วรรณกรรมนำใจ Lite Literature

ม่านมนตรา ๓๒ (จบ)


ชลนิล

 

(ต่อจากฉบับที่แล้ว)


 

 

อวสาน


 

 

ในห้องกว้างมีแค่แสงสลัวๆ จากโคมไฟหัวเตียง...ลมยามดึกพัดผ่านผ้าม่านสีขาวเข้ามาสู่สองร่างที่นอนอยู่บนเตียงคู่...ร่างหนึ่งชายหนุ่ม...อีกร่างเป็นหญิงสาว

มรรคาและปีกแก้ว...

คนทั้งสองหลับสนิทดั่งเข้าสู่ห้วงนิทราอันเร้นลึก...ลึกจนยากที่ใครจะเข้าไปปลุกได้

ที่ริมหน้าต่าง พันเกลียวกำลังยืนมองออกไปยังฟ้าที่มืดมิด มือกอดอกหลวมๆ สีหน้าหล่อนยังเป็นดังเดิม นิ่งเฉย ไร้ความรู้สึก

มรรคา คุณจะไม่กลับมาจริงๆ หรือ หล่อนพึมพำกับท้องฟ้า

มรรคาถูกพบในเวลาเกือบเที่ยง ที่ดงไม้สนธยาแห่งนั้น ร่างของเขาบอบช้ำและกรำน้ำค้างอย่างหนัก เขายังไม่ตาย แต่ที่หน้าอกมีรอยแดงๆ เป็นเส้นยาวพาดเฉียงคล้ายรอยดาบ

พันเกลียวเป็นคนพาทุกคนไปพบเขา...

ส่วนปีกแก้ว นั่งอยู่ในท่าสมาธิ หลับลึก แรกทีเดียวพันเกลียวไม่ยอมให้ใครแตะต้องหรือขยับร่างปีกแก้ว จนครบเจ็ดวัน หญิงสาวอยู่ในลักษณะเดิม ไม่ฟื้น ยังมีลมหายใจ พันเกลียวจึงยอมให้ทุกคนนำร่างเธอกลับไปที่บ้าน จัดเตียงคู่ให้นอนเคียงกับมรรคา

หมอมาตรวจอาการสองหนุ่มสาว...ผลปรากฏ...ปกติ...

รอยคาดสีแดงบนหน้าอกมรรคายังอยู่ อาการหลับลึกของปีกแก้วไม่มีทีท่าว่าจะฟื้นตื่น...กับคนภายนอกจะรู้เพียงมรรคาเกิดอุบัติเหตุอีกครั้งจนต้องนอนแบ็บ ส่วนปีกแก้วก็ยังไม่ฟื้นจากอุบัติเหตุรถยนต์คราวที่แล้ว

เมื่อหมอปัจจุบันทำได้เพียงรักษาร่างกายของคนทั้งคู่ให้ดำรงอยู่...ดังนั้นหน้าที่ปลุกหนุ่มสาวทั้งคู่ขึ้นมาจึงตกเป็นของพันเกลียว

ปีกแก้ว...หรือ...กนกรัศมี...คุณตั้งใจพาเขากลับไปอยู่ร่วมกันบนนั้นใช่ไหม

เมื่อไม่มีคำตอบจากท้องฟ้า พันเกลียวจึงหันกลับ เดินไปยังเตียงของคนทั้งคู่ ทรุดร่างลงบนเก้าอี้ที่ตั้งไว้ระหว่างกลาง...บนหัวเตียงมีกล่องดนตรีไม้ขนาดเล็ก...ฝากล่องประดับด้วยแก้วคริสตัลเป็นรูปปลาคู่ ติดปีกใสกระจ่างอยู่ท่ามกลางเกลียวคลื่น

หญิงสาวเอื้อมมือเปิดฝา เสียงดนตรีดังกรุ๋งกริ๋ง ท่วงทำนองคุ้นหู...

“Whatever will be will be”

หญิงสาวปล่อยจิตใจให้ล่องไหลไปกับจังหวะบทเพลง สมองครุ่นคิดวิธี ปลุกหนุ่มสาวทั้งสอง

พันเกลียวเคยเพ่งอ่างน้ำมนต์เพื่อตามหาดวงวิญญาณของคนทั้งสอง แต่ก็ไม่พบ...เคยกระทั่งพยายามถอดกายทิพย์เพื่อออกติดตาม...แต่แล้วก็ไม่สำเร็จเหมือนมีสิ่งมากดทับ

...ทุกสิ่งย่อมเป็นไปตามกรรม...

ดนตรีเล่นมาถึงช่วงสุดท้าย ความง่วงงุนแผ่จับความรู้สึกของพันเกลียว ใจเบาคล้ายลอยอยู่กลางน้ำ และแล้วละอองขาวๆ เหลือบเงินก็โปรยปรายลงมาในห้อง มองราวกับหยาดน้ำฝนสีเงินที่สะบัดเม็ดลงกลางทุ่งกว้าง...ห้องทั้งห้องเหมือนจะขยายออกไปไกลสุดลูกหูลูกตา ที่ไกลลิบๆ นั้น พันเกลียวมองเห็นเงาดำสองร่าง ยืนตัดกับแสงสว่างอันพร่าพราย

 

 

 

พันเกลียว เสียงเรียกเบาๆ กระจ่างจับใจ ฉุดให้หล่อนมุ่งเข้าไปหาพวกเขาโดยไม่รู้ตัว

ที่นั่น มรรคากับปีกแก้วกำลังยืนคอยหล่อน หนุ่มสาวทั้งคู่แต่งกายด้วยเสื้อผ้าธรรมดาที่พันเกลียวเคยเห็นจนคุ้นตา ใบหน้าพวกเขาสว่างไสว ราวจะเปล่งแสงออกมาได้

พวกคุณ พันเกลียวพูดขึ้น ตั้งใจถามไถ่เรื่องต่างๆ มากมาย แต่มรรคายกมือห้ามก่อน

มีอะไรค่อยคุยกันทีหลัง เรารีบไปกันก่อนเถอะ เดี๋ยวจะไม่ทัน

หญิงสาวไม่ทันตั้งตัว บรรยากาศรอบๆ ก็เปลี่ยนไปในชั่วพริบตา

เสียงหรีดหริ่งร้องระงม สลับกับเสียงสายลมซัดซ่าผ่านยอดไม้ ท้องฟ้าเป็นสีดำสนิท ดวงดาวสีเงินเปล่งประกายขนัดแน่นเต็มแผ่นฟ้า ทั่วทั้งบรรยากาศตกอยู่ในความสงบ ปีกแห่งราตรีกาลโอบคลุมพื้นที่นี้ไว้ด้วยไออุ่น แมกไม้เป็นเงาดำตัดกับแสงสว่างเรืองที่มองเห็นอยู่ใกล้ๆ

บุคคลที่มรรคาและปีกแก้วพาพันเกลียวไปพบ เป็นหญิงในชุดขาว ใบหน้าผ่องใส มีริ้วรอยเพียงเล็กน้อยที่บอกถึงความมีอายุ แม่ขาวจัน

พันเกลียวยกมือไหว้ กำลังจะเอ่ยปากทัก แต่อีกฝ่ายส่ายหน้า แววตามีเรื่องน่ายินดีบางประการซ่อนอยู่...หญิงสาวสงสัย ไม่กล้าพูดอะไร...ไม่น่าเชื่อว่าสถานที่แห่งนี้ กระทั่งเหล่าดวงวิญญาณ กายทิพย์ ก็ยังต้องสงบไม่ยอมสร้างความรบกวนแก่เจ้าของพื้นที่

แม่ขาวจันหันหลังเดินนำหน้าทุกคน ปีกแก้ว มรรคา และพันเกลียว เดินตามด้วยความสำรวม จนกระทั่งถึงโคนต้นไม้แห่งหนึ่ง ทุกคนจึงทรุดกายลงนั่งและมองภาพข้างหน้าเป็นสายตาเดียว

เทียนเล่มใหญ่สองดวง ปักอยู่ที่หัวและท้ายจงกรม...หลวงพ่อห่มจีวรเรียบร้อยกำลังเดินกลับไปกลับมา ไม่เร็วไม่ช้า สติจับอยู่ทุกฝีก้าว...ทุกคนไม่กล้าขยับตัว ไม่มีใครกล้าส่งเสียง กระทั่งเหล่าแมลงราตรียังยอมเงียบเสียงชั่วคราว

มีแต่สายลมโบกโบย มีแต่ดวงดาวที่ทอดสายตาลงมา

ร่างที่ครองผ้ากาสาวพัสตร์ หยุดยืนกลางทางจงกรม นัยน์ตาทอดนิ่งยังพื้นดินเบื้องหน้า แสงเทียนเอนไหวก่อให้เกิดเงาวูบวาบ ใบหน้าหลวงพ่อเคร่งขรึม สงบนิ่ง ราวกับกำลังจดจ่อกับปัญหาใดปัญหาหนึ่ง...

ในที่สุด ใบหน้าของท่านคลายลง...เพียงชั่วแวบเดียวแห่งสายตา ทุกคนรู้สึกเสมือนดั่งแผ่นดินไหวสะเทือน...แสงเดือน แสงดาวต่างแข่งแสงกระจ่างจ้า...เสียงดังเปรียะ...ก้องในหูทุกคน...

ฟ้าสว่างยิ่งกว่าสว่าง ดาวแต่ละดวงเปล่งแสงเฉิดฉายยิ่งกว่าดวงตะวัน เป็นความสว่างที่ก่อให้เกิดความอบอุ่นมากกว่าความร้อนรุ่ม

ชั่ววินาทีหนึ่ง ทุกสิ่งดูจะหยุดนิ่งไปทั่วทั้งโลก...ก่อนจะมีเสียงโห่ร้องดังก้องกัมปนาท สนั่นหวั่นไหว...

สาธุ...สาธุ...สาธุ

กระทั่งพันเกลียวก็อดเปล่งเสียงนี้ออกมาด้วยความตื้นตันไม่ได้ น้ำตาไหลอาบแก้มด้วยความปีติอย่างไม่รู้ตัว...และเมื่อมองคนข้างๆ ทุกคนต่างมีอาการไม่ต่างจากหล่อน ไม่เว้นกระทั่งมรรคา...ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยรอยยิ้มและคราบน้ำตา

 

หลวงพ่อยืนนิ่งอยู่ท่ามกลางแสงสว่าง ชายจีวรของท่านเปล่งประกายสีทองอร่ามตา กระจ่างออกไปไกลแสนไกล ใบหน้าท่านยากที่ใครจะคาดเดาความรู้สึก...แต่ว่าทุกคนต่างรู้...ท่านย่อมปีติมากกว่าผู้ใด...

ท่านได้ก้าวพ้นวัฏสงสารอย่างสง่างามแล้ว... แม่ขาวจันพึมพำทั้งน้ำตา เป็นบุญเหลือเกิน ที่พวกเราได้เข้ามาเห็นอย่างใกล้ชิด

ในที่สุด พันเกลียวจึงเข้าใจเรื่องราวทั้งหมด...แต่มันกลับไม่ใช่เรื่องสำคัญอีกต่อไปแล้ว...เวลานี้หล่อนมองเห็นผู้ เหนือโลก อย่างแท้จริงอยู่ตรงหน้า...ผู้เป็นพยานในพระธรรมแห่งพระพุทธองค์...ผู้ที่สมควรใช้คำกล่าว...

...ผู้ใดเห็นธรรม...ผู้นั้นเห็นตถาคต...


 

ดอกบัวสีขาวสะอาด กลิ่นหอมรวยริน วางอยู่บนตักทุกคน...มรรคาเป็นคนแรกที่คลานเข้าไปหาหลวงพ่อ วางดอกบัวงามนั้นไว้แทบเท้า...แม่ขาวจันเป็นคนต่อมา ตามด้วยปีกแก้วและพันเกลียว...

ทั้งสี่นั่งรายล้อม คุกเข่า ก่อนจะก้มลงกราบพร้อมๆ กัน...นัยน์ตาหลวงพ่อทอดต่ำ ปรานี...ความปีติกำซาบราวกับกระแสใสเย็นแห่งเมตตาได้แล่นซ่านสู่ทุกคน

แม่ขาวจันเงยหน้าขึ้นยิ้มทั้งน้ำตา

อิฉันต้องถือโอกาสลา ใบหน้าที่ก้มต่ำพยักลงเพียงนิด เวลานี้ท่านกับอิฉันอยู่ห่างกันลิบลับ...แต่อิฉันขอสัญญา...ไม่นาน...จะติดตามท่านออกจากวัฏสงสารให้ได้

หลวงพ่อแย้มริมฝีปาก ยิ้มละไม แล้วหันมามองมรรคา ปีกแก้ว และพันเกลียว...ไม่มีคำพูดใด นอกจากดวงตาใสกระจ่างทอดจับคนทั้งสามชั่วครู่ รอยยิ้มยังไม่เลือน ขณะหันกลับเดินสู่กุฏิ...

แสงสว่างที่แผ่กระจายจนพร่างพราย เมื่อมองให้ดีจะรู้ว่าเป็นรัศมีของเหล่าปวงเทพ ที่ลงมาร่วมอนุโมทนาแด่หลวงพ่อ...ขณะนี้เทพยดาทั้งหลายต่างเดินเวียนรอบกุฏิหลวงพ่อ เพื่อเป็นการแสดงความเคารพอย่างสูงสุด ก่อนจะทยอยกลับขึ้นไป...แต่กระนั้นก็ยังเหลือเทพองค์หนึ่ง ลอยเด่นกลางฟ้า รัศมีส่องกระจายจนความมืดไม่อาจแผ่อำนาจได้...

ท่านพ่อ ปีกแก้วเอ่ยเสียงใส

เทพบิดาลอยนิ่งอยู่ครู่ใหญ่...มีคำพูด คำอวยพรมากมาย ต้องการกล่าวแก่บุตรสาว แต่สิ่งที่ท่านกระทำ คือส่งแววตาและรอยยิ้มอย่างปรารถนาดีมาให้ ดังจะยืนยันว่า...ไม่ว่าลูกจะอยู่แห่งใด...พ่อยังคงเป็นพ่อ...

ร่างและรัศมีเทพเลือนหาย ม่านดาวคลี่คลุมดังเดิม มรรคาและปีกแก้วคุกเข่าลงกราบอีกครั้งอย่างนอบน้อมและตื้นตันใจ

พันเกลียวรู้สึกเหมือนกึ่งฝันกับเหตุการณ์ที่ได้ประสบเมื่อครู่ หล่อนมองคนทั้งสามอย่างไม่แน่ใจ เวลานั้น แม่ขาวจัน เอ่ยปากเป็นคนแรก...

แม่ต้องไปแล้ว

ลูกต้องขออนุโมทนาด้วยนะจ๊ะ ปีกแก้วพูดเสียงใส

เพียงครู่เดียว ทุกสิ่งกลับสู่ความสงบดังเดิม มรรคามองพันเกลียว พยักหน้าให้หล่อน แล้วคนทั้งหมดก็ถอยห่างจากกุฏิหลวงพ่อออกมา...เมื่อได้ระยะจึงก้มกราบอีกครั้ง และแล้วภาพตรงหน้าพันเกลียวก็วูบหาย


 

 

พันเกลียวกำลังยืนอยู่บนก้อนเมฆ ใต้แพรฟ้าสีดำ ดวงดาวระยิบพรายดูใกล้จนคล้ายจะเอื้อมเก็บได้...มรรคาและปีกแก้วยืนอยู่ใกล้ๆ ท่าทางของทั้งคู่ทำให้พันเกลียวรู้สึกใจหาย

ขอบคุณที่ช่วยจัดการเรื่องของพวกเราให้อย่างดี มรรคาพูด

แล้วพวกคุณจะกลับคืนร่างเมื่อไหร่ ถามทั้งๆ ที่รู้สึกใจไม่ค่อยดี

ปีกแก้วยิ้มให้...รอยยิ้มใส หวาน สว่างจนพันเกลียวได้คำตอบกับตัวเอง

หรือว่าพวกคุณจะกลับขึ้นไปข้างบน...เป็นทิชาเทพและกนกรัศมีอย่างเดิม โดยทิ้งร่างมรรคาและปีกแก้วให้เป็นซากศพ

เวลานี้ ไม่มีทิชาเทพและกนกรัศมีอีกต่อไปแล้ว มรรคาพูดและอธิบายต่อ เมื่อเราทั้งคู่ยอมทิ้งทุกสิ่งบนสวรรค์ลงมา ก็แสดงว่า เรายอมรับความเป็นมนุษย์แล้ว...แต่ที่ผมระลึกชาติได้ และที่ปีกแก้วสามารถใช้ พลังของเทพกนกรัศมีได้ ก็เพราะแรงอธิษฐานจิต และความช่วยเหลือจากท่านพ่อ

ถ้าอย่างนั้น คุณทั้งคู่ก็ควรกลับเข้าร่าง เพื่อใช้ชีวิตมนุษย์อย่างเดิม

หนุ่มสาวทั้งสองมองหน้ากัน...ในรอยยิ้ม มีประกายแห่งความผูกพัน โยงใยลึกซึ้ง

ร่างของมรรคาและปีกแก้วก็หมดหน้าที่ลงแล้ว ตั้งแต่วันที่สะสางบัญชีกับจ้าว มรรคาเป็นคนอธิบาย ที่พวกเรายังรั้งรออยู่ ก็เพื่อร่วมอนุโมทนาบุญกับหลวงพ่อเท่านั้น

คำตอบที่ได้ยิ่งทำให้พันเกลียวจมดิ่งสู่ห้วงความรู้สึก ที่ยากจะบรรยาย...ครู่ใหญ่ กว่าหล่อนจะรวบรวมสติ สะกดอารมณ์ ถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

คุณบอกว่า ร่างของมรรคาและปีกแก้ว หมดหน้าที่ลง...ฉันขอถามว่า แล้วหน้าที่ของมรรคาและปีกแก้ว หมดลงหรือยัง

ทั้งสองมองหน้าพันเกลียวด้วยแววตางุนงง

คุณกำลังจะบอกผมกับแก้วว่า...อย่าเพิ่งตาย ใช่ไหม เขาถาม

พันเกลียวไม่ตอบ ริมฝีปากเม้มแน่น ราวกับกลัวความในใจบางอย่างจะหลุดออกมา

ผมพ่ายแพ้ในการต่อสู้กับจ้าว ร่องรอยบาดแผลนั้น คุณก็เห็น ส่วนแก้วก็รับพลังเทพของกนกรัศมี ทำให้เธอไม่สามารถครองร่างมนุษย์ได้นานนัก ขนาดคุณก็ยังเคยเห็นรังสีเทพที่แผ่ออกมาจากร่างของเธอ

ฉันเพียงแค่อยากรู้ หน้าที่ของมรรคาและปีกแก้วที่มีต่อคนรอบข้างหมดหรือยัง

หญิงสาวละสายตาจากมรรคาลงมาที่ปีกแก้ว ในสายตาที่หญิงสาวสองคนสบกัน ความนัยลึกซึ้งปรากฏขึ้น ปีกแก้วเข้าใจเจตนาของพันเกลียวทันที

พันเกลียวไม่เคยหวังที่จะอยู่ร่วมกับมรรคา เหมือนอย่างกะพ้อ แต่หล่อนหวังเพียงได้มองเขาอยู่ห่างๆ และยินดีในความสุขของเขา

เราจำเป็นต้องตายมั้ยคะ พี่มัค

คำถามสั้นๆ ก่อให้เกิดความลังเลในแววตาของมรรคา

ชายหนุ่มถอนใจเบาๆ เงยหน้ามองท้องฟ้า

กรรม กำหนดให้เราทิ้งร่างเดิมไป เพื่อสู่ภพใหม่ เขาตอบ

พันเกลียวรีบแทรกขึ้น

ฉันไม่เข้าใจ ทำไมพวกคุณต้องไป ทั้งๆ ที่ร่างของคุณ ก็ยังมีอายุขัยอีกหลายสิบปี

มรรคาไม่ตอบ เขาไม่จำเป็นต้องตอบ สิ่งที่เขาทำในขณะนี้คือ ก้มศีรษะบอกลาหล่อน และจูงมือปีกแก้ว ถอยห่างไปสู่ม่านดาวที่ระยิบพราย

พันเกลียวไล่ตามโดยไม่รู้ตัว

ทำไมพวกคุณไม่คิดจะฝืนกรรม หล่อนร้องบอก นึกอยากเหนี่ยวรั้งเขาไว้ให้นานที่สุด

คนเราจะฝืน กรรม ได้หรือ มรรคาย้อนถามขณะที่ร่างลอยลิบไกลออกไป

กรรม คือการกระทำของคุณ...คุณไม่จำเป็นต้องงอมือรับ ผล ของมันอย่างเดียว...แต่ยังสามารถ สร้างกรรมใหม่ เพื่อฝืนผลของกรรมเดิมได้

หยุด...คำพูดนี้หยุดทุกสิ่งให้นิ่งสงัด ดาวหยุดกะพริบแสง สายลมหยุดโบกโบย บรรยากาศเงียบ ราวกับกาลเวลาไม่เคลื่อนไหว

 

 

 

แสงสว่างเล็กเรียวสีขาวบาดตา ทอดลงมายังร่างสองหนุ่มสาว เม็ดละอองสีเงินส่องประกายระยิบระยับเจิดจ้า เข้าโอบคลุมผู้เตรียมเคลื่อนภพชาติ พันเกลียวยืนนิ่งดั่งถูกสาป...หล่อนแพ้...ใจวูบหายไม่ผิดจากของรักต้องพลัดพรากตลอดกาล

มรรคาและปีกแก้วลอยสูงขึ้นสู่ต้นกำเนิดลำแสง พันเกลียวเงยหน้ามองนัยน์ตาสบกับปีกแก้ว

อย่าไปเลย เสียงหล่อนไม่เกินกระซิบ

สองหนุ่มสาวถูกกลืนหายเข้าไปในแสงสว่าง เหลือเพียงใบหน้าลอยเด่น ปีกแก้วมองชายหนุ่มข้างกาย นัยน์ตาสื่อความหมายบางอย่างออกไป

มรรคาเอ่ยปากเพียงคำเดียว...

น้องจะไม่เสียใจ?

ไม่ว่าผลจะเป็นอย่างไร น้องยินดีน้อมรับ คำตอบมั่นคง เด็ดเดี่ยว

ภาพสุดท้ายที่ปรากฏแก่สายตาของพันเกลียวคือ...ร่างของมรรคาและปีกแก้ว ค่อยๆ เคลื่อนออกมาจากแสงสว่างอันเรืองรอง


 

 

ท้องฟ้าสีน้ำเงินเข้ม แตะแต้มด้วยปุยเมฆบางๆ ต่ำลงมา เป็นโรงงานขนาดใหญ่ ก่อสร้างใกล้แล้วเสร็จ คนงานส่วนใหญ่กำลังทำงานเก็บรายละเอียดในส่วนเล็กๆ น้อยๆ ภายในบริเวณอันกว้างขวาง แบ่งส่วนเป็นอาคารวางเครื่องจักร บ้านพักคนงาน โกดังเก็บสินค้า ลานจอดรถส่งวัตถุดิบ และที่น่ารื่นรมย์คือสวนพักผ่อนขนาดย่อม ที่หลงเหลือไม้ยืนต้นให้เห็นปลอดโปร่งตา...

มรรคาตั้งใจกันดงไม้ส่วนหนึ่งไว้เป็นสวนพักผ่อน

มือเรียวยาวของหญิงสาวกำลังจับปากกา เขียนตามคำสั่งของคนตัวโตๆ ที่เดินนำหน้าไปรอบโรงงาน ชั่วครู่ก็เงยหน้ามองเห็นไหล่กว้างกำลังหยุดยืนอยู่หน้าสวนพักผ่อน หญิงสาวเดินขึ้นมายืนเคียงข้างเขา เหลือบมองชายหนุ่มด้วยแววตาสดใส

จะสั่งอะไรอีกมั้ยคะ...เจ้านาย

เสียงใสๆ ทำให้เขาหันกลับมามอง

ใครเขาสอนให้เรียกพี่อย่างนี้ เสียงพูดกึ่งดุ กึ่งอารมณ์ดี

คุณประสิทธิ์ค่ะ คำตอบชัดเจน พร้อมรอยยิ้มซุกซน

มรรคาส่ายหน้า

แล้วทำงานร่วมกันดีมั้ย

ดีค่ะ...โดยเฉพาะ เจ้าตัวแกล้งหยุดพูด ยิ้มเผล่

โดยเฉพาะเรื่องอะไร มรรคาถามทั้งๆ ที่รู้ว่ากำลังติดกับหญิงสาว

เรื่องนินทาเจ้านายค่ะ

มรรคาเบือนหน้าหลบ พยายามกลั้นหัวเราะ...ปีกแก้วมาฝึกงานกับเขา ระหว่างรอผลสอบเทอมสุดท้าย แต่ดูๆ ไปเจ้าหล่อนมีท่าทางจะมาสร้างความปั่นป่วนให้กับที่ทำงานเขาเสียมากกว่า

ถ้าจดที่พี่สั่งไว้หมดแล้ว เดี๋ยวเราไปดูประสิทธิ์กัน ไม่รู้ว่าจะจัดการงานด้านนั้นเสร็จหรือยัง

ไปสิคะ พูดจบก็เดินเคียงกันไป

พี่มัคว่า ทุกอย่างจะเรียบร้อยทันวันเปิดโรงงานมั้ยคะ หญิงสาวเริ่มพูดเป็นงานเป็นการ

ทันสิ เขาตอบ

เร็วจังนะคะ แค่ปีเดียวเอง ปีกแก้วพูด มรรคานิ่งอั้น

ใช่...ปีเดียว...เป็นหนึ่งปีที่มีเรื่องราวมากมาย

มรรคาและปีกแก้วฟื้นขึ้นมาจากอาการหลับลึก ความทรงจำยังเลอะเลือน ไม่อาจปะติดปะต่อเรื่องราวใดๆ มีแต่คุณธม ป้าแฉล้ม และเจ้าชัย คอยช่วยรื้อฟื้นอธิบายเหตุการณ์ต่างๆ ระหว่างที่พวกเขาหลับไปให้ฟัง

แต่ถึงจะอธิบายอย่างไร ความทรงจำของมรรคาและปีกแก้วก็ขาดลงในเวลาที่รถคว่ำก่อนเข้ากรุงเทพฯ

ปีกแก้วไม่รู้เรื่องที่ตนเองไปอยู่บ้านพันเกลียว และมรรคาก็ไม่สามารถจดจำเรื่องราวหลังรถคว่ำได้

ความทรงจำของคนทั้งสอง ขาดหายไปช่วงหนึ่ง

และผู้ที่จะเชื่อมเรื่องราวได้...มีแต่พันเกลียว

ทว่า...บ้านของพันเกลียวปิดร้าง ไร้ผู้คน ไม่มีใครตอบได้ว่า หญิงสาวอยู่ ณ ที่ใด กระทั่งหญิงชราก็หายสาบสูญ พันเกลียวเป็นเหมือนละอองน้ำ ที่ระเหยหายยามตะวันทอแสง

มรรคาได้รับจดหมายมาหนึ่งฉบับ...มีข้อความเพียง

อดีตของคุณจบลงแล้ว...ไม่มีทิชาเทพ...ไม่มีจ้าว...ไม่มีกะพ้อ...ไม่มีคำมั่นสัญญาใดๆ...คุณมีเพียงปัจจุบัน

ถึงตอนนี้ มรรคาจึงกระจ่างแก่ใจ สัจจาแห่งทิชาเทพ จบลงแล้ว เหลือแค่รอยแผลบางๆ บนหน้าอก ซึ่งกำลังรอวันลบเลือน...เขาเชื่อว่า เรื่องราวจบลงด้วยดี แม้จะไม่อาจเก็บความทรงจำใดๆ ไว้ได้เลย

ภาพอดีตที่เขาเคยเห็น เคยรู้...จะถูกฝังไว้ในความทรงจำอันเร้นลึก มรรคาไม่ต้องการขุดคุ้ยเรื่องเก่าๆ ขึ้นมาอีก

ส่วนปีกแก้ว...กับการขาดหายของ คุณอาเป็นเรื่องปกติ จนบัดนี้ คุณอาก็ยังคงเป็นเพียงหนึ่งในความทรงจำของหล่อน เช่นกัน

คุณประสิทธิ์ ปีกแก้วเรียก เมื่อเห็นประสิทธิ์กำลังยืนอยู่ในกลุ่มหัวหน้าคนงาน

ทางนี้เรียบร้อยมั้ยคะ หญิงสาวถามพร้อมกวาดรอยยิ้มให้กับทุกคน

ครับ...แล้วทางคุณมัคล่ะ

มรรคาพยักหน้า

ถ้างั้นก็ไม่มีปัญหาอะไรแล้วละครับ งานเสร็จก่อนวันเปิดโรงงานแน่

ชายหนุ่มไม่ตอบ แต่หันหลังกลับไปมองโรงงานของตน รู้สึกเหมือนมีภาระอันหนักอึ้ง มาให้เขาแบกรับ

...คุณมีแต่ปัจจุบัน...

คำพูดจากจดหมายพันเกลียวยังแจ่มชัด...ปัจจุบันของเขา มีหน้าที่ต้องรับผิดชอบผู้คนและงานอีกมากมาย เป็นความลำบาก เป็นภาระหน้าที่ที่เขาต้องยอมรับ โดยไม่จำเป็นต้องใช้ สัจจะ เป็นตัวบังคับ



ตะวันบ่ายสาดแสงผ่านริ้วเมฆขาวๆ ที่กระจัดกระจายเต็มผืนฟ้าสีคราม ฝูงนกบินถลาลงเกาะยอดไม้ ส่งเสียงร้องดังจ๊อกแจ๊ก

มรรคาขับรถออกจากโรงงานแห่งใหม่ ไปบนถนนที่เพิ่งลาดยางเสร็จไม่นาน

ขากลับอย่าลืมแวะหาหลวงพ่อก่อนนะคะ ปีกแก้วเตือน

จ้ะ มรรคาตอบรับ

หลวงพ่อเป็นบุคคลเดียวที่ยังเสมอต้นเสมอปลาย ท่านไม่เคยพูดอะไรมากไปกว่าที่เคยพูด แต่ทุกครั้งที่มรรคาไปหา เขาก็ได้รับความเย็นใจกลับมาทุกครา สิ่งเดียวที่เขาแปลกใจคือ...ไม่มีเงาของแม่ขาวจัน

พี่มัคฟังวิทยุมั้ยคะ เสียงของปีกแก้วปลุกความคิดเขา

อะไรนะ...อ๋อ...พี่ไม่ฟังหรอก

งั้นแก้วเปิดเทปนะคะ

ตามใจสิ เขาไม่ใส่ใจ

ปีกแก้วเปิดคอนโซลกลาง แล้วเอื้อมมือลงไปหยิบเทป เป็นจังหวะเดียวกับที่มรรคาเหลือบเห็นแหวน ที่นิ้วนางมือซ้าย

แก้ว พี่จำได้ว่า ใส่แหวนให้มือขวานะ ทำไมถึงไปอยู่มือซ้ายได้ล่ะ

เหรอคะ หญิงสาวยกมือขึ้นดูอย่างเหลอหลา แล้วหัวเราะกิ๊ก

จริงสิ แก้วก็เพิ่งสังเกต แต่แปลกแฮะ สวมแบบนี้มาตั้งนานไม่ยักรู้สึกขัดๆ เลย

มรรคาหันไปมองยังถนนเบื้องหน้า...อย่าว่าแต่ปีกแก้วจะไม่สะดุดใจเลย เขาก็ไม่ได้นึกสงสัย สังเกต ทั้งๆ ที่เห็นปีกแก้วเกือบทุกวัน

แล้วจะไม่เปลี่ยนคืนหรือไง เขาถามเมื่อเห็นหญิงสาวยังไม่ใส่ใจ

ใส่ข้างนี้ก็ดีแล้วค่ะ ไม่หลวม ไม่คับ กำลังพอดี ใส่มือขวาแล้วยังรู้สึกคับๆ ด้วยซ้ำ

เดี๋ยวคนอื่นจะเข้าใจผิดเปล่าๆ เขาพูด

คิดว่าแก้วมีคู่หมั้นหรือคะ หญิงสาวยื่นหน้ามาถามเขา พลางหัวเราะเบาๆ ดีสิ จะได้ไม่มีใครกล้ามาจีบ

ชายหนุ่มอมยิ้ม ไม่ต่อคำพูดด้วย แม้เขาจะมองปีกแก้วเป็นเหมือนน้องสาวดังเดิม แต่ทว่า ในส่วนลึกที่สุดของหัวใจกลับมีความหวาน กำซาบอิ่มเอมบางอย่างที่ตอบไม่ถูกเกิดขึ้น...เป็นความรู้สึกที่ยากจะเข้าใจ

ปีกแก้วมองเสี้ยวใบหน้าของมรรคา ใจจริงหล่อนอยากจะบอกว่ายินดีด้วยซ้ำ ที่แหวนวงนี้ได้สวมในนิ้วนางข้างซ้าย หญิงสาวเคยมองมรรคาเฉกเช่นพี่ชาย จนกระทั่งเกิดเรื่องในงานของคุณธม...จิตใจของปีกแก้วเริ่มสับสน หวาดระแวง หล่อนยอมรับว่า รักมรรคา...แต่ไม่สามารถตอบได้ว่าเป็นความรักอย่างไร...ใช่ความรักที่น้องสาวมีต่อพี่ชาย...หรือ ยิ่งกว่านั้น

สำหรับปีกแก้ว...รักคือรัก ไม่อาจแบ่งแยก เป็นความรักประเภทนั้นประเภทนี้...หญิงสาวพอใจกับการได้มีความรู้สึก รัก อยู่ในใจ ไม่ได้หวัง หรือต้องการสิ่งอื่นมากไปกว่านี้

ถนนเบื้องหน้าทอดยาว คดเคี้ยวแสนไกล...จุดหมายปลายทาง อาจไม่ใช่สิ่งสำคัญไปกว่า การได้เดินทาง...โดยเฉพาะการเดินทาง เพื่อรู้จักตนเอง

เส้นทางยังยาวไกล มองไม่เห็นจุดหมาย จึงยากจะบอกได้ว่า หัวใจสองดวงจะมาบรรจบกันเมื่อใด...อนาคต...เป็นสิ่งที่มองไม่เห็นก็จริง...แต่อนาคตก็ถูกถักทอ และก่อสร้างขึ้นจากปัจจุบันมิใช่หรือ...


 

 

ตะวันเย็นย่ำ แดดสีหมากสุกอาบไล้ทุ่งนา และกำแพงวัดอันเหยียดยาว หญิงสาวคนหนึ่งเดินผ่านแสงแดดยามสนธยามุ่งสู่ประตูวัด หล่อนแต่งตัวด้วยชุดชาวบ้านธรรมดา แต่เรือนร่างที่สูงตรง ผมยาวสีดำสนิท และรูปหน้าที่สะดุดตา ทำให้ไม่มีใครคิดว่า หล่อนจะเป็นเพียงหญิงชาวบ้าน

...พันเกลียว...

หญิงสาวเดินผ่านประตู มองเห็นพระ เณร และแม่ชีหลายรูป กำลังทยอยขึ้นศาลา วันนี้เป็นวันพระ ที่วัดจะมีการรวมสวดมนต์ทำวัตรเย็น และนั่งสมาธิ ฟังธรรมยกระดับจิตจากหลวงพ่อ

พันเกลียวตั้งใจเดินออกจากเส้นทางของมรรคา หล่อนรู้ว่า รักของตนไม่มีทางสมหวัง แต่จิตใจกลับไม่เจ็บปวด อาจเป็นเพราะยามนี้หล่อนหวังแค่ได้เห็น ได้ร่วมยินดีกับความสุขของมรรคาและปีกแก้วเท่านั้น

แสงไฟบนศาลา ส่องสว่างเรืองๆ หมู่พระภิกษุ สามเณร ต่างนั่งลงเรียบร้อยเป็นระเบียบ พันเกลียวทรุดร่างลงด้านหลังแถวแม่ชี...

เสียงสวดมนต์ดังกระหึ่ม ราวจะเข้าไปขัดถูคราบความหม่นมัวที่เกาะกุมจิตใจของพันเกลียว

ขอเวลาอีกสักหน่อย...หญิงสาวบอกกับตนเอง...ขอเวลาให้หล่อนได้สลัดเยื่อใยสุดท้ายที่มีต่อมรรคาไปให้สิ้น เมื่อนั้น หล่อนจะขอก้าวสู่เส้นทาง ที่หลวงพ่อและแม่ขาวจันได้เดินนำมาแล้ว

เพราะหล่อนรู้ดีว่า...ไม่มีทางใดประเสริฐกว่าทางนี้...เส้นทางตัดภพชาติ...

ขอเวลา...อีกไม่นาน...แน่นอน...หล่อนให้สัจจา...



จบ



แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP