จุดหมายปลายธรรม Destination@Dharmma

การบนต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์


งดงาม
This e-mail address is being protected from spambots. You need JavaScript enabled to view it


062_destination



เรื่องการบนต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์นี้เป็นสิ่งที่ทำกันอย่างแพร่หลายนะครับ
ยกตัวอย่างเช่น เราไปบนต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ว่า
ขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ได้ช่วยให้เราได้สิ่งใด ๆ สำเร็จตามประสงค์แล้ว
เราก็จะนำสิ่งใดสิ่งหนึ่งมาถวายหรือทำเรื่องใดเรื่องหนึ่งเป็นการถวายหรือตอบแทน
ผมเคยอ่านจากที่ไหนสักแห่งล่ะ (แต่จำไม่ได้แล้ว) ได้กล่าวว่า
การบน นั้นแท้จริงแล้วย่อมาจากคำว่า การให้สินบน

ในเรื่องการบนต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์นี้ มีหลายประเด็นที่ควรพิจารณานะครับ
แต่ด้วยความจำกัดของเนื้อที่ ในขณะนี้ จึงขอแนะนำให้พิจารณาเพียงสามประเด็นว่า
ประเด็นแรก การบนต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์นี้เป็นการค้ากำไรเกินควรหรือเปล่า
ยกตัวอย่างเช่น บางคนบนว่าขอให้ถูกหวยรางวัลที่หนึ่ง
โดยหากถูกหวยรางวัลที่หนึ่งตามที่บนแล้ว จะนำของบางอย่างมาถวาย
หรือขอให้ได้สิ่งยาก ๆ หรือพ้นจากทุกข์ใหญ่ ๆ ในบางเรื่อง
จากนั้นแล้ว ก็จะนำของบางอย่างมาถวาย หรือทำเรื่องใดเรื่องหนึ่ง
ลองพิจารณานะครับว่าของที่จะนำมาถวายหรือเรื่องที่จะทำนั้น
มีคุณค่ามากน้อยเพียงไรเมื่อพิจารณาเทียบกับเรื่องที่บนขอให้สำเร็จแล้ว

ประเด็นที่สอง พิจารณาว่าเป็นการลบหลู่สิ่งศักดิ์สิทธิ์นั้นหรือไม่
ในเมื่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ก็อยู่ของท่านดี ๆ แต่เราไปขอให้ท่านช่วยในเรื่องที่สำคัญ
หรือในเรื่องที่มีคุณค่ามาก ๆ โดยนำของมีคุณค่าน้อยไปชักจูงให้ท่านช่วย
เราเชื่อว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ท่านต้องการได้ของมีคุณค่าน้อยเหล่านั้นไหม
หรือเราเห็นว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์ท่านจะช่วยเราโดยเห็นแก่ของมีคุณค่าน้อยเหล่านั้นหรือ
สมมุติว่ามีใครคนหนึ่งมาขอให้เราช่วยเรื่องสำคัญเรื่องใดเรื่องหนึ่ง
เช่นช่วยเหลือให้เขาผ่านพ้นปัญหาชีวิตใหญ่หลวงสักเรื่องหนึ่ง
โดยเขาคนนั้นสัญญาว่าจะนำลูกอมมาให้เราหนึ่งเม็ดเป็นการตอบแทน
หากเราทำได้สำเร็จ เราจะมองว่าที่เขาทำกับเราเช่นนี้เป็นการเคารพหรือลบหลู่

ประเด็นที่สาม ลองพิจารณาว่าหากเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์เองแล้ว เราจะช่วยหรือไม่
สมมุติว่ามีชายคนหนึ่งไม่ขยันทำมาหากินเลย ไม่ประหยัดมัธยัสถ์
เอาแต่สุรุ่ยสุร่าย อู้งาน ผิดศีล และหมกมุ่นอบายมุข
จากนั้นก็มาบนกับเราว่าหากช่วยให้เขาได้ถูกรางวัลใหญ่แล้ว
เขาจะนำสิ่งบางอย่างมาไหว้เราเป็นการตอบแทน
ลองคิดดูว่าเราอยากจะช่วยเหลือเขาหรือไม่
หรือว่าเราอยากจะไปช่วยคนอื่น ๆ ที่เขาขยันทำมาหากินและมีศีลมากกว่า

ยังมีประเด็นที่คุยกันได้อีกเยอะนะครับในเรื่องของการบนต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์นี้
แต่ผมเห็นว่าขอนำข้อเขียนของท่านศาสตราจารย์เกียรติคุณ ดร. แสง จันทร์งาม
ในหนังสือ
ลีลาวดี ในตอนที่ชื่อว่า ผู้เปลี่ยนใจโจร มาฝากดีกว่า
ขอเล่าเรื่องราวโดยย่อก็คือว่า พระเอกของเรื่องชื่อ
เรวัตตะ ได้ระหกระเหินไปอยู่กับกลุ่มโจร
โดยที่กลุ่มโจรนั้นเพิ่งจะประสบความสำเร็จจากการปล้นครั้งใหญ่
กลุ่มโจรนั้นจึงจะหามนุษย์คนหนึ่งมาฆ่า เพื่อสังเวยแก้บนต่อเจ้าแม่กาลี
(ซึ่งเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่โจรกลุ่มนั้นนับถือ) เรวัตตะมีหน้าที่ต้องไปจับมนุษย์คนหนึ่งเพื่อมาสังเวย
หากหาไม่ได้แล้ว คฤหบดีที่เลี้ยงดูเรวัตตะมาตั้งแต่เด็กจะถูกจับสังเวย
หรือหาไม่แล้ว เรวัตตะก็จะต้องยอมเป็นมนุษย์ที่ถูกสังเวยแทน


+ + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + + +



... เรวัตตะได้เหลือบไปเห็นคนคนหนึ่ง กำลังเดินดุ่ม ๆ มาตามทางคนเดียว เขารู้สึกดีใจจนตัวสั่นที่ได้พบเหยื่อสมประสงค์ ค่อย ๆ ลงจากต้นไม้ไปยืนแอบอยู่ข้างล่าง ชักดาบคู่ชีพออกกุมไว้ในมืออย่างมั่นคง เขาปล่อยให้ชายผู้เคราะห์ร้ายนั้นเดินมาจนถึงที่ ๆ เขายืนอยู่ แล้วจึงร้องออกไปด้วยเสียงอันเฉียบขาดว่า

หยุดก่อน! ท่านผู้เดินทาง

ชายคนนั้นหยุดกึกลงทันที หันไปมองดูเรวัตตะ ซึ่งกำลังถือดาบเดินตรงมายังตน ทั้ง ๆ ที่กำลังเผชิญหน้ากับอันตรายเช่นนั้น ชายประหลาดคนนั้น ก็มิได้แสดงอาการว่าตกอกตกใจแต่ประการใด เขาหยุดยืนอยู่อย่างสงบเสงี่ยม ตาก็จ้องมองดูเรวัตตะในอาการปกติ

ท่านจะไปไหน เรวัตตะถาม พลางมองดูชายคนนั้นตั้งแต่ศีรษะถึงเท้า ดูท่าทางเขามิใช่คนธรรมดาสามัญเสียแล้ว เพราะเขามีศีรษะอันโล้น ห่มผ้าย้อมน้ำฝาดสีดำคล้ำ และสะพายบาตร บอกลักษณะว่า เป็นนักบวชในศาสนาใดศาสนาหนึ่ง

ข้าพเจ้าจะไปกรุงสาวัตถี ชายในผ้าย้อมน้ำฝาดตอบเป็นปกติ

ท่านเดินทางมาในป่าคนเดียว ไม่กลัวหรือ เรวัตตะถาม

ข้าพเจ้าจะต้องกลัวอะไร ชายประหลาดย้อนถาม

กลัวนี่อย่างไรเล่า!” เรวัตตะตอบ พลางยกดาบอันคมกริบขึ้นชี้หน้าสมณะโล้น

ข้าพเจ้าไม่กลัว ท่านตอบอย่างมั่นคง

แปลกมาก!” เรวัตตะอุทานด้วยความประหลาดใจ ท่านออกจะเป็นผู้กล้าหาญเกินไปเสียแล้ว ท่านอย่าพูดโอหังนักเลย ดาบของข้าพเจ้าไม่เคยปรานีใครนะ ถ้าท่านตายแล้ว ลูกเมียของท่านจะลำบากนะ อย่าลืม

ข้าพเจ้าเป็นอนาคาริก ไม่มีบ้าน ไม่มีเรือน ไม่มีลูก ไม่มีเมีย เพราะฉะนั้น ข้าพเจ้าจึงไม่มีอะไรเป็นห่วง แม้แต่ชีวิตข้าพเจ้าก็ไม่เป็นห่วง ถ้าท่านต้องการจะฆ่าข้าพเจ้าก็ลงมือฆ่าได้ทีเดียว

คำพูดอันกล้าหาญของสมณะโล้น ทำให้เรวัตตะประหลาดใจ เขาเคยพบคนมามากแล้ว ยังไม่เห็นใครกล้าหาญเช่นนี้เลย

ไม่ต้องท้าทายหรอกท่านสมณะ ท่านจะต้องตายในเย็นวันนี้อย่างแน่นอน ข้าพเจ้าไม่มีเวลาคุยกับท่านมาก ไปกับข้าพเจ้าแต่โดยดีเดี๋ยวนี้

ว่าแล้วเรวัตตะก็บังคับให้สมณะรูปนั้นเดินก่อน เขาเดินตามไปข้างหลังมุ่งหน้าสู่ค่ายโจร กว่าเขาจะไปถึงค่ายก็เป็นเวลามืดสนิท ขณะนั้นพวกโจรได้ประชุมพร้อมกันแล้ว พวกเขาเชื่อว่าเรวัตตะคงได้หลบหนีไปแล้ว จึงกำลังเริ่มสังเวยเจ้าแม่กาลีด้วยเลือดในคอของท่านคฤหบดี แต่นายโจรได้หน่วงเหนี่ยวพิธีไว้เพราะเขาเชื่อมั่นว่า เรวัตตะจะต้องกลับมาพร้อมด้วยเชลยของเขา และก็เป็นความจริงดังคาด เพราะเรวัตตะได้มาถึงในเวลาจวนเจเต็มที

เรวัตตะ! เชลยคนใหม่ของเจ้าดูเหมือนไม่ใช่คนธรรมดาสามัญ ดูท่าทางจะเป็นนักบวชในศาสนาใดศาสนาหนึ่งเป็นแน่ หัวหน้าโจรปรารภกับเรวัตตะ

เขาบอกว่า เขาเป็นอนาคาริก ไม่มีบ้านเรือน ไม่มีลูกเมีย

หัวหน้าโจรและบรรดาโจรทั้งหลาย ต่างมองไปยังเชลยตนใหม่เป็นตาเดียว เมื่อเห็นท่านนั่งอยู่ในอาการสงบ มีท่าทางเป็นสง่า ไม่สะทกสะท้านต่อภัยเฉพาะหน้า ต่างรู้สึกประหลาดใจอยู่ครามครัน หัวหน้าโจรจึงเอ่ยถามขึ้นว่า

ท่านเชลยผู้กล้าหาญ คนที่โกนหัวนุ่งห่มผ้าย้อมน้ำฝาดอย่างท่านนี้ เรียกชื่ออย่างไร?”

ดูก่อนนายโจร อย่างข้าพเจ้านี้คนทั้งหลายเรียกกันว่าบรรพชิตบ้าง สมณะบ้าง ภิกษุบ้าง

บรรพชิต สมณะ ภิกษุ นายโจรกล่าวทวนคำเบา ๆ เป็นเชิงคิด คำว่าบรรพชิตนั้น หมายความว่าอย่างไร?”

คำว่าบรรพชิต แปลว่าผู้เว้นแล้ว

เว้นอะไร นายโจรซัก

เว้นจากการทำชั่ว เว้นจากการพูดชั่ว เว้นจากการคิดชั่ว เหตุที่เว้นก็เพราะมาพิจารณาเห็นว่า ความชั่วทำให้ตัวเองเดือดร้อน และยังทำให้คนอื่นเดือดร้อนอีก ใจที่คิดเรื่องชั่วเป็นใจร้อน วาจาที่พูดคำชั่วเป็นวาจาร้อน กายที่ทำกิจชั่วเป็นกายร้อน ถ้าทำชั่วทั้ง ๓ ทาง ก็เท่ากับมีไฟ ๓ กองเผาตัวเองและไฟทั้ง ๓ กองนี้ จะลุกลามไปเผาผู้อื่นด้วย ผู้ที่ถูกไฟถึง ๓ กองเผาลนอยู่จะมีความสุขอยู่ได้อย่างไร

น่าฟัง! ท่านพูดน่าฟัง นายโจรกล่าวพลางพยักหน้าขึ้นลงแสดงว่าเห็นด้วย แล้วคำว่า สมณะเล่า หมายความอย่างไร

ดูก่อนนายโจร สมณะ แปลว่า ผู้สงบ เพราะดับไฟแห่งความชั่วทางกาย ทางวาจา ทางใจ ลงเสียได้ จึงเป็นผู้สงบระงับเยือกเย็น มีศัสตราอันวางลงแล้ว ไม่ก่อกรรมทำเวรกับใคร ๆ แม้ด้วยความคิด เป็นผู้สิ้นพยศแล้ว เหมือนเสือที่เขาถอดเขี้ยวถอดเล็บแล้ว

น่าฟังมากท่านสมณะ คำว่า ภิกษุ เล่า หมายความว่าอย่างไร

คำว่า ภิกษุ มีความหมายสองนัย นัยแรกหมายความว่า ผู้เห็นภัย นัยสองหมายความว่า ผู้ขอ

อ้าว! ก็ไหนเมื่อกี้นี้ท่านบอกว่าท่านเป็นผู้ไม่มีภัย เหมือนเสือที่เขาถอดเขี้ยวถอดเล็บแล้ว บัดนี้ ท่านกลับพูดว่าท่านเป็นผู้เห็นภัย จะไม่ขัดกันหรือ นายโจรแย้ง

ไม่ขัดดอกท่านนายโจร ภัยในที่นี้ ข้าพเจ้าหมายถึงภัยของโลก โลกนี้เต็มไปด้วยภัยอันน่าสะพรึงกลัวหลายอย่าง แต่คนส่วนมากมองไม่ค่อยเห็น จึงติดอยู่ในโลกนี้ ในที่สุดก็ต้องตายเพราะภัยนั้นทุกครั้ง ภัยดังว่านี้ก็คือ ชาติภัย ภัยคือความเกิดเพราะเราเกิด เราจึงประสบภัยอื่น ๆ ความเกิดจึงเป็นต้นตอของภัยทั้งหลาย ชราภัย ภัยคือความแก่ เราทุกคนกำลังเผชิญกับภัยใหญ่นี้ เราแก่ชราคร่ำคร่าลงทุก ๆ ลมหายใจเข้าออก พยาธิภัย ภัยคือความเจ็บ สังขารร่างกายของคน เต็มไปด้วยโรคนานาชนิด แม้จะไม่มีโรคเบียดเบียน มันก็เจ็บโดยตัวของมันเอง ถ้าท่านนั่งนานเกินไป ท่านจะเจ็บ ยืนนานเกินไปก็เจ็บ เดินนานเกินไปก็เจ็บท่านต้องเปลี่ยนอิริยาบถวันละหลาย ๆ อย่าง เพื่อบรรเทาความเจ็บปวดตามอวัยวะต่าง ๆ มรณภัย ภัยคือความตาย นั่นเป็นภัยประการสุดท้ายที่ทุกสัตว์พรั่นพรึง วันหนึ่ง ๆ คือก้าวหนึ่งของชีวิต วันหนึ่งผ่านไป เราก็เดินใกล้ความตายเข้าไปก้าวหนึ่ง เพราะว่าชีวิตนี้คือการเดินทางสู่ความตาย ข้าพเจ้าเห็นภัยเหล่านี้แหละจึงได้ชื่อว่าผู้เห็นภัย

ดูก่อนนายโจร ภิกษุ ที่แปลว่า ผู้ขอ นั้นหมายถึงอุบายวิธีเลี้ยงชีพของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าใช้บาตรนี้เป็นภาชนะคู่มือ เที่ยวเดินขอภักษาหารจากชาวบ้านเลี้ยงชีพ

ถ้าอย่างนั้น ท่านก็เป็นคนขอทานละซี นายโจรสอดขึ้น

ถูกแล้ว ข้าพเจ้าเป็นคนขอทาน แต่ว่าการขอทานของข้าพเจ้า แปลกจากการขอทานของคนเหล่าอื่น ในปุพพัณหสมัย ข้าพเจ้าอุ้มบาตรนี้ เดินเข้าสู่หมู่บ้านด้วยอาการสำรวม ชาวบ้านเห็นเข้า ทราบว่าข้าพเจ้าต้องการภักษาก็นำเอาก้อนข้าวและอาหารวัตถุอื่น ๆ ใส่ลงในบาตร โดยข้าพเจ้ามิได้ออกปากขอเลย เมื่อได้อาหารพอสมควรแล้ว ข้าพเจ้าก็ออกจากหมู่บ้านไปนั่งฉัน ณ ที่ใดที่หนึ่ง บางวันข้าพเจ้าก็ไม่ได้อาหารเลย ถึงกระนั้นก็ยอมทนหิว ข้าพเจ้าไม่ยอมรบกวนชาวบ้านเลยเป็นอันขาด เพราะฉะนั้นจึงไม่มีใครเดือดร้อน หรือรำคาญเพราะอาชีพของข้าพเจ้า ไม่มีใครยากจนลงเพราะการให้บิณฑบาตแก่ข้าพเจ้า ชาวบ้านย่อมรู้จักประมาณของเขาดี ถ้าเขาเห็นว่าการให้ทานจะต้องทำให้เขาอดตายแล้ว เขาจะไม่ให้เป็นอันขาด ไม่มีใครต้องเสียชีวิตเลือดเนื้อ หรือแม้แต่น้ำตา เพราะอาชีพของข้าพเจ้า ไม่มีใครต้องอกสั่นขวัญหายเพราะการปรากฏตัวของข้าพเจ้า ดังนั้น อาชีพของข้าพเจ้าจึงบริสุทธิ์

เมื่อได้ฟังถ้อยคำอันมีเหตุผลน่าฟังของสมณะรูปนั้นแล้ว โจรทั้งปวงก็เกิดความเลื่อมใส เขาทั้งหลายเริ่มมองเห็นแสงสว่างแห่งความผิดชอบบ้างแล้ว เฉพาะอย่างยิ่ง หัวหน้าโจรถึงกับนั่งนิ่งอยู่เป็นเวลานาน ไม่มีใครต้องเสียชีวิตเลือดเนื้อ หรือแม้แต่น้ำตา เพราะอาชีพของข้าพเจ้า ไม่มีใครต้องอกสั่นขวัญหายเพราะการปรากฏตัวของข้าพเจ้า คำพูดเหล่านี้ ยังก้องอยู่ในโสตประสาทของเขา มันเตือนให้เขาหวนระลึกถึงอาชีพโจรของเขา ดูมันช่างแตกต่างกับอาชีพของสมณะรูปนั้นเสียจริง ๆ แตกต่างกันชนิดหน้ามือเป็นหลังมือทีเดียว

ท่านผู้เป็นหัวหน้า บัดนี้ได้ฤกษ์ที่เราจะต้องประกอบพิธีสังเวยเจ้าแม่แล้ว โจรผู้ประกอบพิธีได้กล่าวเตือนขึ้น ทำให้นายโจรตื่นจากภวังค์แห่งความคิด เขาหันไปมองดูรูปเจ้าแม่กาลีที่กำลังยืนแยกเขี้ยว นัยน์ตาถลนอยู่บนแท่น คล้ายกับจะร้องสำทับนายโจรว่า เมื่อไรจะเอาเลือดมนุษย์ให้ข้าบริโภคเสียที เขาไม่อยากจะฆ่าสมณะผู้พูดน่าฟังนี้บูชาเจ้าแม่เลย แต่เมื่อหวนคิดถึงคำบนบานที่เขาได้ให้ไว้แก่เจ้าแม่แล้ว รู้สึกอ่อนอกอ่อนใจเขาหันไปทางภิกษุผู้เป็นเชลยแล้วกล่าวขึ้น

ดูก่อนท่านผู้เห็นภัย ข้าพเจ้าเสียใจที่ต้องฆ่าท่านเสียเพื่อเอาเลือดในคอของท่านสังเวยแก่เจ้าแม่ เพราะเราประสบผลสำเร็จในการปล้นครั้งใหญ่นี้ ก็เพราะอาศัยอำนาจเจ้าแม่ โปรดให้อภัยแก่เราด้วย

ดูก่อนนายโจร ข้าพเจ้ายังสงสัยในถ้อยคำที่ท่านพูดว่า ท่านประสบผลสำเร็จในการปล้น เพราะอาศัยเจ้าแม่ หมายความว่าเจ้าแม่ที่กำลังยืนอยู่นี้ ได้ถืออาวุธไปร่วมเข่นฆ่าพวกพ่อค้าแย่งทรัพย์สมบัติมาพร้อมกับท่านกระนั้นหรือ ภิกษุถาม

มิได้หมายความว่าอย่างนั้น เจ้าแม่มิได้ไปร่วมปล้นกับเราดอก

หรือว่าเวลาท่านยกเกวียนไปถึงหมู่เกวียนพ่อค้าแล้ว ไปยืนดูอยู่เฉย ๆ แล้วเจ้าแม่ก็ดลบันดาลให้พวกพ่อค้านำสินค้ามามอบให้ท่านโดยดี แล้วก็พากันล้มตายหนีไปเอง โดยท่านมิได้ลงมือปล้นเลย

ไม่ใช่อย่างนั้น ข้าพเจ้าต้องยกพวกเข้าประหัตประหารพวกพ่อค้า แล้วก็แย่งชิงเอาสมบัติของเขามา ด้วยความลำบากยากเย็น

ถ้าอย่างนั้น เป็นการสมเหตุสมผลแล้วหรือ ที่ท่านกล่าวว่า ได้ประสบผลสำเร็จในการปล้น เพราะอาศัยเจ้าแม่ ข้าพเจ้าพิจารณาแล้วเห็นว่า ผลสำเร็จเหล่านี้ เกิดขึ้นเพราะอาศัยท่านและบริวารของท่านเอง ถ้าท่านไม่ลงมือทำเอง แม้จะอ้อนวอนเจ้าแม่อย่างไร ๆ ก็คงไม่มีวันจะได้รับผลสำเร็จ เพราะเจ้าแม่ไม่รู้ และไม่ทำอะไรให้ใคร ดังที่ท่านก็ทราบอยู่แล้ว ฉะนั้น การที่ท่านจะฆ่าข้าพเจ้าบูชาแก่เจ้าแม่ ข้าพเจ้าเห็นว่าจะเป็นการให้รางวัลอันมีค่าสูงยิ่งแก่ผู้มิได้ทำอะไรเลย

จิตใจของนายโจรได้หันเข้าสู่ครรลองของเหตุผลอีกครั้งหนึ่ง เขาหันไปดูเจ้าแม่ด้วยศรัทธาอันจะเริ่มคลอนแคลน แต่ก็ยังมีการต่อสู้กันอย่างรุนแรง ระหว่างความเชื่อถือเดิมกับเหตุผล

ดูก่อนนายโจร พระภิกษุกล่าวต่อไปในเมื่อเห็นนายโจรยังนั่งนิ่งอยู่ ทุกครั้งที่ท่านจะออกปล้น ท่านได้ทำการบนบานแก่เจ้าแม่เสมอไปหรือ

ไม่เสมอไป บางครั้งก็ได้บน บางครั้งก็ไม่ได้บน แต่ในคราวที่สำคัญ ๆ เราต้องบนก่อนเสมอ นายโจรตอบ

ทุก ๆ ครั้งที่ท่านบนเจ้าแม่ก่อนจึงออกปล้น ท่านประสบผลสำเร็จเสมอไปหรือ

ไม่เสมอไป บางครั้งก็สำเร็จ บางครั้งก็ไม่สำเร็จ บางครั้งก็สำเร็จโดยง่าย บางครั้งก็สำเร็จโดยยาก

นั่นก็แสดงให้เห็นแล้วว่า อำนาจของเจ้าแม่ไม่มีความศักดิ์สิทธิ์เด็ดขาดประการใด ไม่มีความแน่นอนพอที่จะไว้วางใจได้ ถ้าเจ้าแม่มีความศักดิ์สิทธิ์เด็ดขาดจริง ท่านไม่จำเป็นต้องเสี่ยงเข้าต่อสู้ปล้นสะดมเขาเลี้ยงชีพดอก เพียงแต่กราบไหว้บูชาเจ้าแม่ด้วยดีเท่านั้น เจ้าแม่ก็จะอำนวยให้ท่านมีทรัพย์สินเงินทองตามต้องการ แต่เพราะเจ้าแม่ไม่มีความศักดิ์สิทธิ์เด็ดขาดอะไร ท่านจำต้องปล้นเขาเลี้ยงชีพ เมื่อท่านทำงานเองได้รับผลเองเช่นนี้ จะว่าเจ้าแม่ช่วยเหลือท่านอย่างไร อนึ่ง ถ้าสมมุติว่าเจ้าแม่มีความศักดิ์สิทธิ์แน่นอน ทุกครั้งที่ท่านทำการบนบานก่อนแล้วจึงออกปล้น ท่านก็ควรประสบผลสำเร็จด้วยดีทุกครั้งไป นี่เพราะอำนาจของเจ้าแม่ไม่มีความแน่นอน ท่านจึงประสบผลสำเร็จบ้าง ผิดหวังบ้าง การที่ท่านไปฝากความไว้วางใจ ท่านควรไว้วางใจในตัวท่านเอง และเชื่อในการกระทำของท่านเอง

ดูก่อนนายโจร ธรรมดาการให้อะไรแก่ผู้ใด เมื่อผู้นั้นยินดีรับจึงควรให้การให้นั้นจึงจะมีผลสมบูรณ์ และควรให้เฉพาะของที่จะเป็นประโยชน์แก่ผู้รับเท่านั้น โลหิตในลำคอของข้าพเจ้าจะเป็นประโยชน์อะไรแก่เจ้าแม่บ้าง เมื่อท่านจับคนหรือสัตว์เชือดคอให้เลือดพุ่งเข้าสู่ปากเจ้าแม่นั้น เคยปรากฏบ้างไหมว่า เจ้าแม่ได้เคยกลืนกินโลหิตนั้นทั้งหมดด้วยความยินดี โดยไม่ยอมให้โลหิตหยดทิ้งแม้แต่หยดเดียว

ไม่เคยปรากฏเลย ท่านสมณะ เคยเห็นแต่เลือดนั้นพุ่งออกจากปากของเจ้าแม่ ไหลอาบลำตัวลงไปนองอยู่บนพื้น ส่งกลิ่นคาวคลุ้งตลบไป

นั่นก็แสดงให้เห็นแล้วว่า เจ้าแม่ไม่ยินดีที่จะบริโภคโลหิตเหล่านั้น เพราะโลหิตนั้นไม่เป็นประโยชน์อะไรแก่เจ้าแม่เลย มีแต่จะทำให้เจ้าแม่สกปรกและเลอะเทอะเปรอะเปื้อนเปล่า ๆ เท่านั้น เพราะฉะนั้น การที่ท่านเอาโลหิตจากลำคอของสัตว์ หรือมนุษย์บูชาเจ้าแม่ จึงไม่เกิดประโยชน์อะไร อีกประการหนึ่งข้าพเจ้าใคร่จะถามว่า เมื่อท่านจับคนหรือสัตว์เชือดคอนั้น เขายินยอมให้ท่านทำด้วยดีหรือ

หามิได้เลย สมณะ เขามิได้ยินยอมให้ข้าพเจ้าทำด้วยดีเลย แต่ต่อสู้ดิ้นรนจนสุดความสามารถทีเดียว

ดูก่อนนายโจร ท่านทราบไหมว่า เขาต่อสู้ดิ้นรนเพราะเหตุไร

ข้าพเจ้าคิดว่า เขาคงกลัวความตาย

ถูกแล้ว สัตว์ทั้งหลายย่อมสะดุ้งหวาดกลัวต่อความตาย สัตว์ทั้งหลายต่างปรารถนาความสุขสบาย เกลียดหน่ายต่อทุกข์ สิ่งที่สัตว์รักที่สุดคือชีวิต สิ่งที่สัตว์กลัวที่สุดคือความตาย คนอาจยอมเสียสละคนอื่น สมบัติอื่น ตลอดถึงอวัยวะบางส่วน เพื่อให้ชีวิตคงอยู่ เมื่อท่านแย่งชิงเอาลูกเมียเขา ก็ชื่อว่าแย่งชิงลูกเมีย เมื่อท่านปล้นทรัพย์เขา ก็ชื่อว่าปล้นทรัพย์ แต่ถ้าท่านปล้นชีวิตเขา ท่านปล้นทุกสิ่งทุกอย่าง ชีวิตมีค่าสูงสุด ผู้ที่เรารักที่สุด คือผู้ให้ชีวิตแก่เราคือมารดาบิดา ผู้ที่เราชังที่สุด คือผู้ที่เอาชีวิตของเราไป เราอาจรู้สึกภูมิใจ เมื่อได้ให้สิ่งใดสิ่งหนึ่งแก่ผู้อื่น แต่เราจะได้ภูมิใจที่สุด เมื่อได้ให้ชีวิตแก่ผู้อื่น ...

เมื่อพระภิกษุรูปนั้นกล่าวมาถึงตอนนี้ ความเลื่อมใสศรัทธาของนายโจรได้ขึ้นถึงขีดสุด เขาก้มลงกราบแทบเท้าของท่านด้วยความนอบน้อม พลางกล่าวด้วยเสียงสั่นเครือ ข้าแต่ท่านสมณะ วาจาของท่านช่างมีเหตุผล และไพเราะจับใจเสียนี่กระไร ข้าพเจ้าไม่เคยฟังผู้ใดแสดงเหตุผลแจ่มแจ้งเช่นนี้มาก่อนเลยในชีวิต ถ้าข้าพเจ้าได้ฟังเช่นนี้มาก่อน ข้าพเจ้าคงไม่เป็นโจรปล้นชีวิตและทรัพย์สินของผู้อื่นเลี้ยงชีพ อนิจจา... ชีวิตในอดีตของข้าพเจ้าช่างสกปรกโสมมและมืดมัวเสียจริง ๆ ท่านเป็นผู้นำแสงสว่างคือเหตุผล เข้ามาสู่จิตใจอันมืดมัวของข้าพเจ้าโดยแท้ ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ข้าพเจ้าและบริวารทั้งหมดจะเลิกอาชีพโจร ข้าพเจ้าขอมอบตัวเป็นสานุศิษย์ของท่าน จะตามไปปรนนิบัติท่านทุกแห่งหน

พระภิกษุรูปนั้น ได้แสดงธรรมโปรดพวกโจรเกือบตลอดคืน จนกระทั่งโจรทุกคนรวมทั้งเรวัตตะด้วย ต่างมีศรัทธาอันมั่นคงในพระพุทธศาสนา พระภิกษุได้ให้พวกโจรปฏิญาณตนถึงพระรัตนตรัยและให้สมาทานศีล ๕ ทั่วกัน ค่ายโจรในคืนวันนี้ได้กลายเป็นค่ายของผู้ทรงศีล ผู้มีอาวุธอันวางลงแล้ว ผู้สงบระงับจากอกุศลกรรมทั้งปวง บรรยากาศภายในค่ายโจร สงบเงียบเยือกเย็น ตรงกันข้ามกับคืนที่แล้วมา ซึ่งเต็มไปด้วยเสียงเอะอะโวยวาย เสียงร้องรำทำเพลงของเหล่าโจรผู้เมามาย

วันรุ่งขึ้น พระเถระก็นำเหล่าโจรผู้กลับใจออกจากดงใหญ่มุ่งสู่แดนมนุษย์ ทิ้งค่ายโจรพร้อมทั้งศัสตราวุธและรูปเจ้าแม่กาลีไว้อย่างไม่อาลัยไยดี ในที่สุดก็มาถึงหมู่บ้านแห่งหนึ่งริมปากทางเข้าดง ชาวบ้านทั้งหลาย เมื่อเห็นพวกโจรยกมา ก็พากันแตกตื่นวิ่งหนีเป็นอลหม่าน แต่ภายหลังเมื่อได้ทราบว่าพวกโจรเหล่านั้นได้สิ้นพยศเสียแล้ว ก็พากันกลับมาให้การต้อนรับเป็นอย่างดี พระเถระได้ให้โจรทั้งหมด อุปสมบทเป็นภิกษุด้วยติสรณคมนูปสัมปทา แล้วก็อยู่จำพรรษาที่หมู่บ้านนั้นตามคำอาราธนาของชาวบ้านตลอดพรรษานั้น ท่านได้สั่งสอนอบรมชาวบ้านให้ตั้งอยู่ในศีลธรรมอันงาม และได้อบรมพระภิกษุสงฆ์ผู้เป็นบริวารให้ตั้งตนอยู่ในสัมมาปฏิบัติเคร่งครัด ให้เห็นภัยในวัฏสงสาร รีบดำเนินตามมรรคาสู่ความพ้นทุกข์ ภิกษุทั้งหลายต่างพากันตั้งอยู่ในโอวาทของท่านด้วยดี บางองค์ก็ได้สำเร็จมรรคผลชั้นสูงบางองค์ก็ได้สำเร็จผลชั้นต่ำ บางองค์ก็ยังเป็นกัลยาณปุถุชนตามสมควรแก่อุปนิสัยและบารมี ที่ตนได้อบรมมาแต่ปางบรรพ ...

_/\_ _/\_ _/\_


แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP