จุดหมายปลายธรรม Destination@Dharmma

บางเรื่องราวเมื่อคราวน้ำท่วม


งดงาม
This e-mail address is being protected from spambots. You need JavaScript enabled to view it


064_destination


เหตุการณ์ภัยพิบัติน้ำท่วมครั้งนี้คงจะให้ข้อคิดและบทเรียนแก่เราหลายอย่างนะครับ
โดยแต่ละท่านก็คงจะได้ข้อคิดและบทเรียนที่หลากหลายเหมือนหรือแตกต่างกัน
ผมก็จะลองเล่าบางเรื่องที่ได้พบเห็นนะครับ ซึ่งบางท่านเองก็อาจจะได้พบเห็นตรงกัน
บางท่านก็อาจจะไม่ได้พบเห็นเรื่องเหล่านี้ แต่ได้พบเห็นเรื่องอื่น ๆ ต่างจากนี้

การได้ติดตามข้อมูลวิเคราะห์เกี่ยวกับภัยพิบัติน้ำท่วมในครั้งนี้ ช่วยให้เราได้มีความรู้เกี่ยวกับ
ระบบการบริหารจัดการน้ำมากขึ้นนะครับ ได้ความรู้เกี่ยวกับแม่น้ำ คลองระบายน้ำ แก้มลิง
คันกั้นน้ำต่าง ๆ และได้รับทราบอีกครั้ง (จากหลาย ๆ ครั้งแต่เดิม) ถึงความเป็นอัจฉริยะ
และทรงพระปรีชาสามารถ (และความใส่พระทัย) ของในหลวงของพวกเราในการจัดการเรื่องน้ำ
ได้ทราบถึงภูมิปัญญาของบรรพบุรุษไทยในสมัยโบราณเกี่ยวกับแนวคลองระบายน้ำที่สร้างขึ้น
ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ห้า โดยสร้างไว้รองรับปัญหาการระบายน้ำในพื้นที่กรุงเทพฯ และจังหวัดใกล้เคียง
(แต่ปรากฏว่าพวกเราในยุคปัจจุบันกลับไม่ทราบหรือไม่มีความเข้าใจที่เพียงพอ
และไม่ให้ความสำคัญในสิ่งเหล่านี้ จนไปก่อสร้างสิ่งต่าง ๆ กีดขวางทางน้ำเสียเอง)

ตามข่าวบอกว่าน้ำท่วมครั้งนี้ร้ายแรงที่สุดในรอบ ๕๐ ปี ซึ่งผมเองอายุเกือบ ๔๐ ปี
จึงไม่ได้มีประสบการณ์ได้เห็นน้ำท่วมครั้งที่ร้ายแรงกว่านี้ แต่จากครั้งนี้ก็ทำให้เข้าใจถึง
ภูมิปัญญาของบรรพบุรุษไทยมากขึ้นที่พวกเขาสามารถอยู่ร่วมกับธรรมชาติได้อย่างมีความสุข
อย่างเช่นแบบบ้านในสมัยอดีต ก็จะยกพื้นบ้านให้อยู่สูง และมีใต้ถุนเรือนสูง
ซึ่งเราอาจจะมองว่าเป็นแบบบ้านที่ล้าสมัย แต่บ้านแบบนี้สามารถช่วยบรรเทาความเสียหาย
ในช่วงเวลาที่น้ำท่วมได้นะครับ เราจึงควรจะให้ความสำคัญกับภูมิปัญญาของบรรพบุรุษมากขึ้น

ได้ฟังนักวิชาการท่านหนึ่งให้ความเห็นว่า บรรพบุรุษของเราในอดีตนั้น
เวลาที่น้ำขึ้นสูงก็ดังเช่นในเพลงลอยกระทงนะครับ ที่ว่าวันเพ็ญเดือนสิบสอง น้ำก็นองเต็มตลิ่ง
เราทั้งหลายชายหญิงสนุกกันจริง ... แต่ว่าสมัยของพวกเรานี้ พอน้ำเริ่มสูงใกล้เทียบตลิ่ง
พวกเราก็มีแต่เครียดและทุกข์กันนะครับ ดูเหมือนว่าคนในปัจจุบันนี้จะมีเทคโนโลยีทันสมัย
หลายอย่างมากมาย แต่ว่าความสามารถในการอยู่ร่วมกับธรรมชาติอย่างมีความสุขจะด้อยกว่า
และความสุขในการอยู่ร่วมกับธรรมชาติจะน้อยกว่าคนในสมัยโบราณอย่างมากเลย

ที่บอกกันว่าพัฒนา พัฒนา และพัฒนากันนั้น ท้ายที่สุดแล้ว ไม่แน่ใจว่าหมายความว่าอย่างไร
จะหมายความว่าพัฒนาให้ห่างไกลจากธรรมชาติมากขึ้นหรือเปล่า จะเป็นไปได้หรือ
มนุษย์เราพยายามจะพัฒนาตนเองให้แยกออกจากธรรมชาติ ให้อยู่เหนือธรรมชาติ
จะทำได้แค่ไหนเพียงไรกัน เพราะท้ายสุด มนุษย์เราก็หนีธรรมชาติไม่พ้น
กระทั่งแม้ในร่างกายเราก็ยังประกอบด้วยธาตุดิน น้ำ ลม ไฟ และอากาศ
ฉะนั้นแล้ว เราก็ไม่มีทางหนีธรรมชาติพ้น ไม่มีทางแยกตัวเองออกจากธรรมชาติได้
และไม่มีทางอยู่เหนือธรรมชาติไปได้ ยิ่งมนุษย์พยายามฝืนและดิ้นรนพยายามทำไป
ก็ยิ่งทำให้มนุษย์เราอยู่กับธรรมชาติโดยมีความสุขน้อยลง แต่มีความทุกข์มากขึ้น

สมมุติตัวอย่างว่า มีคนหนึ่งบอกว่าน้ำท่วมนี้เป็นไปตามธรรมชาติ เป็นเรื่องปกติ
เป็นธรรมดาและสามารถยอมรับได้ สามารถอยู่กับมันได้ เปรียบเทียบกับอีกคนหนึ่ง
บอกว่าน้ำท่วมนี้ไม่ใช่ธรรมชาติ ไม่ปกติ และไม่ธรรมดา ยอมรับมันไม่ได้
ถามว่าคนที่หนึ่งและคนที่สองนี้ ใครจะมีความสุขในการอยู่ร่วมกับน้ำได้มากกว่า
ฉะนั้นแล้ว เราจึงควรสร้างสมความรู้ความเข้าใจ และความสามารถ
ในการอยู่ร่วมกับธรรมชาติให้มากยิ่งขึ้น น้ำจะไหลลงจากที่สูงสู่ที่ต่ำก็เป็นธรรมดา
เมื่อปริมาณน้ำมากเกินไป น้ำก็จะต้องท่วมก็เป็นธรรมดา

บางท่านอาจจะมองว่าน้ำท่วมมารุกรานบ้านเมืองเรา
น้ำท่วมมาทำให้พวกเราเดือดร้อน แต่หากเราจะมองอย่างเป็นกลางแล้ว
ลองพิจารณาให้ดีครับว่าใครรุกรานใครกันแน่
พิจารณานะครับว่า น้ำมีอยู่บนผืนดินแห่งนี้มานานเพียงไรแล้ว
ฝนตกบนผืนดินแห่งนี้นานเพียงไร น้ำที่ไหลจากเหนือลงจรดใต้บนผืนดินแห่งนี้มีมานานเพียงไร
จะกี่หมื่น กี่แสน กี่ล้านปีแล้ว หรือนานเท่าไรก็ตาม
แต่พวกเราต่างหากที่มาอาศัยอยู่บนผืนดินนี้ทีหลัง มาปลูกสร้างบ้านเรือนที่พักอาศัย
สร้างถนน และอื่น ๆ ทั้งหลาย โดยไปขวางทางน้ำบนผืนดินที่มีมาก่อนแต่เดิม
มนุษย์เรามาอาศัยบนผืนดินนี้ภายหลังน้ำ น้ำมาอยู่ก่อน น้ำผ่านมาก่อน
เราสร้างสิ่งก่อสร้างทั้งหลายเหล่านี้ภายหลังจากน้ำ
แต่พอเวลามีปัญหาน้ำท่วมสิ่งก่อสร้างหรือถนน เรากลับอ้างสิทธิว่าน้ำมารุกรานพวกเรา
เท่ากับว่ามนุษย์เราเข้าข้างตนเองเกินไปหรือไม่
และตำหนิธรรมชาติอย่างไม่ยุติธรรมหรือเปล่า

แนะนำให้พวกเราลองมองสิ่งต่าง ๆ ให้เป็นไปตามธรรมชาตินะครับ
แล้วดูสิว่าเราจะเข้าใจธรรมชาติมากขึ้นไหม เข้าใจโลกมากขึ้นไหม
เข้าใจชีวิตเราเองมากขึ้นไหม และเข้าใจมากขึ้นไหมว่าเราควรจะใช้ชีวิตเราอย่างไร
หรือทำใจอย่างไรกับธรรมชาติต่าง ๆ
หากจะเทียบกับการภาวนา ก็เสมือนกับว่าเราพยายามฝึกหัดทำความเข้าใจ
และเรียนรู้ธรรมชาติของกายและใจตามที่เป็นจริง เพื่อให้รู้อย่างแจ่มแจ้งนะครับ
ท้ายสุดก็คือเราก็จะอยู่กับกายและใจได้ โดยไม่ทุกข์ใจเพราะเหตุแห่งกายและใจนั้น

ผมรู้จักญาติธรรมท่านหนึ่ง ซึ่งอยู่ในกรุงเทพฯ และมีคุณแม่ที่เก็บตุ่มน้ำไว้ที่บ้านหลายใบ
ในอดีต คุณแม่เก็บตุ่มน้ำไว้เพื่อรองน้ำฝนเผื่อไว้ใช้อันเป็นการประหยัดค่าน้ำประปา
หรือสำหรับใช้เวลาที่น้ำประปาขาดแคลน แต่ว่าหลายปีที่ผ่านมาเป็นสิบปี ก็ไม่เคยได้ใช้เลย
เพราะน้ำประปามีอยู่อย่างเพียงพอ และมีอยู่อย่างสม่ำเสมอมาโดยตลอด
ญาติธรรมท่านนั้นได้เคยถกเถียงกับคุณแม่ตนเองอยู่หลายครั้งว่าให้ขนย้ายตุ่มน้ำไปทิ้งได้แล้ว
เพราะว่าเปลืองเนื้อที่ภายในบ้าน และไม่เห็นว่าจะได้ใช้ประโยชน์อะไร
น้ำฝนในกรุงเทพฯ ในปัจจุบันก็ปนเปื้อนอะไรมากมาย ไม่สะอาดเหมือนสมัยก่อนแล้ว
คุณแม่ก็ไม่ยอม เพราะอยากจะเก็บเอาไว้ใช้ในเวลาน้ำขาดแคลน ก็เถียงกันจนเบื่อและเลิกเถียงแล้ว
แต่พอมาถึงวิกฤติน้ำประปาเสื่อมคุณภาพในปัจจุบันนี้ ปรากฏว่าตุ่มน้ำที่เก็บไว้หลายตุ่มนั้น
กลับเป็นประโยชน์มากทีเดียว เพราะได้รองน้ำประปาไว้ล่วงหน้าก่อนที่น้ำประปาจะเสื่อมคุณภาพ
จะไปหาถังน้ำใหญ่ ๆ มาเก็บน้ำในเวลาดังกล่าวก็ไม่ง่ายแล้ว และมีค่าใช้จ่ายสูง
ญาติธรรมท่านนั้นจึงยอมรับมากขึ้นว่าสิ่งที่ผู้ใหญ่หรือผู้อาวุโสท่านห่วงกังวลนั้น
ไม่ใช่เป็นเรื่องไร้สาระดังที่ตนเองได้เคยคิดหรือเคยเข้าใจ

พอลองนึกย้อนไปแล้ว ที่เคยไปโต้เถียงกับคุณแม่ตนเองนั้น
ก็เข้าใจว่าญาติธรรมท่านนั้นก็เถียงคุณแม่ไปอย่างไม่เข้าใจกันนะครับ
ซึ่งในเมื่อคุณแม่ท่านยังอยู่ก็สามารถจะขออภัยหรือขมากันได้
แต่หากคุณแม่ไม่อยู่แล้ว ก็คงลำบากแล้วล่ะ
ดังนั้นแล้ว เพื่อความปลอดภัย เราจึงไม่ควรไปโต้เถียงอะไรกับคุณพ่อคุณแม่นะครับ
แต่ต้องอาศัยวิธีการใช้เหตุผล (หรือสิ่งอื่น ๆ) มาชักจูงใจ และอธิบายกันด้วยใจเย็น ๆ
เนื่องด้วยประสบการณ์ที่แตกต่างกัน ทำให้วิเคราะห์เรื่องราวและปัญหาต่างกัน
เราจึงต้องพยายามเข้าใจผู้ใหญ่ท่านด้วยเช่นกัน

ภาษิตโบราณที่บอกว่า “หนีเสือปะจระเข้” เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้จริงนะครับ
ว่าเราหนีภัยอันตรายอย่างหนึ่ง แต่กลับไปเจอภัยอันตรายอีกอย่างหนึ่ง
(ไม่ว่าภัยอันตรายนั้นจะเกิดจากน้ำมือมนุษย์หรือเกิดจากสิ่งอื่น ๆ ก็ตาม)
อย่างที่มีข่าวว่า บางท่านกำลังหนีน้ำ แต่พอออกจากบ้านมาก็ปะเจอจระเข้
เป็นจระเข้ตัวจริงเสียด้วย (ซึ่งก็ไม่ทราบว่าใครเป็นเจ้าของ)

บางท่านรู้สึกว่าน้ำท่วมนี้น่ากลัว เพราะทำให้ขาดอาหาร ขาดน้ำดื่ม ขาดที่พักอาศัย
แต่เวลาที่น้ำท่วมมาถึงจริง ๆ แล้ว น้ำท่วมนั้นไม่ได้ทำให้จมน้ำตาย หรือขาดอาหารตาย
แต่ที่ทำให้เสียชีวิตและเป็นข่าวให้ทราบกันกลับเป็นเรื่องโดนกระแสไฟฟ้าดูด
หรือเวลาเดินทางออกมาระหว่างน้ำท่วม เราอาจจะได้พบเจองูพิษกัด หรือตะขาบต่อย
ก็กลายเป็นว่าน้ำที่ท่วมอยู่ ไม่ได้น่ากลัวเท่ากับกระแสไฟฟ้า งูพิษ หรือตะขาบเสียแล้ว
ฉะนั้น ที่เราคิดว่าน่ากลัวในบางเรื่องนั้น จริง ๆ แล้วอาจจะมีเรื่องอื่น ๆ ที่น่ากลัวมากกว่า
หากเราลองใจเย็น ๆ พิจารณาให้ดีแล้ว จะพบว่าน้ำท่วมยังน่ากลัวน้อยกว่าอีกหลายเรื่อง

หลายท่านคงจะได้ยินข่าวเกี่ยวกับโจรภัยในระหว่างน้ำท่วมนี้นะครับ
บางท่านนำรถยนต์ขึ้นไปจอดบนทางด่วน หรือไปจอดบนสะพานสูงเพื่อหนีน้ำ
แล้วก็สบายใจว่ารถยนต์ของตนเองหนีพ้นจากน้ำท่วมแล้ว
แต่ปรากฏว่าก็ยังมีโจรไปขโมยรถยนต์ที่จอดบนทางด่วนหรือบนสะพานอีก
ซึ่งโจรได้ขโมยใช้รถยกมายกรถยนต์ที่จอดไปเลย
คนอื่น ๆ เห็นว่ารถยกมายกรถยนต์ไป ก็อาจนึกว่าเจ้าหน้าที่มายกรถยนต์ที่จอดขวางทาง
หรือยกรถยนต์ที่เสียจากน้ำท่วม แต่ปรากฏว่ากลับกลายเป็นพวกโจรขโมยรถยนต์

ยังมีกรณีที่เจ้าของรถยนต์นำผ้าคลุมมาคลุมรถยนต์ตนเองที่จอดไว้บนทางด่วนหรือสะพาน
เพื่อป้องกันแสงแดด แต่ปรากฏว่าผ้าคลุมรถยนต์นั้นกลับช่วยให้โจรทุบรถยนต์
และเข้าทำการโจรกรรมทรัพย์สินในรถยนต์ได้อย่างสะดวกง่ายดายขึ้น โดยไม่มีใครพบเห็น
สิ่งที่เราทำไป โดยคิดว่าน่าจะดีและช่วยรักษาทรัพย์สินของเรา
กลับกลายเป็นสิ่งที่โจรนำมาใช้ เพื่อขโมยทรัพย์สินเหล่านั้นไปเสียเอง
ฉะนั้นแล้ว อะไร ๆ มันก็ไม่เที่ยง และไม่แน่นอนหรอกนะครับ
อะไรก็ตามที่เราคิดว่าป้องกันไว้ดีแล้วหรือสบายแล้วก็ตาม มันก็ไม่แน่นอนหรอก

อย่างที่ได้ทราบข่าวว่าผู้เฒ่าบางท่านเฝ้าบ้านน้ำท่วมไม่ยอมอพยพไปไหน
เพราะเป็นห่วงบ้านและทรัพย์สิน แต่ปรากฏว่าโจรได้เข้ามาขโมยของในบ้านน้ำท่วมนั้น
นอกจากจะปล้นเอาทรัพย์สินมีค่าไปแล้ว ยังทำร้ายผู้เฒ่าจนเสียชีวิตอีกด้วย
ก็กลายเป็นว่านอกจากจะสูญเสียทรัพย์สินมีค่าแล้ว ยังจะต้องเสียชีวิตไปอีกด้วย
ซึ่งไม่เป็นการคุ้มค่าเลยที่ได้นำสิ่งมีคุณค่ามากไปเฝ้าดูแลสิ่งที่มีคุณค่าน้อยกว่า

มีญาติธรรมท่านหนึ่งเฝ้าติดตามข่าวน้ำท่วมทั้งวันจนกระทั่งกลางคืน
ลุกขึ้นมากลางดึกก็ยังมีเปิดวิทยุ หรือเข้าอินเตอร์เน็ตดูว่าน้ำท่วมถึงไหนแล้ว
ท่วมมาถึงบ้านหรือยัง ต้องอพยพหรือไม่ ซึ่งการใช้เวลาชีวิตมากมายในหลาย ๆ วัน
หมกมุ่นไปกับข่าวน้ำท่วมเหล่านั้นอาจจะเกินความจำเป็นนะครับ
จริงอยู่ว่า ช่วยให้ได้ความรู้เกี่ยวกับการจัดการและแก้ไขปัญหาน้ำท่วมนะครับ
แต่ว่าเรื่องอื่น ๆ ในชีวิตเราที่สำคัญกว่าก็ยังมีเยอะ จึงควรต้องแบ่งเวลาให้เหมาะสมด้วย

ในยามน้ำท่วมนี้ก็มีบรรดาข่าวอกุศลเป็นจำนวนไม่น้อยเลย
เช่น ข่าวเรื่องทำลายคันกั้นน้ำทำให้น้ำเสียลงคลองประปา
(คนทำไม่กี่สิบคน แต่จะทำให้คนอื่น ๆ เดือดร้อนได้หลายล้านคน)
ข่าวเรื่องกลุ่มคนไปทำลายคันกั้นน้ำโดยพกปืนหรือพกระเบิดไปด้วย
ข่าวเรื่องกลุ่มคนปิดถนนเพื่อบีบหน่วยงานรัฐให้เปิดประตูระบายน้ำกว้างขึ้น
ข่าวเรื่องโจรขโมยของผู้ประสบภัย ข่าวปัญหาเกี่ยวกับของบริจาค ฯลฯ
ซึ่งข่าวที่เป็นเรื่องอกุศลนี้ก็มีมากมายนะครับ

แต่ว่าเรื่องที่เป็นกุศลก็มีอยู่ไม่น้อยเลยนะครับ
เมื่อสัปดาห์ก่อน ผมได้ไปทานข้าวที่ร้านข้าวแกงแห่งหนึ่งใกล้บ้าน
ได้เห็นที่ร้านเขาปิดป้ายบอกว่าทางร้านได้ร่วมทำข้าวกล่องบริจาค
ให้แก่ผู้ประสบภัยวันละ ๑๕๐ กล่อง โดยวางกล่องรับบริจาคไว้ด้วย
ผมได้สนทนากับเจ้าของร้าน พี่เขาบอกว่าทำมาได้สามวันแล้ว
โดยทหารจะนำรถมารับทุกวันเพื่อไปแจกให้ผู้ประสบภัย
ผมกับพี่ชายจึงไปกดเงินที่ตู้เอทีเอ็มร่วมทำบุญไปด้วย
จากนั้น ผมก็ไปบอกบุญเพื่อน ๆ ก็ได้เงินมาร่วมทำบุญอีกจำนวนหนึ่ง ก็ได้ร่วมทำบุญไปอีกรอบ

เช้าวันจันทร์ที่ผ่านมา ผมไปทำงานที่ทำงาน เล่าเรื่องทำบุญอาหารกล่องข้างต้นให้น้องที่ทำงานฟัง
น้องเขาจึงเล่าให้ฟังว่าเมื่อวันก่อน เขานั่งทานข้าวที่ร้านอาหารตามสั่งแถวบริเวณซอยกิ่งเพชร
อยู่ ๆ ก็มีรถกระบะวิ่งมาจอดพร้อมกับป่าวประกาศว่าผู้อพยพกำลังอดอยากขาดแคลนอาหาร
ปรากฏว่าแม่ค้าแถวนั้นก็หยุดขายอาหาร และหันมาช่วยกันทำข้าวกล่องหรืออาหารถุง
ให้กับรถกระบะคันนั้น ส่วนคนที่กำลังทานข้าวอยู่บริเวณนั้น (รวมทั้งน้องที่ทำงานด้วย)
ต่างก็ควักสตางค์ออกมาร่วมทำบุญให้กับเหล่าแม่ค้าที่ทำข้าวกล่องหรืออาหารถุงนั้นกันใหญ่
ตามกำลังของแต่ละท่าน รถกระบะก็ได้อาหารกล่องและอาหารถุงไปเยอะเลยทีเดียว
นี่ล่ะครับคนที่ช่วยเหลือกันและทำบุญทำกุศลกันนั้น ไม่ได้จำเป็นว่าจะต้องร่ำรวยมีฐานะอะไร
แต่ขึ้นอยู่กับจิตใจของคนที่ทำบุญมากกว่า เมตตากรุณานั้นเราช่วยกันตามกำลังและศรัทธา
และบุญกุศลนั้นเราทำได้ตามกำลังและศรัทธาครับ

ตอนดึกวันจันทร์ที่ผ่านมา ผมได้ไปช่วยเป็นอาสาสมัครขนกระสอบทราย
เพื่อวางเป็นคันกั้นน้ำริมคลองประปาไม่ให้ท่วมถนน
พบว่ามีพี่ ๆ น้อง ๆ ออกมาช่วยกันเป็นร้อย ๆ คนเลย (ทั้งผู้หญิงและผู้ชาย)
แต่ละคนต่างมาช่วยกันด้วยความเต็มใจ คุยกันสนุกสนาน และอารมณ์ดี
บางท่านมีขนน้ำดื่มและไอศกรีมมาแจกอาสาสมัครด้วย
ระหว่างที่ช่วยยกและเดิน ๆ อยู่ ได้ยินอาสาสมัครบางท่านโทรศัพท์บอกคนที่บ้าน
ให้นำกระสอบทรายที่บ้านออกมาช่วยวางด้วย (คือยอมสละกระสอบทรายที่วางป้องกันที่บ้าน
แล้วให้นำมาวางป้องกันถนนแทน) บางท่านก็ลุยเข้าไปในพงต้นไม้โดนหนามเกี่ยว
บางท่านลงไปลุยในโคลนและโดนตะขาบต่อย (ยังดีว่าไม่มีงูกัด)
ผมเองเดินมืด ๆ ขาข้างหนึ่งตกลงไปในท่อ ได้แผลมานิดหน่อย
ระหว่างที่ผมขนและเรียงกระสอบทรายนั้น ก็ได้พบเห็นอะไร ๆ ที่อนุโมทนาได้ตลอดเวลาเลย

ออกมาช่วยขนและเรียงกระสอบทรายในคืนนั้น
ช่วยให้ผมได้เรียนรู้วิธีการจัดวางกระสอบทรายเป็นแนวคันกั้นน้ำ
และได้ประสบการณ์ว่าควรจะใส่เสื้อผ้าสีเข้ม ๆ หน่อย
เพราะกลับมาถึงบ้านแล้ว ต้องมานั่งซักผ้าเพื่อนำทรายออกจากเสื้อผ้าอีก
ผ้าสีขาว ๆ กลายเป็นสีน้ำตาลไปเลย ต้องนั่งซักอยู่นานทีเดียว
(ตอนแรกไม่ทันคิด เพราะว่าระหว่างเดินทางกลับมาที่บ้าน เห็นเขาขนกระสอบทรายกัน
ก็เลยรีบเข้าบ้าน วางกระเป๋าวางของแล้วก็รีบออกไปช่วยเขาเลย โดยไม่ได้คิดเรื่องสีเสื้อผ้าที่ใส่)

เมื่อวันก่อน ก็ได้ทราบข่าวเกี่ยวกับบ้านหลังหนึ่งแถวริมน้ำเจ้าพระยายอมเสียสละ
ให้บ้านตนเองท่วม และทำคันกั้นน้ำถัดจากบ้านตนเองเพื่อป้องกันวัดที่อยู่ใกล้ ๆ
และช่วยป้องกันบ้านหลังอื่น ๆ ที่เหลือในซอยเดียวกันได้ทั้งหมด
ได้ทราบแล้วอนุโมทนาด้วย คนดี ๆ ยังมีอีกเยอะในเมืองไทยจริง ๆ
คนดี ๆ และสิ่งดี ๆ เป็นกุศลยังมีให้เห็นมากมายในยามวิกฤติในบ้านเรานะครับ
อาสาสมัครที่ช่วยเหลือกันนี้มีมากมายเยอะแยะ แต่ว่าบางทีเราก็ได้ทราบแต่เรื่องทะเลาะกัน
ตีกัน และเรื่องเห็นแก่ตัว ซึ่งก็จะลากเราไปเจอแต่อกุศลเพียงอย่างเดียว

จริง ๆ แล้ว การที่ยอมเสียสละบ้านตนเองให้เป็นพื้นที่น้ำผ่าน หรือให้เป็นพื้นที่น้ำท่วม
เพื่อช่วยเหลือป้องกันพื้นที่อื่น ๆ ซึ่งกว้างใหญ่ไพศาล และมีผู้คนอยู่มากมายเป็นล้าน ๆ คน
ย่อมได้อานิสงส์ผลบุญมากมายทีเดียวนะครับ
ไหน ๆ น้ำก็จะต้องท่วมบ้านเรา หรือน้ำก็จะต้องผ่านบ้านเราอยู่แล้ว
เราจะมัวแต่ทุกข์ใจซึ่งทำให้ใจเราเศร้าหมองไปทำไม ไม่มีผลดีอะไร กลับจะมีผลเสียมากขึ้น
แต่ควรจะลองเปิดใจทำบุญไปเลย ระลึกใจไปเลยว่าเรายอมให้บ้านเราเป็นพื้นที่อุ้มน้ำ
ยอมให้บ้านเราเป็นทางน้ำไหลผ่าน เพื่อประโยชน์แก่ชนหมู่มากอีกหลายล้านคน
เพื่อประโยชน์แก่วัดวาอาราม โรงพยาบาล โรงเรียน และสถานที่สำคัญอีกนับไม่ถ้วน
โอกาสทำบุญกุศลเช่นนี้จะมีบ่อยแค่ไหนที่เราจะได้ทำบุญด้วยการเสียสละบ้านทั้งหลัง
และได้ประโยชน์แก่คนหลาย ๆ ล้านคนเช่นนี้

หากไม่เพียงมองในเรื่องของการทำทาน แต่ต้องการจะเข้าถึงธรรมให้มากขึ้น
ก็อาจลองพิจารณาครับว่า ในเมื่อเรามีบ้าน ก็ต้องเจอน้ำท่วมได้เป็นธรรมดา
ถ้าจะไม่ให้น้ำท่วมบ้าน ก็คือต้องไม่มีบ้านตั้งแต่แรก
ในเมื่อมีเกิด ก็มีเสื่อม และก็จะมีสูญหรือดับ เป็นธรรมดา ก็คือไม่เที่ยง และเป็นทุกข์
เข้าใจตรงนี้แล้ว ก็จะได้สนใจศึกษาและปฏิบัติมุ่งเพื่อไปสู่อมตธรรมแห่งการไม่เกิด

บางท่านได้เตรียมสู้กับน้ำและลงทุนตระเตรียมป้องกันบ้านไว้มากมายนะครับ
ทั้งก่อกำแพง วางกระสอบทราย เตรียมเครื่องสูบน้ำ เตรียมอาหารแห้งและน้ำดื่ม
ศึกษาและพิจารณาช่องทางน้ำในบ้านไว้เป็นอย่างดี และได้ทำการป้องกันไว้หมด
เสียเงิน เสียเวลา และเสียแรงกายแรงใจไปไม่น้อย
แต่พอเวลาที่น้ำมาถึงจริง ๆ แล้ว น้ำมาสูงมากและแรงมาก
แค่เพียงเวลาไม่นาน น้ำก็ท่วมหมดบ้าน
(แถมยังโดนตัดไฟฟ้า ทำให้ใช้เครื่องสูบน้ำไม่ได้เสียอีก)
อยากจะอยู่ทนสู้กับน้ำท่วม แต่หน่วยงานรัฐก็บอกว่าให้อพยพออกจากพื้นที่โดยเร็ว
ท้ายสุดก็ตัดสินใจอพยพออกจากพื้นที่ก็กลายเป็นว่าเสียค่าใช้จ่ายลงทุน
เพื่อสู้กับน้ำไปไม่น้อย เสียค่าใช้จ่ายเก็บตุนอาหาร เสียค่าใช้จ่ายอพยพและอยู่ที่อื่นชั่วคราว
และพอกลับมาก็จะยังต้องเสียค่าใช้จ่ายเพื่อฟื้นฟูและซ่อมแซมอีก
ก็กลายเป็นว่าต้องเสียค่าใช้จ่ายหลายรอบ
ที่อาจจะทำให้ปวดใจมากขึ้นก็คือว่ากำแพงป้องกันและที่อุดช่องน้ำทั้งหมดในบ้านไว้นั้น
แทนที่จะป้องกันน้ำเข้า แต่โดยสภาพก็เป็นกำแพงป้องกันน้ำออกด้วยเช่นกัน
ทำให้น้ำภายในบ้านออกสู่ภายนอกช้ากว่าบ้านที่ไม่ได้ทำการป้องกันเสียอีก

ถามว่าที่เราต้องเสียค่าใช้จ่ายหลายรอบนี้เกิดจากอะไรกันแน่
เห็นว่าเราควรจะต้องยอมรับความจริงนะครับว่า
ที่เราเตรียมตัวและเตรียมพร้อมไม่ตรงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริงนี้
เพราะว่าเราไม่มีข้อมูล และความรู้ในเรื่องดังกล่าวอย่างเพียงพอ
เราไม่มีข้อมูลว่าน้ำจะมามากน้อยแค่ไหน ต้องลงทุนป้องกันแค่ไหนจึงจะกันน้ำได้
ควรจะลงทุนป้องกันหรือไม่ และแค่ไหน หรือควรเตรียมอพยพ และเมื่อไร
แม้กระทั่งนิคมอุตสาหกรรมใหญ่ ๆ หลายแห่งก็ยังไม่ทราบ และต้องเสียหายหนัก
การจะคาดหวังว่าให้ชาวบ้านอย่างเรา ๆ มาป้องกันได้ถูกต้องและได้ผล ก็คงยากนะครับ

ทีนี้ ในความไม่มีข้อมูล และความรู้เกี่ยวกับน้ำท่วมนี้ สร้างความเสียหายให้เราได้ไม่น้อย
เราน่าจะลองพิจารณานะครับว่า ความไม่มีข้อมูล และไม่รู้เกี่ยวกับบุญบาป
เกี่ยวกับกุศลและอกุศล เกี่ยวกับวิชชาและอวิชชา และเกี่ยวกับสังสารวัฏนั้น
จะสร้างความเสียหายให้กับเราได้มากกว่าอย่างมากมายหรือไม่ และเพียงไร
เรื่องไม่รู้เกี่ยวกับน้ำท่วมนั้น เรายังบอกกับตัวเองได้ว่า ไม่มีใครมาเตือนมาสอนเรานี่นะ
แต่ในเรื่องบุญ บาป กุศล อกุศล วิชชา อวิชชา และสังสารวัฏนั้น
พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรงสั่งสอนไว้ครบถ้วนทั้งหมดแล้ว
พระสงฆ์สาวกได้ช่วยกันดำรงพระธรรมคำสั่งสอนของพระผู้มีพระภาคเจ้ามาจนถึงปัจจุบัน
ตำรา หนังสือ คัมภีร์ คำสอน ธรรมเทศนามีอยู่อย่างมากมายในอินเตอร์เน็ต สามารถโหลดได้ฟรี
และที่แจกเป็นธรรมทานกันให้ฟรี ๆ ก็มีอยู่เยอะแยะมากมายในหลายเว็บไซต์หรือเว็บบอร์ด
ปัญหาเหลือเพียงว่าเราจะสนใจศึกษาและนำมาประพฤติปฏิบัติตามสมควรแก่ธรรมหรือไม่
(เรื่องธรรมะนี้ จะมาอ้างว่าไม่มีใครสอน ไม่มีใครบอก ไม่มีข้อมูล ก็คงจะอ้างไม่ได้นะครับ)

ความรู้เกี่ยวกับการจัดการและแก้ไขปัญหาน้ำท่วมนั้น เราศึกษาและประสบภัยกันในคราวนี้
เราอาจจะมีความรู้และประสบการณ์สำหรับใช้ได้ไปจนตลอดชีวิต แต่ก็จบแค่ตรงนั้น
แต่ในการศึกษาและประพฤติปฏิบัติธรรมตามคำสอนของพระตถาคตนั้น
จะเป็นพื้นฐานและเป็นเสบียงให้แก่เราในชีวิตนี้ และต่อเนื่องไปภพหน้าอีกยาวนาน
หรืออาจจะถึงกับตัดสังสารวัฏได้ในชีวิตนี้อันเป็นประโยชน์ในอนาคตเบื้องหน้าเป็นอนันตกาล
เราจึงควรจะให้ความสนใจ ใส่ใจ ตั้งใจ และหมั่นเพียรที่จะศึกษาและนำไปปฏิบัติให้มาก
ตามสมควรแก่ธรรมนะครับ



แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP