วรรณกรรมนำใจ Lite Literature

กรงไฟ ๘


cover_krongfire

นวนิยายเรื่องนี้ เขียนขึ้นเพื่อความบันเทิง
หากมีชื่อ-สกุล เรื่องราวใดพ้องกับบุคคลจริง ต้องกราบขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วย

ชลนิล


(ต่อจากฉบับที่แล้ว)


รุ่งรตีตื่นเช้ากว่าปกติ...คำว่าเช้าของหล่อนนั้น มันเป็นเวลาที่มนุษย์งานส่วนใหญ่นั่งโต๊ะเดินเครื่องจักรกลหมุนโลกกันแล้ว

ห้องนอนกว้างสว่างด้วยแสงแดดยามสาย ผ้าม่านสีอ่อนช่วยลดแรงจัดจ้าของตะวันที่ส่องมายังเตียงนอนได้ อากาศเย็นสบายด้วยเครื่องปรับอากาศทำงานเงียบ เหมือนคนสงบเสงี่ยมเจียมตัว

รุ่งรตีลุกขึ้น นัยน์ตาสว่าง เอื้อมมือคว้ารีโมตปิดแอร์ จากนั้นรูดม่านกว้างปล่อยให้แสงสว่างเข้ามาเต็มที่ เปิดประตูยืนรับอากาศบริสุทธิ์ที่ระเบียง ทอดสายตาไกลพลางบิดเนื้อบิดตัวแทนการออกกำลังกาย

แดดจัด สายลมอรุณยังพัดแผ่ว อากาศบริสุทธิ์บนชั้นสี่บ้านทรัพย์ยั่งยืนสิริไพศาล สร้างความสดชื่นกับคนตื่นเช้ากว่าเคยแทนเป็นรางวัล รุ่งรตีเคยนึกเบื่อความพรั่งพร้อมของตนเอง ขณะที่คนภายนอกต่างดิ้นรนอยากได้แทบตาย... แค่บ้านที่เธออยู่ก็เป็นความฝันของคนจำนวนไม่น้อยแล้ว

คุณนายพวงทองสร้างบ้านทรัพย์ยั่งยืนสิริไพศาลขึ้นช่วงบั้นปลายชีวิต เป็นคฤหาสน์สี่ชั้นบนที่ดินหลายไร่ริมน้ำ คนผ่านไปมาจ้องมองตาค้างกับความสวยงาม ใหญ่โตอลังการของมัน

เจตนาสร้างก็เพื่อให้ครอบครัวลูกทั้งห้าอยู่ร่วมกัน แบ่งโซนตกแต่งแยกแต่ละครอบครัวตามใจ...ระหว่างสร้างไม่มีใครคัดค้าน เลือกชั้นเลือกพื้นที่สรรหาของมาตกแต่งหรูหรา สนุกสนาน

พอบ้านเสร็จเริ่มมีปัญหา รามอ้างว่าครอบครัวเขาต้องการแยกเป็นเอกเทศ ส่วนตัว ประกอบกับต้องการดูแลกิจการเดินรถและอู่อย่างใกล้ชิด...สมุทรบอกว่าลูกต้องเรียนโรงเรียนนานาชาติที่กรุงเทพฯ ภรรยาต้องดูแลบริษัทเงินทุนของตน บ้านที่กรุงเทพฯมีแล้วจำเป็นต้องอยู่กับครอบครัว สีดาบอกง่าย...หล่อนจะแต่งงานกับพิทักษ์และขอออกไปอยู่ข้างนอกด้วยกัน ไม่ต้องการให้คนในครอบครัวดูถูกสามีตนเอง

บ้านหลังใหญ่จึงมีลูกที่อยู่เป็นเพื่อนคุณนายพวงทองแค่ลักษณ์กับสุขศจี

ความผิดหวังครั้งนั้นสร้างความช้ำใจไม่น้อย จนกระทั่งเสียชีวิตก็ไม่ยอมยกบ้านหลังนี้ให้ใคร

ปีกตึกส่วนที่เป็นของลักษณ์มีพื้นที่กว้าง แทบจะยึดชั้นสี่ทั้งหมด ห้องนอนรุ่งรตีมีพื้นที่ใช้สอยมากกว่าบ้านจัดสรรหลังหนึ่งเสียอีก ในห้องมีอุปกรณ์อำนวยความสะดวก บำรุงบำเรอความสุขครบครัน ทั้งโฮมเธียเตอร์ เครื่องเสียงชั้นยอด ตู้เสื้อผ้าจัดแยกเป็นห้องๆ ตกแต่งสวยงามคลาสสิก ระเบียงยาวกว้างที่เจ้าของชอบมานอนทอดหุ่ยมองขอบฟ้า แม่น้ำและบ้านเรือนผู้คนที่อยู่ห่างไกล

หลายครั้งที่รุ่งรตีอยากมีปีกโบยบินสุดหล้าฟ้าเขียว ค่ำไหนนอนนั่น...แต่เมื่อนึกถึงจุดหมาย...หล่อนจะไปที่ไหน...ก็ทำให้อับจนความคิด...รุ่งรตีไม่มีจุดมุ่งหมายในชีวิต ไม่รู้อยู่เพื่ออะไร ไม่มีความคิด ความฝัน ทุกสิ่งที่คนทั่วไปอยากได้ หล่อนมีครบหมด กระทั่งอิสระที่จะบ้าบอ ทำอะไรสุดฤทธิ์สุดเดช ก็ทำมาแล้ว...สุดท้ายบอกกับตัวเอง...ไม่เห็นมันจะมีความสุขตรงไหน

ชีวิตหล่อนต้องการอะไรกันแน่...

ถ้าใครมาถามปัญหานี้กับรุ่งรตีสมัยเด็ก หล่อนคงตอบทันทีโดยไม่ต้องคิดเลยว่า...ต้องการพ่อแม่ ต้องการเวลา ความรัก อ้อมกอดอบอุ่น มาทดแทนความเงียบเหงา ว้าเหว่ เดียวดาย ท่ามกลางผู้คนมากมายในโรงเรียนประจำ แต่เมื่อมันไม่ได้ก็ยิ่งโหยหา...พอโหยหาไม่ได้ก็ต้องการสิ่งมาทดแทน

เรื่องบ้าบอแค่ไหน สุดขั้วเพียงใดก็ทำมาหมด ยังดีที่ชีวิตไม่เลวร้ายถึงขั้นติดยา เสียผู้เสียคน สำนึกส่วนดียังมีเหลือ พอที่จะบอกตนเองว่า...อะไรทำได้...อะไรไม่ควรริลอง...แต่แค่นั้นทุกคนก็ประณามหล่อนเป็นเด็กใจแตก เสียคน หมดหวัง ไม่มีอนาคต

ความเป็นคนสุดขั้วอยู่แล้ว เมื่อยิ่งว่าก็ยิ่งทำ...ยิ่งมีสายตาดูถูกยิ่งแสดงอาการประชด...ทำตัวเป็นสาวแหกกฎไม่สนใจใคร...ทั้งที่จริงมีจิตใจอ่อนโยน...เอื้อเฟื้อเห็นใจคนอื่น...การอยู่ต่างประเทศทำให้รู้จักพึ่งตนเอง...คิดเอง ตัดสินใจเอง...เคยเข้ากลุ่มอาสาสมัครช่วยคนด้อยโอกาส ได้เห็นคนทุกข์ยากเงียบเหงาเปล่าเปลี่ยวกว่าตน...ทำให้เกิดจิตใจที่คิดจะให้...เหล่านี้กระตุ้นสำนึกหลายอย่างให้หล่อนไม่กล้าถลำตัวลึกลงยังด้านมืดของชีวิต แต่ไม่มากพอจะเปลี่ยนหล่อนเป็นคนดีตามมาตรฐานที่ผู้ใหญ่ต้องการ

ถูกลากตัวกลับเมืองไทยทั้งที่ยังเรียนอะไรไม่จบสักอย่าง อยู่กรุงเทพฯเพื่อไม่ให้พ่อขายหน้ากับสังคมคนเมืองนี้ แต่หล่อนก็ทำเรื่องจนได้กลับมาอยู่บ้านจนได้

รุ่งรตีกำลังจะเข้าไปอาบน้ำแต่งตัว สายตาก็แลลงที่สนามมองเห็นคนคุ้นตากำลังนั่งคุยโทรศัพท์ด้วยสีหน้าเคร่งเครียด

อาจีนี่หว่า

หญิงสาวพึมพำ...หล่อนกับสุขศจีไม่ใช่อาหลานที่รักใคร่กันนักหนา สมัยเด็กรุ่งรตีเคยชื่นชมความสวยคุณอาคนนี้...สุขศจีมีโลก สังคมของตน ไม่มีเวลามาสนใจหลานสาวขาดแม่จนตอนหลังค่อยห่างเหินกัน

คุยโทรศัพท์กับใคร ธรรมดาออกไปทำงานแล้วนี่

พูดเชิงบ่นกับตัวเอง นึกฉุกใจสีหน้าเคร่งเครียดในการคุยโทรศัพท์...นี่ขนาดมองจากชั้นสี่ลงมายังเห็นอากัปกิริยาชัดเจน...พวกข้างล่างคงไม่มีใครเข้าใกล้แน่


อาจี

รุ่งรตีทักทายอาสาวตอนเดินสวนกันที่ชั้นล่าง

เพิ่งตื่นหรือ สุขศจีหน้าเคร่ง มองหลานสาวหัวจดเท้า

รุ่งรตีก้มมองตาม เห็นสภาพตัวเองในชุดนอนเสื้อบางๆ กางเกงเลที่ไม่มีใครในบ้านใส่เดินเฉิดฉาย

อือ...ยังไม่ล้างหน้าแปรงฟันเลย ว่าจะนอนต่ออีกหน่อย เห็นสายตาอย่างนั้น รุ่งรตีก็นึกอยากกวนประสาทอาสาวเล่น

งั้นเหรอ สุขศจีเดินขึ้นบันไดห้อง ไม่แสดงอาการฉุนเฉียวต่อท่าทีขาดสัมมาคารวะของหลานสาว

คนตั้งใจกวนประสาทกลับงงงันเสียเอง ดูท่าสุขศจีมีเรื่องกังวลใจมากเกินกว่าจะใส่ใจกับการกวนประสาทเล็กน้อยนี้

รุ่งรตีมองตามอาสาวก่อนยักไหล่ไม่ยี่หระ ที่จริงไม่ตั้งใจลงจากห้องทั้งอย่างนี้หรอก พอเห็นอาสาวท่าทางคุยโทรศัพท์เคร่งเครียดก็สนใจอยากรู้ ลงมาแอบสังเกตสังกาตามประสาคนว่างงาน

สิ่งที่พบกลับกระตุ้นความสงสัยมากกว่าเดิม จึงเดินตามจนถึงหน้าห้องสุขศจี คิดแอบฟังหากมีการพูดคุยอีกครั้ง...ดูท่าจะยาก ประตูปิดสนิทอย่างนี้ใครก็ไม่ได้ยิน

กำลังจะหันหลังกลับขึ้นห้องตัวเองก็ได้ยินเสียงโทรศัพท์ดังขึ้นในห้องสุขศจี คนแอบฟังจึงแกล้งยืนต่ออีกสักครู่

หลังเสียงโทรศัพท์มีเสียงพูดคุยปกติ รุ่งรตียังไม่ได้ยิน นึกขันตัวเองที่ว่างงานจัด ไม่มีอะไรทำ จนต้องมาเป็นนักสืบสอดรู้เรื่องไม่เป็นเรื่อง

จีบอกแล้วไงว่าจะส่งไปให้วันนี้ ไม่ต้องย้ำมากก็ได้

เสียงสุขศจีดังกว่าปกติ ลอดถึงหน้าประตูห้อง น้ำเสียงฉุนเฉียวปนอึดอัด รุ่งรตียืนฟังสนใจทั้งที่ไม่รู้จะมีประโยชน์อะไร

แค่นี้นะหลิง น้ำเสียงกระแทกฟังชัดถึงนอกห้อง รุ่งรตีรีบย่องหลบไร้สุ้มเสียง ชื่อหลิงเป็นนามเรียกขานแปลกหูไม่เคยได้ยินมาก่อน พยายามไล่เลียงความทรงจำ มันช่างไม่ผ่านหัวเอาเสียเลย

รุ่งรตีรู้จักญาติพี่น้องน้อยมาก แค่พอลำดับญาติถูก แต่จำชื่อได้ไม่หมด ชื่อแปลกๆ อย่าง หลิง นี่ไม่รู้ญาติฝ่ายไหน ฟังชื่อไม่น่าเป็นคนไทย รู้จักกับอาสาวแค่ไหน...คิดแล้วปวดหัว

หญิงสาวอยากสลัดเรื่องอาสาวกับชื่อหลิงออกจากสมอง จึงหาเรื่องอื่นทำเปลี่ยนอารมณ์

กลับขึ้นไปอาบน้ำ เปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อย วางแผนประจำวัน...จะเที่ยวไหน ทำอะไรดี...คิดไม่ออก...จังหวัดนี้เป็นเมืองท่องเที่ยวก็จริง ส่วนใหญ่เป็นพวกภูเขา น้ำตก แม่น้ำ กับเที่ยวซื้อของตามตะเข็บชายแดน ต้องขับรถไปไกล ที่เที่ยวแต่ละจุดห่างกัน เปรียบเทียบแล้วสู้ขับรถเข้ากรุงเทพฯยังง่ายกว่า

คดีเพิ่งหมาดๆ พ่อสั่งคุมประพฤติ เพื่อนกลุ่มเดิมแตกกระสานซ่านเซ็น แค่โทรคุยยังต่อกันแทบไม่ติด เข้ากรุงเทพฯก็ไม่มีประโยชน์

นึกถึงเชน ญาติผู้พี่ที่มีอัธยาศัยน่าเข้าใกล้ นึกถึงป้าจิตใสที่เคยผูกพันตอนเด็ก อยากแวะไปหาตอนนี้พวกเขาคงทำงานกัน หล่อนเกรงใจ ไม่อยากเป็นตัวเกะกะอีก...หรือจะอยู่บ้านหาอะไรทำ เอาไว้ตอนเย็นค่อยว่ากัน...ที่หย่อนใจของหล่อนต้องรอให้พระอาทิตย์ตกดินเสียก่อนจึงเปิดบริการ


โทรศัพท์ครับนาย

ใครโทรมาวะ รามถามไม่ใส่ใจ

ท่านภาสกรครับ ชื่อนี้ทำให้ผู้เป็นนายแทบลุกจากเก้าอี้

ภาสกรโทรมาเองอย่างนี้ย่อมมีเรื่องสำคัญ

สวัสดีครับอาภาส ภาสกรอายุหกสิบ แก่กว่ารามไม่ถึงสิบปี ได้รับคำพูดเกรงใจเพราะเป็นบุคคลที่คุณนายพวงทองไว้ใจคนหนึ่ง

ว่าไง สบายดีมั้ยราม ผู้สูงอายุกล่าวน้ำเสียงเรื่อยๆ

ครับ คุณอามีธุระอะไรจะใช้ผมหรือเปล่า

คิดถึงน่ะ...อยากเจอ เย็นนี้ว่างมั้ย ถึงจะพูดคุยตามสบาย แต่น้ำเสียงออกคำสั่งกลายๆ

ครับเจอกันที่ไหนดี รามถาม

กรุงเทพฯดีกว่า เย็นนี้อาจะเลี้ยงข้าวพรรคพวกที่บ้าน รามมาด้วยกันสิ จะได้รู้จักกันหลายๆ คน

ครับคุณอา รามรับคำด้วยวาจาสุภาพ

วางหูโทรศัพท์เสร็จ สีหน้ารามเริ่มมีร่องรอยครุ่นคิด การที่ผู้ใหญ่นัดพบเช่นนี้แสดงว่ามีความหมายมากกว่าคำว่า คิดถึง

ภาสกรชักชวนรามเล่นการเมืองระดับประเทศนานแล้ว ตั้งแต่คุณนายพวงทองยังมีชีวิต ช่วงเวลานั้นคุณนายไม่เห็นด้วย แค่การเมืองระดับท้องถิ่นก็เอื้อประโยชน์พอเพียงแล้ว ไม่จำเป็นต้องใช้ฐานการเมืองระดับประเทศเพื่อขยายธุรกิจตน...อีกอย่างนางเห็นว่ารามยังไม่ เขี้ยว คมรอบจัดพอจะเข้าสู่สนามที่มีแต่สิงห์เจนเวทีได้

หลังคุณนายพวงทองเสียชีวิต รามได้รับการทาบทามอีกครั้ง คราวนี้ไม่ใช่แค่พรรคการเมืองของภาสกร แต่รวมถึงพรรคการเมืองที่เป็นรัฐบาลในปัจจุบันด้วย

ความที่คุ้นเคยกับภาสกร ประกอบกับฝ่ายนั้นเป็นผู้จัดการมรดกคนที่คุณนายพวงทองไว้ใจ รามจึงคิดจะเข้าร่วมพรรค ถึงขนาดนัดเจอพี่น้องเพื่อคุยเรื่องการเบิกเงินพิเศษจากบัญชีกงสี แต่โดนขัดขวางรุนแรงจากลักษณ์ น้องชายตนเอง

แรกๆ รามก็โกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยง คิดใช้ความเป็นพี่คนโตจัดการทรัพย์สินเสียเอง กระทั่งสงบอารมณ์ ได้คิด มองเห็นจริงตามที่ลักษณ์พูด...พรรคการเมืองของภาสกรดูดี มีแต่เปลือกข้างในกลวงโบ๋ คนส่วนใหญ่ศรัทธาชื่นชอบเฉพาะสไตล์การพูดอันโดดเด่นของหัวหน้าพรรคเท่านั้น ถ้าเขาร่วมด้วย ย่อมต้องกลายเป็นกระเป๋าเงินให้พรรค...ยิ่งไม่แน่ว่าพรรคจะได้เข้าร่วมรัฐบาลสมัยหน้าหรือไม่ สู้ยอมเข้ากับพรรคที่เป็นรัฐบาลปัจจุบันดีกว่า แม้จะมีกระแสวิจารณ์ว่าเป็นขาลง เขาก็ยังเชื่อว่าหากมีการเลือกตั้งสมัยหน้า พรรคนี้ก็ยังจะได้รับเลือกด้วยคะแนนที่สูงจนได้เป็นรัฐบาลอีกครั้ง

ยังไม่ทันจะได้มีการพูดจาเป็นทางการเรื่องเข้าพรรครัฐบาล เขาก็ได้รับโทรศัพท์จากภาสกรนัดให้เข้ากรุงเทพฯ ตอนนี้ เพื่อรับประทานอาหารเย็นที่บ้าน ฟังอย่างนี้ก็รู้ว่าเป็นการนัดพบเพื่อประชุมลับ คนนอกไม่มีสิทธิรู้

รามยังไม่ถึงขนาดตกปากรับคำเข้าร่วมพรรค แต่ไม่เคยมีท่าทีปฏิเสธ ฝ่ายนั้นจึงมั่นใจเต็มที่ต้องได้ตัวเขาแน่...การพูดคุยเย็นนี้ น่าจะเป็นการรวบตัวเข้าพรรคโดยปริยาย...เขาควรทำอย่างไรเพื่อหลุดรอดออกมาให้ได้

นายจะไปพบท่านภาสกรหรือครับ บุญส่ง สมุนมือขวาผู้รู้ใจยืนถามนอบน้อม

เออว่ะ

จะไปมั้ยครับ

ต้องไปสิวะ ถึงพูดอย่างนั้น แววตายังครุ่นคิด หมกมุ่น

แล้วที่เลขาของอีกพรรคโทรมานัดคุยกับนายล่ะครับ คำถามคล้ายการเตือนสติ

เออ...กูก็รู้ ถึงได้นั่งปวดหัวอยู่นี่ไงล่ะ เขาบ่น

นายเลือกหรือยังล่ะครับ ลูกน้องถามหาทางออก

ก็เพราะกูเลือกแล้วนี่แหละ ถึงต้องคิดจนปวดหัวว่าจะไปพูดยังไง

การปฏิเสธไม่ยากหรอกครับ ถ้าเราพร้อมรับผลของมันได้ บุญส่งพูดพลางจ้องใบหน้านายด้วยดวงตาเข้มตรง สัตย์ซื่อ พวกเราพร้อมครับนาย

ภาระบนบ่ารามถูกผลักลงกว่าครึ่ง ความมั่นใจกลับคืนสู่ตัวอีกครั้ง...คนอย่างเขายกได้วางได้ อะไรจะเกิดต้องเกิด...ชีวิตที่ผ่านมาพบมรสุมไม่น้อย...การเป็นลูกชายคนโตคุณนายพวงทองไม่ได้ทำให้เขาเป็นคุณชายคุณหนูแบบน้องคนอื่น

รามโตในช่วงคุณนายพวงทองสร้างเนื้อสร้างตัว เขาได้เรียนแค่ปริญญาตรีในประเทศ ไม่ได้เรียนสูงถึงต่างประเทศเหมือนน้อง ต้องทำงานหนักตั้งแต่เด็ก ออกหน้าเผชิญกับอิทธิพลมืดแทนแม่ ตอนโตรับมือบุกเบิกกิจการที่เป็นโลกของผู้ชาย...คุมลูกน้องทำงานที่เป็น เบื้องหลัง ความสำเร็จของตระกูลทรัพย์ยั่งยืนสิริไพศาลหลายอย่าง

ตอนนี้เขาแค่เตรียมมีศัตรูเพิ่มอีกกลุ่ม...ใครก็ว่า เวทีการเมืองไม่มีมิตรแท้ ศัตรูถาวร...มีแต่คนประเภทเดียวกับรามเท่านั้นที่รู้...

ถนนการเมืองมีแต่ ศัตรู ที่ใส่หน้ากากของ มิตรแท้ ในบางโอกาส...ผลประโยชน์เท่านั้นที่จะทำให้หน้ากากมิตรภาพคงทนอยู่ได้นานแค่ไหน





บทที่ ๗


นับจากมีการขยายถนนเป็นสองช่องทาง การเดินทางเข้ากรุงเทพฯก็สะดวกรวดเร็วกว่าเดิม สมุทรยังจำสมัยตอนเด็กได้ แม่พาเขากับพี่น้องขึ้นรถเก๋งคันเก่าขับปุเลงไปเที่ยวกรุงเทพฯ...ถนนสองเลนรถแล่นสวนกัน สองข้างทางมีทุ่งนาเขียวขจีกว้างสุดลูกหูลูกตา

มาวันนี้ทุกอย่างสะดวกรวดเร็ว ถนนกว้างขวาง ทุ่งนาข้างทางหายไป แทนที่ด้วยอาคารตึกราม ป้ายโฆษณาขนาดใหญ่ รถยนต์ที่เขาใช้เป็นรุ่นใหม่ล่าสุด วิ่งเร็วเรียบนุ่ม เกาะถนนดี ใช้เวลาเดินทางเข้ากรุงเทพฯไม่เกินสองชั่วโมง จะเสียเวลาบ้างตอนรถติดเข้าตัวเมือง เสียเวลาเป็นชั่วโมงพอกัน

สมุทรขับรถเข้ากรุงเทพฯประจำ ลูกเรียนโรงเรียนนานาชาติ ภรรยาทำบริษัทเงินทุนอยู่กรุงเทพฯ ถ้าไม่ห่วงเรื่องสมบัติทางนี้ เขาคงย้ายรกรากเข้ากรุงเทพฯเป็นการถาวรแล้ว

การที่สมุทรช่วยลักษณ์ดูแลห้างสรรพสินค้า ไม่ได้คาดหวังสนใจกับเรื่องธุรกิจตรงนี้เท่าไหร่ เพียงต้องการแสดงตัวเป็นหนึ่งในทายาทตระกูลทรัพย์ยั่งยืนสิริไพศาล คอยดูแลผลประโยชน์ของตนไม่ให้กระเด็นไปไหน

มาได้ครึ่งทางแล้ว อีกไม่ถึงชั่วโมงก็เข้ากรุงเทพฯ สมุทรคุยกับภรรยาผ่านเครื่องเสียบหูฟัง

ดีแล้ว รีบกลับมาเร็วหน่อย มีเรื่องจะปรึกษา น้ำเสียงเกตุ ภรรยาเขาแฝงการออกคำสั่ง

ที่บริษัทมีปัญหาอะไร สมุทรเกือบถอนใจ เกตุเป็นผู้หญิงทำงานที่เอาจริงเอาจังกับปัญหาทุกเรื่อง

วันนี้ทะเลาะกับไอ้แฟรงค์มา...

แฟรงค์ เป็นหุ้นส่วนใหญ่อีกคนในบริษัท

เรื่องอะไร ถามเพื่อเอาใจมากกว่าอยากรู้จริง

มันว่าเราปล่อยกู้มากไป อาจทำให้มีหนี้เสียได้

เรื่องเดิมอีกแล้ว...ฝรั่งขี้เหนียวเอ๊ย เขาพยายามผ่อนคลายอารมณ์ภรรยา

มันไม่ใช่แค่นั้นน่ะสิ นี่มันจะสั่งให้เราตรวจสอบลูกหนี้ แล้วก็เร่งรัดกับพวกหนี้เน่าทั้งหลายด้วย

เฮ่ย...เรื่องนั้นเราก็ให้ฝ่ายกฎหมายเขาจัดการอยู่แล้วนี่

นั่นแหละ เกตุบอกแล้ว มันก็ว่า ถ้าอย่างนั้นให้เราชะลอการปล่อยกู้ไปก่อน เฟ้นเฉพาะลูกหนี้ชั้นดี เกตุพูดเน้นเสียง อารมณ์หนัก

ได้ยังไง ตอนนี้นโยบายรัฐบาลต้องการให้มีเงินหมุนในระบบ ขืนปล่อยกู้ยากแบบนี้ ก็โดนคู่แข่งแย่งลูกค้าหมดสิ...คิดดู ตอนนี้มันทำโฆษณาชวนให้ไปกู้เงินกันจนเกร่อแล้ว

เบื่อ เกตุพูดสุดทน

เอาน่า เดี๋ยวเราค่อยไปคุยกับไอ้แฟรงค์มันอีกที สมุทรใช้น้ำเย็นเข้าลูบ

เกตุพูดจนปากจะฉีกแล้ว ไอ้แฟรงค์มันว่ายังไงรู้มั้ย มันยกตัวอย่างสมัยก่อนฟองสบู่แตกให้ดู...มันว่าเมืองไทยตอนนี้ ก็ไม่ต่างจากนั่นเท่าไหร่หรอก

มันคนละยุคกันแล้ว สมุทรอ่อนใจ รัฐบาลเขาเคยผ่านเหตุการณ์ตรงนั้นมาแล้ว ใครจะยอมให้มันเกิดซ้ำอีก

นั่นแหละ เกตุถึงเบื่อไง อยากซื้อหุ้นคืนจากมันมาให้หมด เราจะได้มีอำนาจตัดสินใจมากกว่านี้

สมุทรเงียบ นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เกตุพูดแบบนี้ การซื้อหุ้นจำนวนมากขนาดนั้นต้องใช้ทุนมาก เครดิตเขาไม่มากพอระดมทุน ทางเดียวที่จะได้ทุนมาคือต้องใช้มรดกกงสีเข้าช่วย...รู้กันอยู่ พี่น้องทุกคนต่างจ้องสมบัติกองนี้เช่นกัน หากมีใครเริ่มก่อน คนอื่นต้องคว้าตาม สุดท้ายก็ไม่เหลือ...นี่คือเหตุผลที่เขาไม่โหวตให้ราม

ใจเย็นน่า สมุทรพูดปลอบใจ

ก็คุณนั่นแหละ เกตุพูดใส่ ไม่รู้จักพูดให้พี่น้องคุณช่วย เงินแค่นี้มันไม่มากเท่าไหร่

สมุทรถอนใจ ไม่มากเท่าไหร่ ของเกตุคือตัวเลขจำนวนเกือบเก้าหลัก

เดี๋ยวค่อยคุยกันที่บ้านนะเกตุ เขาตัดบทอ่อนใจ

ทันใดนั้นหูแว่วเสียง ปัง ดังขึ้น ก่อนรถยุบฮวบเอียงกระเท่เร่ ตกใจรีบชะลอความเร็วพยายามประคองรถจอดข้างทาง ใจเต้นตุบตับ มือที่จับพวงมาลัยเย็นชื้นด้วยเหงื่อ โชคดีรถค่อนข้างน้อยสามารถนำจอดข้างทางปลอดภัยไม่เกิดอุบัติเหตุ

ลงจากรถด้วยอาการขาสั่นนิดๆ อากาศข้างนอกร้อน แต่สมุทรกลับเย็นวาบ เห็นล้อรถด้านหลังทางซ้ายยุบแบน เข้าไปดูด้วยความแปลกใจ...ยางรถยังใหม่ไม่น่าแตก...หรือมันไปเหยียบอะไร

สิ่งที่เห็นทำให้ยืนตะลึงงัน ทำอะไรไม่ถูก...รถไม่ได้เหยียบถูกอะไรทั้งนั้น ยางแตกเพราะ...หมดสภาพ

ยางเส้นนั้นไม่ใช่เส้นเดิมที่ติดกับรถ สังเกตได้จากความเก่าที่พอจะมองออกชัด ยางเดิมติดรถค่อนข้างใหม่ ดอกยางดี ส่วนยางแปลกหน้าโล้นเลี่ยน บางเฉียบ ไม่น่าแปลกใจที่มันแตกเพราะหมดสภาพ

เขาไม่ใช่คนสังเกต สนใจดูแลรถนัก ขับได้ วิ่งได้ เครื่องไม่ดับ ก็พอใจแล้ว ไม่น่าสงสัยที่ขับรถยางหมดสภาพมาจนมันแตกแบบนี้

สมุทรทรุดตัวก้มดูยางที่แตกก่อนนึกสงสัย...

ใครกันที่แอบเปลี่ยนยาง...จุดประสงค์มันคืออะไร...จะเป็นอย่างไร ถ้ามันตัดสายเบรกแทนการใส่ยางหมดสภาพมาให้


(โปรดติดตามต่อฉบับหน้า)



แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP