ดังตฤณวิสัชนา Dungtrin's Answer

มีวิธีสังเกตอย่างไรว่าควรปฏิบัติสมถะหรือวิปัสสนาก่อน



ถาม – ถ้าอยากทราบจริตของตนเองว่าควรปฏิบัติสมถะก่อนหรือวิปัสสนาก่อน มีวิธีสังเกตอย่างไรครับ


มีครับ ก็สังเกตง่ายๆ ก็แล้วกันนะ
ถ้าหากว่าจิตใจฟุ้งซ่านปั่นป่วนอยู่มากๆ เกินกว่าที่จะมีกะจิตกะใจดูอะไร
หรือว่ายอมรับอะไรตามจริง อันนั้นควรทำสมถะก่อน
คำว่า
สมถะ อย่าเหมาว่าคือการไปนั่งสมาธิ การไปหลับตา
หรือว่าการไปเดินจงกรม ปลีกตัวออกจากสังคม
ไม่ใช่นะ ไม่ใช่แบบนั้นเสมอไป
แค่เราได้สวดมนต์ ทำให้ใจเย็นลง
หรือว่าทำให้มีความรู้สึกถึงการเอาใจไปจดจ่อกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์
หรือว่าเอาใจไปจดจ่ออยู่กับความสว่างตรงหน้า
เท่านี้ก็เรียกว่าเป็นสมถะได้แล้ว
เพราะทำให้กิเลสหรือความฟุ้งซ่านมันสงบระงับลงชั่วคราวได้
อะไรก็แล้วแต่ ที่ทำแล้วใจเย็นลง
อะไรก็แล้วแต่ที่ทำแล้วใจสว่างขึ้น รู้สึกดีมากขึ้น
นั่นแหละเป็นสมถะได้หมด

เพราะว่าความหมายของสมถะที่แท้จริงก็คือ ทำให้ใจสงบจากกิเลสหยาบๆ
เรื่องของความร้อนทางราคะ เรื่องของความร้อนทางโทสะ เรื่องของความมืดความดำทางโมหะ
อะไรก็แล้วแต่ที่เป็นกิเลสหยาบๆ
ถ้าหากเราสามารถกำจัดออกไปได้ ทำให้ใจอยู่ในอาการสงบได้ ตรงนั้นเป็นสมถะ
และสมถะที่ถูกต้อง เป็นสมถะในแบบที่จะทำให้จิตมีความพร้อมรู้ พร้อมที่จะยอมรับตามจริง
พร้อมที่จะยกระดับขึ้นสู่ความเป็นวิปัสสนา
ตัวความเป็นวิปัสสนามันไม่ใช่อะไรอื่นที่มันสูงส่งหรือว่าเลิศเลอ
หรือว่ามีความพิสดารเกินคาดอะไรทั้งนั้น
มันคือการพัฒนาจากลักษณะของจิตใจที่พร้อมจะยอมรับตามจริง
ให้ยกขึ้นไปสู่การยอมรับตามจริงได้อย่างต่อเนื่อง
ยกตัวอย่างเช่น ในขณะนี้ ถ้าหากว่าเรากำลังฟุ้งซ่าน
เรื่องอยากรวย อยากมีแฟน หรือว่าอยากได้รถ อยากได้บ้าน
อยากได้เงิน อยากได้ชื่อเสียง อะไรก็แล้วแต่
อย่างนี้มันไม่พร้อมที่จะยอมรับความจริงใดๆ ทั้งสิ้น
มันมีแต่ความพร้อมที่จะเอาให้ได้อย่างใจอยาก ไม่ว่าจะด้วยวิธีไหน
ถ้าหากว่าไม่มีวิธีใด ใจก็ติดอยู่กับความฟุ้งซ่านไม่เลิก
นี่เรียกว่าเป็นใจที่ไม่พร้อมยอมรับตามจริง
มันไปสุดทาง มันไปตันกันที่ความฟุ้งซ่านนั่นเอง

แต่ถ้าหากว่า ณ ขณะนี้ เรารู้สึกตัวเองว่ากำลังฟุ้งซ่าน
นอกเรื่องนอกราวมากเกินไปแล้ว ฟุ้งซ่านเกินตัวมากเกินไปแล้ว
เราเห็นความมีกิเลส มีความโลภ มากเกินกว่าที่ใครจะมีความสุขได้
แค่ยอมรับตามจริง ว่ากำลังฟุ้งซ่านอยู่ ว่ากำลังคิดอะไรเกินตัวอยู่
แค่นี้ใจมันเย็นลงนิดหนึ่งแล้ว

แต่แรงดันของความอยากมันยังไม่มีที่สิ้นสุด มันยังดันต่อมาเรื่อยๆ
ไอ้ตรงนี้เราก็ต้องหาอะไรมาเป็นเครื่องยึดเครื่องเหนี่ยว
เพื่อให้ความโลภแบบที่เกินตัวนั้น มันรู้จักสงบระงับลงบ้าง
เราก็อาจจะไปสวดมนต์
อิติปิ โส ภะคะวา อะระหัง สัมมาสัมพุทโธ ...
จนกระทั่งมีความรู้สึกว่าการสวดของเรา มันทำให้จิตใจมันสงบเย็นลงมา
มันทำให้จิตใจของเรา เลิกคิดถึงอะไรที่เกินตัว เลิกคิดถึงอนาคตที่มันยังมาไม่ถึงได้
นี่ก็เรียกว่าเป็นสมถะ นี่ก็เรียกว่าเป็นการนำบทสวดมนต์มาทำให้จิตใจสงบระงับลงชั่วคราว

เมื่อสงบระงับลงชั่วคราว ก็จะเกิดความสามารถที่จะเห็นว่า
พอความฟุ้งซ่านระลอกใหม่มันผุดขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง
เราก็รู้สึกแล้วว่า อ้าว อันนี้ เป็นของที่มันมาชั่วคราว มันเป็นของที่จรมาชั่วคราว
ไม่ใช่ความคิดของเราแท้ๆ สักหน่อย
มันเป็นอะไรที่ดับไปแล้ว แล้วเดี๋ยวมันก็กลับมาใหม่
จากความเย็นกลายเป็นความร้อน จากความสงบกลายเป็นความปั่นป่วน
เราเห็นอย่างนั้น นี่แหละเรียกว่าเป็นวิปัสสนาแบบอ่อนๆ แล้ว
มันเริ่มเห็นตามจริงว่าไอ้ความคิด ความฟุ้งซ่าน ความโลภโมโทสัน อะไรทั้งหลาย
มันไม่ได้เป็นของติดตัว มันไม่จำเป็นต้องเป็นของติดตัว
ทั้งหลายทั้งปวง มันเกิดขึ้นแล้วมันหายไปได้
ถ้าหากเราไม่เอาใจไปเกาะเกี่ยว ไม่ไปหลงตามมัน ไม่ไปยินยอม ไม่ไปสมยอมตามมัน

ด้วยการเห็นความจริงแบบนี้เรื่อยๆ
ในที่สุด จิตมันกลายเป็นจิตที่มีความพร้อมรู้
จิตที่มีความพร้อมยอมรับตามจริง จิตที่มีความพร้อมที่จะเห็น
ว่าอะไรๆ ที่มันปรากฏกับจิต ปรากฏต่อใจ
เป็นแค่ของชั่วคราว ไม่ใช่ของที่น่ายึด ไม่ใช่ของที่น่าเอา
ไม่ใช่ของที่มันมีความน่ายินดีอะไรนะครับ
นี่แหละเรียกว่าเป็นการเห็นตัวเอง
ไต่ลำดับขึ้นมาจากสมถะ และยกขึ้นสู่ความเป็นวิปัสสนา



แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP