วรรณกรรมนำใจ Lite Literature

กรงไฟ ๒๐


cover_krongfire

นวนิยายเรื่องนี้ เขียนขึ้นเพื่อความบันเทิง
หากมีชื่อ-สกุล เรื่องราวใดพ้องกับบุคคลจริง ต้องกราบขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย

ชลนิล


(ต่อจากฉบับที่แล้ว)


บ้านทรัพย์ยั่งยืนสิริไพศาลไม่ได้มีโอกาสจัดงานเลี้ยงใหญ่เช่นนี้ตั้งแต่คุณนายพวงทองตาย บ้านหลังใหญ่มีเนื้อที่หลายไร่ สามารถใช้จัดงานระดับหรูไม่แพ้โรงแรมห้าดาว ใช้พนักงานจากโรงแรมทรัพย์ยั่งยืนแกรนด์รอยัลมาบริการ ใช้เชฟใหญ่ดูแลเรื่องอาหาร พ่อครัวจากร้านครัวพวงทองมาทำอาหารพิเศษโต๊ะวีไอดี

งานเลี้ยงที่บอกว่า กันเอง นี้จึงเนี้ยบ หรู และสมบูรณ์แบบไร้ที่ติ

อาหารอร่อยมั้ยเอ่ย รุ่งรตีกระซิบถามเชน

ถามเพราะอยากรู้จริง หรือถามในฐานะเจ้าภาพจ๊ะ ชายหนุ่มแกล้งไม่ตอบ

รุ้งไม่ใช่เจ้าภาพสักหน่อย โน้น...ลุงรามต่างหาก ขนาดพ่อรุ้งยังไม่ออกหน้าออกตาเท่านี้เลย

เชนมองตามคำพูดหญิงสาว เห็นรามเป็นจุดเด่น พูดคุยกับแขกผู้ใหญ่อย่างเหมาะสม ไม่นอบน้อมเกินเหตุ ไม่กร่างเกินงาม

งานเลี้ยงกึ่งฉลองชัยเชิญผู้จัดการมรดกทั้งสามด้วย แต่คุณจิตใสขอตัวงานเลี้ยงกลางคืน ยอมมาเฉพาะทำบุญเช้าเท่านั้น ส่วนท่านมงคลกับนายภาสกร ไม่ขัดข้องที่จะมาร่วมงานกลางคืน

นอกจากนี้ยังเชิญแขกผู้ใหญ่หลายท่าน รวมถึงผู้ว่าฯ นักการเมืองคนสำคัญ นักข่าวท้องถิ่นอาวุโส ดูแล้วเหมือนงานเลี้ยงหาเสียงกลายๆ

รวมเป็นจุดสนใจทุกคน ทำตัวเด่นเสียจนเชนแปลกใจ

น้ารามแกจัดงานเลี้ยงเตรียมตัวเล่นการเมืองหรือเปล่าเนี่ย เชนเปรย

ไม่ใช่ก็ใกล้เคียงล่ะพี่เชน รุ่งรตีเห็นด้วย ดูแล้วก็คงไม่น่าเป็นห่วงอะไรนะ

เชนมองหญิงสาวด้วยแววตาคำถาม

ก็...ที่เราคุยกันคราวก่อนไง ว่าลุงแกจัดงานนี้ทำไม ดูมันผิดกาลเทศะพิกล

ถ้าสรุปว่าแกเตรียมตัวเล่นการเมืองก็พอรับได้ เชนไม่ขัด ลึกๆ ยังไม่เชื่อนัก

พูดอย่างนี้แสดงว่ายังไม่แน่ใจ หญิงสาวจับความรู้สึกเขาผ่านน้ำเสียง

บอกไม่ถูกแฮะ...เออ...วันนี้รุ้งรู้สึกมั้ยว่าคุณยายก็มาเหมือนกัน เชนเปลี่ยนเรื่อง

เมื่อเช้าใช่มั้ย หญิงสาวรู้สึกตรงกัน

จ้ะ...นั่นแหละ แต่ไม่รู้คืนนี้จะมาด้วยหรือเปล่า

ขืนมาจริง คนในงานคงกระเจิงกันบ้างหรอก รุ่งรตีมีอารมณ์ล้อเล่น

โธ่...พูดยังกับว่าจะได้เจอกันง่ายๆ เชนพูดตามความรู้สึกจริง

ถ้าคนอื่นเขาได้เห็นอย่างเรา คงเลิกสงสัยเสียทีนะว่าตายแล้วไปไหน ตอนนี้รุ่งรตีหนักแน่นพอที่จะพูดคุยเรื่องนี้อย่างเห็นเป็นธรรมดา

ก็ไม่แน่นักหรอก เชนพูด คนที่ไม่รู้จริงมักมีความสงสัยไปเรื่อยแหละ แต่อาจจะดีขึ้นหน่อย ตรงที่จะไม่เชื่อว่าตายแล้วสูญ

แค่นี้รุ้งก็ว่าดีแล้วนะ...อย่างน้อยเวลาเราทำอะไรไป จะได้รู้จักระมัดระวังบ้าง...ไม่มัวแต่คิดหาความสุขใส่ตัวอย่างเดียว คิดง่ายๆ แค่เกิดชาติเดียว ตายชาติเดียว อยากทำอะไรก็ทำไม่คิดถึงความเดือดร้อนที่จะตามมา

เชนมองหญิงสาวแปลกใจแกมทึ่ง

เอ...นี่ใช่รุ้งคนเดิมที่พี่รู้จักหรือเปล่า เขาล้อเลียน

ไม่ใช่แล้ว...เป็นอีกคนที่รู้จักคิดมากขึ้น หล่อนยอมรับ ตั้งแต่กลับมาอยู่บ้านครั้งนี้ จนถูกดึงเข้ามารับรู้เรื่องที่คนทั่วไปยากจะพิสูจน์ ทำให้มุมมองเปลี่ยนไปเยอะเชียว

ชายหนุ่มยืนฟังสนใจ

เมื่อก่อนรุ้งร้ายมากนะ ทำอะไรตามใจตามอารมณ์ ไม่สนใจใคร ไม่สนใจด้วยผลตามมาจะเป็นยังไง...ก็คิดอย่างที่พูดแหละ...เกิดหนเดียว ตายหนเดียว...เพราะฉะนั้นอยากได้อะไรต้องได้ อยากทำอะไรทำไปเลย...ไม่เคยคิดอะไรไกลๆ ไม่สนใจอนาคต...จนมาที่นี่ เห็นคุณย่า มองเห็นชีวิตหลังความตาย...รู้สึกว่าแกมีชีวิตหลังความตายที่ไม่เป็นสุขเอาเสียเลย แล้วยิ่งมาตามเรื่องอาสีดาอีก...รุ้งเลยตั้งคำถามกับตัวเองว่า...นี่เราเกิดมาทำไม

หญิงสาวเงียบไปครู่หนึ่ง จนชายหนุ่มต้องเป็นฝ่ายเอ่ยปากถาม

แล้วรุ้งได้คำตอบหรือยัง

ยังเลย หล่อนส่ายหน้า แต่แปลกนะ ช่วงเวลาที่รุ้งได้ไปอยู่บ้านพี่เชน อยู่ใกล้ๆ คุณลุงคุณป้า เห็นการใช้ชีวิตของท่าน...มันทำให้รู้สึกว่าชีวิตนี้ช่างเป็นสุขจัง...ความสุขของพวกท่านเหมือนจะแผ่มาถึงเราด้วย...รุ้งไม่รู้หรอกว่าเกิดมาทำไม แต่ถ้าเลือกได้ก็อยากมีชีวิตที่เป็นสุขอย่างคุณลุงคุณป้า มากกว่าอยู่บนกองสมบัติแบบพ่อแบบอาแบบลุงแล้วต้องร้อนรนทุกย่างก้าว

เชนไม่ตอบคำ การที่รุ่งรตีสามารถสัมผัสเปรียบเทียบความแตกต่างระหว่าง สุข เย็นกับ สุก ร้อนได้ แสดงว่าหล่อนมีพื้นฐานจิตใจที่ดีงาม อ่อนโยน ง่ายต่อการฝึกฝน เพียงแต่กระแสกรรมเก่า พาให้หล่อนเกิดมาในครอบครัวแตกแยก ขาดความรัก ความอบอุ่นตั้งแต่เล็ก จนหล่อนเป็นคนแข็งกระด้าง เอาแต่ใจ เกือบจะพัดพาชีวิตให้หล่นไปสู่หลุมดำมืดแห่งความไม่รู้ไปตลอด

ได้ยินอย่างนี้พี่ก็ดีใจ

เชนเปิดรอยยิ้มกว้าง นัยน์ตากระจ่างใส มีคำพูดมากมายที่อยากบอก แต่รู้สึกว่ามันไม่ใช่โอกาสที่สมควรจะพูด เขารอเวลา คงมีสักวันที่ทั้งเขาและรุ่งรตีรู้จักกันมากกว่านี้...ไม่แน่...เมื่อถึงตอนนั้นอาจไม่จำเป็นต้องพูดอะไรเลยก็ได้


วันนี้เนื้อนวลปิดร้านเร็ว เนื่องจากมีนัดสำคัญ หล่อนจะไปพบพิทักษ์ที่รังรักส่วนตัว...ช่วงนี้ทั้งคู่ยังไม่สามารถอยู่กันอย่างเปิดเผย เพราะกำลังขึ้นศาลต่อสู้กับพี่น้องตระกูลทรัพย์ยั่งยืนสิริไพศาล ช่วงชิงสมบัติส่วนที่ควรได้กลับคืนมา

ตอนที่เปิดพินัยกรรมครั้งแรก พิทักษ์ก็รู้ สีดาได้อะไรบ้าง จึงใจเย็นรอให้มีการโอนทรัพย์สินเรียบร้อยเสียก่อน แต่มันเสียเวลากับเรื่องบริษัทกงสี ทรัพย์สินส่วนที่สีดาจะได้จากพินัยกรรมจึงถูกโอนมาไม่ถึงครึ่ง

พอเกิดเรื่อง...สีดาตาย เขาคิดว่าต้องได้ทรัพย์สินที่ยังค้างคา ที่สำคัญผลประโยชน์รายเดือนจากบริษัทกงสีที่สีดาควรจะได้รับด้วย...ทุกอย่างผิดพลาดหมดเมื่อมีพินัยกรรมฉบับที่สองตัดสีดากับสุขศจีออกจากกองมรดก สิ่งที่ฝันแทบหายไปในพริบตา

พิทักษ์เป็นทนายจึงใช้กฎหมายเข้าสู้ ระหว่างการรบ เขาบอกให้เนื้อนวลเก็บเนื้อเก็บตัวอย่าแสดงว่าเป็นเมียอีกคน ไม่เช่นนั้นอาจเป็นจุดอ่อนให้อีกฝ่ายโจมตีได้

เนื้อนวลพยายาม เก็บเนื้อเก็บตัว แบบไม่ดีนัก ใจหล่อนอยากแสดงตัวให้ทุกคนรู้ งานศพสีดา...เนื้อนวลมักตามพิทักษ์ห่างๆ ไม่ก็โทรตามให้เขาไปค้างที่รังรักส่วนตัวเสมอ

ช่วงนี้พิทักษ์ต้องระวังตัวหนัก พี่เมียเก่าเป็นคนมีอิทธิพล อาจสั่งเก็บเขาเมื่อไหร่ก็ได้ รอบตัวจึงมีทั้งบอดี้การ์ด ตำรวจนอกเครื่องแบบที่จ้างมาเป็นพิเศษ คอยคุ้มครองตลอดเวลา

คืนนี้เนื้อนวลมีนัดกับพิทักษ์ อารมณ์ชื่นมื่นเป็นพิเศษ วางแผนจะออดอ้อนขออะไรอีกดี พิทักษ์หลงเสน่ห์หล่อนจนยอมปรนเปรอให้ได้ทุกอย่าง

หลังจากปิดร้านเรียบร้อย หญิงสาวเดินไปที่รถ บริเวณนั้นไม่ค่อยมีผู้คนพลุกพล่าน แต่ไม่นับว่าเปลี่ยว หล่อนไม่นึกเฉลียวใจ มือไขกุญแจรถเตรียมเปิด แต่แล้วกลับมีมือที่มองไม่เห็นพร้อมผ้ามาอุดจมูก หายใจไม่ออก พยายามร้องโวยวาย ดิ้นรนสุดกำลังแต่ไร้ผล ฝ่ายตรงข้ามมีกำลังแขนแข็งแรง ล็อกแน่น เนื้อนวลเผลอสูดลมหายใจเฮือก กลิ่นฉุนๆ ซึมพรวด สมองมึนงง วิงเวียนก่อนสติดับวูบ จมลึกลงสู่ความมืดอันไร้ขอบเขต


พิทักษ์มาถึงรังรักเลยเวลาเล็กน้อย สถานที่นั้นเป็นสวนรีสอร์ตจำกัดเฉพาะสมาชิก บ้านแต่ละหลังห่างกัน แยกสัดส่วน ผู้ใช้บริการเช่ารายเดือนโดยทางรีสอร์ตจะไม่ยุ่มย่าม รบกวน เหมาะสำหรับพวกชอบหนีคู่มาหากิ๊ก

เขามาคนเดียว ไม่มีบอดี้การ์ดติดตาม สถานที่นี้ปลอดสายตาผู้รู้เห็น มั่นใจว่ามันลึกลับเกินกว่าใครจะสืบรู้

นึกแปลกใจที่ไม่เห็นรถของเนื้อนวล ปกติหล่อนมาถึงก่อนเขาด้วยซ้ำ เปิดไฟรอ เตรียมเครื่องดื่มเย็นๆ ไว้จิบแก้กระหาย สร้างบรรยากาศรื่นรมย์ผ่อนคลาย

คราวนี้แปลกจากเคย พิทักษ์ลงจากรถเห็นประตูบ้านคล้องกุญแจไม่มีใครอยู่ ขมวดคิ้วสงสัย เนื้อนวลอาจแวะทำธุระด่วนอย่างอื่นหรือเปล่า ถ้าทำอย่างนั้นหล่อนควรโทรศัพท์บอกก่อน ถ้าไม่ใช่เรื่องนี้ก็น่าเป็นห่วง อาจเกิดอุบัติเหตุ

ความคิดนี้ทำให้พิทักษ์รีบต่อโทรศัพท์หาชู้รักชู้ลับทันที

เสียงสัญญาณโทรศัพท์ดังหลายครั้งจนขาดหาย โทรซ้ำอีกครั้งจิตใจร้อนรุ่ม...เสียงสัญญาณเริ่มต้น...คราวนี้ดังสองสามครั้งก็มีคนกดรับ

นวล...นวล...อยู่ที่ไหนน่ะ ทำไมยังไม่มา

ความเงียบกั้นกลางครู่หนึ่ง สุมใจร้อนรุ่มกว่าเดิม

นวลอยู่ที่ไหน...เป็นอะไรไป

คราวนี้มีเสียงลมหายใจแผ่วก่อนจะมีเสียงหญิงสาวดังขึ้น

ช่วยด้วย...พิทักษ์ คำพูดอ่อนระโหย แฝงความตื่นกลัว หวาดผวา

นวล...นวล...อยู่ที่ไหน...ใครทำอะไรนวล เขาเย็นวาบ อารมณ์หวั่นแผ่กระทบไม่ทันตั้งตัว เสียงร้องถามแทบพูดไม่เป็นประโยค

เมียของคุณปลอดภัยดี คำตอบเป็นเสียงผู้ชายไม่คุ้นหู

แก...แกเป็นใคร เขาถามสับสน ตื่นกลัวไร้สติ

ท่าทางคุณคงพูดจาไม่ค่อยรู้เรื่องแล้วละ พวกบอดี้การ์ด ตำรวจนอกเครื่องแบบของคุณอยู่แถวนั้นหรือเปล่า เรียกให้มาพูดแทนก็ได้นะ ท้ายเสียงกลั้วหัวเราะหยัน

ไม่มี เขาตอบ ฉันอยู่คนเดียว...ไม่มีใครทั้งนั้นแหละ

พิทักษ์เริ่มมีสติพอจะตอบโต้ เข้าใจสถานการณ์ตนเองมากขึ้น

ก็คิดว่าอย่างนั้น เสียงพูดยังดูหยันเช่นเดิม คงไปถึงรังรักแล้วไม่เจอเมียรออยู่ล่ะสิ

พวกแกต้องการอะไร เขากระชากเสียงถาม

จะคุยกันทางโทรศัพท์อย่างนี้รื้อ น้ำเสียงกวนโทสะ

พิทักษ์สูดลมหายใจหนาวเหน็บ ถ้าไม่ใช่การคุยต่อรองข้อตกลงทางโทรศัพท์ก็ไม่น่าเป็นการเรียกค่าไถ่...พวกมันต้องการอะไรกันแน่

จะให้ฉันทำยังไง น้ำเสียงถูกปรับราบเรียบ อารมณ์สงบลง

อืม...พูดอย่างนี้ค่อยฟังดูฉลาดหน่อย

รีบบอกมา

ก็...แค่อยากเรียกมาคุยกันหน่อยแบบไม่ต้องมีบอดี้การ์ด ไม่มีตำรวจ

ที่ไหน เมื่อไหร่

เสียงหัวเราะขำขันดังตามมาก่อนบอกรายละเอียดสั้นๆ พิทักษ์เย็นวูบ ขั้นตอนที่พวกมันสั่งไม่ธรรมดาเลย...สามารถมัดมือมัดเท้าจนเขายากกระดิกกระเดี้ยหาช่องทางเอาตัวรอดยากเต็มที

ตกลง

สุดท้ายต้องยอมรับ ไม่ว่าพวกมันจะสั่งให้ทำอะไร ไม่อาจบิดพลิ้ว เขาพลาดเอง ที่คิดว่าปิดเรื่องเนื้อนวลได้แนบเนียนแล้ว มันจึงกลายเป็นจุดอ่อนที่ลากเขาออกจากหลุมหลบภัยจนได้


เสียงเพลงงานเลี้ยงกังวานแว่ว หลังจากรามกล่าวขอบคุณแขกเรียบร้อย งานยังสนุกอยู่ แขกเริ่มเต้นรำ เจ้าภาพมีเรื่องคุยนอกรอบกับคณะผู้ใหญ่ของจังหวัดเกี่ยวกับโครงการพัฒนาต่างๆ มันเหมือนพูดคุยสนทนาประสาคนมักคุ้นมากกว่าปรึกษางานเป็นทางการ ดึกกว่านั้นเวทีลีลาศเริ่มคึกคัก ผู้ใหญ่หลายคู่ทยอยออกวาดลวดลาย

งานเลี้ยงนี้จึงเป็นงานครบรส ทั้งอาหารรสเลิศ เรื่องราวสนทนามีสาระและความสนุกสนานที่คนอายุเลยสี่สิบขึ้นไปพึงใจ

พี่น้องตระกูลทรัพย์ยั่งยืนสิริไพศาลยังอยู่ครบทั้งสี่คน ส่วนพวกรุ่นลูกรุ่นหลานต่างหลบฉากหมดแล้ว เหลือเชนกับรุ่งรตีอยู่ดูงานดำเนินไปด้วยสายตาคนนอก

สงสัยงานนี้ลุงรามจัดปล่อยแก่

รุ่งรตีมองพวกผู้ใหญ่ลีลาศกันแล้วอดแซวให้ชายหนุ่มฟังไม่ได้

นานๆ มีที ปกติที่นี่ไม่ค่อยมีใครจัดแบบนี้เท่าไหร่

นี่ถ้ามีการประมูลของไปทำบุญ ตั้งโต๊ะรับโทรศัพท์ เชิญดารามารับสาย รุ้งต้องคิดว่านี่เป็นงานออกทีวีช่วยเหลือผู้ประสบภัยแน่

เชนหัวเราะเบาๆ

พวกคนหนุ่มคนสาวเขามีที่เที่ยวที่สนุกกันเยอะแล้วนี่ งานนี้ขอให้คนแก่เขาสนุกกันบ้างก็ไม่แปลก

พี่เชนอย่าหลุดคำว่า แก่ ออกมาตอนนี้นะ เดี๋ยวเราจะออกจากงานไม่ได้ หญิงสาวแกล้งมองรอบตัว ดูสิ...ตอนนี้เราสองคนท่าจะอายุน้อยที่สุดในงานแล้วละ

นั่นสิ พวกคนรุ่นเราไปกันหมดแล้ว เชนยิ้มพรายเห็นด้วย

งานนี้มีเด็กรุ่นหนุ่มสาวน้อยอยู่แล้ว ที่มาก็มีแต่ลูกของสมุทรซึ่งถูกบังคับให้มาจากกรุงเทพฯ ตั้งแต่เช้า ร่วมงานทำบุญ ส่วนลูกของรามกำลังเรียนต่างประเทศ จึงไม่มีใครมาสักคน

เราสองคนเอายังไงดี เชนหันมาถาม

พี่เชนต้องรีบกลับบ้านหรือเปล่า รุ่งรตีทำตาเจ้าเล่ห์

พูดอย่างนี้เหมือนจะชวนพี่เที่ยวนะ เขารู้ทัน

ก็อยากรู้ว่า หนุ่มแฟมิลี่แมนอย่างพี่เชนเคยนึกอยากไปเที่ยวดูแสงสีกลางคืนเหมือนคนหนุ่มทั่วไปหรือเปล่า

ถ้ารุ้งอยากไป พี่ไปเป็นเพื่อนได้ เขายิ้ม จงใจไม่ตอบคำถามของหล่อน

พูดอย่างนี้ชักทำให้รุ้งละอายใจนิดๆ แล้วละ หญิงสาวยิ้มใส ใจจริงอยากแหย่เขาเล่นอย่างนั้นเอง หล่อนเบื่อเรื่องเที่ยวกลางคืนพักใหญ่ ตั้งแต่คบกับเชน ที่พูดก็แค่อยากรู้ว่าเขาจะตามใจหล่อนแค่ไหน

ขณะที่เชนกำลังจะพูดต่อ เขารู้สึกถึงบรรยากาศห้องจัดเลี้ยงเปลี่ยนไป มีไอเย็นแผ่ซ่าน อุณหภูมิทั่วห้องลดลงจนรู้สึกชัด กระแสความเย็นลอยอ้อยอิ่ง คนอื่นอาจคิดว่ามีการปรับอุณหภูมิเครื่องปรับอากาศ...สำหรับเชน มันไม่ใช่...ความเย็นเช่นนี้เป็นความเย็นยะเยือกที่แผ่กระจายออกมาจากดวงจิตที่เหน็บหนาว อ่อนล้า เศร้าซึม...เป็นดวงจิตที่เขาคุ้นเคย

พี่เชน น้ำเสียงรุ่งรตีแปร่งแปลก มือเอื้อมจับมือเขามีอาการเย็นเฉียบ ทำไมอากาศมันเปลี่ยน

หญิงสาวมีความรู้สึกไวเช่นเดียวกัน มองรอบห้อง แขกผู้ใหญ่ยังลีลาศกันเพลิดเพลิน คนที่นั่งโต๊ะก็คอยเชิญปรบมือ ไม่มีใครแปลกใจต่ออากาศที่เปลี่ยนแปลงเลย

คุณยายท่านคงมาร่วมงานด้วยน่ะ เขาเข้าใจเช่นนั้น

หวังว่าคงหาคู่เต้นรำได้นะคะ... รุ่งรตีอดใส่อารมณ์ขันปนหวาดออกมาไม่ได้

เชนไม่พูดจาต่อคำ เขามองไม่เห็นคุณนายพวงทองก็จริง แต่ความคุ้นเคยกับบรรยากาศ อารมณ์ที่สื่อถึงกันทำให้พอรู้...คุณนายพวงทองไม่ได้หวังมาเต้นรำ ดวงวิญญาณของเธอยัง ติด กับความรู้สึกของภพเดิมว่าตนเป็นอัมพาต ต้องนั่งรถเข็น ที่มานี่เพื่อมาคอยดูใครคนหนึ่ง ซึ่งเชนตอบไม่ได้ว่าเป็นใครบ้าง

ความรู้สึกที่เชนสัมผัสจากคุณนายพวงทองคือ...กังวล...เป็นห่วง...จิตที่ห่วงกังวลนี้กำลังบีบรัดหัวใจคุณนายให้หม่นซึม เจ็บปวด หากสัมผัสลึกลงไปกว่าความเป็นห่วงนั้น จะพบว่าเธอกำลังเกิดความกลัว...กลัวจนสะท้านลึก

ครั้งนี้คุณนายพวงทองไม่พยายามติดต่อ บอกข่าวต่อเขา แสดงว่าสิ่งที่เขารู้สึกยังมีความสับสนปนเปในใจ สับสนจนยากหาคำตอบให้กับตัวเอง

เชนระบายลมหายใจยาว ปล่อยสัมผัสจากคุณนายพวงทองให้ปลิวหาย สายตามองราม ลักษณ์ สมุทร สุขศจี ทั้งสี่คนนี้ ใครคือคนที่คุณนายพวงทองเป็นห่วงและหวาดกลัว ความรู้สึกสองอย่างชัดเจนและขัดแย้งกันในที

ทำอะไรไม่ได้ก็วางซะ เชนบอกต่อตนเอง ไม่สนใจคิดหาคำตอบ สายตาเบือนกลับมาพบดวงตารุ่งรตี นัยน์ตาหล่อนมีคำถามมากมาย เชนส่งยิ้มอ่อนโยน ราวกับบอกให้หล่อนสงบใจ วางปัญหา...คอยดูสิ่งที่จะเกิดตามมาด้วยจิตใจมั่นคง ไม่หวั่นไหว


พิทักษ์ถูกถอดถุงผ้าดำคลุมศีรษะออก มันไม่ได้ช่วยให้มองเห็นอะไรรอบตัวชัดกว่าเดิมเลย ตั้งแต่คุยโทรศัพท์กับบุคคลปริศนา บอกให้เขาขับรถมายังจุดนัดพบ พอถึงก็ถูกคลุมหน้า นำตัวขึ้นรถโดยไม่รู้เหนือใต้ พยายามหาจังหวะล่อหลอก ถามโน่นถามนี่ ผู้ควบคุมกลับนิ่งเฉย ไม่พูดไม่ตอบ เซ้าซี้มากๆ ก็โดนหมัดหนักๆ กระทุ้งเข้าที่หน้าท้อง

...อ๊อก...

หุบปากซะทีมึง...กูรำคาญ เสียงห้าว ดุ น่ากลัว

จากนั้นเขาหุบปากสนิท ไม่กล้าพูด หัวสมองพยายามคิดหาตัวคนบงการ ศัตรูเขามีไม่มาก ที่เด่นๆ ก็แทบนับคนได้...ยิ่งมีอิทธิพลอำนาจระดับมาเฟียก็ชี้ชัดได้เลยว่าใคร...มีคนเดียว...

เมื่อนึกถึงศัตรูคนนี้ก็อดหนาวเหน็บเย็นวูบ เขาตกอยู่ในกำมือรามนับว่าโชคร้ายมากกว่าดี โอกาสรอดยาก จำเป็นต้องหาทางหนีทีไล่โดยเร็ว...แต่กับสภาพที่ไม่รู้ชะตากรรมตนเองเช่นนี้ ยากจะหาทางเอาตัวรอดและช่วยเนื้อนวลได้เลย

ดูสถานการณ์ก่อน...ถึงเวลาค่อยพลิกแพลงเอาตัวรอด...เขาบอกกับตนเอง

สถานที่นั้นน่าจะเป็นโกดังเก็บของร้าง ห่างไกลผู้คน รอบด้านมีแต่ความมืด แว่วเสียงแมลงราตรีกรีดปีกดังระงมไกล พิทักษ์ถูกลากไปนั่งบนเก้าอี้ตัวหนึ่งแขนขาถูกมัดไม่สามารถขยับเขยื้อน

พวกคุณเป็นใคร ตอนนี้น่าจะเปิดเผยตัวได้แล้ว พิทักษ์ส่งเสียงพูดเรียกขวัญตัวเอง

...เงียบ...เหมือนอีกฝ่ายตั้งใจลองเชิงดูจิตใจ ความมั่นคงทางอารมณ์เขา

เฮียราม...ผมรู้นะว่าเป็นเฮีย...ออกมาเถอะ...ตอนนี้ผมอยู่ในกำมือเฮียแล้ว ต้องการอะไรก็บอกมา

จบคำพูด พิทักษ์ตาพร่า แสงไฟสว่างจ้าจงใจฉายเข้าใบหน้าเขา

อึ้ย... เขาอุทานเบือนหน้าหลบ แต่มีมือที่แข็งแรงปานคีมเหล็กจับใบหน้าเขาให้บิดหันสู้แสงไฟ

ขอโทษที่ทำให้ผิดหวัง กูไม่ใช่คุณราม เสียงผู้ชายห้าวลึก น่ากลัว

งั้นคุณเป็นใคร ต้องการอะไร ขณะถามใจเริ่มสั่น เสียงชายผู้นั้นน่าจะเคยผ่านหูมาก่อน แต่ไม่ชัดเจนพอแยกแยะ

อืมม์...กูต้องการอะไร...ถามได้ดี คำพูดแบบแมวหยอกหนู

เงินเหรอ...ผมมีไม่มากหรอกนะ พิทักษ์รีบออกตัว เขามีเงินไม่มากจริงๆ หากเทียบกับสมบัติตระกูลทรัพย์ยั่งยืนสิริไพศาล

ขนาดไม่มาก ยังจ้างพวกบอดี้การ์ด ตำรวจคุ้มครองได้เป็นโขยง คำย้อนฟังเยาะ

นั่นมัน...เป็นความจำเป็น เขาตอบตะกุกตะกัก

จำเป็นอะไร มึงก็แค่ทนายความที่มีเงินมากกว่าทนายความครึ่งประเทศเท่านั้นเอง

พิทักษ์หนาวเยือก คนนี้รู้จักเขาดีกว่าที่คิด น่าจะเป็นคนตระกูลทรัพย์ยั่งยืนสิริไพศาล ถ้าไม่ใช่รามแล้วเป็นใครกัน

ส่วนใหญ่เป็นเงินของเมียผม ตัวผมเองก็แค่ทำงานเล็กๆ เท่านั้น

อ้อ...เงินเมีย งั้นก็ไม่ใช่เงินมึงสิ คำถามยอกย้อน ดุดัน

พิทักษ์ตอบไม่ถูก ทนายความที่สามารถพลิกลิ้นได้พลิ้วเช่นเขากลับแตกตื่น ตระหนกเสียจนหาคำพูดตอบโต้ไม่ได้

แล้วอีสาวอกอึ๋ม ที่กูจับมานี่ล่ะเป็นใคร...เมียน้อยหรือนางบำเรอของมึง เสียงตวาดข่มขู่

เนื้อนวล...นวลอยู่ที่ไหน ผมมาแล้ว คุณรีบปล่อยเธอก่อนเถอะ เขาละล่ำละลักใจหวั่น

เออ...เป็นห่วงขนาดนี้ น่าจะรักยิ่งกว่าเมียซะอีก

ผมมาแล้ว คุณต้องการอะไรบอกมา...แล้วปล่อยเราเสียที พิทักษ์แผดเสียงตอบด้วยความโกรธ

...ตุ๊บ...อ๊อก...

หมัดจากไหนไม่ทราบ กระทุ้งเข้าที่ท้องน้อยอีกครั้ง เจ็บเสียดเสียจนพูดไม่ออก

กูบอกก็ได้...สิ่งที่กูต้องการคือความจริง... คำพูดลงท้ายเน้นหนัก

ความจริง...เรื่องอะไร... พิทักษ์เอ่ยถาม เสียงขาดเป็นห้วงๆ

เรื่องการตายคุณสีดา

คำพูดเหมือนฟ้าผ่ากลางแดดเปรี้ยง พิทักษ์ร้อนวูบสลับหนาวยะเยียบฉับพลัน...การพูดเช่นนี้ แสดงว่ารู้เบื้องหน้าเบื้องหลังมาแล้ว...ที่จับตัวเขามาก็เพื่อค้นหาความจริงส่วนที่เหลือ

ความจริงนั้น...สามารถตัดสินชะตาชีวิตเขาได้ทันที


(โปรดติดตามต่อฉบับหน้า)



แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP