วรรณกรรมนำใจ Lite Literature

กรงไฟ ๙


cover_krongfire

นวนิยายเรื่องนี้ เขียนขึ้นเพื่อความบันเทิง
หากมีชื่อ-สกุล เรื่องราวใดพ้องกับบุคคลจริง ต้องกราบขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย

ชลนิล



(ต่อจากฉบับที่แล้ว)


ตึกแถวริมถนนหลังนั้นสภาพเก่าโทรม หลายคูหาปิดร้าง บางคูหายังเปิดทำการค้าขายโดยมีลูกค้าประปราย อาศัยที่ริมถนนใหญ่จึงไม่เงียบเหงานัก ถัดอีกหน่อยเป็นทางเข้าที่จอดรถตลาดทรัพย์ยั่งยืน แหล่งรวมค้าขาย ตลาดสด ตลาดผ้าค้าส่ง ตลาดขายของฝากของที่ระลึกที่ใหญ่สุดในจังหวัดท่องเที่ยวแห่งนี้

สีดาสั่งให้คนขับรถจอดหน้าตึกแถว และลงพร้อมกับสุขศจี ทั้งคู่สีหน้าค่อนข้างเคร่ง ก้าวเดินแสดงอำนาจ

จะเข้าไปคุยทีละร้านพร้อมกัน หรือจะแยกกันไปทีเดียวเลยเจ้ สุขศจีถามพี่สาว

ไม่รีบอะไร เราเข้าไปคุยพร้อมกันก็ได้

พูดจบสีดาก็พาน้องสาวเข้าไปยังตึกแถวคูหาแรกที่เปิดเป็นร้านขายยา หน้าร้านมีเด็กสาวเฝ้าคนเดียว

เถ้าแก่อยู่มั้ย สีดาถาม

อยู่...มีธุระอะไร

ช่วยตามให้หน่อยสิ มีเรื่องจะคุยด้วย

ไม่รู้ว่าแกหลับอยู่หรือเปล่านะ ถ้าเข้าไปตามเดี๋ยวไม่มีคนเฝ้าหน้าร้าน แกจะดุเอา เด็กสาวพูดโยกโย้

ก็รีบไปตามซะทีสิ จะเฝ้าหน้าร้านให้ ไม่มีใครเขาอยากมาขโมยยาหรอก สุขศจีเร่งแกมรำคาญ

เด็กสาวมองการแต่งตัวผู้มาเยือนทั้งสอง เห็นตั้งแต่รถคันใหญ่จอดเทียบหน้าร้าน คงไม่ใช่พวกคนร้ายมาปล้นแน่ ยอมเข้าไปเรียกเถ้าแก่คงไม่เสียเวลาอะไร

สวัสดีค่ะแปะ สีดายกมือไหว้ สีหน้าไม่แสดงความเคารพนัก สุขศจีทำทีเมินๆ

พวกลื้อน่ะเอง ถ้าจะมาพูดเรื่องเดิมก็กลับไปได้เลย

แค่คำพูดแรกก็ทำให้สองพี่น้องถอนใจ เหนื่อยหน่าย

ไม่พูดไม่ได้หรอกแปะ ตึกนี่มันหมดสัญญาเซ้งตั้งปีสองปีแล้ว แปะไม่ยอมย้ายสักที จะให้เราทำยังไง

อั๊วจะขอต่อสัญญา พวกลื้อก็ไม่ยอมนี่หว่า

พวกเราจะทุบตึกแถวทิ้ง ให้ต่อสัญญาได้ยังไงล่ะ แปะเข้าใจกันบ้างสิ

สีดาพยายามใจเย็น ส่วนสุขศจีเคร่งเครียดขึ้น

ปัญหาเรื่องคนเช่าตึกไม่ยอมย้ายออกนี้ค้างคามานาน ด้วยความที่เป็นคนเก่าคนแก่รุ่นแรกสร้างตลาด มีความผูกพัน ดื้อดึง ที่สำคัญคือเมื่อย้ายออกก็เท่ากับเริ่มต้นที่ใหม่ หาลูกค้าใหม่...คนแก่ส่วนใหญ่เหนื่อยเกินกว่าจะทำ

อั๊วไม่สน ขนาดแม่ลื้อยังมาไล่อั๊วไม่ได้ คนแก่ถือดีที่อาวุโสกว่าพูดอย่างไม่สนใจ

แม่ก็ตายไปแล้ว เราอย่าพูดเรื่องนี้เลยแปะ สีดาอ่อนใจ อีกอย่างโครงการทุบตึกแถวนี้ก็เป็นความคิดของแม่เอง

อ้อ...อั๊วรู้แล้ว แม่ลื้อคงคิดจะทุบตึกสร้างใหม่ แล้วขึ้นค่าเซ้งค่าเช่าแพงๆ ล่ะสิ อาแปะเสียงแข็งเยาะหยัน

มันเป็นสิ่งที่เราทำได้ไม่ใช่เหรอแปะ สุขศจีเหลืออด แปะจะเอาอะไรอีก หมดสัญญาเซ้งก็ต้องคืนตึก ค่าใช้จ่ายในการโยกย้ายเราก็ยอมเสียให้ ทั้งที่ไม่จำเป็นก็ได้...ทุบตึกแล้วจะทำอะไรมันก็เรื่องของเรา...จะสร้างตึกใหม่หรือทำเป็นส้วมสาธารณะ มันเกี่ยวอะไรกับแปะด้วยล่ะ

ถุย...พวกลื้อมันก็เหมือนกันทั้งแม่ทั้งลูก เอาเปรียบ เห็นแก่ตัว ไม่มีน้ำใจ...นังคุณนายพวงทรพีเอ๊ย...

อย่าก้าวร้าวถึงแม่นะแปะ สีดาพยายามใจเย็นแต่เสียงยังแข็ง เรื่องตึกนี่ พวกเราฟ้องศาลแล้ว ที่มาคุยก็เพื่อประนีประนอมกันไม่เสียเวลา คิดดูถ้าศาลสั่งออกมาเมื่อไหร่ แปะต้องย้ายโดยไม่ได้ค่าชดเชยเลยสักบาท

ขึ้นศาลไหนอั๊วก็จะสู้ สู้กับพวกลื้อทุกทาง ดูกันไปสิ...ใครจะอยู่ ใครจะไป...

ออกจากร้านแรกด้วยความขุ่นมัว สองพี่น้องหมดอารมณ์พูดกับคูหาอื่น...มันคงได้ผลเหมือนกัน ผู้เช่าที่เหลือล้วนแต่ดื้อดึง ไม่ยอมไปง่ายๆ ทั้งที่หมดสัญญาเช่าแล้ว

ตึกนี้ต้องทุบจริงๆ เพื่อขยายทางเข้าที่จอดรถตลาดให้กว้างกว่าเดิม และสร้างตึกแถวใหม่เพื่อปรับเปลี่ยนมุมพื้นที่ให้ลงตัว คุ้มค่าประโยชน์ใช้สอย อีกทั้งยังสามารถเพิ่มค่าเซ้งค่าเช่ามากกว่าเดิมเป็นเท่าตัว

เดี๋ยวให้ทนายพูดก็แล้วกัน สีดาบอกขณะเดินกลับ

เจ้ก็รู้อยู่แล้ว ต้องมาเจอแบบนี้ ไม่รู้จะมาทำไมอีก สุขศจีบ่น

ก็อยากให้มันจบเร็วๆ ถ้าเขาเรียกร้องอะไรที่พอให้ได้ก็ให้ไปเสีย เพราะกว่าศาลจะตัดสิน กว่าจะสั่งอะไรมันก็นานเกินไป

แล้วเป็นยังไงล่ะ อยู่ดีไม่ว่าดี ให้เขามาด่าแม่เรา สุขศจีโมโหไม่หาย

สีดาเงียบ พอรู้แม่มีภาพลักษณ์อย่างไรในสายตาชาวตลาด ผู้เช่าตึก...ถ้าแม่ไม่คม ไม่เค็ม ไม่เอาเปรียบคนอื่น ลูกทุกคนคงไม่มีโอกาสเสวยสุขบนกองเงินกองทองอย่างนี้...มีหลายครั้งที่สีดารู้สึกว่าเงินแต่ละบาทที่แม่หามา มันมีความร้อนรนติดมาด้วย ทำให้ชีวิตยากสงบสุข

ช่างเถอะ เดี๋ยวเข้าไปดูตลาดหน่อย ตอนนี้เขาทำทางระบายน้ำบ่อดักไขมันใหม่ไปถึงไหนแล้ว

เห็นว่าเสร็จแล้วนะเจ้ ไปดูความเรียบร้อยหน่อยก็ดี ไม่งั้นพวกสาธารณสุขมาตรวจจะหาเรื่องเราได้

ทั้งสองคุยกันพลางขึ้นรถ...ทันทีที่ประตูปิด เครื่องยนต์ไม่ทันสตาร์ทก็มีเสียงดัง ปัง ที่กระจกหน้ารถ

เฮ่ย

คนขับอุทานดังลั่น

สีดา สุขศจีตกใจรีบเบียดตัวชิดกันเกรงเกิดเรื่องร้าย

หลังจากเสียงปังที่หน้ารถแล้วก็เงียบ...ไม่มีเหตุร้ายอื่นตามมา คนรอบข้างได้ยินเสียงต่างโผล่มาดูอย่างสนใจ

สุขศจีได้สติรีบลงจากรถ มองหาคนร้าย แววตาเหมือนแม่เสือลุกโชนรุนแรง ยิ่งเห็นกระจกหน้ารถแล้วยิ่งโทสะพุ่งสูง

ใครกันน่ะ กระชากเสียงเข้ม ฝีมือใครกัน

กระจกหน้ารถไม่ถึงกับแตกเป็นชิ้น ยังมีฟิล์มรองอีกชั้น กระจกนิรภัยมันแตกร้าวแบบเม็ดกระจายทั่ว มีก้อนหินขนาดกำปั้นเด็กทิ้งไว้เป็นหลักฐาน

รู้มั้ยใครขว้างกระจกรถเรา สีดาลงจากรถถามน้องสาว

ไม่รู้หรอก...ใครมันจะยอมรับล่ะเจ้ สุขศจีกระชากเสียง อย่างนี้ต้องแจ้งตำรวจตามจับมันเลย

สีดาถอนใจ เหลือบมองสายตาผู้คนที่อยากรู้อยากเห็นโดยรอบแล้วต้องหดหู่ ไม่มีแววตาสงสารเห็นใจสักนิด ยิ่งอาแปะเจ้าของร้านขายยาดูยิ้มเยาะออกหน้า อย่างนี้จะทำอะไรได้

ให้คนขับรถไปแจ้งความเป็นหลักฐานไว้ก็พอ ยังไงคงจับใครไม่ได้หรอก

อะไรกันเจ้ สุขศจียังขุ่นไม่หาย

สีดาไม่สนใจน้องสาว บอกคนขับรถให้ไปแจ้งความเสร็จก็เดินเข้าตลาด ไม่สนใจสายตาคนรอบข้าง จิตใจเหน็ดเหนื่อยบอกไม่ถูก...นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เจอการแสดงออกทางลบเช่นนี้ ยิ่งมีความรับผิดชอบมากขึ้น รับภาระแทนแม่ ยิ่งต้องเจอความขัดแย้งของคนรอบข้างเป็นเงาตามตัว จนหลายครั้งนึกท้อ ไม่อยากทำอะไรอีกแล้ว...แต่ก็ไม่ได้...ชีวิตถูกกำหนดให้เดินบนถนนสายนี้...จะดีจะร้ายต้องก้าวต่อไป


ร้านของชำคุณจิตใสอยู่ริมถนนนอกตัวเมือง เป็นร้านขายส่งที่ดูภายนอกโปร่ง สะอาดตา นอกจากมีของขายทั่วไป ยังมีสินค้าประเภทยกลัง ยกหีบ ลูกค้าอำเภอไกลที่คร้านเข้าเมืองมักแวะซื้อของที่นี่ เพราะราคาไม่ต่างจากห้างค้าส่งข้ามชาติ เจ้าของร้านอัธยาศัยดี เป็นกันเอง คุ้นเคยกันมานาน

รุ่งรตีบอกไม่ถูกทำไมขับรถมาถึงนี่ ทั้งที่ตั้งใจขับรถเล่นรอบเมืองพอให้หายเซ็ง...มือไม้จิตใจถูกแรงดึงดูดให้ขับรถมายังถนนสายคุ้นเคย

จอดรถหน้าร้านมองเห็นลูกจ้างทำงานกันขยันขันแข็ง ลูกค้าซื้อของไม่ขาด แทนที่จะพบเจ้าของร้านที่เคาน์เตอร์เก็บเงินกลับพบหญิงวัยกลางคนใบหน้าเรียบๆ ทำหน้าที่แคชเชียร์แทน

คุณจิตใสอยู่มั้ย รุ่งรตีถามแคชเชียร์สาวใหญ่

อยู่ค่ะ...คุณมีธุระอะไรหรือเปล่าคะ คำตอบพร้อมย้อนถามสุภาพ

เปล่า...แวะมาหาเฉยๆ หญิงสาวตอบ ไม่ตั้งใจกวนแต่มันเป็นนิสัยแล้ว

ท่านอยู่ในครัวค่ะ อีกฝ่ายตอบ ไม่บอกว่าครัวไหน

รุ่งรตีชะโงกมองทางหลังร้าน ไม่แน่ใจคุณป้าจะอยู่ครัวร้านนี้หรือครัวในบ้าน กำลังจะย้อนถามอีกครั้ง เห็นอีกฝ่ายกำลังคิดเงินรายการยาวเหยียด จึงยักไหล่ เดินดุ่มเข้าหลังร้าน ไม่รอใครอนุญาต


มาถึงหลังร้าน พบห้องครัวกว้างขวาง โต๊ะกินข้าวตัวใหญ่ คุณจิตใสเป็นแม่ครัว มีเด็กสาวหน้าตาซื่อเป็นลูกมือคนหนึ่ง

สวัสดีค่ะคุณป้า รุ่งรตีทักทายเสียงใส มีไม่กี่คนที่หล่อนลงท้ายเสียง คะ ขาเช่นนี้ โอ้โห ทำกับข้าวเยอะจัง กินกันกี่คนคะนี่

อ้าว...รุ้งเองหรือจ๊ะ มาได้เวลาพอดี กินข้าวกลางวันกับป้านะ คุณจิตใสทักทาย

ลาภปากจังเลย คราวก่อนได้กินมื้อเย็น วันนี้ได้กินมื้อกลางวัน สงสัยคราวหน้าต้องมาขอข้าวเช้าคุณป้ากินแน่ๆ

ผู้สูงวัยกว่ายิ้มละไม มองหญิงสาวตรงหน้าอย่างเอ็นดู ไม่นึกขัดตากับการแต่งตัวแบบสาว สมัยใหม่ ของเจ้าหล่อน

ทำอาหารเยอะอย่างนี้ เผื่อใครหรือเปล่าคะ หล่อนสงสัย

ทำให้ลูกจ้างเขากินด้วยน่ะจ้ะ เดี๋ยวรุ้งไปกินกับป้าที่ร้านคุณลุงนะ

รุ่งรตีแปลกใจแกมทึ่ง ป้าจิตใสทำอาหารกลางวันเลี้ยงลูกจ้างทั้งสามร้าน คือร้านของชำตนเอง ร้านต้นไม้ลุงทางธรรม ร้านวัสดุก่อสร้างของเชน มองดูเหมือนครอบครัวใหญ่ที่มีความรักใคร่กลมเกลียว ราวกับต้นไม้ใหญ่ ใบดกหนาพร้อมให้เหล่านกกาได้อาศัยกิ่งเงาร่มเย็น

ลูกจ้างแต่ละร้านไม่ได้มากินอาหารด้วยกัน บางคนมาตักไปกินที่ร้านตน บางทีผลัดเวรกันมาที่ร้านของชำ ส่วนเจ้าของร้านจะไปนั่งกินอาหารมื้อกลางวันที่ร้านต้นไม้ของสามี

รุ่งรตีถือถาดอาหารเดินตามคุณจิตใสไปยังศาลาซุ้มไม้เลื้อย ร้านต้นไม้

สวัสดีค่ะคุณลุง รุ่งรตีทักทายก่อน

แม่ชวนรุ้งมากินข้าวกับเราด้วยนะพ่อ คุณจิตใสบอก

เออ...ดีเหมือนกัน วันนี้เชนมันไม่อยู่ กินกันสองคนเหงาแย่ นายพลทางธรรมตอบรับ

พี่เชนไปไหนหรือคะ รุ่งรตีถาม

ไปกรุงเทพฯน่ะ ติดต่อเรื่องงาน ท่านนายพลอธิบาย...รุ่งรตีค่อยเข้าใจ ร้านทั้งสามเหมือนต่างคนต่างทำ แต่เชนเป็นคนดูแลติดต่อเรื่องสินค้าที่จะมาส่ง ทั้งต้นไม้ ของขาย และวัสดุก่อสร้างชิ้นใหญ่ๆ

อาหารมื้อกลางวันใต้ศาลาซุ้มไม้เลื้อย รายรอบด้วยต้นไม้นานาชนิดที่เพาะรอขาย กลิ่นดอกไม้หอมลอยอบอวล อาหารง่าย รสชาติดี กันเอง รุ่งรตีร่วมโต๊ะกับผู้ใหญ่โดยไม่อึดอัด บีบเนื้อบีบตัว ต่างกับอยู่ต่อหน้าผู้ใหญ่ทั่วไป ที่มักมองกิริยาการแต่งกายของหล่อนอย่างขวาง ตำหนิ ไม่ชอบใจ

ตลอดเวลาที่ร่วมรับประทานอาหาร หญิงสาวสัมผัสความเบาสบายรอบตัว คุณจิตใส ลุงทางธรรมชวนคุยเรื่องสัพเพเหระโดยไม่รู้สึกแปลกแยก...ร่มไม้เขียว เสียงนกร้องขับขาน ความเป็นกันเองอันแสนสุข ชวนให้รุ่งรตีคิดว่าที่นี่น่าจะเป็นสวนสวรรค์...แยกตัวจากโลกภายนอก

หลังอาหาร...รุ่งรตีเก็บจานเตรียมยกไปส่งที่ห้องครัว ทั้งที่ปกติไม่เคยทำงานพวกนี้

ไม่ต้องหรอกรุ้ง ป้าจิตใสบอก เดี๋ยวเด็กที่นี่จัดการเอง

ไม่ทันขาดคำ เด็กลูกจ้างร้านต้นไม้ก็ทยอยเก็บจานเรียบร้อย ปล่อยให้ทั้งสามนั่งคุยต่อที่ใต้ร่มศาลา

รุ้งมารบกวนคุณลุงคุณป้าหรือเปล่าคะเนี่ย หญิงสาวออกตัวกระดาก

ไม่หรอกจ้ะ ปกติคนแก่อย่างป้าลุงไม่ค่อยมีอะไรทำอยู่แล้ว หนูมาคุยก็ช่วยคนแก่หายเหงาไปเยอะ ป้าจิตใสพูด ทั้งที่ดูแล้วคนแก่ทั้งสองไม่มีท่าทางของคนชรา ขี้เหงา เอาเสียเลย

พูดอย่างนี้เดี๋ยวรุ้งขอมาอยู่ด้วยนะคะ รุ่งรตีพูดทีเล่นทีจริง

มาเลยลูก...แต่พ่อเราเขาไม่เหงาแย่หรือ เอาลูกสาวคนเดียวมาไว้อย่างนี้ ป้าจิตใสตอบรับ ไม่เสแสร้ง

พ่อเขาไม่สนใจรุ้งหรอกค่ะ รุ่งรตีย่นจมูก แปลบกึ่งน้อยใจทุกครั้งที่มีใครเอ่ยถึงบิดาตน

ใครว่ากัน...ลูกสาวคนเดียว ใครก็รักทั้งนั้นแหละ น้ำเสียงคุณจิตใสอ่อนโยนจนรุ่งรตีไม่เกิดอาการขัดเคืองเช่นเวลาใครพูดเป็นเชิงสอนแบบนี้

แต่พ่อเขา... หญิงสาวพูดพลางยักไหล่ ไม่มีวาจาต่อท้าย

ใบหน้าคุณจิตใสมีรอยยิ้มละไม สัมผัสก้อนโทสะจางๆ จากจิตใจหญิงสาวตรงหน้า...เมื่อตั้งใจสังเกตให้ชัด ก้อนโทสะนี้มาจากสัญญาความจำที่สะสมภาพความว้าเหว่ ขัดเคือง โหยหาแต่ไม่ได้รับการตอบสนอง จนภายในกลวงเปล่า ขาดภาพความทรงจำอันดีงอกงามในใจ ง่ายต่อการกระทบถูก

ความรัก...มักมีรูปแบบการสื่อสารที่หลากหลาย จนบางทีผู้รับไม่รู้หรอกว่า ฝ่ายตรงข้ามมีความรู้สึกรัก ผูกพันให้มาตลอด เพราะมัวแต่ปิดใจตัวเอง และต้องการจะรับแต่รูปแบบความรักที่ตัวเองอยากจะได้...โดยไม่มองเลยว่า อีกฝ่าย ให้ มาแล้ว ในรูปแบบอื่น

คำพูดคุณจิตใสกระทบใจรุ่งรตีอย่างแรง หญิงสาวรู้สึกมาตลอดว่า...พ่อไม่รักตนเอง ปล่อยให้หล่อนต้องเงียบเหงา ว้าเหว่ในโรงเรียนประจำ เดียวดายในเมืองใหญ่ ไร้คนรู้จัก ดุด่ารุนแรงทุกครั้งที่ทำอะไรไม่ถูกใจ ไม่ทำตามความต้องการของพ่อ...

...โดยไม่พลิกมองอีกมุมหนึ่งว่า...นี่คือความรัก...ในรูปแบบของบิดาตนเอง...

พ่อไม่สามารถมีเวลาดูแล อบรมสั่งสอนหล่อน จึงเลือกให้เข้าโรงเรียนประจำ ด้วยเชื่อว่าที่นั่นจะทำหน้าที่แทนเป็นอย่างดี...ส่งไปเรียนต่างประเทศ เพื่อให้เทียมหน้าเทียมตาคนอื่นในสังคมไฮโซ ให้ลูกสาวไม่น้อยหน้าใคร...ดุด่ารุนแรงก็เพราะรัก...คนเรา หากไม่รัก ไม่หวังดีต่อใครย่อมไม่เกิดโทสะ เมื่อคนนั้นทำให้ตนผิดหวัง

...รักมากเท่าไหร่...ความกระทบใจยิ่งรุนแรง...

ครั้งแรกในชีวิต ที่รุ่งรตีมองเห็นความรักของบิดาผ่านรูปแบบใหม่ โดยคุณจิตใสชี้นำ...

ก้อนแข็งๆ พลุ่งขึ้นจุกตันที่หน้าอก...อยากร้องไห้ขึ้นมาเฉยๆ ใจสัมผัสความอ่อนโยนที่มองไม่เห็น...ไม่นาน ความรู้สึกเหล่านั้นจางหาย อัตตาความถือตัวกลับคืนมา...เพียงแต่ ท่ามกลางความแข็งกระด้างของจิตใจ มีระลอกริ้วอบอุ่นแทรกขึ้นพอให้ได้สัมผัสบ้าง

ดูท่าทางช่วงนี้งานของลักษณ์คงยุ่งมาก นายพลทางธรรมเอ่ยขึ้น

ไม่ทราบสิคะ รุ้งไม่เคยสนใจเรื่องงานของพ่อเลย ถึงตอบอย่างนั้น น้ำเสียงก็ไม่กระด้าง ผิดเคย

โหมงานมากๆ น่าเป็นห่วงสุขภาพนะ คุณจิตใสพูด

รุ้งก็เห็นพ่อแข็งแรงดีนะคะ หญิงสาวค้าน

คนอายุขนาดนี้แล้ว ถึงจะดูแข็งแรงยังไง ก็ไม่เหมือนคนหนุ่มคนสาวหรอก ลุงทางธรรมพูด

รุ้งลองเอาใจใส่สังเกตพ่อเขาหน่อยสิ คุณจิตใสแนะนำ

โอ้ย...พ่อเขาไม่อยู่ให้รุ้งสังเกตหรอกค่ะ หญิงสาวรีบปัด

ใครไม่อยู่สังเกตใครกันแน่ นายพลทางธรรมพูดลอยๆ หญิงสาวกระดากวูบรู้สึกราวผู้ใหญ่ทั้งสองจะรู้จักตนเองดี จนดักทางได้หมด

เอาใจใส่เขาหน่อยนะ คุณจิตใสสำทับ คนเรานี่...บางทีก็ไม่ค่อยเห็นคุณค่ากับของที่มีอยู่นักหรอก...ต้องโน้น เสียมันไปเมื่อไหร่นั่นแหละ ถึงจะมาคร่ำครวญเสียดาย...

รุ่งรตีใจหายวูบ หน้าซีด คุณจิตใสพูดราบเรียบ นุ่มนวลก็จริง ทว่ามันก่อแรงสะเทือนในใจอย่างไม่เคยเกิดมาก่อน

...ถ้าไม่มีพ่อวันนี้...เดี๋ยวนี้...หล่อนจะรู้สึกเยี่ยงไร...

แค่คิด จิตก็ตกวูบ...ความเสียใจที่มองไม่เห็นโหมประดังราวพายุร้าย...

ต่อให้มีอคติกับบิดาเพียงไร น้อยใจแค้นเคืองแค่ไหน...พ่อก็คือพ่อ...บุคคลที่มีสายสัมพันธ์ใกล้ชิดที่สุดในโลก...เพียงแค่คิดจะสูญเสีย...จิตใจก็เศร้าหมองขนาดนี้...ควรหรือที่จะทอดทิ้งปัจจุบัน...ไม่แยแส ทำบึ้งตึงสร้างม่านอคติยามเขามีชีวิตอยู่...แล้วมัวร้องไห้ คร่ำครวญเจียนขาดใจตายยามเขาสิ้นลม

ชีวิตคนเราสั้นนัก...ไม่มีใครรู้วันมรณะ...ทำดีแก่กัน เห็นคุณค่าของกันและกันยามยังมีลมหายใจ ดีกว่าทำเพิกเฉยไม่สนใจยามมีชีวิต...แล้วมายืนอ่านสารระลึกถึงคุณความดีนานา หน้าโลงศพยามเขาสิ้นลง


ที่จริงเชนควรกลับบ้านตั้งแต่ตอนบ่ายแก่ๆ แล้ว ถ้าไม่บังเอิญพบเพื่อนเรียนสมัยมหาวิทยาลัยเสียก่อน เพื่อนคนนี้เป็นหนึ่งในโฆษกประจำรุ่นที่สามารถบอกข่าว ชักชวนนัดเพื่อนฝูงให้มารวมกลุ่มได้ภายในเวลาสั้นๆ

นานๆ จะเจอมึงที่กรุงเทพฯสักที ต้องนัดสังสรรค์กันหน่อย เหตุผลมีแค่นี้เอง

ไอ้หอก บ้านกูกับกรุงเทพฯไมได้ไกลกันนักหนา ขับรถไม่กี่ชั่วโมงก็ถึง ไม่เห็นต้องทำเป็นเรื่องน่ายินดีขนาดนั้นก็ได้ เขาขัด

บอกตรงๆ ก็ได้ กูอยากหาเรื่องนัดเพื่อนกินเหล้าไง อีกฝ่ายพูดอย่างนี้เชนเลยขัดไม่ลง เพื่อนทุกคนรู้ว่าเขาไม่ใช่นักดื่ม แค่อยู่กับเพื่อนทั้งคืนได้โดยมีน้ำเปล่าแก้วเดียว

จากตอนเย็นที่มีเพื่อนร่วมกลุ่มแค่สามสี่คน พอตะวันเริ่มตกดิน ประชากรเพื่อนฝูงค่อยหนาตาต่อโต๊ะโดยไม่ต้องนัดหมาย

สนุกสนานเฮฮาตามประสาหนุ่มโสด หน้าที่การงานมั่นคง ไม่คิดถึงอนาคตไกลเกิน มีความสุขกับเพื่อนฝูง สุราและเรื่องราวเมามันในวัยเรียน

เชนทำท่าขอตัวกลับหลายครั้ง อ้างต้องขับรถออกต่างจังหวัด แต่โดนเพื่อนดึงไว้ แถมมีหน้าชวนให้นอนค้างกรุงเทพฯเสียเลย

เฮ่ยไม่ได้ พรุ่งนี้กูมีงานต้องทำอีก เขารีบปฏิเสธ วันนี้มาติดต่อบริษัท โรงงานหลายแห่ง พรุ่งนี้จะมีของเข้าร้าน จำเป็นต้องดูแลตรวจสอบ ปล่อยให้ลูกจ้างจัดการไม่ได้

งั้นไม่เกินเที่ยงคืน กูจะปล่อยมึง เพื่อสนิทยื่นคำขาด

เชนนึกในใจ...ออกจากกรุงเทพฯเที่ยงคืน กว่าจะถึงบ้านก็ตีสองตีสาม ท่าทางจะไม่ไหว ขืนปฏิเสธต่อรองจะยืดยาวเปล่า ค่อยหาจังหวะดีๆ กลับเองก็แล้วกัน

สวนอาหารแห่งนี้คึกคัก จัดร้านสบาย น่านั่ง อาหารรสชาติถูกปาก ลูกค้าไม่ขาดระยะ เชนนั่งละเลียดกับแกล้ม ฟังเพื่อนฟุ้งเรื่องเก่า พลางใช้สายตามองเรื่อยเปื่อย จนพบแขกกลุ่มใหม่เข้ามาในร้าน

คนกลุ่มนี้มีผู้ชายล้วนประมาณสามสี่คน แต่งตัวสีทึม รุ่มร่าม แต่ละคนหุ่นกำยำ ล่ำสัน ผิวคล้ำเช่นคนโดนแดดลมประจำ มีอยู่คนเดียวที่ผิวขาวกว่าคนอื่น ดูมีอายุ หุ่นท้วมแบบคนกินอยู่สบาย เชนเห็นแล้วต้องชะงักสายตา

น้ารามนี่หว่า เขาอุทานในใจ

สีหน้าแต่ละคนค่อนข้างเครียดโดยเฉพาะราม หัวคิ้วขมวดหน้าเคร่ง ดูแก่กว่าเดิมเป็นสิบปี บรรยากาศเช่นนี้แฝงความรู้สึกฆ่าฟันอย่างช่วยไม่ได้

ถ้ามีใครบอกว่าคนกลุ่มนี้เตรียมออกรบ...เชนจะเชื่อทันทีไม่มีสงสัย

อ้าวเชน มากินข้าวที่นี่เหมือนกันเหรอ ถึงชายหนุ่มไม่เป็นฝ่ายทักทาย คนที่เป็นผู้ใหญ่กว่ากลับมองเห็นเขาชัดเจน เพราะอยู่ในกลุ่มคนหนุ่มสะดุดตาที่สุดในร้าน

สวัสดีครับน้าราม เชนลุกจากโต๊ะยกมือไหว้ พร้อมแนะนำเพื่อนทุกคนให้น้าชายรู้จัก

รามทักทายทั่วถึง ใบหน้ายิ้มแย้มผิดกับเมื่อครู่ เชนมองเห็นหน้ากากที่ซ่อนบนใบหน้าเปื้อนยิ้มนี้

เออ...กินกันเต็มที่เลยนะ น้าเลี้ยงเอง รามแสดงความใจกว้าง

เชนไม่ขัด ขืนขัดใจคงมีโกรธกันแน่ หากรามโกรธ รับรองปัญหาตามมาอีกยาว...รามใจกว้าง เจ้าโทสะ พยาบาทแรง ฉะนั้นเฉยได้ควรเฉยไว้ก่อน

ขอบคุณครับ เชนยกมือไหว้ขอบคุณแทนเพื่อน รามยิ้มกว้าง ตบไหล่หนักๆ แทนการตอบรับ

กลุ่มของรามแยกนั่งอีกโต๊ะ เชนระบายลมหายใจแผ่ว ความอึดอัดยามประจันหน้าค่อยคลายลง

โอ้โห...ไอ้เชนเพื่อนเรารู้จักคนใหญ่คนโตด้วยรึนั่น...น้าเอ็งนี่ยังกับมาเฟียเลย เพื่อนร่วมโต๊ะวิจารณ์ตรงๆ

เชนไม่ต่อคำ ไม่ให้ความเห็นยืดยาวจนถึงหูผู้ถูกพูดถึง...ยกแก้วน้ำขึ้นจิบเลี่ยงการสนทนา วางแก้วลงก็มีสัมผัสบางๆ กระทบใจ

คราวนี้คุ้นเคยต่อผัสสะแปลกนอกเหนือนัยน์ตามนุษย์แล้ว เชนจึงมองน้ำในแก้วนิ่ง จนเกิดความสงบชั่วขณะ...เวลานั้นในจิตรับภาพที่ส่งมากระทบชัดเจน

...คุณนายพวงทอง...


(โปรดติดตามต่อฉบับหน้า)



แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP