วรรณกรรมนำใจ Lite Literature

ม่านมนตรา ๒๗


ชลนิล

 

(ต่อจากฉบับที่แล้ว)


คุก ยังคงเดิม แต่พันเกลียวรู้สึกผิดแปลก ยามหล่อนสำรวมจิตให้เป็นสมาธิ ในความสงบมีเสียงสวดพึมพำด้วยภาษาแปลกๆ แว่วมา เป็นเสียงของหญิงสาว ที่กังวาน ใส ชัด ฟังแล้วดื่มด่ำ เยือกเย็น

หล่อนมองเห็นแสงสีเขียวเรืองทอดเป็นลำในสมาธิ แต่ลำแสงนั้นติดชะงักอยู่ด้านนอก ไม่อาจทะลุกำแพงคุกเข้ามาได้ พันเกลียวมองเห็นฝูงปิศาจสมุนของจ้าว ต่างชูไม้ชูมือ ร่ำร้องด้วยความประหวั่นพรั่นพรึง แสงสีเขียวกระจายขับไล่ความหม่นซึมนอกบริเวณแดนต้องขัง ปิศาจบางตัวก้มหน้า ไม่อาจสู้แสง

พันเกลียวใจชื้น...มี พลังบางอย่างกำลังจะเข้ามาช่วย...หญิงสาวอยากลืมตามอง แต่กลัวเสียสมาธิ ไม่อาจรับพลังได้...ทางเดียวที่ควรทำ คือวางใจให้สงบเหมือนภาชนะว่าง ที่สามารถรองรับพลังอำนาจทั้งปวง

พันเกลียวมองเห็นปิศาจหมอผีทำท่าต่อต้านขับไล่ลำแสงสีเขียว แต่จู่ๆ กลับถอยห่างเสียเฉยๆ อาจจะสู้ไม่ได้ หรืออย่างไรก็แล้วแต่ หญิงสาวรีบสลัดภาพที่เห็นออกไปทั้งหมด พยายามจับน้ำเสียงสวดในสมาธิ จากนั้นกำหนดจิตสวดภาวนาตามภาษาแปลกๆ นั้นทันที

หนึ่งส่ง...หนึ่งรับ สอดประสานกันกลมกลืน ทันใดลำแสงสีเขียวก็กรีดทะลุกำแพงคุมขังเข้ามาจนได้...ความสลัวรางอันเวิ้งว้างถูกขจัดเสียสิ้น

มือของพันเกลียวกำลังกุมอะไรบางอย่างที่หล่อนนึกไม่ถึง...มีด...มีดอาคมของพ่อ...หญิงสาวบอกกับตัวเองพร้อมกำหนดจิตของอำนาจมีดให้ช่วยตัดตรวนรากไม้เหล่านี้ทันที

ควับ...ฉับ...ฉับ เสียงดังติดต่อกัน รากไม้ยาวและเหนียวต่างหลุดร่วงหมดสภาพ พันเกลียวลอยเคว้งกลางอากาศก่อนเข้าไปหากะพ้อ ช่วยตัดรากไม้ให้หล่อน

เราไปด้วยกัน พันเกลียวจับมือกะพ้อแน่น

ขอบใจมาก แต่ไม่มีประโยชน์ สีหน้ากะพ้อคับแค้นและเศร้าใจ

เราหนีกันก่อน อย่างอื่นค่อยว่าทีหลัง พันเกลียวพูดรัวเร็ว หล่อนเห็นฝูงปิศาจกำลังทะลักเข้ามาตามรอยแยก

เธอรีบไปเถอะ ถึงฉันออกไปได้ก็ไม่มีประโยชน์ กะพ้อพูดขณะพันเกลียวตวัดมีดฟันปิศาจเดนตายที่บุกเข้ามาทำร้ายหล่อน ฉันโดนตรวนอาคมอย่างนี้ไปไหนได้ไม่ไกลหรอก ถ้าจ้าวเรียกเมื่อไหร่ก็ต้องกลับ

เราอุตส่าห์แหกคุกได้แล้ว พันเกลียวขัดเคืองใจ

เธอไปเถอะ...อย่าลืมสัญญา

ได้ พันเกลียวรับปากอย่างหดหู่ ตรงรอยแยกของคุกมีปิศาจอออยู่เต็ม พันเกลียวกัดฟันทะยานร่าง ใช้รังสีของมีดบุกเบิก กรุยทาง ฝูงปิศาจระเนระนาดกระจัดกระจาย

ดวงวิญญาณและรังสีมีดรวมเป็นหนึ่งเดียว พุ่งทะยานลับจากที่คุมขังและแดนอาคมอย่างรวดเร็ว ทิ้งไว้เพียงกะพ้อที่เคว้งคว้าง เดียวดาย กลางซากคุกที่ยับเยิน...



๒๐


 

ชัยอยู่บนรถกำลังมองที่ดินโล่งกว้าง ซึ่งส่วนใหญ่ได้รับการเกรดไถปรับปรุงจนเรียบร้อย ยกเว้น ดงไม้ต้องสาป

สถานที่นี้จะเป็นนิคมอุตสาหกรรมในอนาคต มรรคาและคุณธมมีโครงการสร้างโรงงานขนาดใหญ่ แต่บัดนี้ขั้นตอนต่างๆ ต้องหยุดชะงักลงเพราะไม่มีใครกล้าแตะต้องแนวเขตสีเขียว

เวลานี้คนงานและเครื่องมือถูกถอนออกจนหมด เหลือเพียงสายลมพัดจนฝุ่นแดงๆ ลอยม้วนเป็นระยะ

ที่กลางลานมีหญิงสาวสองคนยืนนิ่งไม่ขยับเขยื้อน...ปีกแก้วและพันเกลียว

เจ้าชัยเคยนึกสงสัย...ตั้งแต่คุณปีกแก้วฟื้นขึ้นมา ทำไมถึงมีท่าทางเปลี่ยนแปลงมากมาย จนไม่เหลือร่องรอยขี้เล่น สนุกสนานราวเด็กตัวน้อยๆ อีกเลย เขาเคยได้ยินป้าแฉล้มเล่าเหตุการณ์ก่อนปีกแก้วจะตื่นจากการเป็นเจ้าหญิงนิทรา...ตอนนั้นเขาเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง...แต่ยามนี้ เขาเกือบยอมรับ ปีกแก้วเหมือนไม่ใช่ปีกแก้ว

เราจะเข้าไปดีไหม พันเกลียวหันมาถาม

ไม่มีประโยชน์ พี่ทิชาเทพได้กำบังแนวป่าที่เป็นบริเวณคุมขังจ้าวเอาไว้อย่างแน่นหนา ไม่มีมนุษย์คนใดมองเห็นและเข้าไปถึง

คุณหมายถึงบริเวณต้นไทรยักษ์ พันเกลียวไม่เคยเห็นแต่ได้ยินจากกะพ้อ

ใช่...ที่ทำอย่างนี้ก็เพราะไม่ต้องการให้มนุษย์คนใดรุกล้ำเข้าไปได้ มิฉะนั้นสถานที่นั้นจะต้องเปลี่ยนไปมีผลกระทบต่ออาคมที่ปิดผนึกดวงวิญญาณของจ้าว

แล้วเรามาที่นี่ทำไม พันเกลียวสงสัย

สำรวจชัยภูมิ ปีกแก้วตอบพร้อมรอยยิ้มกระจ่าง พันเกลียวพยักหน้า...เข้าใจทันที

...รู้เขารู้เรา รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง...

บัดนี้หล่อนยอมร่วมรบกับมรรคาและปีกแก้วแล้ว

ถ้าอย่างนั้น ทำไมเราถึงไม่เข้าไป คำถามย้อนสู่ประเด็นแรก

เท่านี้ก็เพียงพอ ปีกแก้วตอบ นัยน์ตาดำลึกของพันเกลียวกำลังครุ่นคิด...ใช่...สำหรับ เทพ เพียงยืนมองจากจุดนี้ก็เพียงพอแล้ว

แต่ฉัน... แววตาที่พันเกลียวสบต่อปีกแก้ว ยังคงเป็นพันเกลียวคนเดิม นิ่งลึก...ห่างเหิน คงต้องขอไปเดินสำรวจก่อน

ปีกแก้วไม่คัดค้าน พันเกลียวก็ผละไปโดยไม่สนใจคำตอบ

หญิงสาวเดินวนเลียบดงไม้ กระทั่งถึงเนินสูงแห่งหนึ่ง จึงหยุดมองอาณาเขตกว้างๆ...ไม่น่าเชื่อว่าที่นี่สามารถกักขังดวงวิญญาณหล่อนได้หลายวัน...

หลังจากได้รับการช่วยเหลือ พันเกลียวรับรู้เรื่องราวภายนอกระหว่างที่ตนเองถูกขังจากยาย และได้รู้ว่าปีกแก้วเป็นใคร...หล่อนจึงคิดร่วมมือกับปีกแก้วบุกถิ่นของจ้าวทันที แต่ปีกแก้วคัดค้าน บอกเพียงว่า...ยังไม่ถึงเวลาเมื่อไตร่ตรองละเอียดพันเกลียวก็ยอมรับ...มรรคาต้องการเวลา...หล่อนจำต้องอดใจด้วย...อีกไม่กี่วันเท่านั้น

อีกข้อคือ ปีกแก้วบอกว่า ไม่มีมนุษย์คนใดเข้าไปในเขตอาคมของทิชาเทพได้ หล่อนจึงรอดูว่า ปีกแก้วจะพาหล่อนเข้าไปได้อย่างไร

กลับกันเถอะ พันเกลียวลงจากเนิน...ทันใด เบื้องหลังหล่อนก็มีเงาดำทะมึนขนาดใหญ่ ผุดขึ้นมา

เหอะ เหอะ เหอะ เสียงแปลกๆ ผสานกับสายลม เงามหายักษ์รวมตัวเข้มข้นขึ้น ประกอบเป็นร่างรางๆ ของปิศาจหมอผี

มีข่าวใดจากเจ้านายเอ็ง ปีกแก้วมองด้วยสายตาไม่ผิดจากนายสาวเหลือบแลบ่าวไพร่

ไม่มี...ข้าแค่อยากบอกว่าพวกเอ็งกำลังทำสิ่งที่โง่เขลา...ทิชาเทพกำลังทำสิ่งที่โง่เขลา

และพลัน เงาดำก็จางหายรวดเร็วเช่นเดียวกับขามา

หมายความว่ายังไง คนสงสัยกลับเป็นปีกแก้ว

กลับกันก่อน มีอะไรค่อยคุยกันในรถ พันเกลียวพูดห้วนๆ ความสงสัยมีไม่ต่างกัน

รถแล่นไปท่ามกลางฝุ่นแดงๆ...ในดงไม้อาคม ต้นไม้ทุกต้นยืนนิ่ง ใบไม้ทุกใบไม่ขยับ ไม่มีสายลม ไม่มีสรรพเสียง...ทุกสิ่งกำลังรอคอย...ไม่นานเลย

คุณเข้าใจที่มันพูดมั้ย ปีกแก้วถามขณะรถแล่นสู่ถนนใหญ่

ฉันยังไม่แน่ใจ...แต่คุณรู้จักปิศาจหมอผีตนนี้ดีแค่ไหน พันเกลียวกลับเป็นฝ่ายถาม

น้อยมาก...พี่ทิชา...เอ้อ...พี่มัค เล่าให้ฟังแต่เรื่องโดยรวม...รู้ว่ามันเคยเป็นหมอผีประจำหมู่บ้าน ชาวบ้านยกย่องนับถือมัน จนกระทั่ง...ทิชาเทพมา

คุณรู้มั้ย ทำไมมันถึงยอมเอาวิญญาณตัวเองไปเป็นทาสของจ้าว พันเกลียวตั้งประเด็น

เพราะอะไร ปีกแก้วถามกลับแล้วเสริม กะพ้อได้บอกอะไรคุณบ้างหรือเปล่า

นัยน์ตาของพันเกลียวยังคงนิ่งสนิทดำลึกเช่นเคย ใบหน้าที่แทบไม่เคยมีรอยยิ้มปรากฏ ยังคงราบเรียบ คล้ายรูปปั้น สายตาหล่อนทอดไกลไปนอกหน้าต่างรถ

ฉันเคยคิดว่า เทวดาน่าจะรู้ทุกเรื่อง พันเกลียวกลับพูดอีกเรื่อง

ปีกแก้วยิ้ม ไม่มีความขุ่นเคืองในสีหน้าและแววตา

เทพ...คือผู้มีหิริโอตตัปปะ...เสวยสุขบนสวรรค์ได้เพราะบุญกุศลที่สร้างสมมา...ไม่ใช่ว่าจะสามารถสำเร็จญาณหยั่งรู้ไปได้ทุกเรื่อง

แต่หมอผีครั้งเป็นมนุษย์กลับหวังให้ตนยิ่งใหญ่เหนือเทพ เหนือฟ้าดิน ให้ทุกคนยอกย่อง กราบไหว้มันเป็นเทพเจ้าสูงสุด

ผู้ที่อยู่สูงสุด เหนือโลก เหนือวัฏสงสารจริงๆ มีเพียงพระพุทธองค์และพระอรหันต์ ปีกแก้วแย้งเรียบๆ

พอมันสัมผัสจ้าวได้ มันก็คิดว่าจ้าวนี่แหละคือผู้ยิ่งใหญ่อย่างแท้จริง มันจึงยินยอมยกตัวเป็นศิษย์ สาวก เพื่อหวังให้จ้าวถ่ายทอดวิชา และสั่งสอนให้มันมีอำนาจล้นฟ้าเช่นจ้าว

พันเกลียวเหลือบมองปีกแก้ว คิดว่าอาจได้รับสายตาแสดงความเยาะหยันสมเพชต่อปิศาจหมอผี แต่สิ่งที่ได้พบคือรอยยิ้มและนัยน์ตาที่แสดงถึงความเวทนา

มิจฉาทิฐิ ปีกแก้วพูดสั้นๆ

ถึงมันจะมีความเห็นผิดเช่นนั้น แต่มันก็ได้รับถ่ายทอดวิชาและอำนาจจากจ้าวมามิใช่น้อย มันสามารถควบคุมเหล่าภูตผี วิญญาณเร่ร่อนได้มากมาย

แล้วครั้งที่จ้าวพ่ายแพ้ต่อพี่ทิชาเทพ จนถูกขังไว้อย่างนี้...มันก็ยังไม่ได้สำนึกอีกหรือว่าเหนือฟ้ายังมีฟ้า

ใช่...ตอนนั้นมันมีใจออกห่างจ้าวจริงๆ แต่จ้าวรู้ทัน จึงสอนอาคมชุดหนึ่งให้กะพ้อแล้วสั่งให้ไปแสดงต่อหน้าไอ้หมอผี...อาคมชุดนี้ เหนือกว่าทุกชุดที่จ้าวเคยสอนมัน พอมันเห็นจึงลุ่มหลงในวิชา อยากจะเรียน เลยยอมตามกะพ้อมาพบจ้าว...พอมันมาถึง ก็โดนวาจาของจ้าวหว่านล้อมต่างๆ นานา จนกระทั่งมันยอมฆ่าตัวตาย เพื่อหวังจะได้เรียนอาคมชั้นสูง ซึ่งฝึกฝนได้เฉพาะดวงวิญญาณเท่านั้น

แล้วมันโดนตรวนอาคมผูกวิญญาณเหมือนกะพ้อหรือเปล่า ปีกแก้วสงสัย

ไม่โดน...เพราะพิธีนี้มันต้องมีผู้ช่วยโอมอ่านคาถา...ไอ้ปิศาจหมอผีมันไม่หาตรวนมาผูกคออยู่แล้ว...แต่จ้าวก็ฉลาด ตรงที่ไม่ยอมสอนวิชาทั้งหมดให้มัน อีกทั้งบางวิชาที่จ้าวสอนมันก็เหมือนกับผูกมันไว้เป็นทาสกลายๆ ปิศาจหมอผีถึงหนีจากจ้าวไม่ได้

พูดถึงจ้าว ระหว่างที่ถูกขัง คุณรู้จักจ้าวแค่ไหน ปีกแก้วถาม พันเกลียวนิ่งไปนาน

เชื่อมั้ยว่าฉันเพิ่งเจอจ้าวแค่ครั้งเดียว หญิงสาวตอบ เท่าที่ฟังจากกะพ้อ การที่ชาวบ้านทุกคนนับถือหมอผีก็เพราะบารมีของจ้าว...แต่จ้าวก็ไม่ได้ทำเรื่องทุกเรื่อง บางสิ่ง หมอผีมันก็แอบอ้างชื่อจ้าว อย่างเช่นถ้ามันอยากได้ใครเป็นเมีย มันก็อ้างว่าจ้าวสั่ง ทุกคนก็ต้องยอม มีแต่กะพ้อที่ไม่ยอม และการที่กะพ้อถูกบูชายัญ ไม่ใช่เพราะหล่อนไม่ยอมเป็นเมียหมอผี แต่เพราะหล่อนประณามจ้าว

นัยน์ตาของปีกแก้วทอประกายสว่างขึ้นชั่วแวบ...

เราพักเรื่องนี้ไว้ก่อนเถอะ ปีกแก้วพูด ใบหน้าปรากฏรอยนอบน้อม

มีผู้โดยสารจะขอขึ้นรถด้วย พันเกลียวหลุดปากออกมา

แสงสว่างลดน้อยลง สนธยากางผ้าออกคลุมถนน ชัยเปิดไฟหน้ารถ กับเสียงพูดคุยของหญิงสาวทั้งสอง เขาได้ยินทุกคำ แต่ไม่ยักซึมซับหรือเข้าใจเลย คำพูดต่างๆ เหมือนสายลมพัดผ่านใบหู แต่ไม่ติดตรึงความทรงจำ

เด็กหนุ่มได้ยินเสียงชัดเจนก็ต่อเมื่อท้องฟ้าเป็นสีแก่จัด รถแล่นสวนเริ่มบางตา

ชัยช่วยจอดรถที่หน้าป้ายนั้นที ปีกแก้วสั่ง

เด็กหนุ่มจอดรถตามคำสั่ง เห็นป้ายสีขาวเด่นโพลนสะท้อนแสงไฟ ทางเข้าวัดเขาจำได้ว่า เคยมาทำบุญที่วัดนี้กับมรรคา ปีกแก้ว และป้าแฉล้ม

ไปได้แล้ว เขาจอดรถเฉยๆ ไม่ถึงนาที ประตูด้านหลังไม่ทันเปิดด้วยซ้ำ ปีกแก้วก็สั่งให้เขาออกรถเสียแล้ว

รถแล่นต่อมาอีกสักระยะ ชัยเริ่มรู้สึกว่า เบาะหลังไม่ได้มีเพียงแต่ปีกแก้วกับพันเกลียว...จากกระจกมองหลังเขาคล้ายจะเห็นชายผ้าสีขาวบริสุทธิ์แซมขึ้นมาระหว่างหญิงทั้งสอง

 

ฟ้ามืด บริเวณใต้เงาไม้ยิ่งมืด กลดสีขาวขึ้นแซมสีดำของราตรีกาล มรรคากำลังนั่งขัดสมาธิ สำรวมจิต พยายามตั้งมั่นให้อยู่ในความสงบ ความเงียบรอบตัวเหมือนจะผสานเข้าเป็นหนึ่งกับจิตใจ แต่ก็เพียงเท่านั้น จิตล่วงสู่ความสงบเพียงชั่วครู่ชั่วยาม ความคิดฟุ้งซ่านก็เข้าครอบคลุม

ชายหนุ่มคิดถึงวันที่ขับรถมาขออาศัยอยู่ในวัด พอขาย่างเข้าประตู เขาก็เห็นหลวงพ่อยืนอยู่หน้าศาลา

ตามไปเอากลดกับเสื่อที่กุฏินะ พูดจบท่านก็เดินไป โดยไม่ถามไถ่ทักทายสักคำ มรรคาเชื่อว่าท่านต้องรู้...เขามีเวลาน้อยนัก มาที่นี่เพื่อฝึกเตรียมพร้อมเผชิญหน้ากับจ้าว

ไม่ว่าทิชาเทพหรือมรรคาต่างรู้อยู่แก่ใจ การฝึกเตรียมพร้อมครั้งนี้ ไม่ได้หวังให้สำเร็จฌานสมบัติ เพื่อให้เกิดอิทธิฤทธิ์ใดๆ เขาเพียงหวังใช้เวลาที่มีสร้างความสงบแก่ใจ...จุดไฟปัญญาให้ฉายโชน

แต่ ปัญญา ใช่ว่าจะเกิดขึ้นในระยะเวลาสั้นๆ มรรคาออกจะโชคดีอยู่บ้าง ตรงที่เขาได้ช่วงเวลาของทิชาเทพคืนมา...ยามอยู่บนสวรรค์ เทพเช่นเขามักฝักใฝ่ในบุญกุศล ฟังธรรม บำเพ็ญบารมีไม่ได้ขาด กระทั่งฟังธรรมจากพระโอษฐ์พระพุทธองค์ก็เคยมา...แม้จะวางอิทธิลงไป แต่เชื้อแห่งไฟปัญญามิได้สูญสลาย เขาต้องการจุดไฟปัญญาตรงนี้

เมื่อมาอยู่วัดเขาปวารณารับศีลแปด ปฏิบัติตนเยี่ยงอุบาสกผู้มาปฏิบัติธรรมทั้งหลาย เขากางกลดอยู่ในป่าหลังวัด ห่างจากทางเดินพอสมควร บริเวณใกล้เคียงมีทางเดินจงกรมเก่าๆ มีพระบางรูปเคยใช้ทิ้งไว้ เขาจึงจัดการปัดกวาดให้เรียบร้อย และใช้เป็นที่ปฏิบัติธรรมของตัวเอง...

เขาได้รับธรรมะบทแรกหลังจากพระฉันจังหัน...

หลวงพ่อเทอาหารที่ฉันในบาตรใส่จานมาให้เขา มรรคารับมาด้วยความพะอืดพะอม ในนั้นมีทั้งข้าวปลา อาหาร และขนมคละเคล้ารวมกันจนดูไม่เป็นรูป ชายหนุ่มค่อยๆ วางจานตรงหน้า พยายามพิจารณาด้วยสติ...ขนาดอาหารที่จัดทำอย่างประณีต รสเลิศของป้าแฉล้ม เขายังยอมกินแต่ผัก ผลไม้ ความเคยชินของเทพ ทำให้เขารังเกียจอาหารที่ปะปนด้วยเนื้อสัตว์ แต่อาหารที่หลวงพ่อฉันกลับยิ่งกว่านั้น ทั้งข้าว ทั้งเนื้อ ทั้งผัก ทั้งขนม ปะปนกันจนคนธรรมดายังยากจะฝืนกิน

ดูปัจจุบันให้ดี รู้ว่าปัจจุบันยังต้องครองร่างมนุษย์ และมนุษย์ก็ประกอบด้วยธาตุสี่...ในเมื่อร่างกายมันก็แค่ดิน น้ำ มาคละเคล้ากัน สิ่งที่ใช้พอประทังยังสังขาร มันก็ต้องเป็นดิน น้ำ ธาตุชนิดเดียวกัน...จะไปรังเกียจทำไม

พูดจบท่านก็ยืนมอง มรรคาจึงเริ่มกินอาหารมื้อแรกในวัดอย่างช้าๆ...

หลวงพ่อไม่ได้สอน หรือบอกวิธีปฏิบัติตัวใดๆ ทั้งสิ้น แต่เขาก็รู้ว่าควรทำอย่างไร...ปฏิปทาการดำเนินของพระผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ มิได้แตกต่างกันนัก มรรคาจึงน้อมรับมาปฏิบัติด้วยความเต็มใจ

รุ่งเช้า...เขาตื่นขึ้นมาเดินจงกรม สวดมนต์ และเป็นเด็กวัดเดินตามพระไปบิณฑบาต กลับมาช่วยจัดการเรื่องประเคนอาหาร กินข้าวก้นบาตรที่เหลือจากหลวงพ่อ เก็บบาตรและจานชามไปล้าง...เข้าทางเดินจงกรม

บ่ายจัดๆ ช่วยพระปัดกวาดใบไม้ เสร็จแล้วจัดน้ำร้อนน้ำชาถวาย กลับมานั่งสมาธิรอเวลารวมสวดมนต์ทำวัตรเย็น หลังจากนั้นเขาจะกลับมาที่กลด นั่งสมาธิสลับกับเดินจงกรม

เรื่องราวนอกกำแพงวัดถูกโยนทิ้งชั่วคราว เขากำลังปฏิบัติธรรม เพื่อเคี่ยวกรำตัวเอง ฝึกใจให้หยุดคิดควบคุมใจให้มีกำลัง ทำใจให้ใสสะอาด เพื่อเป็นพื้นฐานแห่งดวงปัญญา

...มีแต่น้ำใสที่ตะกอนนอนก้นแล้วเท่านั้น...ผู้คนจึงตักมาใช้ประโยชน์ได้...

สติกลับคืน...มรรคารีบกำหนดลมหายใจอีกครั้ง หลังจากปล่อยให้ความฟุ้งซ่านเข้ามาครอบครองเสียนาน บรรยากาศรอบตัวยังสงบเงียบ อากาศเย็นสบาย ลมแผ่วๆ พัดผ่าน ชายกลดปลิวเป็นระลอกน้อยๆ

ขณะนี้ไม่มีคำว่า กำหนดเวลา สำหรับมรรคา งานควบคุมใจ ที่กระทำยามปัจจุบันสำคัญที่สุด


เสาหลักของบ้านกำลัง สับ ผักด้วยอารมณ์ฉุนเฉียว เสียงดังโป๊กๆๆ เป็นจังหวะพร้อมสายตาขุ่นมัว จ้องมองเจ้าชัยจำเลยสำคัญของแกในคดีนี้

ทำไมเอ็งไม่ถามคุณแก้วเขาวะ ว่าจะกลับบ้านวันไหน ต้องการอะไรเพิ่มเติมหรือเปล่า

จะไม่ให้ป้าแฉล้มอารมณ์ขุ่นได้อย่างไร กว่าเจ้าชัยจะเข้าบ้านก็เลยเที่ยงคืนไปแล้ว แถมคุณแก้วยังไม่ยอมกลับมาด้วย

โธ่จะให้ฉันถามยังไงล่ะป้า...ทีแรก คุณแก้วบอกให้ไปส่งคุณพันเกลียวที่บ้าน พอไปถึงเธอก็ลงด้วย แล้วบอกให้ฉันกลับบ้านก่อน ไม่ต้องเป็นห่วง เธอว่าจะค้างบ้านคุณพันเกลียวสักหลายวัน กลับเมื่อไหร่จะโทร.ให้ไปรับ

อุวะ...คุณแก้วเขาจะไปค้างได้ยังไง เสื้อผ้าอะไรก็ไม่ได้เตรียมไป

ฉันก็ไม่รู้ล่ะป้า คุณแก้วว่ายังไงก็ว่าไปตามนั้น

เออวันนี้มึงไม่ได้ไปเรียน ก็ช่วยไปส่งกูหน่อยสิ กูจะไปดูคุณแก้ว

ไม่ได้หรอกป้า คุณแก้วแกสั่งไว้ ห้ามพวกเราไปรบกวน แล้วห้ามบอกใครด้วย

อะไรกัน ป้าแฉล้มขึ้นเสียง แล้วผ่อนลงด้วยท่าทางครุ่นคิด คุณแก้วเธอคิดยังไงของเธอน้า...

นั่นแหละ ป้าก็รู้ๆ อยู่ไม่ใช่เหรอว่าเธอแปลกไป

มือที่กำมีดคลายลง ป้าแฉล้มนั่งแปะบนเก้าอี้ กวาดผักใส่จาน พึมพำเบาๆ

คุณๆ เขากำลังทำอะไรกัน

เจ้าชัยเป็นฝ่ายห่อตัว เหลียวซ้ายแลขวา

นั่นสิป้า...เชื่อมั้ยเมื่อวานขากลับจากไปดูที่นะ จู่ๆ คุณแก้วเธอก็ให้ฉันหยุดรถเสียเฉยๆ แล้วก็ให้ขับไป ไอ้ฉันก็งงว่าเธอสั่งเพราะอะไร...แต่พอขับไปๆ ก็ชักเสียวๆ หนาวๆ ร้อนๆ รู้สึกยังกะมีคนมานั่งรถเพิ่มงั้นแหละ

ป้าแฉล้มขนลุกซู่ พูดอะไรไม่ออก บอกอะไรไม่ถูก แกได้แต่นึกภาวนาให้เรื่องแปลกๆ เหล่านี้จบเสียโดยเร็ว


 

(โปรดติดตามต่อฉบับหน้า)



แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP