ธรรมะจากพระสูตร Dhamma from Sutta
จัณฑาลิวิมาน ว่าด้วยวิมานของหญิงจัณฑาล
กลุ่มไตรปิฎกสิกขา
[๒๑] (พระมหาโมคคัลลานเถระได้กล่าวคาถา ๒ คาถาว่า)
แน่ะนางจัณฑาลี ท่านจงถวายบังคมพระยุคลบาทของพระโคดม
ผู้มีพระยศ พระผู้เป็นพระฤๅษีองค์ที่ ๗
ประทับยืนอยู่เพื่อทรงอนุเคราะห์ท่านคนเดียว.
ท่านจงทำใจให้เลื่อมใสยิ่งในพระพุทธเจ้าผู้เป็นพระอรหันต์ ผู้คงที่
แล้วจงประคองอัญชลีถวายบังคมโดยเร็วเถิด ชีวิตของท่านน้อยเต็มทีแล้ว.
(เพื่อจะแสดงเรื่องของนางจัณฑาลีนั้นโดยตลอด
พระสังคีติกาจารย์จึงกล่าวคาถา ๒ คาถานี้ว่า)
หญิงจัณฑาลีผู้นี้ ซึ่งดำรงไว้ซึ่งร่างกายเป็นวันสุดท้าย
อันพระมหาเถระผู้มีตนอันอบรมแล้ว ตักเตือนแล้ว
ได้ถวายบังคมพระยุคลบาทของพระโคดมผู้มีพระยศ.
แม่โคได้ขวิดนางตาย ขณะที่นางยืนประคองอัญชลี
นมัสการพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ส่องแสงสว่างในโลกมืด.
(เพื่อประกาศเรื่องเป็นไปของตน เทพธิดาจึงกล่าวว่า)
ข้าแต่ท่านผู้แกล้วกล้า ผู้มีอานุภาพมาก ดิฉันถึงแล้วซึ่งเทวฤทธิ์
ขอเข้ามาหา ขอไหว้ท่านผู้สิ้นอาสวะ ปราศจากกิเลสดุจธุลี
ผู้ไม่หวั่นไหว นั่งเร้นอยู่ผู้เดียวในป่า.๑
(พระมหาโมคคัลลานเถระจึงกล่าวกะนางนั้นว่า)
แน่ะเทพธิดาผู้สวยงาม ท่านเป็นใคร มีวรรณะดังทอง งามรุ่งโรจน์
มียศมาก งามตระการมิใช่น้อย แวดล้อมด้วยหมู่เทพอัปสร
ลงมาจากวิมาน ไหว้อาตมา.
(เทพธิดานั้นถูกพระมหาเถระถามอย่างนี้ จึงกล่าวคาถา ๔ คาถาว่า)
ท่านเจ้าขา ดิฉันคือนางจัณฑาลี ถูกท่านผู้แกล้วกล้าส่งไป
ได้ถวายบังคมพระยุคลบาทของพระโคดมผู้เป็นพระอรหันต์ ผู้มีพระยศ.
ครั้นได้ถวายบังคมพระยุคลบาทแล้ว ดิฉันได้จุติจากกำเนิดหญิงจัณฑาล
ก็เข้าถึงวิมานอันจำเริญโดยประการทั้งปวง ในสวนนันทนวัน.
เทพอัปสรประมาณ ๑,๐๐๐ นางพากันยืนห้อมล้อมดิฉันอยู่
ดิฉันเป็นผู้ประเสริฐเลิศกว่าเหล่าเทพอัปสรนั้น โดยวรรณะ เกียรติยศ และอายุ.
ดิฉันได้กระทำกัลยาณธรรมไว้มาก มีสติสัมปชัญญะ ดิฉันมาในโลก (นี้)
ก็เพื่อถวายนมัสการท่านปราชญ์ ผู้ประกอบด้วยความกรุณา.
เทพธิดาจัณฑาลี ผู้กตัญญูกตเวที ครั้นกล่าวถ้อยคำนี้แล้ว
ไหว้เท้าทั้ง ๒ ของพระมหาโมคคัลลานเถระ ผู้เป็นพระอรหันต์
แล้วอันตรธานไป ณ ที่นั้นนั่นเอง.
จัณฑาลิวิมาน จบ
อรรถกถาจัณฑาลิวิมาน
จัณฑาลิวิมานมีคำเริ่มต้นว่า แน่ะนางจัณฑาลี ท่านจงถวายบังคมพระยุคลบาท
(จณฺฑาลิ วนฺท ปาทานิ). จัณฑาลิวิมานนั้นเกิดขึ้นอย่างไร ?
พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ ณ กรุงราชคฤห์
ในเวลาใกล้รุ่ง ทรงเข้ามหากรุณาสมาบัติที่พระพุทธเจ้าปฏิบัติกันมา
ครั้นออกแล้วทรงตรวจดูโลกอยู่ เห็นหญิงจัณฑาลแก่คนหนึ่ง
ซึ่งอยู่ในหมู่บ้านคนจัณฑาลในเมืองนั้นนั่นเอง ว่าหมดอายุแล้ว.
และกรรมของนางที่นำไปนรกปรากฏชัด
พระองค์มีพระทัยอันพระมหากรุณากระตุ้น จึงทรงดำริว่า
“เราจักให้นางทำกรรมอันนำไปสู่สวรรค์ ห้ามการเกิดในนรกของนางด้วยกรรมนั้น
ให้ดำรงอยู่ในสวรรค์” จึงเสด็จเข้าไปบิณฑบาตยังกรุงราชคฤห์พร้อมด้วยภิกษุหมู่ใหญ่.
ก็สมัยนั้น นางจัณฑาลีนั้นกำลังถือไม้เท้าออกมาจากเมือง
พบพระผู้มีพระภาคเจ้ากำลังเสด็จมา ได้ยืนประจันหน้ากันอยู่.
ฝ่ายพระผู้มีพระภาคเจ้าได้ประทับยืนขวางหน้าเหมือนกั้นมิให้นางไป.
ครั้งนั้น ท่านพระมหาโมคคัลลานะรู้พระทัยของพระศาสดา และรู้ว่าหญิงนั้นหมดอายุแล้ว
เมื่อจะให้นางถวายบังคมพระผู้มีพระภาคเจ้า จึงได้กล่าวคาถา ๒ คาถาว่า
แน่ะนางจัณฑาลี ท่านจงถวายบังคมพระยุคลบาทของพระโคดม ผู้มีพระยศ
พระผู้เป็นพระฤๅษีองค์ที่ ๗ ประทับยืนอยู่เพื่อทรงอนุเคราะห์ท่านคนเดียว.
ท่านจงทำใจให้เลื่อมใสยิ่ง ในพระพุทธเจ้าผู้เป็นพระอรหันต์ ผู้คงที่
แล้วจงประคองอัญชลีถวายบังคมโดยเร็วเถิด ชีวิตของท่านน้อยเต็มทีแล้ว.
บรรดาคำเหล่านั้น ด้วยคำว่า แน่ะนางจัณฑาลี (จณฺฑาลิ)
พระเถระเรียกนางโดยชื่อที่ได้ตามกำเนิด (คือคนจัณฑาล).
คำว่า จงถวายบังคม (วนฺท) ได้แก่ จงถวายอภิวาท.
คำว่า พระยุคลบาท (ปาทานิ) ได้แก่ จรณะ (คือพระบาท)
อันเป็นสรณะของโลกพร้อมด้วยเทวโลก.
คำว่า เพื่อทรงอนุเคราะห์ท่านคนเดียว (ตเมว อนุกมฺปาย)
ได้แก่ เพื่ออนุเคราะห์ท่านเท่านั้น. มีอธิบายว่า เพื่อป้องกันการเกิดในอบาย ให้บังเกิดในสวรรค์.
คำว่า ประทับยืนอยู่ (อฏฺฐาสิ) ได้แก่ ประทับยืนไม่เสด็จเข้าไปสู่เมือง.
คำว่า พระผู้เป็นฤๅษีองค์ที่ ๗ (อิสิสตฺตโม) ความว่าพระองค์เป็นผู้สูงสุด คือ
อุกฤษฏ์กว่าฤๅษีทางโลก กว่าพระเสขะ กว่าพระอเสขะ กว่าพระปัจเจกพุทธเจ้า.
อีกอย่างหนึ่ง ชื่อว่าพระฤๅษีองค์ที่ ๗ เพราะเป็นพระฤๅษี (พระพุทธเจ้า)
พระองค์ที่ ๗ แห่งพุทธฤๅษีทั้งหลายมีพระวิปัสสีเป็นต้น.๒
คำว่า ท่านจงทำใจให้เลื่อมใสยิ่ง (อภิปฺปสาเทหิ มนํ) ความว่า
จงทำจิตของท่านให้เลื่อมใสว่า “พระผู้มีพระภาคเจ้าเป็นผู้ตรัสรู้เองโดยชอบ.”
คำว่า ผู้เป็นพระอรหันต์ ผู้คงที่ (อรหนฺตมฺหิ ตาทิเน) ได้แก่ ชื่อว่า พระอรหันต์
เพราะกิเลสทั้งหลายห่างไกล เพราะกำจัดกิเลสเหล่านั้น ซึ่งเป็นข้าศึก
เพราะกำจัดกำแห่งสังสารจักร เพราะเป็นผู้ควรแก่ปัจจัยทั้งหลาย
และเพราะไม่มีความลับในการทำบาป
ชื่อว่าผู้คงที่ เพราะถึงความคงที่ในโลกธรรมมีอิฏฐารมณ์เป็นต้น.
คำว่า จงประคองอัญชลีถวายบังคมโดยเร็วเถิด (ขิปฺปํ ปญฺชลิกา วนฺท) ได้แก่
ท่านจงประคองอัญชลีแล้วถวายบังคมเร็ว ๆ เถิด.
หากถามว่า เพราะเหตุไร ? ตอบว่า เพราะชีวิตของท่านน้อยเต็มทีแล้ว.
เพราะชีวิตของท่านจะต้องแตกเป็นสภาพในบัดนี้แล้ว จึงเหลือน้อย คือนิดหน่อย.
พระเถระเมื่อระบุพระคุณของพระผู้มีพระภาคเจ้าด้วยคาถา ๒ คาถาอย่างนี้แล้ว
ดำรงอยู่ในอานุภาพของตน ทำนางให้สลดใจด้วยการชี้ชัดว่า นางหมดอายุ
ชักนำให้นางถวายบังคมพระศาสดา. ก็นางได้ฟังคำนั้นแล้ว เกิดสลดใจ
มีใจเลื่อมใสในพระศาสดา ถวายบังคมด้วยเบญจางคประดิษฐ์
ประคองอัญชลียืนนมัสการอยู่ มีจิตเป็นสมาธิด้วยปีติอันซ่านไปในพระพุทธคุณ.
พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จเข้าไปในเมือง พร้อมด้วยภิกษุสงฆ์ ด้วยทรงดำริว่า
“เท่านี้ก็พอให้นางเกิดในสวรรค์ได้แล้ว.”
ต่อมา แม่โคลูกอ่อนบ้าตัวหนึ่ง วิ่งออกมาจากเมืองนั้น ใช้เขาขวิดนางจนเสียชีวิต.
ท่านพระสังคีติกาจารย์ เพื่อแสดงเรื่องนั้นทั้งหมด ได้กล่าว ๒ คาถาว่า
หญิงจัณฑาลีผู้นี้ ซึ่งดำรงไว้ซึ่งร่างกายเป็นวันสุดท้าย
อันพระมหาเถระผู้มีตนอันอบรมแล้ว ตักเตือนแล้ว
ได้ถวายบังคมพระยุคลบาทของพระโคดม ผู้มีพระยศ.
แม่โคได้ขวิดนางตาย ขณะที่นางยืนประคองอัญชลี
นมัสการพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้ส่องแสงสว่างในโลกมืด.
บรรดาคำเหล่านั้น ข้อว่า ขณะที่นางยืนประคองอัญชลี
นมัสการพระสัมมาสัมพุทธเจ้า (ปญฺชลึ ฐิตํ นมสฺสมานํ สมฺพุทฺธํ)
ความว่า เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าแม้เสด็จไปแล้ว
นางก็ยังมีจิตเป็นสมาธิด้วยปีติมีพระพุทธคุณเป็นอารมณ์ ยืนประคองอัญชลีนมัสการอยู่
เหมือนอยู่เฉพาะพระพักตร์.
คำว่า ในโลกมืด (อนฺธกาเร) ได้แก่ ในโลกอันมืดด้วยความมืดคืออวิชชา
และความมืดด้วยกิเลสทั้งสิ้น. คำว่า ผู้ส่องแสงสว่าง (ปภงฺกรํ) ได้แก่ ผู้ทำแสงสว่างคือญาณ.
ส่วนนางจุติจากนั้นแล้วไปบังเกิดในภพดาวดึงส์. นางมีอัปสร ๑๐๐,๐๐๐ นาง๓ เป็นบริวาร.
ก็แล ในทันใดนั่นเอง นางมาพร้อมกับวิมาน ลงจากวิมานแล้ว
ได้เข้าไปหาท่านพระมหาโมคคัลลานะ แล้วถวายนมัสการ.
เพื่อแสดงความข้อนั้น นางเทพธิดาได้กล่าวว่า
ข้าแต่ท่านผู้แกล้วกล้า ผู้มีอานุภาพมาก ดิฉันถึงแล้วซึ่งเทวฤทธิ์ ขอเข้ามาหา
ขอไหว้ท่านผู้สิ้นอาสวะปราศกิเลสดุจธุลี ผู้ไม่หวั่นไหว นั่งเร้นอยู่ผู้เดียวในป่า.
พระเถระได้ถามเทพธิดานั้นว่า
แน่ะเทพธิดาผู้สวยงาม ท่านเป็นใคร มีวรรณะดังทอง งามรุ่งโรจน์ มียศมาก
งามตระการมิใช่น้อย แวดล้อมด้วยหมู่เทพอัปสร ลงมาจากวิมาน ไหว้อาตมา.
บรรดาคำเหล่านั้น คำว่า รุ่งโรจน์ (ชลิตา) ได้แก่ รุ่งโรจน์โชติช่วงด้วยรัศมีจากร่างกาย
และแสงสว่างแห่งผ้าและอาภรณ์เป็นต้นของนาง.
คำว่า มียศมาก (มหายสา) ได้แก่ มีบริวารมาก.
คำว่า ลงมาจากวิมาน (วิมานโมรุยฺห) ได้แก่ ลงจากวิมาน.
คำว่า งามตระการมิใช่น้อย (อเนกจิตฺตา) ได้แก่ ประกอบด้วยความงามหลากหลาย
คำว่า ผู้สวยงาม (สุเภ) ได้แก่ ผู้มีคุณอันงาม.
คำว่า มมํ เท่ากับ มํ (ซึ่งอาตมา).
เทพธิดานั้นถูกพระเถระถามอย่างนี้แล้ว จึงกล่าวคาถา ๔ คาถาต่อมาว่า
ท่านเจ้าข้า ดิฉันคือนางจัณฑาลี ถูกท่านผู้แกล้วกล้าส่งไป
ได้ถวายบังคมพระยุคลบาทของพระโคดม ผู้เป็นพระอรหันต์ ผู้มีพระยศ.
ครั้นได้ถวายบังคมพระยุคลบาทแล้ว ดิฉันได้จุติจากกำเนิดหญิงจัณฑาล
ก็เข้าถึงวิมานอันจำเริญโดยประการทั้งปวง ในสวนนันทนวัน.
เทพอัปสรประมาณ ๑,๐๐๐ นางพากันยืนห้อมล้อมดิฉันอยู่
ดิฉันเป็นผู้ประเสริฐเลิศกว่าเหล่าเทพอัปสรนั้น โดยวรรณะ เกียรติยศ และอายุ.
ดิฉันได้กระทำกัลยาณกรรมไว้มาก มีสติสัมปชัญญะ ดิฉันมาในโลก (นี้)
ก็เพื่อถวายนมัสการท่านปราชญ์ ผู้ประกอบด้วยความกรุณา.
เทพธิดาจัณฑาลี ผู้กตัญญูกตเวที ครั้นกล่าวถ้อยคำนี้แล้ว
ไหว้เท้าทั้ง ๒ ของพระมหาโมคคัลลานเถระผู้เป็นพระอรหันต์
แล้วอันตรธานไป ณ ที่นั้นนั่นเอง.
บรรดาคำเหล่านั้น คำว่า ถูก ... ส่งไป (เปสิตา) ความว่า
ถูกท่านผู้แกล้วกล้าส่งไป เพื่อถวายบังคมด้วยคำเป็นต้นว่า
แน่ะนางจัณฑาลี ท่านจงถวายบังคมพระยุคลบาท.
บุญที่สำเร็จด้วยการถวายบังคมนั้น ถึงจะน้อยด้วยขณะปัจจุบัน (ยังมีชีวิต) ก็จริง
ถึงกระนั้น ก็ยิ่งใหญ่นัก เพราะมีเขต (เนื้อนาบุญ) และมีผลใหญ่
เพราะเหตุนั้น นางจึงได้กล่าวว่า ได้กระทำกัลยาณกรรมไว้มากมาย (ปหูตกตกลฺยาณา).
อนึ่ง นางหมายถึงความบริสุทธิ์แห่งปีติมีพระพุทธคุณเป็นอารมณ์
และแห่งสติและปัญญา ในขณะปัจจุบัน จึงได้กล่าวว่า
มีสติสัมปชัญญะ (สมฺปชานา ปติสฺสตา). ท่านพระสังคีติกาจารย์ตั้งคาถาไว้อีกว่า
เทพธิดาจัณฑาลี ผู้กตัญญูกตเวที ครั้นกล่าวถ้อยคำนี้แล้ว
ไหว้เท้าทั้ง ๒ ของพระมหาโมคคัลลานเถระ ผู้เป็นพระอรหันต์
แล้วอันตรธานไป ณ ที่นั้นนั่นเอง.
บรรดาคำเหล่านั้น ท่านใช้คำว่า เทพธิดาจัณฑาลี (จณฺฑาลี)
เพราะนางเคยเป็นหญิงจัณฑาล. คำใดที่เรียกกันติดปากมาจากมนุษยโลก
คำนี้ก็นำมาเรียกในเทวโลกอีก. คำที่เหลือมีนัยดังกล่าวมาแล้วนั่นแล.
ส่วนท่านพระมหาโมคคัลลานเถระ ได้กราบทูลเรื่องนี้แด่พระผู้มีพระภาคเจ้า.
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทำเรื่องนั้นให้เป็นอัตถุปปัตติ (เหตุเกิดเรื่อง)
ทรงแสดงธรรมแก่บริษัทที่ประชุมกันอยู่พร้อมหน้า.
พระธรรมเทศนานั้นได้เป็นประโยชน์แก่มหาชนแล้วแล.
อรรถกถาจัณฑาลิวิมาน จบ
หมายเหตุ ๑. บาลีวิมานวัตถุ ฉบับสยามรัฐ ไม่มีคำว่า นั่งเร้นอยู่ผู้เดียวในป่า
(เอกํ อรญฺญมฺหิ รโห นิสินฺโน) แต่ในอรรถกถานี้มีคำนี้
๒. จะเห็นว่า คำว่า อิสิสตฺตม มีความหมาย ๒ นัย คือ แปลว่า
ฤๅษี (พระพุทธเจ้า) ผู้สูงสุด ก็ได้ แปลว่า พระฤๅษีองค์ที่ ๗ (นับจากพระพุทธเจ้าวิปัสสี) ก็ได้.
ในคาถาแปลตามนัยหลัง.
๓. แปลจากคำว่า อจฺฉรานํ สตสหสฺสํ บาลีวิมานวัตถุ เป็น
อจฺฉรานํ สหสฺสานิ = อัปสร ๑,๐๐๐ นาง
(จัณฑาลิวิมาน จิตตลดาวรรค อิตถีวิมานวัตถุ
พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย วิมานวัตถุ
พระไตรปิฎกและอรรถกถาแปล ฉบับมหามกุฏราชวิทยาลัย เล่มที่ ๔๘)
< Prev | Next > |
---|