วรรณกรรมนำใจ Lite Literature

เพลิงนาคา ๑๔


ชลนิล


(ต่อจากฉบับที่แล้ว)


เสร็จจากอัดรายการมิติเร้น รอยจันทร์มีคิวถ่ายละครต่อ

ริวเป็นโชเฟอร์ขับรถ ขณะที่กำลังติดไฟแดงที่สี่แยก เสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้น ปกติรอยจันทร์ไม่รับสายริวจึงเอื้อมรับเอง

สวัสดีครับ ชายหนุ่มสงสัยกับเบอร์แปลกๆ

รอยจันทร์มองหน้าน้องชายที่นิ่งครู่หนึ่งก่อนรับคำสั้นๆ

อ๋อได้สิครับ พูดจบยื่นโทรศัพท์ให้พี่สาว

ใครโทร.มา หญิงสาวสงสัย ริวมักไม่ให้หล่อนรับสายง่ายๆ

สตีเว่น สปีลเบิร์ก เขาตอบหน้าตาเฉย

หือ... น้ำเสียงแปลกใจ

นัยน์ตาริวเป็นประกายยิบ ๆ คนเป็นพี่สาวค่อยรู้ทัน รับโทรศัพท์มาพูดด้วยเสียงเรียบ ๆ

รอยค่ะ

ผมเธียรนะครับ น้ำเสียงปลายสายบอกอารมณ์ชัดเจน จนหล่อนไม่สามารถพูดจาเหน็บแนมเช่นเคย

ค่ะ...มีธุระอะไรคะ วาจาราบเรียบทอดระยะห่าง

ผมเหนื่อยจัง อยากฟังเสียงของคุณ คำพูดกระทบความรู้สึก

ได้ยินเสียงแล้ว ต้องการอะไรอีกมั้ย รอยจันทร์ถาม

อยากให้คุณพูดกับผมว่า...เข้มแข็งไว้นะเธียร น้ำเสียงเรียบๆ ไม่มีร่องรอยเว้าวอน

มันสะท้านใจรอยจันทร์ลึก ๆ เวลานี้รู้ได้...เธียรกำลังอ่อนแอเหลือเกิน เท่าที่ฟังจากริว ปัญหาที่เขาเผชิญมันไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย ทั้งบริษัททั้งเรื่องพ่อและสิ่งที่ไม่เปิดเผยตัวตน ต้องยืนหยัดรับมันอย่างโดดเดี่ยว เดียวดาย...ประโยคง่ายๆ บอกถึงความอ้างว้างเหลือ

เข้มแข็งนะคะ อย่ายอมแพ้ รอยจันทร์พูดจากส่วนลึกของหัวใจ

ขอบคุณครับ ผมจะเก็บรักษาคำพูดนี้ไว้ให้ดีที่สุด

ปลายสายค่อย ๆ วางหู รอยจันทร์ลดโทรศัพท์ลงช้าๆ ความเหน็ดเหนื่อยอ่อนล้า เดียวดายของคนหนึ่ง แผ่เข้าจับหัวใจอีกคนได้อย่างไม่น่าเชื่อ หญิงสาวร่วมอารมณ์เดียวกับเขาโดยไม่รู้ตัว

ริวรับโทรศัพท์มาวาง สัญญาณไฟเขียวขึ้นแล้ว รถข้างหน้าเลื่อนตัว ชายหนุ่มขับตามพร้อมพูดลอยๆ

ผมเคยบอกเจ๊มั้ย เขาเอ่ยปากเรียกความสนใจ นอกจากเจ๊จะสวยเฉียบแล้ว...ยังมีจิตใจดีอีกด้วย

รอยจันทร์งง ไม่คิดจู่ๆ น้องชายจะชมง่ายๆ พอถึงประโยคท้าย

ไม่น่ามาเล่นละครเป็นตัวอิจฉาเล้ย

หล่อนแทบยันเขาลงจากรถ...นึกแล้ว คุณราเมศว์ ไม่มีทางชมพี่สาวตัวเองง่ายๆ แน่

คำพูดแทรกอารมณ์ของเขาช่วยฉุดอารมณ์หดหู่วังเวงจากใครบางคนออกมาได้ ตอนนี้รอยจันทร์อยากให้เขาคนนั้นผ่านพ้นอารมณ์เหล่านี้ได้เช่นเดียวกัน


-----000-----


เธียรยังไม่สามารถผ่านความหดหู่ได้อย่างรอยจันทร์ หลังออกจากบริษัทก็มานั่งเฝ้าบิดาที่โรงพยาบาล รอบห้องคนไข้มีดอกไม้ของเยี่ยมแน่นขนัด พยาบาลพิเศษเลี่ยงไปนั่งมุมห้อง เธียรคุยกับไตร เลขาพ่อที่ข้างเตียง

พ่อผมตื่นมาบ้างหรือเปล่าครับคุณไตร ชายหนุ่มถาม

ตื่นมาช่วงเย็นๆ ครั้งนึง ถามถึงคุณแล้วก็เรื่องงานก่อนจะหลับไปอีก

คุณไตรพูดเรื่องงานให้พ่อผมรู้แล้วหรือครับ เธียรเป็นห่วงไม่อยากให้บิดาวิตกมาก

ไม่หรอกครับ ผมก็ห่วงท่านเหมือนกันเลยยังไม่พูดอะไร ขืนรู้ท่านต้องลุกจากเตียงไปบริษัทแน่ๆ

ขอบคุณนะครับ คุณไตรกลับไปพักผ่อนก่อนเถอะ เหนื่อยมามากแล้ว

เลขาคนนี้อายุไม่ห่างก้องฟ้านัก ทำงานร่วมกันจนรู้ใจ เห็นตื้นลึกหนาบางทั้งด้านธุรกิจและชีวิตส่วนตัว รักและซื่อสัตย์ต่อเจ้านายมาก

คุณเธียรพักผ่อนมากๆ นะครับ ผมรู้วันนี้คุณก็หนักเหมือนกัน ไตรพูดอย่างเข้าใจ

ครับ...แต่ก็พอไหว เธียรฝืนยิ้ม เป็นรอยยิ้มแห้งแล้ง

ไตรกลับไปนานแล้ว เธียรลากเก้าอี้มานั่งข้างเตียงบิดา มีพยาบาลพิเศษนั่งอ่านหนังสือใกล้ๆ เขาอยากรอเวลาพ่อตื่นเพื่อจะฟัง เรื่องสำคัญของตระกูล ที่มันคาใจ

หลายปีที่เรียนต่างแดนทำให้ความสัมพันธ์สองพ่อลูกเหินห่าง มีเพียงสายใยบาง ๆ ผูกพัน พ่อวันนี้ไม่เหมือนผู้ให้กำเนิดที่เคยรู้จัก หลังจากแม่ตายอะไรก็เปลี่ยน พ่อทำแต่งานไม่มีเวลาสนใจลูกชายคนเดียว ส่วนเขาที่เพิ่งรุ่นหนุ่มมีโลกส่วนตัว มีสาวๆ มีความรัก ยิ่งเรียนต่างประเทศก็เหมือนคนละโลก ปีหนึ่งจะโทร.คุยแค่วันเกิดของแต่ละฝ่ายจนกระทั่งกลับ เขายอมรับแทบไม่รู้จักพ่อ ไม่รู้จักตระกูลเรื่องราวในครอบครัวตนเอาเสียเลย

หึ...หึ... เสียงใครหัวเราะอยู่ข้างหู!

เธียรมองด้านหลังนึกแปลกใจ พยาบาลพิเศษหลับฟุบคาหนังสือที่อ่านทั้งที่เพิ่งหัวค่ำ หลอดไฟเพดานกะพริบวิบวับจะดับไม่ดับแหล่ ชายหนุ่มลุกขึ้นยืนไฟก็ดับวูบ ไฟฉุกเฉินไม่ติด เขาไปเปิดประตูตั้งใจเรียกเจ้าหน้าที่โรงพยาบาล ประตูกลับติดล็อกเปิดไม่ออก

เธียรถอยหลังยืนกลางห้อง ไฟดับ มีแสงสว่างด้านนอกส่องมา เพราะกรุงเทพฯ ไม่เคยหลับใหล แสงสว่างของมันพอมองเห็นสิ่งต่างๆ เป็นเงารางๆ ไม่ค่อยชัด

ท่ามกลางเงาเหล่านั้นชายหนุ่มสังเกตเส้นดำๆ เลื้อยขยุกขยิกรอบตัว เขาใช้สายตาเขม้นมองให้ชัดๆ ขนลุกซู่เย็นวูบสู่ไขสันหลัง

งูขนาดต่างๆ กำลังเลื้อยเต็มห้อง ตกใจรีบก้าวขาหนีไปที่เตียง ตั้งใจป้องกันไม่ให้มันเลื้อยเข้าใกล้ เงยหน้ามองผนังเพดานความกลัวพุ่งปลาบจับใจ งูทั้งนั้นเลื้อยเพ่นพ่านนับร้อยราวกับตกในบ่ออสรพิษ

เธียรสงบใจตั้งสติใช้สมองคิด ไม่น่าเป็นไปได้ที่งูจำนวนมากจะบุกเข้ามาที่นี่ เขาต้องตาฝาดเห็นภาพหลอนที่เกิดจากความเครียด

หึ...หึ... เสียงหัวเราะเดิมกังวาน เจ้าของอยู่ภายในห้องนี่เอง

ชายหนุ่มกวาดตามองอย่างรวดเร็วหวังพบต้นเสียง

ที่นั่นเอง...นอกหน้าต่างกระจกเขาพบชายร่างสูงเพรียวยืนเป็นเงาดำตัดกับแสงไฟภายนอกท่วงท่าการยืนบอกถึงความอหังการ หยิ่งทระนง

เธียรรู้สึกเหมือนเหงื่อเหนียวของความกลัวไหลผ่านต้นคอ นัยน์ตาเบิกกว้างไม่อยากเชื่อ บริเวณนอกหน้าต่างตรงนั้นไม่มีระเบียงพอให้ยืนหยัดเท้า แต่ทำไมชายผู้นั้นถึงสามารถยืนได้โดยไม่อนาทรร้อนใจ ทั้งที่ห้องนี้อยู่บนชั้นสิบห้าของโรงพยาบาล

คุณเป็นใคร?” เธียรถามเสียงไม่เกินกระซิบ

ผู้ที่จะทำลายล้างครอบครัววงศ์ตระกูลของเอ็ง คำตอบแว่วตรงสู่ใจ

ทำไม?” เขาถามอย่างสงสัย

เพราะข้าต้องการทำ เป็นห้าคำที่สร้างความงุนงงยิ่ง

ตระกูลผมทำให้ท่านโกรธแค้นเรื่องอะไร นี่คือเรื่องที่เขาอยากรู้

รอถามพ่อเอ็งสิ คำตอบไม่แยแส ข้าแค่จะมาบอก พ่อเอ็งยังไม่ตายตอนนี้หรอก ข้าจะปล่อยให้มันได้มีชีวิต มีโอกาสได้เห็นความวิบัติฉิบหายของทรัพย์สมบัติที่พวกมันสร้างสมกันมาให้มันเจ็บปวดที่สุดก่อนจะตาย

เธียรฟังโดยไม่มีโอกาสขยับปากตอบโต้ ร่างกายเหมือนเป็นอัมพาต แขนชาดิกดวงตาเบิกค้าง มองเงาร่างนั้นลอยห่างจนกระทั่งเลือนกับม่านราตรี

ไฟสว่างชายหนุ่มคลายอาการเกร็ง แขนขาขยับตามปกติ สิ่งแรกที่ทำคือตรงไปยังหน้าต่างเปิดออกแล้วชะโงกหน้ามอง

สายลมผ่านหูดังอู้ๆ ก้มดูพบแต่ความเวิ้งว้าง เบื้องล่างเป็นลานจอดรถโรงพยาบาล ผนังด้านนอกไม่มีส่วนกันสาดยื่นรองรับเท้า เป็นไปไม่ได้ที่จะมีใครเล่นกลหลอก

เธียรปิดหน้าต่างถอยหลังกลับอย่างงุนงง พยาบาลพิเศษเพิ่งเงยหน้าจากหนังสือ นัยน์ตาใสคล้ายไม่รู้ตัวว่าเผลองีบหลับ ชายหนุ่มกลับมายืนข้างเตียงบิดา พบบางสิ่งบางอย่างที่ฉุดกระชากให้ใจหวั่นวูบ

ที่หน้าอกก้องฟ้ามีคราบงูใหม่ๆ ขนาดเท่าแขนเด็กยาวเกือบสองเมตร วางพาดเด่นสง่ายืนยันสิ่งที่พบเห็นเมื่อครู่ไม่ใช้ฝัน ไม่ใช่กลมายา มันคือความจริง...ความจริงที่หาคำตอบไม่ได้...มันเกิดขึ้นอย่างไร

จำได้ก่อนพ่อหลับต้องการพูดเรื่องสำคัญของตระกูล เขากลับมาเพื่อรอฟัง ตอนนี้ชักไม่แน่ใจมันจะตรงกับที่เงาปริศนาทิ้งปัญหาไว้หรือไม่ ตระกูลเขามีความลับอะไร ทำไมมีผู้โกรธแค้นหวังทำลายให้มันพินาศย่อยยับ

 

 

บทที่ ๑๑


รถเมล์กำลังว่างด้านในมีที่นั่งเหลือ ริวพาน้ำฝนมานั่งตรงเก้าอี้คู่ริมหน้าต่าง วันนี้เขาว่าง รอยจันทร์ไม่มีคิวงานจึงนอนพักผ่อนอยู่บ้านหนึ่งวันเตรียมตัวไปอัดรายการที่อุดร ริวนัดน้ำฝนไปบ้านสัตว์พิการช่วยพวกพี่ๆ ทำความสะอาดล้างกรงอาบน้ำหมาประจำสัปดาห์ เสร็จงานทั้งคู่ไปดูหนังและเตรียมกลับบ้าน ธรรมดาริวจะส่งน้ำฝนแค่ป้ายรถเมล์แต่วันนี้ชายหนุ่มมีธุระทางเดียวกันจึงขึ้นรถเมล์มาด้วย

แน่ใจนะว่าไม่ให้พี่ส่งถึงหน้าบ้าน ริวถาม

ไม่ต้องหรอกค่ะ น้ำฝนลงหน้าปากซอยนั่งมอเตอร์ไซค์นิดเดียวก็ถึงแล้ว เด็กสาวยิ้มแก้มใส

ว้า...เป็นแฟนกันยังไงน้า ไม่เคยเห็นบ้านกันสักที ชายหนุ่มล้อ

เด็กสาวหน้าแดง ไม่ยอมมองหน้าเขา

น้ำฝนเป็นแฟนพี่ริวตั้งแต่เมื่อไหร่เชียว หล่อนพูดอุบอิบ

ริวหัวเราะขัน ทั้งเด็กสาวและคุณยายที่ยืนหน้าบึ้งข้างๆ

อ้าวเหรอ พี่นึกว่าเราเป็นแฟนกันเสียอีก ไม่เป็นไรงั้นเป็นแค่น้องสาวก็ได้ ดีเหมือนกันจะได้มีทั้งพี่สาวน้องสาวครบเลย

เขาแกล้งพูดตีขลุมเรื่อยเปื่อยสายตามองผู้คุมเด็กสาว

ขอบคุณเรื่องวันนั้นมากนะคุณยาย เขาส่งภาษาใจบอก

ช่างมันเถอะ ฉันก็เพิ่งรู้เหมือนกันว่าเธอเก่งไม่ใช่เล่น ผู้อยู่ต่างมิติตอบไว้เชิง

แอบดูเหมือนกันเหรอ

ถึงไม่แอบดูก็เห็นย่ะ เล่นอิทธิฤทธิ์กันขนาดนั้น ผีสางกระเจิงหมด คุณยายพูดเชิงบ่น โชคดีนะที่น้ำฝนกลับก่อน

ประโยคนี้สะดุดหูริว

อะไรนะยาย คืนนั้นน้ำฝนร่วมงานด้วยเหรอ ชายหนุ่มสงสัยพวกได้รับเชิญมีแต่คนดังโฮโซ นักข่าว จะมีโลโซอย่างเขาก็เฉพาะพวกเจ้าหน้าที่บริกร

คุณยายทำเฉยไม่ยอมตอบยิ่งแสดงพิรุธ ริวยิ้มอย่างรู้ทัน แสดงว่ามีเบื้องหลัง

พี่ริวเป็นอะไรไปคะ เงียบเชียว น้ำฝนสงสัยเห็นชายหนุ่มนั่งนิ่ง

พี่งอนแล้ว เขาแกล้งทำหน้าบึ้งไม่มองเด็กสาว

เอ...งอนเรื่องอะไรเอ่ย น้ำฝนรู้ว่าเขาแกล้งทำ

น้ำฝนไม่ยอมให้พี่ไปส่งที่บ้านไง

แหม น้ำฝนกลัวพ่อดุนี่คะ ท่านไม่ชอบให้คบกับผู้ชายด้วย

คงจะจริง ขนาดคุณยายคนนี้ตายแล้วยังเป็นผีคอยเฝ้าหวงหลานสาวแสดงว่าเจ้าหล่อนเป็นที่รักของทุกคน

ไม่จริงหรอกน้ำฝนต้องการปิดบังฐานะมากกว่า เขาพูดสีหน้าจริงจัง

ฐานะอะไรคะ เด็กสาวเอียงคอถามอย่างสงสัย

ฐานะเจ้าหญิงไง...น้ำฝนต้องเป็นเจ้าหญิงจากแคว้นรัฐฉาน ไม่ก็ไทยใหญ่ สิบสองปันนา ร่ำรวยมหาศาล เลยแกล้งทำตัวจนเพื่อหารักแท้จากผู้ชายที่จริงใจ

เด็กสาวหัวเราะคิก ผลักไหล่เขาเบาๆ

พี่ริวก็ เอามาจากละครเรื่องไหนคะ

สงสัยเรื่องเจ้าหญิงทิงนองนอยมั้ง เจ๊รอยแกเคยเล่นเป็นคู่รักเก่าพระเอกแล้วตามมาตบนางเอกที่เป็นเจ้าหญิงปลอมตัวมา...ละครเรื่องนี้ดังมากเลยนะเรตติ้งกระฉูด คนดูชอบกันทั้งเมืองพล็อตแบบนี้ แต่เจ๊รอยแกไม่กล้าเดินตลาดสดตั้งสามเดือน กลัวโดนทุเรียนรวมมิตรกับสามัคคีบาทา

น้ำฝนหลุดเสียงหัวเราะพรืดใหญ่ คุณยายยังอดขำไม่ได้แต่สุดท้ายเด็กสาวก็ลงจากรถโดยไม่ยอมให้ไปส่งอยู่ดี

ดวงตาริวมีแววสงสัย ถึงพูดจาให้เห็นขัน แต่ลึกๆ กลับขัดในหัวใจ เขาอยากรู้จักน้ำฝนให้มากกว่านี้ อยากเป็นคนพิเศษสำหรับเธอ ไม่อยากให้มีความลับต่อกัน ความรู้สึกเช่นนี้มันรุมเร้าจิตใจจนคิดลอบตามเด็กสาวถึงบ้านแต่ต้องหักใจ...การจะคบใครสักคนมองแค่ความจริงใจกันน่าจะพอ หากยอมมอบใจให้ใครคนหนึ่ง จำเป็นต้องรู้จักเขาทุกแง่ทุกมุมด้วยหรือ

อีกอย่างวันนี้เขามีธุระสำคัญต้องทำ แผนที่บ้านพันเกลียวอยู่ในกระเป๋า นั่งรถเมล์อีกไม่กี่นาทีก็ถึงวันนี้เขาต้องรู้เบื้องลึกเบื้องหลังระหว่างสิงหานาคราชกับตระกูลนาคพิทักษ์ให้ได้


กว่าเธียรจะผ่านพ้นการประชุมกรรมการบริหาร ผ่านการสะสางปัญหาร้อยแปดจนพอมีเวลาพักหายใจเวลาก็ล่วงเย็นย่ำ เขาต้องเยี่ยมพ่อที่โรงพยาบาลก่อนกลับบ้านเป็นประจำ อาการก้องฟ้าดีขึ้นเป็นลำดับ แต่ยังไม่ปริปากบอก เรื่องสำคัญประจำตระกูล

ถึงโรงพยาบาลเธียรพบความประหลาดใจ ก้องฟ้าออกไปแล้วตั้งแต่บ่าย

ท่านไปยังไง ชายหนุ่มถามนายแพทย์

ท่านสั่งให้รถมารับเองครับ

ร่างกายท่านปกติดีหรือยัง

ไม่มีปัญหาครับคุณเธียร ที่ทางโรงพยาบาลอยากให้ท่านอยู่ต่อก็เพื่อพักผ่อน เพราะท่านเครียดกับงานมากไป

ถ้าใครเจอปัญหาอย่างก้องฟ้าก็ต้องเครียดทุกคน นี่แสดงว่ารู้เรื่องยุ่งทางบริษัทและงานเลี้ยงแล้วถึงรีบออกจากโรงพยาบาล

รถของเธียรจอดเทียบหน้าตึก แม่บ้านรีบเข้ามารายงาน

คุณท่านกลับมาแล้วค่ะ สั่งไว้ว่าถ้าคุณเธียรมาถึงให้ไปหาที่ห้องหนังสือทันที

เขาพยักหน้ารับไม่พูดตอบคำใจคอร้อนรุ่มเกินระงับ พ่อเรียกพบเช่นนี้ต้องมีเรื่องสำคัญ เขาไม่แน่ใจว่าเป็นเรื่องงานหรือเรื่องความลับตระกูล

เสียงฝีเท้ากระทบพื้นหินแกรนิตดังกังวานก้อง คฤหาสน์นาคพิทักษ์ที่ใหญ่โตโอ่โถงในปัจจุบัน เป็นการสร้างต่อเติมจากตัวเรือนเดิมตั้งแต่สมัยก่อน อาศัยความสามารถอันเยี่ยมยอดของสถาปนิกจึงต่อเติมบ้านแบบตะวันตกครอบทับสอดประสานกับบ้านยุคเก่าได้สวยงามลงตัว

ห้องหนังสือที่พูดถึงเป็นส่วนของตัวเรือนเก่า นอกจากใช้สะสมหนังสือหายากและของโบราณล้ำค่าแล้ว ยังเป็นเหมือนห้องเก็บบันทึกประวัติอันรุ่งเรืองของบรรพบุรุษอีกด้วย

เธียรยืนกลางห้องหนังสือ ความกว้างของมันข่มร่างเขาจนเล็กกระจิริด ก้องฟ้านั่งอยู่หลังโต๊ะไม้สักตัวใหญ่ เบื้องหน้าเป็นหนังสือเก่าโบราณกองไว้สองสามเล่ม สีหน้าเรียบเฉยสงบใจรอคอยการมาของลูกชาย

เข้ามาสิ ประมุขบ้านเรียก

ชายหนุ่มนั่งตรงหน้าบิดาด้วยใจหวั่นหวาด บรรยากาศโบราณรวมกับสีหน้าเคร่งเครียดของก้องฟ้าข่มจนเขาไม่กล้าขยับปากพูดจา

พร้อมฟังเรื่องของตระกูลเราหรือยัง

ครับ

เป็นคำพูดเดียวที่ออกจากปากเธียร หลังจากนั้นเขาแทบไม่มีโอกาสเอ่ยวาจา เรื่องราวที่ได้ฟังมันมหัศจรรย์พันลึกเกินกว่าจะมีใครยอมเชื่อง่ายๆ


ริวอยู่หน้าบ้านพันเกลียว ชะเง้อคอมองฝ่าต้นไม้ใหญ่เข้าไปจนเห็นตัวบ้านสองชั้นซ่อนตัวอย่างสงบ ที่เสาประตูไม่มีกริ่งกดเรียก ประตูรั้วปิดแต่ไม่แข็งแรงนักจะเข้าจริงๆ คงไม่ยาก เขาลังเลใจระหว่างตะโกนเรียกหญิงสาวเจ้าของบ้านกับเปิดประตูเข้าไปเฉยๆ อย่างไหนเข้าท่ากว่ากัน

เชิญ มีเสียงห้าวลึกดังจากข้างประตู

ชายหนุ่มตั้งใจมองเจ้าของเสียง เพิ่งเห็นชายกำยำร่างหนาตัวดำ ใบหน้าดุตาโปนยืนรอรับ แต่แปลก...ตะกี้ยืนชะโงกคอมองตั้งนานไม่ยักเห็นใคร

คุณพันเกลียวอยู่มั้ยครับ ริวถาม

อยู่...เธอกำลังรอคุณ คำพูดห้าวลึกพร้อมเปิดประตูง่ายดาย

ขอบคุณครับ เขาชักสังเกตเห็นความผิดปกติของนายทวาร

ที่นี่อยู่กันกี่คนครับ เพราะสะกิดใจความแปลกจึงแกล้งถามเรื่องทั่วไป

“ ‘คนเดียว วาจาเน้นหนักคำแรก ริวเริ่มเข้าใจ

แล้วที่ไม่ใช่ คนมีเท่าไหร่ เขาถามผู้ต้อนรับที่ไม่ใช่มนุษย์

ไม่ใช่เรื่องที่คุณควรถาม เข้าไปเถอะคุณพันเกลียวกำลังรอ คำพูดสุภาพให้ความเกรงใจตามสมควร

ครับ ขอบคุณอีกครั้งที่มาเปิดประตูให้ ชายหนุ่มไม่แปลกใจที่ฝ่ายตรงข้ามจะรู้จักก้มศีรษะรับก่อนพร่าเลือนท่ามกลางแสงตะวันยามเย็น

พันเกลียวรอที่ห้องรับแขกเตรียมน้ำส้มไว้รับ บรรยากาศโปร่งโล่งเรียบง่าย สีสันสบายตา เปิดหน้าต่างลมโกรกเย็น

สวัสดีครับ ริวทักทายทรุดนั่งบนเบาะรองเก้าอี้หวายโดยไม่รอคำเชิญ

ยินดีที่ได้พบคุณราเมศว์ หญิงสาวทักทาย มีไม่กี่คนที่เรียกชื่อจริงของเขา เชิญดื่มน้ำก่อนสิ

รสชาติน้ำส้มหอมหวานกลมกล่อมอมเปรี้ยวนิดๆ ดื่มแล้วสดชื่นจนไม่อยากเชื่อเป็นฝีมือผู้หญิงที่ดูกระด้างคนนี้

ขอบคุณครับ คำพูดนี้ชักติดปากริวตั้งแต่ก้าวเข้ามาในบ้าน

น้ำส้มหมดแก้ว พันเกลียวยังไม่พูดจาคล้ายรอให้ชายหนุ่มเอ่ยปากถาม

ผมมาเพราะอยากรู้เรื่องสิงหานาคราชกับตระกูลนาคพิทักษ์ ริวไม่อ้อมค้อม

คุณอยากรู้เรื่องไหนก่อนล่ะเรื่องของสิงหานาคราช ต้นตระกูลนาคพิทักษ์ เหตุความขัดแย้งหรือเพราะอะไรคุณถึงต้องเข้าร่วมในวังวนด้วย

ริวยิ้มแหยๆ

ผมไม่ค่อยฉลาดเรื่องปะติดปะต่อนัก เอาเป็นว่าคุณเริ่มต้นตั้งแต่แรกเล่าแบบหนึ่ง สอง สาม ไปเรื่อยๆ ฟังง่ายๆ ให้คนโง่อย่างผมเข้าใจแล้วกัน

พันเกลียวมองริวด้วยแววตากึ่งเอ็นดู สีหน้าคลายรอยกระด้างค่อยอ่อนโยนมีเมตตาเสมือนผู้ใหญ่เตรียมเล่านิทานให้เด็กน้อยฟัง

ถ้าจะเริ่มต้นตั้งแต่แรกก็คงต้องเท้าความถึงสมัยพุทธกาล มีนาคราชสองพี่น้องครองเมืองบาดาลร่วมกันอย่างผาสุก นาคผู้พี่มีนามว่ากุมภนาคราช ส่วนผู้น้องมีนามว่าสิงหานาคราช

เริ่มต้นอย่างนี้กว่าจะเดินเรื่องถึงปัจจุบันคงใช้เวลาไม่ต่ำกว่าสองพันห้าร้อยปี ถ้าคนเล่าเป็นรอยจันทร์ละก็ ริวคงคว้าหมอนผ้าห่มมานอนฟังแล้ว

น้ำเสียงของพันเกลียวราบเรียบจริงจังทำให้เขาไม่กล้าแสดงอาการปล่อยตัวไม่เกรงใจ อีกอย่างเรื่องราวที่ดำเนินต่อมาก็น่าสนใจจนไม่อาจพลาดได้


(โปรดติดตามต่อฉบับหน้า)



แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP