ธรรมะจากพระสูตร Dhamma from Sutta

กาลามสูตร* ว่าด้วยมิให้เชื่อโดยอาการ ๑๐ อย่าง



กลุ่มไตรปิฎกสิกขา

[๕๐๕] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคเจ้า (ผู้มีคุณควรคบ หรือมีคุณควรนับถือ)
พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์หมู่ใหญ่ เสด็จจาริกไปในโกศลชนบท
(เมืองขึ้นในแว่นแคว้นโกศล)
บรรลุถึงเกสปุตตนิคม
(เมืองชื่อเกสปุตตะ)
ซึ่งเป็นที่อยู่แห่งหมู่ชนกาลามโคตร
(วงศ์กาลามะ)
ชาวกาลามะผู้อยู่ในเกสปุตตนิคมได้ทราบว่า พระสมณโคดมสักยบุตร
(โอรสของกษัตริย์ชาติสักยะ)
เสด็จออกผนวชจากสักยสกุล เสด็จมาถึงเกสปุตตนิคมแล้ว จึงดำริว่า
กิตติศัพท์อันงามของพระสมณโคดม ขจรไปแล้วอย่างนี้ว่า
แม้เหตุนี้ ๆ พระผู้มีพระภาคเจ้านั้นเป็นผู้ไกลกิเลส
(สิ่งที่เกิดขึ้นในใจแล้วทำใจให้เศร้าหมอง มีโลภเป็นต้น)
และเป็นผู้ควรไหว้ควรบูชา เป็นผู้รู้ชอบเอง
เป็นผู้บริบูรณ์แล้วด้วยวิชชาและข้อปฏิบัติเครื่องดำเนินถึงวิชชา
เป็นผู้ไปแล้วดี เป็นผู้รู้แจ้งโลก เป็นผู้ฝึกบุรุษที่ควรฝึก ไม่มีผู้อื่นจะยิ่งไปกว่า
เป็นผู้สอนของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เป็นผู้เบิกบานแล้วในคุณทั้งปวงเต็มที่
เป็นผู้จำแนกแจกธรรมสั่งสอนประชุมชน ท่านทำให้แจ้งด้วยปัญญาอันยิ่งเองแล้ว
สอนโลกนี้กับทั้งเทวดามารพรหมและหมู่สัตว์
พร้อมทั้งสมณพราหมณ์และเทวดามนุษย์ให้รู้ตาม
ท่านแสดงธรรมไพเราะ ทั้งในเบื้องต้นท่ามกลางที่สุด
ประกาศพรหมจรรย์
(ศาสนาคือคำสั่งสอน) พร้อมทั้งอรรถทั้งพยัญชนะ บริบูรณ์บริสุทธิ์สิ้นเชิง
การได้เห็นท่านผู้ไกลกิเลส แลควรไหว้ควรบูชาอันทรงคุณเช่นนี้
ย่อมเป็นคุณความดี ให้ประโยชน์สำเร็จได้
ครั้นดำริอย่างนี้แล้ว พร้อมกันไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้า
บางพวกกราบไหว้ตามอาการของผู้เลื่อมใส บางพวกเป็นแต่กล่าววาจาปราศรัยแสดงความยินดี
บางพวกเป็นแต่ประคองอัญชลีประนมมือ บางพวกร้องประกาศชื่อแลโคตรของตน ๆ
ต่างคน นั่ง ณ ที่สมควรส่วนหนึ่ง บางพวกนิ่งเฉยอยู่
ครั้นหมู่กาลามชนชาวเกสปุตตนิคมนั้นนั่งเป็นปกติแล้ว จึงทูลพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า
มีสมณพราหมณ์พวกหนึ่ง มาถึงเกสปุตตนิคมนี้
สมณพราหมณ์พวกนั้นพูดแสดงแต่ถ้อยคำของตนเชิดชูให้เห็นว่าดีชอบ
ควรจะถือตามถ่ายเดียว พูดคัดค้านข่มถ้อยคำของผู้อื่น ดูหมิ่นเสียว่าไม่ดี ไม่ชอบ ไม่ควรจะถือตาม
ทำถ้อยคำของตนให้เป็นปฏิปักษ์แก่ถ้อยคำของผู้อื่น
ครั้นสมณพราหมณ์อีกพวกหนึ่งมาถึงเกสปุตตนิคมนี้อีก
ก็เป็นเหมือนพวกก่อน เป็นอย่างนี้ทุก ๆ หมู่ จนข้าพระองค์มีความสงสัย
ไม่รู้ว่าท่านสมณะเหล่านี้ ใครพูดจริง ใครพูดเท็จ ดังนี้
.

พระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสตอบว่า ควรแล้วท่านจะสงสัย
ความสงสัยของท่านเกิดขึ้นแล้วในเหตุควรสงสัยจริง
ท่านอย่าได้ถือโดยได้ฟังตามกันมา อย่าได้ถือโดยลำดับสืบ ๆ กันมา
อย่าได้ถือโดยความตื่นว่าได้ยินอย่างนี้ ๆ
อย่าได้ถือโดยอ้างตำรา อย่าได้ถือโดยเหตุนึกเดาเอา
อย่าได้ถือโดยนัยคือคาดคะเน อย่าได้ถือโดยความตรึกตามอาการ
อย่าได้ถือโดยชอบใจว่าต้องกันกับลัทธิของตน
อย่าได้ถือโดยเชื่อว่าผู้พูดสมควรจะเชื่อได้
อย่าได้ถือโดยความนับถือว่าสมณะผู้นี้เป็นครูของเรา
เมื่อใดท่านรู้ด้วยตนนั่นแลว่า ธรรมเหล่านี้เป็นอกุศล ธรรมเหล่านี้มีโทษ
ธรรมเหล่านี้ท่านผู้รู้ติเตียน ธรรมเหล่านี้ ใครสมาทานให้เต็มที่แล้ว
เป็นไปเพื่อสิ่งไม่เป็นประโยชน์ เป็นไปเพื่อทุกข์ ดังนี้ ท่านควรละธรรมเหล่านั้นเสียเมื่อนั้น.

[เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสห้ามไม่ให้ถือโดยอาการสิบอย่าง
มีถือโดยได้ฟังตามกันมาเป็นต้น ให้พิจารณารู้ด้วยตนเองแล้ว เว้นสิ่งที่ควรเว้นเสียอย่างนี้แล้ว
จะทรงแนะนำให้กาลามชนได้ปัญญาพิจารณาเห็นสิ่งที่ควรเว้นนั้นด้วยตนเอง
จึงตรัสปุจฉายกโลภะ
(ความละโมบอยากได้เหลือเกิน)
โทสะ
(ความมีใจโกรธขัดเคืองแล้วประทุษร้ายใจตัวเองแลผู้อื่น) โมหะ (ความหลง) ขึ้นถาม
ให้กาลามชนทูลตอบตามความเห็นโดยลำดับอย่างนี้
]

ภ. ท่านจะสำคัญความนั้นเป็นไฉน โลภะความอยากได้ เมื่อเกิดขึ้นในภายในของบุรุษ
ย่อมเกิดขึ้นเพื่อประโยชน์ หรือเพื่อสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์.

กา. โลภะนั้นย่อมเกิดขึ้นเพื่อสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์ พระพุทธเจ้าข้า.

ภ. บุรุษผู้โลภแล้ว อันความโลภครอบงำแล้ว มีใจอันความโลภยึดไว้รอบแล้ว
ฆ่าสัตว์มีชีวิตบ้าง ถือเอาสิ่งของที่เจ้าของไม่ให้แล้วบ้าง ผิดภรรยาผู้อื่นบ้าง พูดเท็จบ้าง
สิ่งใดเป็นไปเพื่อสิ่งไม่เป็นประโยชน์ เพื่อทุกข์ แก่ผู้อื่นนั้น สิ้นกาลนาน
ย่อมชักชวนผู้อื่นในความเป็นอย่างนั้น ข้อนี้จริงหรือไม่
.

กา. ข้อนี้จริงอย่างนี้ พระพุทธเจ้าข้า

ภ. ท่านจะสำคัญความนั้นเป็นไฉน โทสะความประทุษร้าย เมื่อเกิดขึ้นภายในของบุรุษ
เกิดขึ้นเพื่อประโยชน์ หรือเพื่อสิ่งไม่เป็นประโยชน์
.

กา. โทสะนั้น เกิดขึ้นเพื่อสิ่งไม่เป็นประโยชน์ พระพุทธเจ้าข้า.

ภ. บุรุษอันโทสะประทุษร้ายแล้ว อันโทสะครอบงำแล้ว มีใจอันโทสะยึดไว้รอบแล้ว
ฆ่าสัตว์มีชีวิตบ้าง ถือเอาสิ่งของที่เจ้าของไม่ให้แล้วบ้าง ผิดภรรยาผู้อื่นบ้าง พูดเท็จบ้าง
สิ่งใดเป็นไปเพื่อสิ่งไม่เป็นประโยชน์ เพื่อทุกข์ แก่ผู้อื่นนั้น สิ้นกาลนาน
ย่อมชักชวนผู้อื่นในความเป็นอย่างนั้น ข้อนี้จริงหรือไม่
.

กา. ข้อนี้จริงอย่างนั้น พระพุทธเจ้าข้า.

ภ. ท่านจะสำคัญความนั้นเป็นไฉน โมหะความหลง เมื่อเกิดขึ้นภายในของบุรุษ
เกิดขึ้นเพื่อประโยชน์ หรือเพื่อสิ่งไม่เป็นประโยชน์
.

กา. โมหะนั้นเกิดขึ้นเพื่อสิ่งไม่เป็นประโยชน์ พระพุทธเจ้าข้า.

ภ. บุรุษผู้หลงแล้ว อันความหลงครอบงำแล้ว มีใจอันความหลงยึดไว้รอบแล้ว
ฆ่าสัตว์มีชีวิตบ้าง ถือเอาสิ่งของที่เจ้าของไม่ให้แล้วบ้าง ผิดภรรยาผู้อื่นบ้าง พูดเท็จบ้าง
สิ่งใดเป็นไปเพื่อสิ่งไม่เป็นประโยชน์ เพื่อทุกข์ แก่ผู้อื่นนั้น สิ้นกาลนาน
ย่อมชักชวนผู้อื่นในความเป็นอย่างนั้น ข้อนี้จริงหรือไม่
.

กา. ข้อนี้จริงอย่างนั้น พระพุทธเจ้าข้า.

ภ. ท่านจะสำคัญความนั้นเป็นไฉน ธรรมเหล่านี้เป็นกุศล หรือเป็นอกุศล.

กา. เป็นอกุศล พระพุทธเจ้าข้า.

ภ. มีโทษ หรือไม่มีโทษ.

กา. มีโทษ พระพุทธเจ้าข้า.

ภ.ท่านผู้รู้ติเตียน หรือท่านผู้รู้สรรเสริญ.

กา. ท่านผู้รู้ติเตียน พระพุทธเจ้าข้า.

. ใครประพฤติให้เต็มที่แล้ว เป็นไปเพื่อสิ่งไม่เป็นประโยชน์
เป็นไปเพื่อทุกข์หรือไม่ ความเห็นของท่านในข้อนี้เป็นอย่างไร

กา. ใครประพฤติให้เต็มที่แล้ว เป็นไปเพื่อสิ่งไม่เป็นประโยชน์
เป็นไปเพื่อทุกข์ ความเห็นของข้าพระพุทธเจ้า ในข้อนี้อย่างนี้
.

ภ. เราได้กล่าวคำใดว่า ท่านอย่าได้ถือโดยได้ฟังตามกันมา อย่าได้ถือโดยลำดับสืบ ๆ กันมา
อย่าได้ถือโดยความตื่นว่าได้ยินว่าอย่างนี้ ๆ อย่าได้ถือโดยอ้างตำรา อย่าได้ถือโดยเหตุนึกเดาเอา
อย่าได้ถือโดยนัยคือคาดคะเน อย่าได้ถือโดยความตรึกตามอาการ
อย่าได้ถือโดยชอบใจว่าต้องกันกับลัทธิของตน อย่าได้ถือโดยเชื่อว่าผู้พูดสมควรจะเชื่อได้
อย่าได้ถือโดยความนับถือว่าสมณะผู้นี้เป็นครูของเรา
เมื่อใดท่านรู้ด้วยตนนั่นแลว่า ธรรมเหล่านี้เป็นอกุศล ธรรมเหล่านี้มีโทษ
ธรรมเหล่านี้ท่านผู้รู้ติเตียน ธรรมเหล่านี้ ใครประพฤติให้เต็มที่แล้ว
เป็นไปเพื่อสิ่งไม่เป็นประโยชน์ เป็นไปเพื่อทุกข์ ดังนี้ ท่านควรละธรรมเหล่านั้นเสียเมื่อนั้น
ดังนี้ คำนั้นเราได้อาศัยความข้อนี้แล กล่าวแล้ว.

[พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแนะนำให้กาลามชนได้ปัญญาพิจารณาเห็นสิ่งที่ควรเว้นนั้น
ด้วยตนเองอย่างนี้แล้ว ตรัสสอนให้พิจารณาให้รู้ด้วยตนเองแล้วทำสิ่งที่ควรทำต่อไปว่า
]
ท่านอย่าได้ถือโดยได้ฟังตามกันมา อย่าได้ถือโดยลำดับสืบ ๆ กันมา
อย่าได้ถือโดยความตื่นว่าได้ยินว่าอย่างนี้ ๆ อย่าได้ถือโดยอ้างตำรา อย่าได้ถือโดยเหตุนึกเดาเอา
อย่าได้ถือโดยนัยคือคาดคะเน อย่าได้ถือโดยความตรึกตามอาการ
อย่าได้ถือโดยชอบใจว่าต้องกันกับลัทธิของตน อย่าได้ถือโดยเชื่อว่าผู้พูดสมควรจะเชื่อได้
อย่าได้ถือโดยความนับถือว่าสมณะผู้นี้เป็นครูของเรา
เมื่อใดท่านรู้ด้วยตนนั่นแลว่า ธรรมเหล่านี้เป็นกุศล ธรรมเหล่านี้ไม่มีโทษ
ธรรมเหล่านี้ท่านผู้รู้สรรเสริญ ธรรมเหล่านี้ ใครประพฤติให้เต็มที่แล้ว เป็นไปเพื่อประโยชน์
เป็นไปเพื่อสุข ดังนี้ ท่านควรถึงพร้อมธรรมเหล่านั้นอยู่เมื่อนั้น.

[ครั้นตรัสสอนอย่างนี้แล้ว ตรัสปุจฉายกอโลภะ (ความไม่โลภ)
อโทสะ
(ความมีใจไม่ขัดเคือง ไม่ประทุษร้ายใจตัวเองแลผู้อื่น) อโมหะ (ความไม่หลง) ขึ้นถาม
ให้กาลามชนทูลตอบตามความเห็นโดยลำดับดุจหนหลัง ดังนี้
]

ภ. ท่านจะสำคัญความนั้นเป็นไฉน อโลภะความไม่อยาก เมื่อเกิดขึ้นภายในแห่งบุรุษ
เกิดขึ้นเพื่อประโยชน์ หรือเพื่อสิ่งไม่เป็นประโยชน์
.

กา. อโลภะนั้นย่อมเกิดขึ้น เพื่อประโยชน์ พระพุทธเจ้าข้า.

ภ. บุรุษผู้ไม่โลภแล้ว อันโลภะไม่ครอบงำแล้ว มีใจอันโลภะไม่ยึดไว้รอบแล้ว
ไม่ฆ่าสัตว์มีชีวิต ไม่ถือเอาสิ่งของที่เจ้าของไม่ให้แล้ว ไม่ผิดภรรยาผู้อื่น ไม่พูดเท็จ
สิ่งใดเป็นไปเพื่อประโยชน์ เพื่อสุข แก่ผู้อื่นนั้น สิ้นกาลนาน
ย่อมชักชวนผู้อื่นในความเป็นอย่างนั้น ข้อนี้จริงหรือไม่
.

กา. ข้อนี้จริงอย่างนั้น พระพุทธเจ้าข้า.

ภ. ท่านจะสำคัญความนั้นเป็นไฉน อโทสะความไม่ประทุษร้าย เมื่อเกิดขึ้นภายในแห่งบุรุษ
ย่อมเกิดขึ้นเพื่อประโยชน์ หรือเพื่อไม่เป็นประโยชน์
.

กา. อโทสะนั้น เกิดขึ้นเพื่อประโยชน์ พระพุทธเจ้าข้า.

ภ. บุรุษอันโทสะไม่ประทุษร้ายแล้ว อันโทสะไม่ครอบงำ มีใจอันโทสะไม่ยึดไว้รอบแล้ว
ไม่ฆ่าสัตว์มีชีวิต ไม่ถือเอาสิ่งที่เจ้าของเขาไม่ให้แล้ว ไม่ผิดในภรรยาผู้อื่น ไม่พูดเท็จ
สิ่งใดเป็นไปเพื่อประโยชน์ เพื่อสุข แก่ผู้อื่นนั้น สิ้นกาลนาน
ย่อมชักชวนผู้อื่นในความเป็นอย่างนั้น ข้อนี้จริงหรือไม่
.

กา. ข้อนี้จริงอย่างนั้น พระพุทธเจ้าข้า.

ภ. ท่านจะสำคัญความนั้นเป็นไฉน อโมหะความไม่หลง เมื่อเกิดขึ้นภายในแห่งบุรุษ
เกิดขึ้นเพื่อประโยชน์หรือเพื่อสิ่งไม่เป็นประโยชน์
.

กา. อโมหะนั้น เกิดขึ้นเพื่อประโยชน์ พระพุทธเจ้าข้า.

ภ. บุรุษผู้ไม่หลงแล้ว อันความหลงไม่ครอบงำแล้ว มีใจอันความหลงไม่ยึดไว้รอบแล้ว
ไม่ฆ่าสัตว์มีชีวิต ไม่ถือเอาสิ่งของที่เจ้าของไม่ให้แล้ว ไม่ผิดภรรยาผู้อื่น ไม่พูดเท็จ
สิ่งใดเป็นไปเพื่อประโยชน์ เพื่อสุข แก่ผู้อื่นนั้น สิ้นกาลนาน
ย่อมชักชวนผู้อื่นในความเป็นอย่างนั้น ข้อนี้จริงหรือไม่
.

กา. ข้อนี้จริงอย่างนั้น พระพุทธเจ้าข้า.

ภ. ท่านจะสำคัญความนั้นเป็นไฉน ธรรมเหล่านี้เป็นกุศล หรือเป็นอกุศล.

กา. เป็นกุศล พระพุทธเจ้าข้า.

ภ. มีโทษ หรือไม่มีโทษ.

กา. ไม่มีโทษ พระพุทธเจ้าข้า.

ภ. ท่านผู้รู้ติเตียน หรือท่านผู้รู้สรรเสริญ.

กา. ท่านผู้รู้สรรเสริญ พระพุทธเจ้าข้า.

ภ. ธรรมเหล่านี้ใครประพฤติให้เต็มที่แล้ว เป็นไปเพื่อประโยชน์ เพื่อสุขหรือไม่
ความเห็นของท่านในข้อนี้ เป็นอย่างไร
.

กา. ธรรมเหล่านี้ใครประพฤติให้เต็มที่แล้ว เป็นไปเพื่อประโยชน์ เพื่อสุข
ความเห็นของข้าพระพุทธเจ้าในข้อนี้เป็นอย่างนี้
.

ภ. เราได้กล่าวคำใดว่า ท่านทั้งหลายอย่าได้ถือโดยได้ฟังตามกันมา อย่าได้ถือโดยลำดับสืบ ๆ กันมา
อย่าได้ถือโดยความตื่นว่าได้ยินว่าอย่างนี้ ๆ อย่าได้ถือโดยอ้างตำรา อย่าได้ถือโดยเหตุนึกเดาเอา
อย่าได้ถือโดยนัยคือคาดคะเน อย่าได้ถือโดยความตรึกตามอาการ
อย่าได้ถือโดยชอบใจว่าต้องกันกับลัทธิของตน อย่าได้ถือโดยเชื่อว่าผู้พูดสมควรจะเชื่อได้
อย่าได้ถือโดยความนับถือว่าสมณะผู้นี้เป็นครูของเรา
เมื่อใดท่านรู้ด้วยตนนั่นแลว่า ธรรมเหล่านี้เป็นกุศล ธรรมเหล่านี้ไม่มีโทษ
ธรรมเหล่านี้ท่านผู้รู้สรรเสริญ ธรรมเหล่านี้ ใครประพฤติให้เต็มที่แล้ว
เป็นไปเพื่อสิ่งเป็นประโยชน์ เป็นไปเพื่อสุข ดังนี้ ท่านควรถึงพร้อมธรรมเหล่านั้นอยู่เมื่อนั้น
ดังนี้ คำนั้นเราได้อาศัยความข้อนี้แล กล่าวแล้ว

(พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแนะนำให้กาลามชนได้ปัญญา ให้พิจารณาเห็นด้วยตนเองแล้ว
ทำสิ่งที่ควรทำอย่างนี้แล้ว ทรงแสดงอานิสงส์อันชนผู้ปฏิบัติอย่างนั้นจะพึงได้จะพึงถึง ดังนี้ว่า)
อริยสาวกนั้นปราศจากความโลภ ปราศจากพยาบาทแล้ว ไม่หลงแล้ว อย่างนี้
มีสัมปชัญญะ มีสติรู้รอบคอบ
มีใจประกอบด้วยเมตตา คือ ปรารถนาให้หมู่สัตว์ได้ความสุขทั่วหน้า
มีใจประกอบด้วยกรุณา คือ ปรารถนาให้หมู่สัตว์พ้นจากทุกข์ทั่วหน้า
มีใจประกอบด้วยมุทิตา คือ ร่าเริงบันเทิงต่อสมบัติที่สัตว์อื่นได้
แลมีใจประกอบด้วยอุเบกขา คือ ตั้งใจเป็นกลางไม่ลำเอียงเข้าข้างไหน
แผ่อัปปมัญญา
(ภาวนาที่แผ่ไปในหมู่สัตว์ไม่มีประมาณ)
พรหมวิหาร
(ธรรมเป็นที่อยู่ของผู้ประเสริฐ) สี่ประการนี้ไปตลอดทิศที่หนึ่ง ที่สอง ที่สาม ที่สี่
มีใจประกอบด้วยเมตตา
(ความปรารถนาให้เป็นสุข) กรุณา (ความปรารถนาให้พ้นจากทุกข์)
มุทิตา
(ความร่าเริงยินดีต่อสมบัติที่ผู้อื่นได้) อุเบกขา (ความเฉยเป็นกลาง) ไพบูลย์เต็มที่
เป็นจิตใหญ่มีสัตว์หาประมาณมิได้เป็นอารมณ์ ไม่มีเวร ไม่มีความเบียดเบียน
แผ่อัปปมัญญาพรหมวิหารตลอดโลกอันมีสัตว์ทั้งปวง ในที่ทั้งปวง
ด้วยความเป็นผู้มีใจในสัตว์ทั้งปวง ทั้งทิศเบื้องบนเบื้องต่ำเบื้องขวาง ดังนี้อยู่เสมอ
อริยสาวกนั้นมีจิตหาเวรมิได้อย่างนี้ มีจิตหาความเบียดเบียนมิได้อย่างนี้
มีจิตไม่เศร้าหมองแล้วอย่างนี้ มีจิตหมดจดแล้วอย่างนี้ เธอได้ความอุ่นใจสี่ประการในชาตินี้

ความอุ่นใจที่หนึ่งว่า ถ้าโลกเบื้องหน้ามีอยู่. ผลแห่งกรรมที่สัตว์ทำดีทำชั่วมีอยู่
ข้อนี้เป็นฐานะที่เป็นได้ คือเบื้องหน้าแต่กายแตกตายไปแล้ว
เราจะเข้าไปถึงสุคติโลกสวรรค์ ดังนี้ ความอุ่นใจนี้ อริยสาวกได้แล้วเป็นที่หนึ่ง

ความอุ่นใจที่สองว่า ถ้าโลกเบื้องหน้าไม่มี ผลแห่งกรรมที่สัตว์ทำดีทำชั่วก็ไม่มี
เราก็จะรักษาตนให้เป็นคนไม่มีเวร ไม่มีความเบียดเบียน ไม่มีทุกข์
มีแต่สุขในชาตินี้ ดังนี้ ความอุ่นใจนี้ อริยสาวกได้แล้วเป็นที่สอง

ความอุ่นใจที่สามว่า ถ้าเมื่อบุคคลทำบาป บาปชื่อว่าเป็นอันทำ
เราไม่ได้คิดบาปให้แก่ใคร ๆ ไหนเลยทุกข์จักมาถูกต้องเราผู้ไม่ได้ทำบาป
ดังนี้ ความอุ่นใจนี้ อริยสาวกได้แล้วเป็นที่สาม

ความอุ่นใจที่สี่ว่า ถ้าเมื่อบุคคลทำบาป บาปไม่ชื่อว่าเป็นอันทำ
เราก็ได้พิจารณาเห็นตนเป็นคนบริสุทธิ์แล้วทั้งสองส่วน
ดังนี้ ความอุ่นใจนี้ อริยสาวกได้แล้วเป็นที่สี่

อริยสาวกนั้นมีจิตหาเวรมิได้อย่างนี้ มีจิตหาความเบียดเบียนมิได้อย่างนี้
มีจิตไม่เศร้าหมองแล้วอย่างนี้ มีจิตหมดจดแล้วอย่างนี้
เธอได้ความอุ่นใจสี่ประการเหล่านี้แล ในชาตินี้
.

กา. ข้าแต่พระผู้มีพระภาคเจ้า เรื่องนั้นเป็นจริงอย่างนั้น ข้าแต่พระสุคต ข้อนั้นเป็นจริงอย่างนั้น
อริยสาวกนั้นมีจิตหาเวรมิได้อย่างนี้ มีจิตหาความเบียดเบียนมิได้อย่างนี้
มีจิตไม่เศร้าหมองแล้วอย่างนี้ มีจิตหมดจดแล้วอย่างนี้
เธอได้ความอุ่นใจสี่ประการเหล่านี้แล ในชาตินี้

ความอุ่นใจที่หนึ่งว่า ถ้าโลกเบื้องหน้ามีอยู่. ผลแห่งกรรมที่สัตว์ทำดีทำชั่วมีอยู่
ข้อนี้เป็นฐานะที่เป็นได้ คือเบื้องหน้าแต่กายแตกตายไปแล้ว
เราจะเข้าไปถึงสุคติโลกสวรรค์ ดังนี้ ความอุ่นใจนี้ อริยสาวกได้แล้วเป็นที่หนึ่ง

ความอุ่นใจที่สองว่า ถ้าโลกเบื้องหน้าไม่มี ผลแห่งกรรมที่สัตว์ทำดีทำชั่วก็ไม่มี
เราจะรักษาตนให้เป็นคนไม่มีเวร ไม่มีความเบียดเบียน ไม่มีทุกข์
แต่มีสุขในชาตินี้ ดังนี้ ความอุ่นใจนี้ อริยสาวกได้แล้วเป็นที่สอง

ความอุ่นใจที่สามว่า ถ้าเมื่อบุคคลทำบาป บาปชื่อว่าเป็นอันทำ
เราไม่ได้คิดบาปให้แก่ใคร ๆ ไหนเลยทุกข์จักมาถูกต้องเราผู้ไม่ทำบาป
ดังนี้ ความอุ่นใจนี้ อริยสาวกได้แล้วเป็นที่สาม

ความอุ่นใจที่สี่ว่า ถ้าเมื่อบุคคลทำบาป บาปไม่ชื่อว่าเป็นอันทำ
เราก็ได้พิจารณาเห็นตนเป็นคนบริสุทธิ์แล้วทั้งสองส่วนในโลกนี้
ดังนี้ ความอุ่นใจนี้ อริยสาวกได้แล้วเป็นที่สี่

อริยสาวกนั้นมีจิตหาเวรมิได้อย่างนี้ มีจิตหาความเบียดเบียนมิได้อย่างนี้
มีจิตไม่เศร้าหมองแล้วอย่างนี้ มีจิตหมดจดแล้วอย่างนี้
อริยสาวกได้ความอุ่นใจสี่ประการเหล่านี้แล้ว ในชาตินี้
.

(เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสพระธรรมเทศนาจบแล้ว กาลามชนทูลรับว่า
ข้อนั้นเป็นจริงอย่างนั้น ๆ แล้ว ทูลสรรเสริญพระธรรมเทศนาและแสดงตนเป็นอุบาสกว่า)
ภาษิตของพระองค์ไพเราะยิ่งนัก ๆ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงประกาศพระธรรมเทศนาโดยบรรยาย
(เหตุหรือกระแสความ) หลายอย่าง ให้ข้าพระพุทธเจ้าเห็นทางที่จะปฏิบัติแจ้งชัดแก่ปัญญา
อุปมาดุจบุคคลหงายของที่คว่ำ หรือเช่นเปิดของที่มีสิ่งกำบังไว้ หรือเหมือนบอกทางให้แก่คนหลงทาง
หรือเปรียบอย่างตามตะเกียงไว้ในที่มืด ด้วยหวังว่าผู้มีนัยน์ตาจะได้เห็นรูป
ฉะนั้น ข้าพระพุทธเจ้าขอถึงพระผู้มีพระภาคเจ้ากับทั้งพระธรรมและพระสงฆ์เป็นที่พึ่งพำนัก
ขอพระผู้มีพระภาคเจ้าจงทรงจำข้าพระพุทธเจ้าไว้ว่าเป็นอุบาสกถึงสรณะ
(สิ่งที่ควรถึงว่าเป็นที่พึ่งพำนัก)
จนตลอดชีวิต จำเดิมแต่วันนี้เป็นต้นไป ดังนี้
.


หมายเหตุ *พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหมื่นวชิรญาณวโรรส ทรงแปลไว้เดิม.


กาลามสูตรที่ ๕ จบ


(กาลามสูตร พระสุตตันตปิฎก อังคุตรนิกาย ติกนิบาตร
พระไตรปิฎกและอรรถกถาแปล ฉบับมหามกุฏราชวิทยาลัย เล่มที่ ๓๔)



แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP