วรรณกรรมนำใจ Lite Literature

กรงไฟ ๑๒


cover_krongfire

นวนิยายเรื่องนี้ เขียนขึ้นเพื่อความบันเทิง
หากมีชื่อ-สกุล เรื่องราวใดพ้องกับบุคคลจริง ต้องกราบขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย

ชลนิล



(ต่อจากฉบับที่แล้ว)


เชนจอดรถหน้าโรงแรม เดินลัดเลาะไปโรงเจด้านหลัง เวลาค่อนข้างดึก ห้างฯ ปิดแล้ว ยังมีพวกพนักงาน พวกกลับจากชมภาพยนตร์ทยอยออกมา

ถึงหน้าโรงเจ ความมืด ความเงียบที่นี่ตรงข้ามกับแสงไฟ ผู้คนหน้าห้างฯ ราวกับคนละโลก...แห่งหนึ่งมีผู้คนมีชีวิตชีวา อีกแห่งเงียบ วังเวง มีแต่ดวงวิญญาณวนเวียน

ประตูหน้าโรงเจไม่ล็อกกุญแจ คนดูแลไม่ห่วงเรื่องทรัพย์สิน ที่ศาลาเก๋งจีนจะปิดล็อกอีกชั้นอยู่แล้ว เชนได้แต่เดินรอบๆ ไม่สามารถเข้าศาลา

สายลมกรูเกรียวพัดยอดไม้เอนไหว บังเกิดเสียงซู่ซ่า ชายหนุ่มก้าวล่วงประตูไม่ต่างจากสาวเท้าสู่แดนสนธยา แค่ก้าวเดียวก็สัมผัสกระไอเย็นแผ่กระจายรอบตัว ความเย็นเช่นนี้ไม่ใช่เย็นจากความกดอากาศในหน้าหนาว เป็นความเย็นชืดแห้ง แตะถึงใจ เหน็บหนาว วังเวงน่าหวาดหวั่น

กระสากลิ่นเอียนๆ กระจายแทรกสายลม กลิ่นที่หากไม่สังเกตจะไม่อาจแยกแยะออกจากอากาศรอบตัว

เชนก้าวเท้าถึงหน้าศาลา ตอบตนเองไม่ถูกจะทำอย่างไร...ออกปากเรียกคุณนายพวงทองตรงๆ หรือต้องจุดธูปเทียนตามรูปแบบพิธีกรรม

ถ้าทำอย่างแรก...ไม่ยากเลย สงสัยแค่คุณนายพวงทองจะออกมาพบได้หรือไม่

หากทำอย่างที่สอง...คงลำบาก เขาไม่มีอุปกรณ์...ที่สำคัญ ไม่มีคาถาเรียกผี

คิดถึงตรงนี้ อดยิ้มกับตัวเองไม่ได้ คนอื่นมาเจอบรรยากาศเช่นนี้คนเดียวคงขวัญหนีวิ่งกระเจิดกระเจิง จ้างเท่าไหร่ไม่ยอมมาเด็ดขาด ทำไมเชนถึงไม่กลัว หนำซ้ำยังผลุนผลันมาอย่างร้อนใจ

เขาไม่มีความกลัว หรือมั่นใจความแข็งแกร่งในสติตน

ไม่ใช่ทั้งคู่...เชนเป็นคนธรรมดา ย่อมกลัวสิ่งที่มองไม่เห็น ไม่รู้ สัมผัสไม่ได้ สติสัมปชัญญะไม่ได้แข็งกว่าคนทั่วไป ไม่มีวิชาดีสามารถปราบผี

สิ่งที่เชนมีคือความเมตตา

เขาสงสารคุณนายพวงทอง เป็นห่วงพวกน้าคนละสายเลือด เมื่อมีเมตตาคลุมใจเช่นนี้ ความหวาดกลัวจึงไม่สามารถทำอะไรได้

ยืนอยู่หน้าศาลาโรงเจ เชนออกปากเบาๆ

คุณยายครับ ผมมาแล้ว น้ำเสียงถ้อยคำไม่เกินกระซิบ มีอะไรจะให้ช่วยก็บอกผมมาได้เลยครับ

จิตใจหนักแน่น ต้องการช่วยเหลือดวงวิญญาณที่ไร้โอกาส เขาจึงยืนหยัดมั่นคง ดวงตาทอประกายห่วงใย

วู้...วู้...สายลมชืดพัดผ่านผิวกาย ราวผัสสะผ่านลมหายใจผู้ไร้ชีวิต เชนสงบใจรอ มันเป็นสิ่งเดียวที่เขาทำได้


ลักษณ์แปลกใจที่กลับมาเห็นลูกสาวนั่งกินขนม ของหวานในห้องนั่งเล่นหน้าจอทีวี แถมแต่งชุดนอนสไตล์เซอร์ยิปซี บอกได้คืนนี้เจ้าตัวคงไม่ออกไปไหน แถมยังตั้งใจมานั่งรอ เพราะห้องหล่อนก็มีทีวี

"คืนนี้ไม่ออกไปเที่ยวไหนหรือ" ลักษณ์ถาม

"พ่ออยากให้ไปมั้ยล่ะ" ลูกสาวตอบกลับแบบไม่ใส่ใจ สายตายังอยู่หน้าจอทีวี กิริยาตักกินขนมไม่เปลี่ยนแปลงสักนิด

"เปล่า...ถามดูอย่างนั้นเอง" คราวนี้คนเป็นพ่อไม่คิดต่อปากต่อคำ หนำซ้ำยังนั่งบนโซฟายาวเดียวกับลูกสาว

"พ่อกินอะไรมาหรือยัง เอาขนมแบบรุ้งมั้ย" รุ่งรตีหันมาถามง่ายทำให้อีกฝ่ายฉงน ร้อยวันพันปีลูกสาวตนไม่เคยสนใจเอาใจใส่เช่นนี้มาก่อน

"อือ...ก็ดีนะ" เขาตอบทั้งที่ไม่นึกอยากกินสักนิด

รุ่งรตีวางถ้วยขนม เข้าไปในครัว ตักของหวานอีกถ้วยออกมาส่งให้บิดา

"อร่อยดีนะพ่อ" หญิงสาวบอกกึ่งเชิญชวน

"รุ้งทำเองหรือเปล่า"

"เปล่า...ซื้อมาน่ะ เห็นคนเข้าคิวรอกันเยอะ ท่าทางน่าอร่อย ลองชิมดูก็อร่อยดีเลยซื้อกลับ...บ้าน" ท้ายเสียงหล่อนตั้งใจบอกว่า...ซื้อกลับมาฝากพ่อ...แต่ความกระดากจึงเลี่ยงไปอีกคำ

ลักษณ์ตักขนมที่ลูกสาวซื้ออย่างไม่อยากให้เสียกำลังใจ พอชิมรสชาติถูกปาก ก็กินต่อไปเรื่อยจนหมดชามไม่รู้ตัว

รุ่งรตีเห็นพ่อกินขนมที่หล่อนซื้อมาจนหมดก็อมยิ้มไม่พูดอะไร สายตามองจอโทรทัศน์ดังเดิม นัยน์ตามีประกายสดใสกว่าเคย

สองพ่อลูกนั่งดูทีวีเงียบ ๆ ไม่พูดจา สำหรับรุ่งรตี นี่คือนิมิตหมายอันดี หล่อนกับพ่อไม่เคยนั่งดูทีวีร่วมกันนานแล้ว นานพอกับไม่เคยพูดจากันดี ๆ สักครั้ง...บางทีการดูทีวีเงียบ ๆ เฉย ๆ อาจสร้างความรู้สึกที่ดีต่อกันเกินกว่าที่คิดก็ได้

คำพูดคุณจิตใสกระตุ้นให้รุ่งรตีเข้าใจบางอย่าง ถึงหล่อนต่อต้านบิดามาตลอด ไม่เคยพูดจาดี ๆ สักครั้ง ส่วนลึกข้างในกลับไขว่คว้าหาความอบอุ่นที่ขาดหาย...ความรักรูปแบบที่ตนต้องการ...

...ความรัก...มักมีรูปแบบการสื่อสารที่หลากหลาย รุ่งรตีอาจได้รับความรักจากพ่อมาตลอด เพียงแต่เป็นรูปแบบที่หล่อนสัมผัสไม่ได้เท่านั้นเอง

คืนนี้หญิงสาวไม่ออกไปไหน ตั้งใจรอบิดาตน จนมานั่งดูทีวีกันสองคน เริ่มรู้สึกถึงความรักความผูกพันโดยไม่ต้องพูด...หากกล้าเปิดใจกว้างยอมรับ...ย่อมสัมผัสมันได้...


อากาศที่เย็นอยู่แล้วยิ่งยะเยียบจับใจ สายลมพัดแผ่วเป็นระยะราวระลอกคลื่นทยอยผ่านไม่รู้จบสิ้น เวลาล่วงผ่านนานเท่าไร ความเหน็บหนาวยิ่งถาโถมไม่ผิดกับกองทัพปิศาจเหมันต์จู่โจม

เชนยืนนิ่งหน้าศาลา อากาศหนาวเย็นรายล้อมไม่อาจสร้างความหวั่นใจ...เขากำลังรอ...รอคอยการสื่อสารจากผู้ต่างภพ...ถ้าเป็นเมื่อก่อนเขาคงไม่ปักใจเชื่อขนาดนี้ แต่จากประสบการณ์หลายครั้ง โดยเฉพาะครั้งล่าสุด...ที่คุณนายพวงทองมาเตือนให้ช่วยรามจนหลบเลี่ยงการปองร้ายสำเร็จ ทำให้เขายิ่งเชื่อมั่น

เพราะความเชื่อมั่นครั้งนั้น เขาถึงมายืนตรงนี้

คุณยายพวงทอง...หากมีข้อความใดต้องการบอกกล่าวให้ช่วยเหลือ...ก็รีบบอกมา...เขาพร้อมรับฟังและกระทำโดยไม่เกี่ยงงอน

ชายหนุ่มหลับตา ความอบอุ่นก่อตัวในใจ ความอบอุ่นนั้นสามารถขจัดความหนาวเย็นรอบกายได้หมดสิ้น

...เชน...เชน...

กระแสเสียงแผ่วเบาราวแมงหวี่แว่วเข้าหู ชายหนุ่มลืมตาเหลียวมองรอบกาย พบความมืดวังเวงกางตาข่ายรายล้อมไม่ผิดจากเดิม สูดลมหายใจยาวลึก กระสากลิ่นเอียน ๆ มาอีก

ขยับขาเดินรอบศาลา ต้องการหาจุดที่สัมผัสเสียงชัดเจนกว่าเดิม

...เชน...เชน...

เสียงชัดเจนขึ้น ฟังอ่อนล้า เหน็ดเหนื่อย ชายหนุ่มเดินตามหาต้นเสียง กวาดตาเพ่งมองความมืด พยายามแยกแยะ เงาตะคุ่มค้นหาคุณนายพวงทอง

ครู่ใหญ่ผ่านไป ไม่มีอะไรคืบหน้ากว่าเดิม เชนรู้สึกตนเองกำลังทำเรื่องไร้สาระ เดินออกจากจุดมุ่งหมายของการมาที่นี่ เขาอยากพบคุณนายพวงทองมากเกินไป จนกลายเป็นเพ่งหา ทั้งที่ได้ยินแค่เสียง

สังเกตให้ดี แต่ละครั้งที่พบคุณนายพวงทอง เขาไม่อยู่ในสภาพตั้งอกตั้งใจขนาดนี้ จิตใจผ่อนคลาย เปิดกว้าง ไม่ตีบตัน พร้อมรับกระแสคลื่นของผู้ตั้งใจส่ง

พอได้คิด เชนก็นั่งตรงบันไดหน้าศาลา ระบายลมหายใจแผ่ว ไม่ค้นหา ไม่เฝ้ามอง ปล่อยร่างกายสบาย ทอดสายตาผ่านความมืดแบบไม่เจาะจง คราวนี้เสียงคุณนายพวงทองชัดเจนดังข้างหู

...เชน...เชน...

ชายหนุ่มหันขวับ นิ่งอั้น ที่บันได้ขั้นเดียวกันห่างไม่กี่คืบ มีเงาดำก่อตัวขึ้นโดดเด่นกว่าความมืดรอบด้าน จิตใจที่ผ่อนคลายก่อให้เห็นภาพคุณนายพวงทองราง ๆ อยู่ภายใน...มันไม่อาจเห็นชัดเจนด้วยตาเนื้อ แต่แจ่มชัดตรงจักษุประสาทด้านใน เท่าที่กำลังความสามารถประสาทสัมผัสจะรับได้

"เชน...บอกพวกเขาที" เสียงฟังชัด ขาดเป็นห้วง

เชนตั้งสติ รอรับฟัง

"ฆาตกรรม...มันเป็นฆาตกรรม"

เสียงเด่นชัดโดดออกมาเป็นประโยคก่อนวูบหาย กำลังทั้งหมดถูกรวบรวมส่งข้อความได้เพียงเท่านี้เอง

เชนอึ้ง ตะลึง ปัญหาเกิดขึ้นอย่างช่วยไม่ได้

ฆาตกรรม...ใคร...ใครคือเหยื่อ...ใครคือฆาตกร...





บทที่ ๑๐


ฆาตกรรม...คำนี้ฟังแล้วชวนเสียวสันหลัง ยิ่งได้ยินมันจากบุคคลที่หาชีวิตไม่...ยิ่งทำให้น่าขนลุก เชนแน่ใจต้องเกิดเหตุฆาตกรรม แค่ไม่รู้มันจะเกิดขึ้นที่ไหน เมื่อไหร่ สำคัญที่สุด...เกิดกับใคร...

เรื่องราวการมาเยือนโรงเจยามวิกาล จนได้พบคุณนายพวงทองถูกถ่ายทอดสู่คุณจิตใสและสามีตั้งแต่ต้นจนจบ ไม่มีขาดตกหกหล่นสักน้อย

เชนจบเรื่องราวด้วยประโยคสุดท้าย

"หลังจากได้ยินคุณยายบอกว่าฆาตกรรม ผมก็รอว่าแกจะพูดอะไรต่ออีกมั้ย แต่ก็ไม่มี...เงียบไปหมด บรรยากาศรอบตัวเปลี่ยนไป ไม่หนาวแปลกเหมือนตอนแรก แล้วผมก็รู้สึกว่าแกไปแล้ว ติดต่อกับผมไม่ได้"

ขณะฟังลูกชายเล่าเหตุการณ์เรื่องราว สองสามีภรรยากำหนดจิตพิจารณาตามเห็นภาพคุณนายพวงทองอยู่ท่ามกลางม่านหมอกพร่ามัว ทึบตัน ดวงจิตดิ่งจมเลื่อนลอย เหม่อซึมสลับกับมีสติชั่วแวบ...แรงกระตุ้นของสังหรณ์ผลักดันให้อยากช่วยเหลือลูก แต่แรงเหนี่ยวนำของภพภูมิดึงแกให้เลื่อนลอย ไม่รู้เนื้อรู้ตัว เหตุนี้เชนจึงติดต่อรับสารยากลำบากกว่าเดิม

"แล้วอย่างนี้เราจะรู้มั้ยครับ ว่าใครจะเป็นอันตราย" เชนถามพ่อแม่

คุณจิตใสดึงลมเข้าแผ่วเบา เรียกสติตาม สัมผัสถึงคุณนายพวงทองชัดเจนกว่าเดิม

"แม่ว่า คุณยายลูกก็คงไม่รู้เหมือนกัน" คุณจิตใสตอบ "แกบอกลูกเท่าที่สังหรณ์ของแกบอกได้"

"ถ้าอย่างนั้น เราจะรู้ได้ยังไงครับว่า ใครจะเป็นเหยื่อฆาตกรรมครั้งนี้" เชนตั้งคำถามที่ยากจะตอบ

นายพลทางธรรมอาศัยช่วงเวลาที่สองแม่ลูกคุยกันส่งจิตออกสัมผัสลูกทั้งห้าของคุณนายพวงทอง สิ่งที่ตอบกลับมาคล้ายเผชิญกำแพงหมอกหนาทึบ ไม่สามารถมองอะไรเห็น ไม่ว่าจะเคลื่อนสัมผัสทางใดก็รู้สึกไม่ต่างกัน

ดวงจิตรับรู้...นี่คือกำแพงกรรม...มันเคลื่อนปิดบังจนยากทะลุผ่านบอกให้เข้าใจ เหตุการณ์ที่จะเกิดข้างหน้า ไม่ใช่เรื่องที่ปุถุชนเช่นตนจะก้าวล่วงรู้เห็น

"ไม่จำเป็นต้องรู้หรอก" ผู้เป็นบิดาตอบบุตรชาย

"งั้นเราจะช่วยพวกเขาได้ยังไงครับ" ความอยากช่วยเหลือเต็มหัวอกอัดแน่นจนอึดอัด กระสับกระส่าย

"ตอนนี้ลูกช่วยตัวเองก่อนดีมั้ยจ๊ะ" คุณจิตใสสะกิดเตือน

เชนชะงัก มองมารดาอย่างสงสัย

"ช่วยตัวผมเรื่องอะไรครับ"

"ดูใจตัวเองตอนนี้สิ...เป็นยังไง" ผู้เป็นแม่พูดต่อ

เท่านั้น...ชายหนุ่มก็ได้สติ สังเกตเห็นความอึดอัด กระสับกระส่ายร้อนรนในใจตน...แม้เหตุจะมาจากความหวังดี...แต่ความ "อยาก" ที่ก่อให้เกิดความร้อนในหัวอก ก็ยังนับเป็นอกุศล

พอได้สติ ความอยากนั้นก็ดับลง ความผ่อนคลายเข้ามาแทนที่ เชนยิ้มให้มารดา...เคยโดนดักใจแบบนี้หลายครั้งจนชิน มีสติไว

"ผมนี่แย่จัง อยากจะช่วยเขาจนขาดสติ ถ้าอย่างนั้นพ่อแม่มีคำแนะนำอะไรมั้ยครับ"

"ไปนอนได้แล้ว" พ่อบอกง่าย ๆ

"อ้าว...แล้วเรื่องที่คุณยายบอกล่ะครับ" ชายหนุ่มคาใจ

"ดึกขนาดนี้ เชนจะไปปลุกพวกเขาแล้วบอกให้ระวังจะโดนฆาตกรรมหรือไง" คราวนี้โดนพ่อขนาบ

"ครับพ่อ" เชนยิ้มแหย ๆ ตัดความกังวลทันที วางปัญหาทั้งหมดไว้ตรงหน้าบิดามารดา ต่อไปเป็นเรื่องของท่านทั้งสองจะสานต่ออย่างไร

ลูกชายขึ้นบนห้องนอนเรียบร้อย สองสามีภรรยาหันหน้าคุยกัน แววตาส่งความเข้าใจแทนวาจา ลมหายใจระบายออกราวกับจะขับความกังวลค้างใจออกมาด้วย

"มันทึบขนาดนั้น พอจะมีทางคลี่คลายมั้ยคะ" คุณจิตใสเห็นไม่ต่างจากสามี

"พรุ่งนี้ค่อยว่ากัน...หวังว่ากงล้อกรรมคงไม่หมุนมาหาพวกเราเร็วนัก" นายพลทางธรรมพูดอย่างผู้ชายใจคอหนักแน่นกว่า

"ยังไงก็อดห่วงไม่ได้นะคะ" คุณจิตใสรับรู้รอยกังวลที่เกิดดับซ้ำ ๆ ในใจตน

"อุเบกขา" ท่านนายพลตอบอ่อนโยน "เราช่วยเท่าที่พอช่วยได้...ส่วนที่เหลือเป็นหน้าที่ของกรรม เขาจะทำงาน...เราต้องยอมรับ"

"ค่ะ"

คำตอบเบาสั้น ในเนื้อใจแสดงถึงการยอมรับอย่างลงใจ จนยากมีความเห็นอื่นมาสั่นคลอน...


มันเป็นถนนสายเปลี่ยว ถนนขรุขระไม่มีรถผ่านสักคัน สองข้างทางรกหญ้าสูง สลับต้นไม้ใหญ่เป็นช่วง ราตรีที่เงียบงัน แสงจันทร์สลัวรางทอแสงสีอ่อน คลี่คลายม่านมืดให้จืดจาง

รุ่งรตียืนอยู่ริมถนน กำลังรอคอย...ไม่รู้คอยอะไร...ไม่เป็นตัวของตัวเอง เดี๋ยวเลื่อนลอยเดี๋ยวสับสน คิดอะไรไม่ออก ทำอย่างอื่นไม่ได้ ถูกจับวางเป็นหุ่น มีหน้าที่ยืนและรอ

ไม่รู้รอนานเพียงใด เวลาช่างไม่ขยับเดิน รอบกายเสมือนโลกไร้ชีวิต ไม่มีการขยับไหวไม่เคลื่อนที่ สายตามองถนนทอดยาวใต้ม่านมืด ปลายทางนั้นมีบางอย่างขยับไหว

หญิงสาวสติตื่น รับรู้ชัดเจน จิตใจจดจ่อสนใจ...สิ่งที่รอคอยเดินทางใกล้มาถึง

เงียบ...ความเงียบอันน่าพรั่นพรึงรายล้อมรอบกาย ทุกสิ่งไร้การเคลื่อนไหว ยกเว้น...สิ่งนั้น...มันเคลื่อนที่เชื่องช้าจากสุดปลายถนน ผ่านเส้นทางขรุขระมาเรื่อย ๆ

รุ่งรตีใจเต้นแรง นัยน์ตาไม่กะพริบ ภาพของมันชัดเจนทีละน้อย

รถยนต์คันหนึ่ง คุ้นตา น่าจะติดอยู่ในความทรงจำ บอกไม่ถูกเป็นรถใคร กำลังแล่นผ่านมาใกล้ ไม่เปิดไฟหน้าอาศัยแสงจันทร์เห็นมันสะท้อนเป็นประกาย เคลื่อนใกล้เข้ามาเรื่อย ใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ

โดยไม่อาจสั่งการสิ่งใด รุ่งรตีก้าวไปยืนอยู่กลางถนน ขวางหน้ารถที่แล่นตรงมาอย่างไม่เกรง ความรู้สึกว่างเปล่า ไม่คิดอะไร เหมือนทำตามคำสั่งจากสิ่งไม่มีตัวตน

รถวิ่งห่างไม่ถึงห้าเมตร นัยน์ตาหล่อนมองเห็นชัดเจน...ฉับพลัน...ความหวาดกลัวบังเกิดขึ้นจับใจ...เปล่า...ไม่ได้กลัวถูกรถชน ที่กลัวเพราะมองเห็นใบหน้าคนขับรถชัดเจน

ใบหน้านั้นอาบด้วยเลือดสด ๆ เส้นผมยุ่งเหยิงกระเซอะกระเซิง ดวงตาปูดบวมแดงช้ำ เลือดไหลย้อย ลำคอหักพับเอียงกระเท่เร่...รุ่งรตีรู้จักคนขับผู้นี้

สีดา...อาสาวของตนเอง...

กรี๊ด...ด...ด...เสียงกรีดร้องสั่นประสาทดังมาจากที่ใดไม่ปรากฏ มันก้องสะท้อนไปมาจนก่อให้เกิดความหวาดกลัวจับใจ

รุ่งรตีลืมตา ผุดลุกขึ้นหอบหายใจถี่ เหน็ดเหนื่อย กลัวจับจิต ฝัน...ฝันไป...ต้องย้ำในใจเช่นนี้สองสามครั้ง กว่าความกลัวจะคลายลง

เครื่องปรับอากาศห้องนอนทำงานเงียบ เงียบจนรู้สึกถึงปฏิกิริยาเคลื่อนไหวบางอย่าง...หญิงสาวเหลียวมองตามก่อนสะดุ้งสุดตัว ยกมืออุดปากตนเอง เกรงจะส่งเสียงหวีดร้องลั่นบ้าน

ข้างเตียงมีเงาดำร่างหญิงชราบนรถเข็น...คุณย่า...

ภาพฉายวูบชั่วแวบไม่เกินสองวินาทีก็จางหายดังมายา ไม่ก็เป็นอาการเมาสายตาของคนเพิ่งตื่นนอน

หัวใจหญิงสาวเต้นรัวราวตีกลอง อกใจสะท้อนดังตุบ ตุบ ภาพฝันร้าย กับเงาร่างคุณย่าฉุดประสาท กระตุกสเกลความกลัวดีดขึ้นลงรวดเร็วเกินระงับ มือไม้เย็นเฉียบ ขนลุกซู่ ทำอะไรไม่ถูก

ครู่ใหญ่กว่าปรับสติ อารมณ์เป็นปกติ บอกต่อตนเอง แค่ฝันร้ายกับภาพมายา เท่านั้น

ความที่เผชิญสุข ทุกข์คนเดียวมาตลอด รุ่งรตีจึงทำใจเร็ว เหลือแค่อาการสงสัยค้างคาตกตะกอน...ทำไมถึงฝันเห็นอาสีดา...ทำไมเห็นคุณย่า...ทั้งสองเกี่ยวกันอย่างไร


ถึงรามจะรับผิดชอบดูแลอู่ต่อรถทัวร์และกิจการเดินรถ แต่ตำแหน่งนายกเทศมนตรีก็ทำให้เขาต้องอยู่ประจำที่ตึกเทศบาลในเวลาราชการ

คุณจิตใสนั่งรอนายกเทศมนตรีไม่กี่นาที เลขาหน้าห้องก็กลับออกมาพร้อมคำเชิญ

"ท่านเชิญเข้าพบได้แล้วค่ะ" เลขาบอกคุณจิตใส

ห้องนายกเทศมนตรีโอ่อ่า ภูมิฐานสมฐานะ โต๊ะไม้สักตัวใหญ่ เครื่องเรือนรับแขกเข้าชุดกัน พื้นปูพรมนุ่มจนแทบไม่กล้าเหยียบ ฝาผนังติดรูปภาพสำคัญในชีวิต ตั้งแต่ถ่ายรูปคู่กับนายกรัฐมนตรี คนดังมีชื่อเสียงระดับประเทศ ระดับโลก ส่วนประกอบห้องด้านอื่นก็ดูข่มผู้มาเยือนอย่างช่วยไม่ได้

คุณจิตใสเดินยิ้มเข้ามาโดยไม่รู้สึกรู้สากับบรรยากาศข่มคนเหล่านั้น ความเป็นตัวของตัวเองแบบไม่มากไม่น้อยทำให้เจ้าของห้องนึกเกรงใจเอง

"สวัสดีครับพี่จิต นึกยังไงมาหาผมถึงนี่ได้" รามถามทักทาย

"เป็นห่วงน่ะ เลยแวะมาหา"

"โธ่พี่ จะเป็นห่วงผมเรื่องอะไร" คำพูดติดโอ่นิด ๆ "ถ้าเป็นเรื่องอุบัติเหตุขี้ปะติ๋ว นั่นก็แค่เรื่องเล็กน้อย ผมเคยเจออะไรหนักกว่านี่เยอะ"

"เท่าที่พี่ฟังจากเชน มันไม่ใช่อุบัติเหตุนี่จ๊ะ" คุณจิตใสแย้ง ไม่แสดงเจตนาดักคอ

"แหม เจ้าเชนนี่มันจริง ๆ เลย ไม่น่าเล่าเรื่องนี้ให้พวกพี่ฟังจนต้องเป็นห่วงกันแบบนี้ ทีแรกว่าจะเลี้ยงขอบคุณมันเสียหน่อยที่ชวนผมขึ้นรถถูกจังหวะ เห็นอย่างนี้ท่าต้องอัดมันสักทีสองทีแล้ว"

"เชนมันพูดน่ะดีแล้ว มีอะไรจะได้ช่วยกันคิดช่วยกันระวัง"

"สบายใจได้เลยพี่จิต" รามหัวเราะไม่ยี่หระ "บอกตามตรง ลูกน้องผมมีเยอะแยะ ถึงไม่แน่ใจว่าใครเป็นตัวการ แต่เรื่องระวังป้องกันน่ะ ไม่มีปัญหา"

"ถ้าเขาเล่นงานเธอไม่ได้ แล้วเปลี่ยนเป้าหมายไปที่น้อง ๆ เธอล่ะ พวกเขาไม่มีบอดี้การ์ดอย่างเธอจะทำยังไง" คุณจิตใสแย้งเชิงออกความเห็น

รามอึ้ง ชะงักครู่หนึ่ง

"พี่จิตรู้หรือครับว่าใครมันจะเล่นงานผม" รามถามตั้งข้อสงสัย

"ไม่รู้หรอก" คุณจิตใสตอบตามตรง "พี่รู้แค่ว่าเขาอยู่ที่มืด เราอยู่ที่สว่าง แถมมีจุดอ่อนให้เขาเล่นงานได้ตั้งเยอะ ถึงได้เตือนเรื่องครอบครัวน้อง ๆ ด้วยไง"

รามหยุดคิดก่อนพูด

"ถึงผมไม่แน่ใจร้อยเปอร์เซ็นต์ว่าเป็นฝีมือใคร แต่พอจะเดาได้ราง ๆ ถ้าเป็นคนนั้นจริง เขาก็ไม่น่าคิดร้ายกับน้องผมนะพี่"

คุณจิตใสถอนใจ การมาของเธอครั้งนี้เพื่อตักเตือน สิ่งที่ตน "รู้" "เห็น" อาจไม่ชัดเจนเหมือนเปิดดูโทรทัศน์ สัมผัสที่มีบอกให้รู้...ห้าพี่น้องตระกูลทรัพย์ยั่งยืนสิริไพศาลกำลังตกอยู่ในอันตราย...อาจถึงฆาต...

"ระวังไว้ก่อนก็ดีนะราม" คุณจิตใสทอดเสียงอ่อนโยน ในใจน้อมกระแสเมตตาของครูบาอาจารย์ไว้ แล้วถ่ายทอดสู่รามด้วยความเมตตาปรานีเต็มหัวใจ

คำพูดคุณจิตใสฉุกให้รามคิด...จริงสิ...ระยะนี้น้องเขาพบเรื่องใกล้อันตรายเหมือนกันทั้งสมุทร สีดา มันอาจโยงเข้ากับเรื่องเขาไม่ได้ ไม่อยากเชื่อจะเป็นผู้ลงมือคนเดียวกัน แต่ก็เป็นเรื่องที่ควรระวัง ป้องกัน น่าเป็นห่วง

"ครับ...พี่พูดอย่างนี้ผมก็จะระวัง ยังไงจะส่งคนไปดูแลพวกน้องกับครอบครัวผมด้วย"

คุณจิตใสคลายใจ อย่างน้อยการมาของเธอไม่นับเสียเที่ยวนัก

ขณะอาคันตุกะเตรียมขอตัวกลับ หน้าห้องรามมีเสียงเคาะประตู ใบหน้าชายคนหนึ่งโผล่ตามมา

"ขออนุญาตครับนาย" บุญส่งพูดเสียงเคร่ง

"มีอะไรวะ" ถ้ามือขวาของเขาผลีผลามเข้ามาทั้งที่มีแขกเช่นนี้ ต้องมีเรื่องด่วนแน่

"ขออนุญาตครับ"

ชายหนุ่มพูดเสียงหนัก ย้ำความเร่งด่วนสำคัญ

"เข้ามาสิ" รามอนุญาต คุณจิตใสได้จังหวะปลีกตัวลา

"งั้นพี่กลับก่อนนะ"

"ครับพี่จิต แล้วยังไงไปกินข้าวบ้านผมนะ" รามไม่ออกปากรั้งตามธรรมเนียม

คุณจิตใสเดินสวนกับมือขวาของราม ช่วงเวลานั้นเธอสัมผัสกระแสตื่นเต้น ร้อนรนที่กระจายออกมาชัดเจน ปกติจะวางใจเป็นกลาง ไม่ติดตามสนใจ แต่ครั้งนี้เมื่อหยั่งลึกลงอีกนิด รู้สึกเชื่อมกระแสกับบุคคลคุ้นเคย

...เรื่องที่บุญส่งนำมาบอก ต้องเกี่ยวกับคนใกล้ชิดราม...

มือจับลูกบิดชะงัก หยุดรั้ง...รอจังหวะอีกหน่อย ได้ยินเสียงรามอุทานตามหลัง

"เฮ่ย...เป็นไปได้ยังไงวะ"

คุณจิตใสเห็นบุญส่งเล่าเรื่องราวสั้น ๆ ให้นายฟัง ได้ยินเฉพาะสองคน

"พี่จิต...เกิดเรื่องใหญ่...สีดาหายตัวออกจากบ้าน ไอ้พิทักษ์มันไปแจ้งความแล้ว"

รามร้องบอกเพราะเห็นเป็นคนครอบครัวเดียวกัน

ได้ยินคำพูดนี้ คุณจิตใสยืนนิ่ง นิมิตบางภาพผ่านแวบรวดเร็ว จิตตรึกรู้ถึงเรื่องราวที่ไม่กล้าเอ่ยปากพูด

"เรื่องราวเป็นยังไง เล่าให้ฟังหน่อยสิ" คุณจิตใสซักถามเพิ่มเติม

"ตอนนี้เรายังไม่รู้อะไรมากเลยพี่...รู้แค่สีดาหายตัวไปแล้วไอ้พิทักษ์มันจะไปแจ้งความ"

"สีดาหายตัวไปตอนไหน เกินยี่สิบสี่ชั่วโมงแล้วเหรอ ถึงแจ้งความได้"

"ยังไม่ครบหรอกพี่...ตำรวจก็ยังไม่น่ารับแจ้งความ แต่มันยืนยันจะแจ้งอยู่ดี เพื่อให้ตำรวจตามหาเมียมันให้ได้"

ฟังดูเหมือนรักเมีย แต่รู้สึกแปร่งพิกล

"ตอนนี้พิทักษ์อยู่ไหน เราไปคุยกับเขาดีมั้ย" คุณจิตใสเสนอ

"น่าจะอยู่ที่สำนักงานทนายความของมันนั่นแหละ ถ้าพี่จะไปผมก็ไปด้วย" รามตัดสินใจเร็ว

"ก็ดี งั้นเราไปด้วยกันเลย"

สีหน้าคุณจิตใสมีร่องรอยกังวล ใจรู้ต้องเกิดเรื่องร้ายแน่...ถึงรีบมาเตือนรามแต่เช้า ไม่อยากเชื่อ...เรื่องร้ายจะเกิดรวดเร็วจนตั้งตัวไม่ทัน


(โปรดติดตามต่อฉบับหน้า)



แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP