหูฟังสักนิดจะได้ยินเสียงแสกสาก ขยับตัวดิ้นรนเท่าที่เรี่ยวแรง การคลายตัวของเชือกจะอำนวย...พิทักษ์กับเนื้อนวลไม่อาจพูดจาต่อกัน รับรู้แค่การมีอยู่ของกันและกันสองคน

สายตาที่ชินความมืดเริ่มเห็นรายละเอียดรอบตัวเป็นเงาราง...น่าแปลก อากาศรอบตัวค่อยเย็นลง...เย็นลง ทั้งที่ไม่ใช่ฤดูหนาว...ความหนาวจับขั้วหัวใจลอยวนเวียนเอื่อยๆ รอบคนทั้งสอง

พิทักษ์กับเนื้อนวลสั่นสะท้าน รอยที่ถูกเชือกมัดเจ็บแสบขึ้นเรื่อยๆ ความหนาวยะเยียบแผ่ซ่านคล้ายใบมีดคมบางบาดลึกผ่านสัมผัสผิว เรียกขนลุกซู่เกรียว หัวใจเต้นตึกตักเร็วแรงไม่รู้สาเหตุ

เสียงบางอย่างชำแรกผ่านความเงียบเป็นระยะ...เสียงดังแก้ก...แก้ก...แก้ก...ฟังเหมือนล้อรถเข็นกำลังหมุนจังหวะใจเย็น ไม่ผิดกับเสือรอตะครุบเหยื่อ

ท่ามกลางความเย็นเยียบที่แผ่กระจายทั่ว เริ่มมีกลิ่นแปลกลอยแทรกขึ้นมา กลิ่นของมันคล้ายกลิ่นของคนแก่ เป็นกลิ่นเอียนๆ อับๆ สัมผัสแล้วชวนให้ขนบนต้นคอลุกชัน

สองคนไม่อาจส่งเสียงถึงกัน พยายามเขยื้อนเก้าอี้ให้เข้าใกล้ทีละนิดอย่างยากลำบาก เหมือนจะรู้ตัว ขณะนี้มีผู้แปลกปลอมวนเวียนรอบๆ แล้ว...ทั้งกลิ่น...เสียงบอกชัด...มันชัดเจนสั่นประสาทพวกเขาให้หวั่นไหว ประคองสติแทบไม่อยู่

ฮือ...ฮือ...ฮือ...เสียงแผ่วฟังเผินๆ ไม่ต่างจากเสียงร้องไห้ ยามตั้งใจสัมผัสเนื้อเสียงอารมณ์จริงจะรู้สึกได้...นั่นคือเสียงเพรียก...เสียงเพรียกจากแดนไกล...ไกลราวกับอยู่กันคนละภพภูมิ

ท่ามกลางความมืดอันเย็นยะเยียบ เสียงเพรียกกู่ขานผะแผ่วบาดลึก ความกลัวจู่โจมยากต้านรับ ทั้งสองถูกความกลัวครอบงำ รอบกายมืดเช่นนี้ย่อมไม่เห็นสิ่งใดชัดเจน เมื่อไม่เห็นจึงเกิดจินตนาการภาพความกลัวไม่รู้จบ พาสติหลุดลอยเหลือเพียงครึ่งๆ

และนั่น...ภาพบางอย่างจู่โจมเข้ามาโดยไม่ทันตั้งตัว...

ใบหน้าคุณนายพวงทองโผล่ขึ้นมาประจันกับคนทั้งสองโดยไม่บอกกล่าว นัยน์ตาผู้มาใหม่ทื่อซีดมองเห็นไม่ชัด สีหน้าถมึงทึงดุร้าย ความเกลียดชังฉายชัดเจนเหมือนกระโจนออกมาเกาะไม่ปล่อย

อึ๊ก...อึ๊ก...อึ๊ก...พิทักษ์ เนื้อนวลพยายามส่งเสียงร้องตะโกน ปากถูกอัดด้วยผ้า เสียงที่ลอดออกมาจึงประหลาดพิกล

เสียงในใจเขาดังชัดลั่น...

อย่า...

ทันใด...เสียงโต้ตอบจากคุณนายพวงทองก็สวนกึกก้องในใจเช่นกัน

ไอ้ฆาตกร...แกฆ่าลูกฉัน...แกฆ่าลูกฉัน

ใบหน้านั้นเคลื่อนใกล้เข้ามาอีก สองผัวเมียเอนหนีโดยลืมว่ากำลังถูกมัดอยู่กับเก้าอี้ พอเอนหลบ เก้าอี้ก็ล้มโครมทางด้านหลัง ศีรษะกระแทกพื้นจนมึนเสียดอก

ใบหน้าคุณนายพวงทองยังตามติด ราวดวงวิญญาณไม่ยอมไปเกิดใหม่

ไอ้ฆาตกร...ไปให้ไกลเลยนะ...ไปไกลๆ อย่ากลับมาที่นี่อีก...ได้ยินไหม...ออกไปจากเมืองนี้ อย่ากลับมาให้ทุกคนเห็นหน้าอีก

สีหน้าคุณนายพวงทองบิดเบี้ยวด้วยโทสะ ความคับแค้น...ภาพที่ปรากฏจึงน่าสะพรึงกลัว หลอนประสาทแทบสิ้นสติ และนั่นเป็นสิ่งสุดท้ายที่พวกเขาเห็น ก่อนทุกอย่างจะมืดมิด...มืดมิด!


สองสามวันต่อมา นักข่าวต่างซุบซิบกันถึงการเปลี่ยนใจของพิทักษ์ ที่จะไม่ยื่นอุทธรณ์ต่อศาลขอแบ่งมรดกส่วนของภรรยาตน พอสัมภาษณ์ก็ได้รับคำยืนยันจากเจ้าตัวด้วยสีหน้าไม่สู้ดีนักว่า...

มันเป็นเรื่องจริง เขายอมรับคำตัดสินของศาลชั้นต้น จะไม่ขออุทธรณ์ใดๆ และเตรียมเดินทางไกลไปพักผ่อนระยะยาว

ข่าววงในซุบซิบกันต่อ...การเดินทางไกลครั้งนี้ อาจเป็นการย้ายที่อยู่เลยด้วยซ้ำ ลือกันว่าเขากำลังบอกขายทรัพย์สิน บ้านที่ดินและกิจการทั้งหมดเพื่อโยกย้ายตั้งรกรากที่อื่น

มันเป็นข่าวดีสำหรับคนตระกูลทรัพย์ยั่งยืนสิริไพศาล ทุกอย่างกำลังเดินไปตามทางที่มันควรเป็น จนกระทั่งเกิดเหตุการณ์หนึ่ง...เหตุการณ์นั้นได้ขึ้นพาดหัวหน้าหนึ่งหนังสือพิมพ์ทีเดียว


ลักษณ์ถือหนังสือพิมพ์ฉบับนั้นไปหารามถึงบ้าน พบพี่ชายอยู่กับแขกหลายคน ต้องนั่งรอจนแขกซาถึงได้คุยกันเป็นการส่วนตัว

ขอโทษทีว่ะ วันนี้นัดพวกหัวคะแนนมาคุย เลยช้าหน่อย รามบอก

เฮียจะลงสมัคร ส.ส. จริงหรือ

ลักษณ์แทบลืมเรื่องที่ตนตั้งใจมาถามทันที

อ้าว...เฮียบอกตั้งนานแล้วไง คิดว่าพูดเล่นหรือวะ วันนี้รามดูจะอารมณ์ดีเป็นพิเศษ

แล้วลงพรรคไหน ลักษณ์ถาม

ก็พรรคของอาภาสไง รามตอบ

เฮ้ย...จะไหวเหรอเฮีย ถ้าเข้าไปจริงก็ต้องเอาเงินไปอุดพรรคเขา ทำไมไม่เข้าพรรครัฐบาล เห็นทีแรกก็เปลี่ยนใจแล้วนี่ ลักษณ์สงสัย

ตอนนั้นกับตอนนี้ไม่เหมือนกัน รัฐบาลมีแต่ข่าวเสียๆ นายกฯคะแนนเสียงตกตั้งเยอะ ส่วนหัวหน้าพรรคฝ่ายค้านตอนนี้ราศีจับดีวันดีคืน อยู่พรรคอาภาสจะรุ่งกว่า

ลักษณ์ขี้เกียจพูดมากถึงความไม่แน่นอนของการเมืองไทย เรื่องที่เขากำลังจะพูดกับพี่ชาย มันสำคัญกว่า

เฮียอ่านหนังสือพิมพ์ฉบับล่าสุดหรือยัง ลักษณ์ถาม

ยัง...มีเรื่องอะไรวะ ทำหน้าตาซีเรียสชะมัด รามหยอกอารมณ์ดี

ไม่ซีเรียสได้ยังไง เฮียดูเอาเองเถอะ พูดจบก็วางหนังสือพิมพ์ฉบับนั้นไว้ตรงหน้าพี่ชาย

รามเห็นแล้วอึ้งพักใหญ่ เงยหน้ามองลักษณ์แล้วพูดสั้นๆ

นี่เป็นอุบัติเหตุ ไม่เกี่ยวกับเฮีย

แน่ใจนะว่าไม่ใช่ฝีมือเฮียจริงๆ ลักษณ์ย้ำถาม

เออ...ไม่ใช่ รามยืนยันหนักแน่น

ข่าวพาดหัวย่อยหน้าหนึ่งฉบับนั้น เป็นข่าวอุบัติเหตุรถยนต์ตกสะพาน จมลงไปในแม่น้ำ คนในรถตายทั้งคู่

มันอาจเป็นข่าวอุบัติเหตุธรรมดาทั่วไปที่สองพี่น้องไม่นึกสนใจ ถ้าหากผู้ตายทั้งสองจะไม่ใช่ พิทักษ์ และเนื้อนวล

การตายทั้งคู่ไม่ต่างจากการตายของสีดา...มันเป็นอุบัติเหตุแน่หรือ...ลักษณ์ย่อมไม่เชื่อ จึงถือข่าวมาถามพี่ชายตนเอง

พวกเขาตั้งใจปล่อยคนคู่นี้ ทั้งที่รู้พวกมันฆ่าน้องสาวตัวเอง เพราะถ้าเอาผิดพวกเขาคดีฆาตกรรม พิทักษ์สามารถฟ้องกลับคดีลักพา ข่มขู่

เมื่อตั้งใจปล่อยแล้ว ทำไมพวกมันถึงไม่รอด...ใครอยู่เบื้องหลังการตายครั้งนี้...จุดประสงค์ของมันคืออะไร




บทที่ ๑๘


พาดหัวข่าววันต่อมาจะออกมาในทำนอง...

ตำรวจเครียด สั่งสอบสวน นายกฯเล็ก ...นายกเล็กฯ พัวกันฆาตกรรมอำพราง ...เจ้าพ่อเมือง...ต้องสงสัย ฆาตกรรมน้องเขย

คราวนี้พวกนักข่าวไม่เชื่อว่าเป็นอุบัติเหตุธรรมดา จังหวะการตายมันลงตัวเกินไป ถึงรูปการณ์จะดูเป็นอุบัติเหตุ แต่ทำไมอุบัติเหตุถึงมาเกิดในช่วงเวลานี้

เมื่อโดนนักข่าวจี้ กระแสสังคมสงสัย เคลือบแคลง ตำรวจจำเป็นต้องทำหน้าที่ของตน


มันเป็นช่วงเวลาวุ่นวายที่สุดของราม ตำรวจสอบปากคำเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่า ถามด้วยลักษณะเดิม ต้องยืนยันความบริสุทธิ์ตนเองไม่รู้กี่ร้อยรอบ ยังดีที่รูปการณ์มันออกไปในทางอุบัติเหตุมากกว่าการฆาตกรรม ไม่มีพยานหลักฐานอะไรจะเอาผิด

พอพ้นจากการเป็นผู้ต้องสงสัยของตำรวจ รามก็กลายเป็นจำเลยสังคม สายตาแทบทุกคู่พุ่งมาที่เขาราวกับเป็นผู้ต้องหาจริงๆ

คนเหล่านี้ไม่ฟังข้อเท็จจริง หลักฐาน พยานว่ามันเป็นอุบัติเหตุหรือคดีฆาตกรรมอำพราง เขาเชื่อในสิ่งที่พอใจจะเชื่อ ปักใจมั่นด้วยซ้ำหากมีแนวร่วมที่คิดทางเดียวกันมากพอ

แรกๆ ลักษณ์ก็เป็นหนึ่งในจำนวนที่ไม่เชื่อว่าเป็นอุบัติเหตุ เทความเชื่อว่ารามเป็นคนสั่งเก็บพิทักษ์กับเมียน้อย รามต้องยืนยันมั่นคง เอาวิดีโอคำสารภาพ กับสัญญาสละมรดกฯ ของพิทักษ์มาให้ดูพร้อมเหตุผล

ก็เฮียเชื่อแกแล้วไง...ทีแรกว่าจะสั่งเก็บมัน พอแกบอกให้แค่อัดเทปวิดีโอ กับบังคับมันเซ็นสัญญายินยอมก็พอ...เฮียก็ทำ...ทีนี้พอมันขับรถตกน้ำตายเอง ทำไมต้องมาคิดว่าเฮียสั่งเก็บด้วย วันๆ นึงเกิดอุบัติเหตุคนตายตั้งเท่าไหร่ ไม่ยกให้เฮียเป็นคนสั่งฆ่าเสียหมดเลยล่ะ

รามพูดอย่างฉุนๆ ลักษณ์ก็เข้าใจ คนอื่นขับรถตกน้ำตายยังพอเชื่อว่าเป็นอุบัติเหตุ แต่พิทักษ์กับเนื้อนวลตายแบบนี้มันเหลือเชื่อเกินไปหน่อย

รามพูดไม่ผิดอยู่อย่าง เขาวางแผนเก็บพิทักษ์กับเมียน้อยแล้ว โดยจัดงานเลี้ยงบังหน้าหาพยานบุคคลยืนยันเรื่องเวลา ให้บุญส่งจัดการทั้งหมด ถ้าพลาดพลั้งตำรวจตามรอยเจอ บุญส่งจะยอมรับผิดทั้งหมดเข้าคุกคนเดียว รามรับปากส่งเสียลูกเมียและดูแลเขาให้อยู่ในคุกอย่างไม่ลำบากลำบน

ลักษณ์มองแผนนี้ออกตั้งแต่เห็นพี่ชายจัดงานทำบุญ งานเลี้ยงเชิญแขกระดับจังหวัด จึงโทรศัพท์ถามดักทางจนรู้เรื่อง และเข้าไปร่วมแก้ไขแผนการให้รัดกุม ไม่มีคนตาย

ลักษณ์ยืนยัน พิทักษ์จะตายไม่ได้...คนนี้ตาย ผู้ต้องสงสัยเบอร์หนึ่งคือราม เบอร์ต่อไปคือทุกคนในตระกูลทรัพย์ยั่งยืนสิริไพศาล คนทั้งเมืองและผู้สนใจข่าวการแย่งชิงมรดกมหาศาลครั้งนี้ ต่างก็รู้ทั้งสองฝ่ายกำลังคัดง้างกัน พิทักษ์ทำให้คนตระกูลทรัพย์ยั่งยืนสิริไพศาลขาดผลประโยชน์ รายได้มหาศาล ถ้าเขาตาย คนที่ได้ประโยชน์คือรามและคนตระกูลทรัพย์ยั่งยืนสิริไพศาล

ลักษณ์ให้เหตุผลอีกว่า ต่อให้รามรอดจากคุก กฎหมายแตะไม่ถึง แต่คนที่กำลังเล่นการเมืองระดับประเทศจะมีข่าวด่างพร้อยไม่ได้ พรรคการเมืองที่ไหนก็ไม่รับ ยิ่งกว่านั้น ประชาชนที่ไหนเขาจะเลือก คนทั่วไปเมื่อเขาปักใจเชื่ออะไรแล้ว ต่อให้ไม่มีพยานหลักฐานเขาก็พร้อมจะเชื่อ ยิ่งเรื่องร้ายๆ อย่างนี้ เป็นเรื่องที่ใครๆ พร้อมจะหาผู้ร้ายอยู่แล้ว

รามเห็นด้วยกับน้องชาย ปรับเปลี่ยนแผนนิดหน่อย...ไม่ฆ่า...แต่ให้อัดวิดีโอคำสารภาพ ให้เซ็นสัญญาสละมรดกฯ แทน จากนั้นไล่มันไปที่อื่น

ทุกอย่างดำเนินด้วยดี พิทักษ์ขายกิจการ สมบัติ ย้ายที่ตั้งรกรากใหม่...แล้วจู่ๆ กลับเกิดอุบัติเหตุตาย เหมือนมีคนจงใจกลั่นแกล้งราม

ทุกอย่างเป็นไปตามที่ลักษณ์คาดการณ์ รามเป็นผู้ต้องสงสัย พี่น้องตระกูลทรัพย์ยั่งยืนสิริไพศาลโดนเรียงกันไป กว่าจะผ่านการสอบสวนจนติดตราทางกฎหมายว่าผู้บริสุทธิ์ พ้นมลทินก็เล่นเอาวุ่นวาย ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่พ้นเป็นผู้ต้องหาสังคมอยู่ดี

กูไม่เชื่อหรอกว่าเป็นอุบัติเหตุ...อย่างนี้มันโดนสั่งเก็บแหงๆ

นั่นสิ ฆ่าให้ตายก่อนแล้วก็จับใส่รถโยนทิ้งน้ำ ทำเหมือนในหนังไง

เห็นมั้ยตำรวจสอบสวนแป๊บๆ ก็ปล่อยตัวแล้ว

โธ่เอ๊ย พวกนี้เขามีเงิน...ตำรวจจะทำอะไรได้...คนรวยทำอะไรไม่ผิดหรอก

ใช่...เอาเงินยัดซะหน่อยเรื่องก็จบ

การดำเนินงานทางการเมืองของรามต้องชะงักงัน ภาสกรลังเลใจที่จะให้เข้าพรรค ยิ่งสมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อยิ่งไม่สมควร พรรคฝ่ายค้านมีคะแนนเสียงน้อยกว่ารัฐบาลอยู่แล้ว ถ้ามีการเลือกตั้งใหม่ต้องคัดคนที่ดูดี น่าเชื่อถือเข้ามาเพื่อเอาชนะฝ่ายตรงข้ามให้ได้

เมื่อก่อนรามมีเงิน อำนาจ และชื่อเสียง ตอนนี้เขาเหลือแค่เงิน ส่วนอำนาจที่มีดูจะเป็น อำนาจมืด กับ ชื่อเสีย ที่ยากจะกู้คืน

หากรามจะเข้าพรรค และเดินสู่ตำแหน่งทางการเมืองที่สำคัญ จำเป็นต้องใช้เงินจำนวนมหาศาลปูลาดเป็นใบเบิกทาง...ที่สำคัญ...ยังไม่แน่ด้วยว่าเขาจะก้าวสู่จุดหมายได้ เพราะผู้ตัดสินชะตากรรมนักการเมืองหน้าใหม่คือ...ประชาชน...


นี่เป็นอีกครั้งหนึ่งที่พี่น้องทั้งสี่จัดประชุมภายใน หัวข้อสำคัญที่ยกมาคุยครั้งนี้คือการคืนตำแหน่งทายาทผู้รับมรดกให้สุขศจีตามเดิม การประชุมครั้งนี้แบ่งเป็นสองฝ่ายชัดเจน

เฮียยังไม่เห็นด้วย ถ้าจะให้จีมีสิทธิรับมรดกตามเดิมในตอนนี้ รามคัดค้าน

พิทักษ์มันก็ตายแล้ว ไม่มีใครมาอ้างสิทธิเอาสมบัติส่วนของดาหรอก เฮียจะกลัวอะไร

ลักษณ์เป็นฝ่ายออกเสียงเถียงแทนน้องสาวที่เหลือคนเดียว

กลัวพวกผู้ใหญ่จะหาว่าเรากำลังเล่นขายของอยู่น่ะสิ รามขึ้นเสียง คิดดูเพิ่งจะขึ้นศาลต่อสู้เพื่อให้ศาลยอมรับพินัยกรรมฉบับสองไม่นานเท่าไหร่ พวกเราก็กลับไปให้สิทธิน้องสาวตามเดิมเสียแล้ว ใครรู้เข้าเขาจะคิดยังไง

เราจะป่าวประกาศไปทำไมล่ะ ทำกันเงียบๆ อยู่ในหมู่พวกเราก็ได้ ลักษณ์เถียง

แกคิดว่าคนระดับเราจะทำอะไรเงียบๆ ได้หรือไง แค่ขยับตัวหน่อยก็เป็นข่าวแล้ว คิดดู พวกเราเพิ่งพ้นมลทินเป็นผู้ต้องสงสัยวางแผนฆ่าไอ้พิทักษ์มาหยกๆ แล้วจู่ๆ ไม่ทำตามคำสั่งศาล ไม่ทำตามเงื่อนไขพินัยกรรมที่ศาลยอมรับ...อย่างนี้ก็ยิ่งทำให้คนเขาเชื่อมากขึ้นว่าเราฆ่าไอ้พิทักษ์

ลักษณ์นิ่ง หาเหตุผลขัดแย้ง

คิดยังไงจีไม่สน สุขศจีทะลุกลางปล้อง เมื่อเห็นพี่ชายคนรองเงียบ แต่เฮียก็เห็นอยู่ว่าจีต้องยอมเสียสละขนาดนี้เพราะใคร...เพื่อพวกเราทั้งนั้น พวกเฮียทุกคนใช้เงินกงสีกันสบาย จีได้แต่นั่งดูอยู่ข้างนอก ถึงตอนนี้ไม่มีใครเป็นปัญหาอีกแล้ว ทำไมเฮียจะคืนสมบัติส่วนของจีไม่ได้ สนใจทำไมปากคน สนใจทำไมความคิดคนอื่น น้องสาวตัวเองกำลังจะตายอยู่นี่ไม่เห็นใจกันบ้างหรือไง

เสียงสุขศจีแผดลั่นกว่าทุกคน ปกติหล่อนไม่กลัวใครอยู่แล้ว ขนาดคุณนายพวงทองผู้เป็นแม่ หล่อนยังกล้าเถียง กล้าขึ้นเสียง กล้าขัดใจ

แกมีความจำเป็นต้องใช้เงินอะไรนักหนา ตัวคนเดียว ลูกผัวก็ไม่มี รามพูดกึ่งโมโหกึ่งรำคาญ

ต้องให้คนมีเมียเป็นสิบ มีลูกเป็นโขยงอย่างเฮียหรือไง ถึงจะมีสิทธิใช้เงินในกองมรดกได้ สุขศจีไม่ลดละวาจา จงใจพูดถึงความเจ้าชู้ของพี่ชาย ที่มีเมียเก็บ เมียน้อยทั่วเมือง

จี...แกมันชักจะเกินไปแล้วนะ

รามผุดลุกจากเก้าอี้ตะโกนลั่นใช้เสียงข่ม

พูดไม่ออกแล้วมาทำท่าข่มกันหรือไงเฮีย คิดว่าจะกลัวเหรอ

สุขศจีลุกตาม น้ำเสียงคำพูดไม่มีท่ายอมลงให้กัน

เถียงกันแบบนี้ได้ประโยชน์อะไร ลักษณ์ลุกขึ้นยืนกั้นกลาง พูดแทรกขึ้น จีนั่งลงก่อน พูดจากันดีๆ เฮียก็เหมือนกันนั่นแหละ พี่น้องกันทั้งนั้น ทำไมต้องทำท่าเหมือนจะเข่นฆ่ากัน

คำพูดของลักษณ์อาจไม่สามารถสงบศึกได้ แต่ทำให้รามใช้เป็นทางออกเปลี่ยนเรื่องพูดโดยไม่เสียหน้า

ก็จริง...แม่เคยบอกว่า พี่น้องต้องสามัคคีกัน อย่าทะเลาะเบาะแว้ง แต่ดูน้องสาวแกสิ มันเคยเกรงใจคนเป็นพี่ที่ไหน

สุขศจีนิ่งเงียบไม่พูดจา นัยน์ตาเริงโรจน์จัดจ้าปานแม่เสือร้าย พร้อมขย้ำทุกคนที่ล่วงล้ำอาณาเขตตน

เรากลับมาคุยเรื่องเดิมกันก่อนดีกว่า ลักษณ์ตะล่อมเข้าเรื่อง

ไม่จำเป็นหรอก รามโบกมือปัด ยังไงก็ให้สิทธิตอนนี้ไม่ได้ รอออกไปอีกสักหน่อยก่อน

สักหน่อยของเฮียนี่มันนานแค่ไหน ลักษณ์ถามใจเย็น

สัก...สามถึงหกเดือน รอให้เรื่องมันซาอีกสักนิด แล้วเราค่อยมาคุยกัน ตอนนี้อย่าเพิ่งทำอะไรเลย

ไม่เกินหกเดือนแน่นะเฮีย ลักษณ์ขอคำยืนยัน

เออน่า ถึงตอนนั้นอะไรๆ มันคงดีขึ้น รามบอก

ลักษณ์หันมองน้องสาว ถอนใจ ดวงตามีแววเห็นใจ

รออีกหน่อยได้มั้ยจี

สิ้นคำถามนี้ สุขศจีก็ลุกพรวด เดินออกจากห้องไม่พูดจา มีแต่พี่ชายคนรองที่เห็นแววตาหล่อนก่อนจากไป มันเป็นแววตาที่เห็นแล้วอดหนาวเหน็บในใจไม่ได้

...แววตาแห่งความอาฆาตแค้น...


ลักษณ์กับสุขศจีออกจากห้องประชุมแล้ว สมุทรผู้ปิดปากตลอดการประชุมก็เอ่ยปากเป็นครั้งแรก

ตอนนี้ถึงเวลาคุยเรื่องของเราได้หรือยังเฮีย

เอ้า...ว่ามา

เรื่องที่สมุทรจะพูด รามรู้แก่ใจ เวลานี้ผู้มีสิทธิในกองมรดกคุณนายพวงทองมีสามคนคือราม ลักษณ์ สมุทร ผู้มีสิทธิเบิกถอนเงินบัญชีกงสีคือทายาทอย่างน้อยสองในสาม กรณีนี้ แค่ลายเซ็นของรามกับสมุทร ก็สามารถเบิกเงินจากบัญชีกงสีออกมาได้ โดยไม่จำเป็นต้องบอกให้ลักษณ์รู้

ดังนั้นเรื่องที่สมุทรจะปรึกษากับรามก็มีแค่เรื่องเดียว...ลายเซ็นเพื่อใช้เบิกเงิน

เกตุเขาต้องการซื้อหุ้นบริษัทคืนจากไอ้พวกฝรั่งน่ะเฮีย เราจะได้บริหารงานได้อย่างที่ต้องการ ไม่ติดขัดกับพวกมันอีก

แล้วแกแน่ใจหรือวะ ว่ามันจะคุ้มค่า รามสงสัย

โธ่เฮีย จะดูผลกำไรแต่ละไตรมาสมั้ยล่ะ คิดดูกำไรตั้งเท่าไหร่ เรื่องอะไรจะให้พวกมันเอาออกนอกประเทศ

แล้วมันจะยอมขายเหรอ รามแปลกใจ ถ้ากำไรดีอย่างที่พูด ใครจะยอมขายหุ้น

เรื่องนั้นไม่ต้องห่วงเฮีย ผมมีวิธีทำให้มันขายได้อยู่แล้ว สมุทรมั่นใจ

คิดว่าจะใช้เงินสักเท่าไหร่ รามถาม

ก็... สมุทรบอกจำนวนเงิน เป็นตัวเลขไม่น้อยทีเดียว

ถ้าเบิกออกมามากขนาดนั้น ลักษณ์มันต้องรู้ รามติง

ไม่จำเป็นต้องเอาออกมาทีเดียวก็ได้เฮีย เราค่อยๆ ถอนมาเป็นงวดๆ กว่าเฮียลักษณ์แกจะมาตรวจสอบก็ไม่ทัน...พูดอะไรไม่ได้แล้ว ขอให้เฮียรับปากเถอะ ผมจะได้บอกเกตุ เปิดไฟเขียวเรื่องซื้อหุ้น

รามนิ่งเงียบ สมองครุ่นคิด ใจจริงเขาไม่ต้องการให้สมุทรเบิกเงินกงสีไปลงทุนซื้อหุ้นขนาดนั้น แต่ถ้าไม่ยอม เขาก็จะไม่ได้ลายเซ็นของสมุทรเช่นกัน

ระยะนี้รามมีเรื่องต้องใช้เงินมาก เส้นทางสู่ถนนการเมืองระดับประเทศต้องใช้เงินเบิกทางไม่น้อย ขนาดที่จ่ายไปก็แค่รับรองว่าได้ร่วมพรรค แต่ยังไม่รับปากจะส่งสมัคร ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์

ก็ได้ รามรับปาก ยังไงก็หมุนเงินมาคืนกงสีด้วย ไม่งั้นตัวเลขมันลดลงเกินไป ลักษณ์มันจะเรียกประชุมอีก

เรียกประชุมก็บอกไปตามความจริงสิ จะกลัวเฮียลักษณ์ไปทำไม สมุทรพูดอย่างรู้ว่าตนเป็นต่อ ยังไงแกก็ไม่มีปัญญาทำอะไรพวกเราอยู่แล้ว ทายาทสองในสามมีสิทธิเบิกถอนเงินได้ ระเบียบก็มีอยู่

รามถอนใจลึกๆ นึกเป็นห่วงจำนวนเงินที่ร่อยหรอ แต่เขาเชื่อว่าเมื่อตนเดินไปถึงจุดหมายที่ต้องการ จะสามารถนำผลประโยชน์มาสู่ครอบครัวได้มากกว่าที่สูญเสียหลายเท่าตัว

...สำหรับราม...การเมืองก็คือธุรกิจอีกรูปแบบหนึ่ง...มีการลงทุน มีความเสี่ยง และมีผลกำไร...

...ไม่รู้ว่าเมืองไทย...จะมีนักการเมืองกี่คน...ที่คิดแบบราม...

เอาเถอะ ไม่ต้องพูดมาก รามปรามน้องชาย

คนพูดมากน่ะไม่ใช่ผม แต่เป็นไอ้จี สมุทรพูดถึงน้องสาวคนเล็ก ถ้ามันรู้ว่าเงินในบัญชีมันมีไม่ครบ เดี๋ยวมันก็อาละวาดอีก

หลังตกลงใช้พินัยกรรมฉบับสอง สุขศจีไม่มีสิทธิในเงินมรดก พี่ชายทั้งสามจึงเปิดบัญชีร่วม นำรายได้ส่วนของหล่อนใส่ไว้ตลอด จนยอดเงินสูงขึ้น...ด้วยความที่รามจำเป็นต้องใช้เงิน และไม่สามารถดึงเงินกงสีได้ทุกครั้ง จึงใช้ลายเซ็นตนกับสมุทรร่วมกันถอนเงินน้องสาวมาใช้ก่อน

ถ้าจีมันรู้ เฮียจะอธิบายเอง...เป็นเงินที่เฮียยืมมัน ยังไงต้องใช้คืนให้แน่ๆ รามพูดตามที่ตนรู้สึกจริงๆ

เหอะ...เดี๋ยวมันก็โวยวายจนเฮียนึกอยากเบี้ยวเงินมันเองแหละ สมุทรพูดพลางหัวเราะหึหึ

เรื่องนั้นค่อยว่ากันข้างหน้า พี่น้องกันพูดกันได้น่า...ตอนนี้อย่าเพิ่งให้พวกมันรู้...เฮียไม่คิดจะโกงใครนี่หว่า...ทั้งเงินกงสี...เฮียก็จะคืนให้...ถ้าทุกอย่างมันเป็นไปตามแผน

สมุทรไม่ตอบคำ เขารู้ว่ารามคิดอย่างที่พูด แต่แผนการเฮียรามมันไกลเกินไป ไม่รู้จะมีโอกาสสำเร็จหรือไม่

หากสำเร็จ...รามได้ก้าวไปมีตำแหน่งทางการเมือง...ผลประโยชน์ที่ได้จากการโกงแผ่นดินมันจะมิยิ่งเผาไหม้ให้ทุกคนในครอบครัว วงศ์ตระกูลร้อนเร่ามากกว่านี้อีกหรือ


(โปรดติดตามต่อฉบับหน้า)



แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP