กระปุกออมสิน Money Literacy

ซื้อถูก ขายแพง ดูเหมือนง่ายแต่ทำไม่ได้เสียที


Mr.Messenger
สนใจติดตามข่าวสารการลงทุนได้ที่ http://twitter.com/MrMessenger


money_341

รูปภาพประกอบโดย เซมเบ้


การจะลงทุนให้มีกำไรงอกเงย เราต้องวิเคราะห์ ทำการบ้าน และศึกษาข้อมูลมากมาย สุดท้ายสิ่งที่เราต้องทำให้ได้ก็คือ ซื้อถูก ขายแพงให้ศึกษาปฏิบัติธรรมด้วยวิธีการใด รูปแบบไหน สุดท้ายก็เพื่อ มีสติ รู้กาย รู้ใจ ทั้งการ ซื้อถูก ขายแพง และการมีสติรู้กาย รู้ใจ พูดง่ายแต่ทำได้ยากพอๆกันครับถ้าเราไม่รู้หลักการ

ปัญหาของนักลงทุนนั้นมีมากมายตลอดทาง กว่าจะกล้าลงทุน กว่าจะยอมถอนเงินฝากออมทรัพย์มาลงทุนในหุ้น ก็คิดแล้วคิดอีก พอคิดจะลงทุน ก็ต้องมานั่งวิเคราะห์เลือกหุ้น ไม่รู้จะเลือกตัวไหน พอเลือกหุ้นได้ ก็ไม่รู้ว่าควรจะเข้าซื้อตรงจุดไหนอีก สุดท้ายพอซื้อไปก็ไม่รู้ว่าจุดที่ควรขายมันคือตรงไหน พอคิดมาได้ไกลขนาดนี้ ชักอยากจะอยู่เฉยๆขึ้นมาซะอย่างนั้น ไม่อยากลงทุนแล้ว เพราะกลัวต้องมาปวดหัวทีหลัง

อย่าคิดไปไกลให้มากครับ ฟุ้งซ่านก็ให้รู้ว่าฟุ้งซ่านไป สิ่งที่ควรทำก็แค่เริ่มต้นนับหนึ่งครับ ไม่ต้องคิดไปให้ไกลกว่านั้น ชีวิตมนุษย์เกิดมาพร้อมกับปัญหาอยู่แล้ว หากเราไม่ลงทุนก็มีปัญหาเรื่องอื่นเข้ามาอยู่ดี แถมหากประมาท ไม่ให้เงินทำงานในช่วงที่ยังทำได้ พอแก่ตัวไปปัญหาเรื่องเงินๆทองๆก็กลับมาหาตอนที่ไม่มีเงินทองให้ใช้อย่างเพียงพอที่ต้องการ ดังนั้นลำบากเสียตั้งแต่ตอนนี้ครับ แล้วเราจะสบายในวันหน้า เชื่อผมๆ

จริงๆก็ไม่มีใครเก็บข้อมูลสถิติย้อนหลังดูว่าการลงทุนในตราสารทางการเงินประเภทต่างๆ ส่วนใหญ่แล้ว นักลงทุนได้กำไรหรือขาดทุนมากกว่ากัน แต่จากประสบการณ์การได้พบและพูดคุยกันนักลงทุนหลายๆกลุ่มแล้ว ก็ค้นพบจุดร่วมที่ทำให้นักลงทุนกลุ่มหนึ่งประสบความสำเร็จ บรรลุเป้าหมายทางการเงินได้ ก็คือ ความตั้งใจ


ตั้งใจที่จะทำอะไร?


ตั้งใจที่จะลงทุน ไม่ว่าเขาจะคิดว่าการลงทุนสำคัญน้อยกว่าสิ่งอื่นในชีวิตแค่ไหน แต่ก็ยังสำคัญกว่าการใช้เงินไปกับสิ่งอื่นอยู่เสมอ ส่วนวิธีการ หรือ หลักการของแต่ละคนนั้น ก็แตกต่างกันไปตามจริตนิสัยของนักลงทุน


จุดร่วมอีกอย่างที่นักลงทุนเหล่านั้นมีเหมือนกันก็คือ ใจกว้าง มีใจคิดเผื่อแผ่ ไม่คิดเล็กคิดน้อย


ด้วยความที่เขาทั้งหลายไม่คิดเล็กคิดน้อย มองแต่ภาพใหญ่ คือ จำเป็นต้องให้เงินทำงาน เพื่อวางแผนการใช้ชีวิต และเป็นหลักประกันในยามฉุกเฉิน ไม่คิดจุกจิกว่า จะมีเงินพอใช้ตอนนี้ไหม? ตลาดหุ้นผันผวนแบบนี้ควรลงทุนจริงๆหรือเปล่า? หรืออะไรก็ตามแต่ที่จะคิดมาได้ ความคิดเหล่านี้ ไม่มีในนักลงทุนที่ประสบความสำเร็จ และถึงมี ก็ไม่เก็บมาคิดถึงขั้นหมกมุ่น และกลุ้มใจ

นอกจากจุดร่วมทั้งสองข้อข้างต้นที่ผมยกมาซึ่งเกี่ยวกับเรื่องจิตใจ และการกำหนดเป้าหมาย ก็ยังมีในเรื่องของกลยุทธ์การลงทุนอีกเช่นกันที่เราควรทำความเข้าใจกันใหม่

นักลงทุนส่วนใหญ่ จะถูกกรอบความคิดที่ว่า ทุกครั้งที่ซื้อ จะต้องราคาถูกกว่าราคาที่เราเคยขายเสมอไป ความคิดนี้ เป็นความคิดที่ทำให้พอร์ตการลงทุนของเรามีตัวเลือกในการลงทุนน้อยลง เพราะหมายถึง ถ้าต้องทำให้ได้อย่างที่คิด ทุกครั้งที่เราขาย เราจะต้องขายที่ราคาสูงสุดแทบจะทุกครั้ง เพื่อให้ราคาร่วงลงมา แล้วเราค่อยเข้าไปซื้อใหม่... แต่ในชีวิตจริง มักจะตรงกันข้ามครับ ไม่มีใครที่สามารถคาดการณ์อนาคตได้ถูกต้อง ๑๐๐% เพราะมันจะหมายถึง เราสามารถพยากรณ์อะไรได้แน่นอน ซึ่งขัดกับกฎไตรลักษณ์ที่องค์พระศาสดาของเราได้ตรัสไว้ ในบางสถานการณ์ (หรือจริงๆก็บ่อยครั้งเลย) เมื่อถึงจุดที่เราควรขายทำกำไร เราก็ทำตามความตั้งใจ แต่ราคาหุ้นหรือกองทุนยังขึ้นไปต่อเนื่อง และแพงกว่าจุดที่เราขาย หากแนวโน้มราคาหุ้น หรือกองทุนนั้นยังดีอยู่และมีโอกาสไปต่อ และเราไม่ยอมกลับเข้าไปซื้อใหม่อีกครั้ง เพราะติดกับประโยคที่ว่าทุกครั้งที่ซื้อ จะต้องราคาถูกกว่าราคาที่เราเคยขายเสมอไปก็เท่ากับเสียโอกาสการลงทุนไปแล้วหนึ่งครั้ง หรือแย่กว่านั้น เราอาจทำใจยอมรับไม่ได้ที่จะกลับเข้าไปซื้ออีกครั้ง ถึงแม้ว่าเราจะรู้ว่าในอนาคตหุ้นตัวนี้หรือกองทุนนี้ราคาจะขยับขึ้นต่อแน่ๆ นี่ไงครับทิฐิของนักลงทุน

ส่วนที่ผมบอกว่า ความคิดแบบนี้จะทำให้พอร์ตการลงทุนของเรามีตัวเลือกในการลงทุนน้อยลง ก็เพราะหุ้นที่ดี กองทุนที่ผลการดำเนินงานดี แนวโน้มระยะยาวราคาจะขึ้นอย่างต่อเนื่องไปเรื่อยๆ แม้จะมีผันผวนระยะสั้นเป็นปกติ ดังนั้นหากเราไปหาหุ้นหรือกองทุนใหม่ลงทุนไปเรื่อยๆ โดยตัดตัวที่เราขายแล้วราคาแพงกว่าเดิมออกไปทั้งหมด ในอนาคตจะเหลือแต่ตัวแย่ๆให้เรา เพราะหุ้นดีๆ กองทุนดีๆ ราคาได้วิ่งไปหมดแล้ว

สรุปคือ ซื้อถูกขายแพง ทำได้ง่าย หากเราพิจารณาแค่ว่า อนาคตของสินทรัพย์ที่เราลงทุนยังดีต่อเนื่อง ราคาจะถูกหรือแพงเมื่อเทียบกับในอดีต หากในอนาคตมันจะแพงกว่าปัจจุบัน ก็อย่าไปยึดกับกับความคิดเดิมๆ ในทางตรงกันข้ามสินทรัพย์แย่ๆ อนาคตไม่ดี ต่อให้ราคามันถูกกว่าเดิมขนาดไหนก็ตาม เราก็ไม่ควรเข้าลงทุน แค่เพราะคำว่าถูกมาบดบังความจริงที่ซ่อนอยู่

อดีตไม่สำคัญเท่าปัจจุบันนะครับ ใครที่สามารถหลุดออกจากกรอบการลงทุนแบบเดิมๆได้ ก็หมายถึงเปิดโอกาสให้กับตัวเองมากขึ้นไปอีกหนึ่งระดับ คำว่า ซื้อถูกขายแพง จริงๆแล้ว ความหมายของมันก็คือ ไม่ยึดติดกับอดีต ทำปัจจุบันให้ดี เพื่ออนาคตที่ดีกว่าเดิม

โชคดีในการลงทุนครับ


แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP