กระปุกออมสิน Money Literacy

ตัดรายจ่ายทิ้ง ยิ่งมีเงินออม


Mr.Messenger
สนใจติดตามข่าวสารการลงทุนได้ที่ http://twitter.com/MrMessenger

ในชีวิตของเราทุกวันนี้ เรามักจะสำรวจ เรามักจะออกไปมองหา และออกไปคว้าสิ่งรอบๆตัวของเรา โดยที่เรามักจะลืมสำรวจ ลืมนึกถึงสิ่งที่อยู่ใกล้ตัว ตัวอย่างก็มีให้เห็นเยอะแยะ จริงๆไม่ต้องมองคนอื่นหรอกครับ ลองมองที่ตัวเราเองก่อน บางคน อยากเป็นคนที่มีชื่อเสียง อยากเป็นที่ยอมรับในสังคม แต่ขนาดพ่อแม่ตัวเองยังไม่เคยกลับไปเยี่ยม ไม่แม้แต่จะนึกถึง หรือ บางคน อยากจะมีฐานะดี คิดแต่ทำอย่างไรจะหาเงินได้เพิ่มขึ้น แต่ไม่เคยคิดว่า แล้วเงินที่หามาได้ซึ่งอยู่ใกล้ๆตัว จะรักษาเงินก้อนนั้นไว้ได้อย่างไร กลับใช้จ่ายอย่างไม่มีการวางแผน

ถ้าทุกคนบนโลกนี้คิดแต่จะได้ คิดแต่จะเอา แล้วเราจะเหลือใครที่เป็นคนให้? กลับกัน โลกใบนี้จะไม่มีทางขาดแคลนความสุข หากทุกคนบนโลกคิดแต่จะให้ ไม่มีใครคิดจะเอา

สังคมจะน่าอยู่ขึ้น โลกนี้จะสวยงามขึ้น ถ้าทุกคนมองกลับมาที่สิ่งใกล้ตัว เริ่มเปลี่ยนสิ่งเล็กๆน้อยๆที่เรียกว่า ทัศนคติ ซึ่งมีโอกาสเปลี่ยน และเป็นไปได้มากกว่าการที่คนคนหนึ่งคิดจะเปลี่ยนโลกทั้งโลก อย่างน้อยๆถึงแม้เราเปลี่ยนโลกทั้งโลกไม่ได้ แต่ก็เปลี่ยนมุมมองของเราที่มีต่อโลกได้ คิดดูเล่นๆ ความสุขก็โชยขึ้นมาทันที

แล้วเรื่องที่เล่ามาเกี่ยวอะไรกับการ ตัดรายจ่าย?” ลองสำรวจสิ่งของรอบตัวเรา ณ ตอนนี้สิครับ ใครที่กำลังอ่านอยู่ตอนนี้ แต่ไม่ได้อยู่ที่บ้าน ก็มองอะไรกว้างๆไปก็ได้ ผมว่าคุณก็นึกเหมือนผมในบางครั้ง โลกเรานี้มีสิ่งที่เกินความจำเป็นอยู่มากมายเหลือเกิน เปรียบเสมือนกับ นักปฏิบัติธรรมที่พอนึกถึงการปฏิบัติขึ้นมา มักจะทำสิ่งที่เกินความจำเป็น ทำอะไรที่นอกเหนือไปจากการแค่ ตามรู้กาย ตามรู้ใจ เกือบทุกครั้ง ผมเห็นเวลาที่ใครก็ตามเริ่มต้นคิดจะวางแผนการเงินของเราเอง สิ่งที่เราคิดมักมีอยู่สองสิ่ง คือ ต้องหามาให้ได้เท่าไหร่ถึงจะพอ หรืออีกอย่างก็คือ นำเงินไปลงทุนที่ไหนดีเพื่อให้มันงอกเงยขึ้น ไม่ผิดครับที่เราจะนึกถึงสองสิ่งนี้ก่อน บทความคราวที่แล้วผมคุยถึงความสำคัญของการเก็บออม แต่มีอีกสิ่งหนึ่งที่จะทำให้เรามีเงินเก็บมากขึ้น ก็คือ การหันกลับมาดูรายจ่ายใกล้ๆตัวของเรา เราต้องแยกแยะให้ออกครับ ว่าสิ่งใดจำเป็น สิ่งใดไม่จำเป็น เมื่อแยกแยะได้ เราก็จะสามารถลดรายจ่ายที่ไม่จำเป็นออกไป เมื่อนั้น เงินออมของเราก็เพิ่มขึ้นโดยที่ไม่จำเป็นต้องมีรายได้เพิ่มขึ้นเลย

รายจ่ายแบบไหนที่เรียกว่าจำเป็น? ตอบตามตำรา ก็ต้องตอบว่า ปัจจัยสี่ ได้แก่ อาหาร, เครื่องนุ่งห่ม, ที่อยู่อาศัย และยารักษาโรค ปัญหาคือ เพราะเราเชื่อว่าปัจจัยสี่มันจำเป็น เราเลยหาปัจจัยสี่เข้ามาเกินความจำเป็นในหลายๆครั้ง ตอบผมตรงๆนะครับ คุณเคยกินอิ่มจนจุก ไม่อยากลุกไปไหนไหม? คุณเปิดดูตู้เสื้อผ้าแล้วเจอเสื้อที่ไม่ได้ใส่มาตั้งนาน แต่ก็ยังซื้อชุดใหม่ๆเติมเข้ามาเรื่อยๆหรือเปล่า? ขนาดปัจจัยสี่ เรายังหามาเกินความจำเป็นของชีวิตเลย ไม่ต้องพูดถึงสิ่งอื่นนอกเหนือจากนี้นะ พอลองนึกดู ก็จะรู้ว่า เราหาอะไรที่เป็นส่วนเกินของชีวิตเข้ามาเติมในชีวิตของเราเอง คนที่ทำให้ชีวิตเราวุ่นวาย ส่วนใหญ่แล้วไม่ใช่ใครครับ มันก็คือตัวเราเอง โทษใครไม่ได้เลย

แล้วจะตัดรายจ่ายเหล่านี้ทิ้งได้อย่างไร? คำตอบคือ รู้ทัน ครับ อย่าตามใจตัวเองมากเกินไป ถ้ากำลังจะควักกระเป๋าสตางค์ซื้ออะไร ให้ถามตัวเองกลับว่า ๑.มันจำเป็นจริงๆหรือเปล่า ๒.มันจะทำให้เงินออมของเราลดลง และกระทบกับการวางแผนการเงินในอนาคตไหม พระพุทธเจ้าท่านสอนพุทธสาวกไว้ถึงสองสิ่งที่ไม่ควรทำ สิ่งหนึ่งก็คือ การปล่อยตัว ปล่อยใจ ให้เพลิดเพลินไปตามกิเลส (กามสุขัลลิกานุโยค) เพราะการปล่อยตัวปล่อยใจไปตามกิเลส ก็เท่ากับเรายอมให้ความอยาก (กิเลส) เป็นผู้บงการชีวิตเรา เราก็จะมีหน้าที่รับใช้มันเรื่อยไป ความน่ากลัวของมันก็คือ เมื่อเราทำตามใจตัวเองไปเรื่อยๆ กิเลสจะให้รางวัลเราด้วยการทำให้เราดีใจ ภูมิใจ เล็กๆน้อยๆ แต่หลังจากนั้น มันจะสร้างกิเลสตัวใหม่ที่ใหญ่กว่าเดิม และกดดันให้เราทำตามที่มันสั่ง โดยที่เราไม่รู้ตัวว่าโดนกิเลสบงการอยู่ แต่คิดว่าเป็นความต้องการจากภายในใจของเราเอง มารู้ตัวอีกที อะไรๆที่เราเห็น เราก็คิดว่ามันจำเป็นไปเสียทุกอย่าง ข้าวของเต็มบ้าน เที่ยวเล่นเต็มที่ กินอยู่อย่างราชา แต่... เงินเก็บไม่มี ต้องถามตัวเองนะครับ เรากำลังใช้ชีวิตอย่างประมาทหรือเปล่า

คำสอนอีกสิ่งหนึ่งที่พระพุทธเจ้าห้ามไว้ว่ามนุษย์ไม่ควรเสพก็คือ อัตตกิลมถานุโยค หรือ การพยายามทำให้ตนเองบรรลุเป้าหมายโดยการทำให้ตัวเองทรมานกาย หรือทรมานใจ แน่นอนว่า การตัดค่าใช้จ่าย เป็นสิ่งจำเป็น แต่ถ้าถึงขนาดทำให้ตัวเองลำบาก ใช้ชีวิตอย่างไม่มีความสุข ต้องทนอยู่กับความทุกข์ ถึงขนาดนั้นผมก็ไม่แนะนำนะครับ

เริ่มต้นตัดรายจ่ายง่ายๆ ด้วยการสำรวจสิ่งของที่ไม่จำเป็น ที่เรามีอยู่ในตอนนี้ ทำเป็นรายการออกมาเลยก็ได้ครับ ลองนึกให้ออกว่า เราซื้อของพวกนี้มาด้วยราคาเท่าไหร่ ใช้ไปแล้วกี่ครั้ง รวบรวมมาได้ปั๊บ ให้คิดเสียว่า เงินก้อนนั้นควรจะเป็นเงินที่อยู่ในบัญชีธนาคารของเรา บางทีคุณอาจจะตกใจก็ได้ว่า ไม่น่าเชื่อว่าฉันเสียเงินไปกับสิ่งเหล่านี้มากมายเหลือเกิน ... เห็นไหม? กิเลส น่ากลัวกว่าที่คุณคิด แล้วยังจะรับใช้มันอยู่อีกหรือ จัดการกับมันซะ!



แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP