วรรณกรรมนำใจ Lite Literature

เพลิงนาคา ๗


ชลนิล


(ต่อจากฉบับที่แล้ว)


คัท เสียงผู้กำกับดังขึ้น การแสดงหยุดลง โอเค พักได้

นักแสดงแยกย้ายออกจากฉาก รอยจันทร์กลับไปห้องแต่งตัว ตั้งใจหาที่หลบพักผ่อน คืนนี้ต้องถ่ายอีกหลายฉาก ไม่รู้เสร็จเมื่อไหร่ ถึงเอารถมาก็กลัวขับไม่ไหว เผลอหลับในรถชนเสาไฟฟ้าคงได้ขึ้นหน้าหนึ่งกันบ้าง

รอย...วันนี้ไม่เห็นน้องริวเลย ไปไหนจ๊ะ ป้าคิดทึ้ง คิดถึง ป้าแดง...ช่างแต่งหน้าสาวประเภทสองทักถาม

สงสัยไปเที่ยวกับแฟนมั้งป้า รอยจันทร์ตอบแกมหมั่นไส้

แหม...น่าเสียดายจัง ป้าแดงยิ้มหวาน หล่อๆ อย่างนี้ไม่น่ารีบมีแฟนเลยนะ

หญิงสาวยิ้มขัน ริวเป็นขวัญใจพวกป้าๆ ทั้งสาวแท้สาวเทียม ความที่เขาช่างคุยช่างเล่นเป็นกันเองกับทุกคนจึงไม่มีใครรังเกียจ หนำซ้ำยังชวนเข้าวงการ ทุกครั้งที่เจอหน้า

แล้วสวยๆ อย่างรอยนี่ล่ะคะ...ไม่เห็นมีใครมาจีบ ไม่น่าเสียดายกว่าเหรอ รอยจันทร์แกล้งบ่น

โถ...หนูรอย สมัยนี้ผู้ชายดีๆ หายาก ถ้าไม่มีคนดีเข้ามา สู้ยอมเป็นโสดอย่างนี้แหละดีแล้ว

หญิงสาวนึกขัน ป้าแดงทำท่าเหมือนอยากคุยต่อ แต่คิดถึงเรื่องสำคัญได้

เออ...จริงสิ อาทิตย์หน้าหนูว่างมั้ย มีงานเดินแบบอยากให้ไปร่วมด้วย

ไม่รู้สิคะ รอยจันทร์ตอบง่าย ๆ ต้องถามเจ้าริวมัน คิวของรอยอยู่กับมันหมดเลย

อ้าว...ทำยังไงดี ป้าจะรีบส่งชื่อนางแบบด้วยสิ

หญิงสาวเฉย ในใจคิด รู้ว่ารีบ ทำไมไม่บอกแต่เนิ่นๆ ล่ะยะ...ป้าแดงรับงานหลายอย่างทั้งช่างแต่งหน้า จัดหานางแบบ เป็นสไตลิสต์นิตยสารแฟชั่นและอื่นๆ อีกพะเรอ สมองเลยสับสนเรียงลำดับงานไม่ค่อยถูก

เอาอย่างนี้ หนูช่วยโทร.ถามริวให้หน่อยได้มั้ยจ๊ะ ป้าอยากได้หนูจริงๆ นะ

รอยจันทร์ถอนใจ ยังไงเสียป้าแดงก็ไม่ใช่คนคบไม่ได้ ถ้ายังอยู่ในวงการนี้ ก็ต้องอาศัยพึ่งพาแกอีกเยอะ

ค่ะ หญิงสาวตอบรับ กดโทรศัพท์เข้ามือถือน้องชาย

เสียงเรียกดังอยู่นานจนรำคาญจะวางหู เจ้าน้องชายถึงยอมรับโทรศัพท์

ว่ายังไงเจ๊ น้ำเสียงสดใส

ทำอะไรอยู่วะ เพิ่งมารับสาย หล่อนเตรียมบ่น

เพิ่งส่งน้องน้ำฝนขึ้นรถ มีธุระอะไร

เออ...อาทิตย์หน้าฉันมีคิวว่างมั้ย ป้าแดงจะให้ไปเดินแบบ

ว่าง คำตอบทันทีราวกับข้อมูลพร้อมอยู่ในสมอง

เออดี...ฉันจะได้รับงาน หล่อนพูดพลางเตรียมวางหู

เดี๋ยวสิเจ๊ แล้วคืนนี้ต้องถ่ายอีกกี่ฉาก

อีกเยอะ หล่อนตอบง่ายๆ

เหรอ ถ้างั้นเดี๋ยวจะไปกองถ่าย ขากลับจะขับรถให้

ย่ะ...รีบมาแล้วกัน คนแถวนี้เขาถามถึงกันใหญ่ รอยจันทร์แกล้งปรายตาทางป้าแดง

ริวหัวเราะเบาๆ ตามสาย ความห่วงใยสอดแทรกอยู่ในน้ำเสียงคำพูด

ไม่ได้ห่วงคนแถวนั้น แต่ห่วงตัวเอง...ขืนให้เจ๊ขับรถหลับในกลับบ้านแล้วเป็นอะไรขึ้นมา จะไม่มีใครเลี้ยงผมน่ะ

รอยจันทร์หัวเราะนึกเห็นหน้าคนพูดทำตายิบยับเหมือนจะล้อเลียน วางหูจากผู้จัดการส่วนตัว รอยจันทร์ถามรายละเอียดเกี่ยวกับงานใหม่ ปกติหน้าที่นี้ริวจะจัดการและสรุปให้ฟังสั้นๆ พร้อมสกรีนให้เสร็จ

เดินแบบงานอะไรคะป้า

งานเปิดตัวไวน์นอกที่พวกเศรษฐีเขานิยมซื้อกันน่ะ ป้าแดงตอบ

งั้นคงมีพวกไฮโซเยอะเลยเนอะ รอยจันทร์พูดแกมบ่น

จ้า...แหม บริษัทที่นำเข้าก็เป็นเครือเดียวกับพวกตระกูลนาคพิทักษ์นี่จ๊ะ

ชื่อนี้ทำให้รอยจันทร์ชะงัก ดวงตาวูบไหว ขยับปากเตรียมบอกปฏิเสธไม่รับงาน แต่ป้าแดงชิงตัดหน้าก่อน

เฮ้อ ป้าค่อยสบายใจหน่อย ได้หนูรอยมาเป็นตัวหลักคนนึงแล้ว เดี๋ยวป้าต้องตามกวาดอีกหลายคน งานนี้บริษัทที่รับทำโฆษณาเขาเน้นนักหนาให้คัดแต่นางแบบชั้นนำแถวหน้าเท่านั้น พวกกระจอกหน้าใหม่ ไม่เอาเด็ดขาด

หญิงสาวถอนใจ กลืนคำพูดลงคอ ตัดใจคิดว่าเป็นเรื่องงาน ไม่ควรเอาความรู้สึกส่วนตัวพัวพัน รับก็รับ...ทั้งที่ใจไม่อยากเกี่ยวข้องกับตระกูลนาคพิทักษ์แม้แต่น้อย


-----000-----


ก้องฟ้านั่งบนเก้าอี้ประธานบริษัท เธียรลูกชายคนเดียวกำลังจ้องมองเขาเหมือนต้องการหาคำตอบ เรื่องที่คุยถกเถียงกันมาเกือบชั่วโมง

ผมไม่เข้าใจ ทำไมพ่อถึงทำเฉย ไม่ออกไปชี้แจงกับพนักงาน

ประเด็นคือเหตุแผ่นดินไหวที่บริษัทก่อให้เกิดความเสียหายทั้งทรัพย์สินรวมขวัญกำลังใจพนักงาน สิ่งที่ผู้บริหารระดับสูงเช่นก้องฟ้าควรทำคือประชุมใหญ่ชี้แจงเรียกขวัญกำลังใจกลับคืน ไม่ใช่ทำเฉยเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

ไม่มีประโยชน์ นี่คือเหตุผลของเขา พ่อไม่จำเป็นต้องพูดเรื่องนี้กับแกอีก ถ้าแกอยากประชุมทำอะไรก็เรื่องของแก ไม่ต้องดึงพ่อไปร่วมด้วย มีงานอีกหลายอย่างที่คนระดับพ่อต้องจัดการตัดสินใจ

แต่เรื่องขวัญกำลังใจของพนักงานเราก็สำคัญนะพ่อ

เธียรโต้แย้ง แต่ไม่ทันขาดคำ ก็มีเสียงจากอินเตอร์คอม

ท่านประธานคะ คุณจิญยานีจากบริษัทโฆษณาขอพบค่ะ

เชิญให้เข้าพบได้ ก้องฟ้าตอบรับทันที

ชายหนุ่มอึ้ง มองหน้าบิดาเหมือนคนแปลกหน้า การทำเช่นนี้เท่ากับไล่เขาออกจากห้องทางอ้อม ผู้หญิงชื่อจิญยานีสำคัญกว่าลูกชายเช่นเขาเชียวหรือ

หญิงสาวที่ก้าวเข้ามาในห้องไม่ใช่สาวรุ่นๆ หล่อนน่าจะอยู่ในวัยสามสิบปลาย เรือนร่างสูงอวบ ท่วงท่าเต็มไปด้วยความมั่นใจ ใบหน้าไม่นับว่าสวย แต่ดวงตา ริมฝีปากเต็มอิ่มแฝงความเย้ายวนท้าทาย เป็นเสน่ห์แปลกๆ ที่ทำให้ผู้พบเห็นยากจะถอนสายตากลับ

สวัสดีค่ะท่าน หล่อนไหว้ก้องฟ้าอย่างนอบน้อม ไม่ทิ้งแววเฉิดฉาย

เธียรถอยหลังออกมาเห็นดวงตาพ่อเป็นประกายสว่างยามจับตาผู้มาเยือน

สวัสดีค่ะคุณเธียร จิญยานีไหว้เขาทั้งที่อายุมากกว่า เธียรแทบยกมือรับไหว้ไม่ทัน รู้สึกตะขิดตะขวงใจอย่างห้ามไม่ได้

ก้องฟ้ากับจิญยานีมีอะไรลึกซึ้งต่อกันหรือไม่

เขาอยากปฏิเสธ แต่ดูจากปฏิกิริยาคนทั้งสอง มันก็ไม่ชวนให้คิดอย่างอื่นได้เลย

ผมขอตัวก่อนครับ สุดท้ายเขายอมถอย

จิญยานีมองตามชายหนุ่มที่เดินลับออกจากห้อง ประกายในดวงตาฉายวับบอกความพึงใจแกมเย้ยหยัน เมื่อหันกลับมามองชายกลางคนเบื้องหน้าหล่อนก็แปรสายตาเป็นหวานหยด รอยแย้มจากริมฝีปากขยับยิ้มสร้างเสน่ห์ราวกับร่ายเวทมนตร์

ดิฉันมาคุยเรื่องงานเปิดตัวไวน์นำเข้า ที่เราจะจัดกันในอาทิตย์หน้าค่ะ หล่อนเริ่มต้นเข้าสู่หัวข้อเกี่ยวกับงาน

มีปัญหาอะไรหรือ ก็ฉันให้สิทธิ์เธอจัดการทั้งหมดแล้วนี่ ก้องฟ้าถามเป็นงานเป็นการหากสีหน้าแววตาตรงกันข้าม

จิญยานียิ้มรับ รอยยิ้มกระตุกใจผู้ยิ่งใหญ่แห่งนาคพิทักษ์

ถ้าดิฉันบอกว่า ต้องอ้างเรื่องงานมาบังหน้าเพื่อจะได้พบท่านล่ะคะท่านจะว่าอย่างไร

เธอรู้คำตอบดีอยู่แล้วนี่

ก้องฟ้ายิ้มกว้างลุกจากเก้าอี้ เข้ามาหาหญิงสาวผู้เย้ายวน


ความสัมพันธ์ทั้งคู่ก้าวมาไกลกว่านายจ้างลูกจ้าง ในกระบวนผู้หญิงทั้งหลายของก้องฟ้ามีเพียงจิญยานีคนเดียวโดดเด่นสุด หล่อนไม่ใช่คนสิ้นไร้ไม้ตอก ทำตัวเป็นนางบำเรอรับเศษเงิน

จิญยานีมีบริษัทโฆษณาเป็นของตนเอง กระแสเงินหมุนเวียนนับสิบล้าน แน่นอนมันอาจไม่ถึงเศษเสี้ยวของก้องฟ้า แต่การที่ผู้หญิงระดับนี้แสดงท่าทีหลงใหลมีสัมพันธ์ด้วยทำให้เขาภาคภูมิใจในความเป็นชายของตน ความภูมิใจนั้นชักพาให้ลุ่มหลงโดยไม่รู้ตัว

เวลาผ่านไป ก้องฟ้ากับจิญยานีเดินออกจากห้องทำงานพร้อมกัน ต่อหน้าพนักงานบริษัท ทั้งคู่จะมีระยะห่างความสัมพันธ์ระดับหนึ่ง

ตกลงท่านจะเป็นประธานเปิดงานได้ใช่มั้ยคะ จิญยานีถามขณะยืนรอลิฟต์

ได้สิ ไม่มีปัญหาอยู่แล้ว คำพูดเรื่องงานเหมือนแสดงละครฉากหนึ่งให้คนอื่นดู

แล้วคุณเธียรล่ะคะ จะไปด้วยมั้ย

ต้องไปสิ เขาจะได้รู้จักผู้หลักผู้ใหญ่ด้วย

เอ...ถ้าอย่างนั้นคงต้องพาคนพิเศษออกงานแน่ๆ หล่อนยิ้มพราย

ก้องฟ้าชะงักนิดนึง คิ้วขมวดค่อนข้างแสดงท่าทีไม่ใส่ใจ

ก็ไม่รู้สิ ตอบเนือยๆ

ท่านมองใครให้คุณเธียรหรือยังคะ จิญยานีถามเหมือนชวนคุยมากกว่าอยากรู้

ที่ดูเหมาะสมคงจะไม่มีใครเกินหนูพราวพิรุณ ชื่อนี้หลุดมาโดยไม่ต้องคิด

อ้อ...คุณหนูพราวพิรุณ ลูกสาวคนเล็กของท่านชัยกาลกับคุณหญิงเรือนอรหรือคะ จิญยานีเอ่ยชื่อออกมาอย่างคนรู้จริง ก่อนพูดต่อเรื่อยๆ เหมือนไม่เห็นสาระ

แหม...ไม่เด็กไปหน่อยหรือคะท่าน เท่าที่ทราบอายุยังไม่ถึงยี่สิบเลย

ฉันก็ไม่ได้จริงจังอะไร แต่สองคนนั่นเขารู้จักกันดีตั้งแต่ยังเล็ก เจ้าเธียรมันก็เป็นเพื่อนกับพี่ชายคนโตหนูพราว แถมเมื่อก่อนยังถูกจับคู่กับพี่สาวเขา

หญิงสาวยิ้มเรื่อยๆ แววตาซ่อนประกายบาดคม สองตระกูลศักดิ์เสมอกัน ร่ำรวยขั้นอภิฯ เหมือนกัน จึงไม่น่าแปลกที่ให้ลูกๆ สนิทสนมตั้งแต่เด็กเพื่อหวังผลเป็นทองแผ่นเดียวกันในอนาคต

จริงสิ ถ้างั้นงานเปิดตัวไวน์ของเราน่าจะเชิญคุณหนูพราวพิรุณมาด้วยนะคะ จะได้เจอกับคุณเธียร หล่อนเสนอ

เข้าท่า...แต่ไม่รู้พ่อแม่เขาจะยอมมั้ย บ้านนี้เลี้ยงลูกสาวคนเล็กเหมือนไข่ในหิน ไม่เคยออกงานไหนง่ายๆ หรอก

แหมลงว่าท่านเชิญทั้งที ไม่น่ามีปัญหาอะไรนะคะ เพราะยังไงท่านชัยกาลกับคุณหญิงก็ต้องมางานนี้อยู่แล้ว

จริงสิ ก้องฟ้ารับคำ พอดีกับประตูลิฟต์เปิด ทั้งคู่ก้าวเข้าไปภายใน

ประตูปิด ไม่มีใครได้ยินเสียงสนทนาของคนทั้งคู่ แต่เหล่าพนักงานที่อยู่บริเวณนั้นต่างแอบกระซิบกระซาบกันด้วยความสนุกสนาน


-----000-----


เธียรกำลังอารมณ์เสีย การมีปากเสียงกับพ่อแทบเป็นเรื่องปกติ นับจากกลับมาเมืองไทย

เมื่ออารมณ์เสียเขามักหาวิธีปลดปล่อยต่างๆ กัน...เช่นขณะนี้ ออกมาเดินเล่นในห้างสรรพสินค้าทั้งที่เป็นเวลาทำงาน

งานของเขาเหมือนไม่ใช่งานของคนที่เรียนจบปริญญาโทจากต่างประเทศ ทั้งความรู้ที่ร่ำเรียน การศึกษาฝึกงานหลังเรียนจบ ไม่มีประโยชน์อะไรเลยสำหรับที่นี่ บริษัทใหญ่ที่มีก้องฟ้าเป็นผู้ควบคุมทั้งหมด

ตระกูลนาคพิทักษ์มีธุรกิจหลักที่ทำรายได้มหาศาล ขยายสาขาบริษัทในเครือเป็นธุรกิจลูกอีกนับร้อยบริษัท เงินทุนหมุนเวียนน่าจะถึงแสนล้าน มีกิจการทั้งในและต่างประเทศ

โครงงานที่เครือข่ายขนาดใหญ่เช่นนี้ไม่น่าเชื่อว่า ก้องฟ้า นาคพิทักษ์ เป็นผู้ควบคุมเพียงคนเดียว

เธียรไม่อยากทำตัวเป็นลูกเศรษฐีที่ใช้ชีวิตไร้สาระ เหมือนเศษสวะห่อทอง ดีแต่หาเรื่องใช้เงินไปวันๆ หัวสมองมีแต่แกลบกับขี้เถ้า พยายามเล่าเรียนหาความรู้ ศึกษางานอย่างจริงจัง ตั้งใจทำงาน กลับพบความผิดหวัง


เฮียหลิว...ใช่เฮียหลิวหรือเปล่า เสียงห้าวๆ ร้องทัก เธียรหันไปมองต้นเสียง นึกแปลกใจกับชายหนุ่มสูงเพรียว แต่งตัวง่ายๆ เสื้อยืด กางเกงยีนดูไม่มีราคา สะดุดตาที่ใบหน้าหล่อคม ดวงตาโตฉายแววรื่นรมย์ ริมฝีปากฉีกยิ้มกว้าง แสดงความจริงใจ

อ้าว...ทำอึ้ง จำผมไม่ได้จริงๆ หรือ ชายหนุ่มคนนั้นเดินเข้ามาใกล้ ท่าทางง่ายๆ ปล่อยตัว ยิ้มพลางหัวเราะเบาๆ

โธ่เฮีย จำผมไม่ได้จริงๆ นั่นแหละ...ริวไงครับ

ริว ชื่อนี้จุดความทรงจำโลดแล่น ริว...น้องชายของรอยจันทร์ เฮ้ย...ริวจริงๆ หรือ โอ้โห...โตเป็นหนุ่มหล่อขนาดนี้พี่ก็จำไม่ได้สิวะ เขาทักทายคุ้นเคย เป็นกันเอง

เฮียก็เหมือนกันแหละ แต่งตัวภูมิฐานมาดนิ่งสุขุมแบบนี้เรียกเฮียหลิวเต๋อหัวไม่ได้แล้วมั้ง

เธียรหัวเราะกับชื่อที่ชายหนุ่มตรงหน้าตั้งให้


เวลาเหมือนผ่านไปไม่นาน ทั้งที่จริงมันกินเวลาหลายปีทีเดียว...จากเด็กหนุ่มผอมสูงหัวเกรียนกลายเป็นชายหนุ่มหล่อเพอเฟ็กต์ขนาดนี้ ใครจะไปจำได้

เมื่อเธียรคบกับรอยจันทร์เขาก็ทำตัวกลมกลืนกับครอบครัวหล่อนด้วย ทั้งคุณพ่อท่าทางธรรมะธัมโมและน้องชายจอมแสบ ทุกคนเหมือนเป็นครอบครัวเดียวกัน

เขามักขับฮอนด้าเอ็น เอส อาร์ มอเตอร์ไซค์ร้อยห้าสิบซีซี ไปหาครอบครัวนี้ที่บ้าน เจ้าริวเห็นมักตะโกนเรียกเขาเป็นหลิวเต๋อหัว ในหนังผู้หญิงข้าใครอย่าแตะ... แต่รอยจันทน์จะพูดเหน็บแนมแกมประชดว่าเขาแกล้งทำตัวจน

เธียรไม่เคยคิดเล่นละครน้ำเน่าในบทเจ้าชายปลอมตัวหารักแท้ ทั้งรอยจันทร์และคนในมหาวิทยาลัยต่างก็รู้ว่าเขาเป็นลูกใคร ร่ำรวยขนาดไหน แต่ชีวิตช่วงนั้นเขาพอใจที่จะใส่เสื้อหนัง นุ่งยีน ขับมอเตอร์ไซค์จีบสาว มันเป็นความสุขอย่างหนึ่งของวัยรุ่น

มาทำอะไรแถวนี้ล่ะริว เธียรถาม

พาเจ๊มาเสริมสวย ริวตอบอย่างเบื่อๆ ขี้เกียจนั่งรอในร้านตั้งสองสามชั่วโมงเลยออกมาเดินเล่น

เธียรชะงัก หัวใจกระตุก หญิงสาวที่อยากพบอยู่ใกล้แค่เอื้อมนี่เอง

งั้นไปหาอะไรดื่มกันหน่อยมั้ย เป็นหนุ่มแล้วนี่ เธียรออกปากชวนจงใจไม่ถามถึง อีกคน

นั่นแน่ พอออกพรรษาจะพาผมศีลขาดเชียว ริวล้อไม่จริงจังนัก

คิดถึง ไม่เจอกันนานอยากคุยด้วย เขาพูดเลี่ยงๆ

อยากคุยกับผมหรือคนอื่น น้ำเสียงล้อเลียน

ไม่ดื่มเหล้า เปลี่ยนเป็นกาแฟแล้วกัน ห้างนี้มีร้านดีๆ บ้างมั้ย เธียรตั้งใจเบนหัวเรื่องออกจากบุคคลที่ไม่กล้ากล่าวถึง

ริวอมยิ้ม...เขาไม่รู้เบื้องหลังเบื้องลึกของการเลิกกันระหว่างรอยจันทร์กับเธียร ความรู้สึกที่มีเขาต่อชายหนุ่มรุ่นพี่คนนี้ยังเหมือนเดิม

ในกระบวนผู้ชายที่มาจีบรอยจันทร์ทั้งหมด ริวสนิทใจกับเธียรมากที่สุด เป็นความสนิทใจที่ไม่เกี่ยวกับฐานะการเงินเลยแม้แต่น้อย


-----000-----


รอยจันทร์ใช้เวลาเสริมสวยเกือบสองชั่วโมง ผู้จัดการส่วนตัวไม่มีทางมานั่งรอแน่ พอจะออกจากร้านหล่อนก็เตรียมโทรศัพท์เรียกเขา ยังไม่ทันกดหมายเลขก็พบน้องชายยืนยิ้มเผล่อยู่หน้าร้าน ทันใดนั้นหัวใจเหมือนถูกกระตุกวูบเมื่อมองเห็นผู้ชายอีกคนยืนอยู่ข้างๆ ริว

ผู้ชายคนนั้นสูงพอๆ กับริว แต่งตัวชุดทำงานสุภาพมีราคา หุ่นหนากว่าริวเล็กน้อย ผิวขาวคล้ายกัน รูปหน้าสวย เปลือกตาสองชั้น นัยน์ตาลึกจมูกโด่งเป็นสันชัด ริมฝีปากหนาได้รูป เป็นใบหน้าที่รอยจันทร์ไม่มีวันลืม แม้ทุกคราวที่ระลึกถึงจะเกิดรอยแสลงในใจ

พี่เธียร หล่อนหลุดปากเผลอไผลเคยชิน

เขาเคยเป็นรุ่นพี่ในมหาวิทยาลัย อยู่ต่างคณะ ได้ใช้ความเพียรพยายามฝ่าด่านกำแพงหลายชั้นกว่าจะเข้ามาจีบหล่อนสำเร็จ

ความหวานในวันวานยังกำซาบซึมจิตใจ ดอกรักผลิบานงอกงาม จนกระทั่งวันที่เขาไปเรียนต่างประเทศ

สบายดีมั้ย เป็นคำทักทายแรกจากเขา หลังจากห่างหายไปหลายปี

ค่ะ จะให้ตอบอะไรมากกว่านี้

ไม่เจอกันนาน คิดถึงจัง คำพูดง่ายๆ วาจาตามมารยาท มันกลับตรงดิ่งกระแทกใจ กระชากให้รอยจันทร์มีสติขึ้น

ขอบคุณ หล่อนพูดกับเขาก่อนหันมองน้องชาย ริวกลับกันได้แล้ว

แววตาหมางเมิน กิริยาห่างเหินทำให้เธียรกลืนก้อนขมๆ ลงคอ

ผมชวนเฮียหลิวไปกินข้าวที่บ้านด้วย ริวบอกง่ายๆ ไม่สนใจกิริยาอึดอัดทั้งสองฝ่าย

ไม่ได้ รอยจันทร์หลุดปากอย่างลืมตัว

ริวยิ้ม ไม่ใส่ใจ ยกถุงของสด ผัก ผลไม้ให้ดู

ผมซื้อของมาแล้ว ตั้งเยอะแน่ะ กินสองคนไม่หมดหรอก ผมยอมทำกับข้าวเลี้ยงเองด้วยเอ้า ไม่ลำบากเจ๊หรอกน่า

รอยจันทร์อึ้ง ริวอาจทำท่าเล่นๆ ไม่สนใจก็จริง แต่เมื่อไหร่เขายืนยันเจตนาของตัวเอง หล่อนก็ไม่กล้าขัดเหมือนกัน

แขกของแก ดูแลกันเองแล้วกัน หญิงสาวสะบัดหน้าเดินจากไป

ริวส่ายหน้าอย่างระอา บอกเธียรง่ายๆ แต่แรงโดนใจ

ผมไม่รู้ว่าพี่กับเจ๊มีปัญหาอะไรกัน แต่โอกาสปรับความเข้าใจมีไม่มากนักหรอก เจ๊แกเป็นดาราคิวทอง ไม่ค่อยมีเวลาว่าง ผมช่วยได้แค่นี้แหละ


เธียรมองชายหนุ่มที่หิ้วของก้าวยาวๆ ตามหลังรอยจันทร์อย่างแปลกใจแกมทึ่ง ริวกับเขานั่งดื่มกาแฟคุยเรื่องสัพเพเหระ ไม่มีประโยคไหนเกี่ยวพันถึงรอยจันทร์ กระทั่งใกล้เวลา ริวเป็นฝ่ายชวนไปซูเปอร์มาเก็ตชั้นล่าง ซื้ออาหารสด ผลไม้ เครื่องดื่ม เขาเดินตามเพราะไม่มีอะไรทำ ซื้อของเสร็จริวบอกง่ายๆ

เย็นนี้ไปกินข้าวบ้านผม

น่าแปลกที่เธียรปฏิเสธไม่ออก ชายหนุ่มผู้มีเปลือกนอกเรื่อยๆ ง่ายๆ ร่าเริงคนนี้ กลับมีแรงดึงดูดบางอย่าง สามารถทำให้เขาคล้อยตาม


-----000-----


รอยจันทร์นั่งคอแข็งอยู่ข้างคนขับ ริวเหลือบตามองพี่สาวก่อนยิ้มนิดๆ ไม่พูดอะไร เธียรจะขับรถตามไปที่บ้าน สองพี่น้องขับนำก่อน ตั้งแต่ออกจากห้างมาจอดติดไฟแดงอยู่นี่ หญิงสาวยังไม่ยอมเอ่ยปากพูดสักคำ ชายหนุ่มเคาะนิ้วบนพวงมาลัย นึกหาคำพูดล้วงความในใจพี่สาว

โกรธหรือเปล่า เขาพูดลอยๆ

ไม่มีคำตอบ

เงียบอย่างนี้แสดงว่าไม่โกรธ ริวสรุปง่ายๆ

รอยจันทร์ยังนิ่ง ริมฝีปากเม้มสนิท

ถ้าไม่โกรธ งั้นขอถามอะไรหน่อยสิ เขาพูดเหมือนหยอกเล่น

หญิงสาวทำท่าไม่สนใจ สายตามองสัญญาณไฟ ราวกับเร่งให้มันเปลี่ยนสีเร็วๆ

รอยกับพี่เธียรโกรธกันเรื่องอะไร

ริวยิงคำถามตรงๆ การเรียกสรรพนาม รอย พี่เธียรแทน เจ๊ กับเฮียหลิว แสดงว่าเขาไม่ได้ถามเรื่อยเปื่อย ไม่ล้อเล่น ต้องการรู้คำตอบจริงๆ

รอยจันทร์หันขวับ นัยน์ตาฉายแวววับเปล่งโทสะออกมา ริวมองยังถนนเบื้องหน้าพูดต่อเรื่อยๆ ไม่เกรงต่อไฟโทสะในดวงตานั้น

ไม่ใช่แค่ผมหรอก...พ่อก็อยากรู้ ก่อนตายยังฝากถาม แล้วบอกว่า...จะหาคนที่มีใจตรงกันจริงๆ น่ะยากนะ พบแล้วทำไมถึงปล่อยไปง่ายๆ


(โปรดติดตามต่อฉบับหน้า)



แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP