วรรณกรรมนำใจ Lite Literature

ม่านมนตรา ๒๕


Literature

ชลนิล

(ต่อจากฉบับที่แล้ว)

 

ปีกแก้วยื่นมือสุดแขน ดอกปาริชาตคล้ายถูกลมพัดปลิวจากมือหล่อน ลอยควะคว้างอยู่กลางอากาศ แล้วสูญสลายแลไม่เห็น

หญิงสาวมองชายรูปงามที่ยืนเคียงข้าง หล่อนยิ้มเต็มหน้า ทรุดร่างลงกราบด้วยท่วงท่ากิริยางดงาม นอบน้อม ใบหน้าอีกฝ่ายละมุนลง มือทั้งคู่พยุงหล่อนขึ้นมา

ความทรงจำคืนมาแล้วกระมัง กนกรัศมี เสียงเรียกชื่ออย่างคุ้นเคย

ท่านพ่อ ปีกแก้วเรียกขานเสียงใสหวาน

...ใครคือกนกรัศมี...ใครคือท่านพ่อ...

แรกทีเดียวเมื่อกลิ่นหอมของดอกปาริชาตซึมซาบสู่ทุกส่วนความรู้สึก ปีกแก้วจมดิ่งลงห้วงเหวอันลึกล้น ขณะเดียวกันร่างกายค่อยๆ โปร่งเบาจนเหมือนเปลือกห่อหุ้มร่างได้หลุดไปทีละชิ้นๆ หญิงสาวมองเห็นตัวเองกำลังย้อนความทรงจำจากปัจจุบัน ลึกไปเรื่อยๆ จนทะลุทวารแห่งภพ

...กนกรัศมี...กนกรัศมี...ชื่อนี้ชัดเจนตรึงมั่น หล่อนเคยเป็นเทวนารีที่มีทุกสิ่งพรั่งพร้อม มีบิดาเป็นเทพผู้ยิ่งใหญ่ปกครองหมู่เทพจำนวนหนึ่งมีสามีซึ่งเพียบพร้อมทั้งรูปสมบัติและความดีงาม ความรักของเขาหนักแน่น ไม่คลอนแคลน

กนกรัศมีใช้ชีวิตที่เป็นสุขอยู่ในสรวงสวรรค์เนิ่นนาน จนกระทั่งจู่ๆ สามีของนางหายไปยังโลกมนุษย์ชั่วขณะหนึ่ง พอขึ้นมา เขาเล่าว่าได้ลงไปใส่บาตรพระสงฆ์ผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบรูปหนึ่ง ซึ่งเกือบจะอดอาหารอยู่กลางป่า และได้ช่วยชีวิตมนุษย์คนหนึ่งให้พ้นจากห้วงอันตราย

นางจึงร่วมอนุโมทนาบุญกับเขา แต่ก็อีกไม่นาน เขาจำต้องลงไปอีกครั้ง บอกว่ามีคนกำลังร้องเรียกชื่อเขาด้วยความทุกข์

ขึ้นมาคราวนี้ เขามีสีหน้าหม่นหมอง ไม่พูดจาอะไร แม้นางจะตะล่อมถาม เขาก็ยังนิ่ง จวบจนครึ่งค่อนวันเขาจึงค่อยเอ่ยปาก

พี่ต้องไปจุติเป็นมนุษย์ คำพูดสั้นๆ ทำให้นางตกตะลึง พูดไม่ออก... เขาจึงอธิบายเรื่องทั้งหมดสืบต่อจากการใส่บาตรคราวนั้น จนกระทั่งมีสัญญากับจอมปิศาจ

นางฟังเขาเล่าโดยไม่มีข้อโต้แย้ง ไม่มีคำพูดใดๆ นอกจาก...

น้องขอไปด้วย

แน่นอน เขาย่อมไม่ยอม...สวรรค์กับพิภพแตกต่างกันมากมาย ไม่มีใครยอมให้หญิงอันเป็นที่รักต้องทิ้งความสุขไปทนลำบาก

นางรู้ว่าพูดไปย่อมไม่มีประโยชน์ ความรักของสามีนางมีมากเพียงใดนางย่อมรู้ เขาเป็นห่วงนาง...นางย่อมเข้าใจลึกซึ้งกว่าใคร แต่นางก็มีความตั้งใจเด็ดเดี่ยวอยู่แล้ว เมื่อเคยร่วมสุขบนสวรรค์...ไยไม่กล้าร่วมทุกข์บนโลกมนุษย์ ที่สำคัญ นางไม่มีวันยอมพรากจากเขา...ความคิดนางไม่มีใครแปรเปลี่ยนได้เช่นกัน

กนกรัศมีเป็นเช่นนี้เอง นางคือเทวนารีที่งามยิ่ง วางตัวสมควร เป็นภรรยาที่ดีพร้อม แต่ถ้านางปักใจเรื่องใดแม้บิดานางก็ยังยากจะขัดใจ เรื่องนี้สามีนางเข้าใจ เขาจึงห่วงหน้าพะวงหลัง จนเสียเวลาอีกเป็นนาน เพื่อย้ำความแน่ใจว่านางจะไม่ตามลงไป...แต่กนกรัศมีเพียงใช้ท่าทีที่นุ่มนวล และรอยยิ้มที่เขาเห็นแล้วอดไม่ได้ต้องถอนใจก่อนอธิษฐานจิต ขอลงไปจุติเมืองมนุษย์

กนกรัศมีย่อมติดตามแน่นอน นางรู้ว่าตนเองลงไปเพื่ออะไร จึงวางแผนรอบคอบ ให้บิดาคอยช่วยเหลือ สนับสนุนอยู่เบื้องหลังยามนางเป็นมนุษย์ และนี่เองคือที่มาของ คุณอา ...จากนั้นนางตั้งอธิษฐานจิต ยามใดมีอายุครบยี่สิบปีมนุษย์ ขอให้นางได้ความทรงจำและ พลัง แห่งเทพคืนมา เพื่อใช้ช่วยเหลือสามีนาง

ทั้งนางและสามีลงมาเกิดเป็นมนุษย์ร่วมกัน แต่ต่างตรงสถานะ ทิชาเทพกับกนกรัศมีเป็นสามีภรรยากัน...แต่ปีกแก้วกับมรรคา ไม่ใช่

เจ้าจะลงไปยังเมืองมนุษย์แล้วกระมัง ท่านพ่อถามลูกสาว

ถ้าลูกลงไปช้า อาจทำให้ร่างนั้นเสื่อมสภาพได้ กนกรัศมีตอบ

ยามนี้ทิชาเทพกำหนดเวลาปล่อยปิศาจตนนั้นแล้ว เสียงของจอมเทพไม่บ่งบอกอารมณ์ใด

กนกรัศมียิ้มแย้ม ลูกคงต้องเร่งลงไป

นมัสการพระเกศจุฬามณีกับพ่อก่อน ยังคงทันกระมัง

อดีตเทวนารีมิได้คัดค้าน คล้องแขนเทพบิดาแล้วลอยเลื่อนจากลานปาริชาตผ่านห้วงหุบผา ผืนฟ้าสุราลัยสู่พระเกศจุฬามณี...

 

พระเกศจุฬามณี

เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์สำคัญแห่งชาวสวรรค์...กล่าวว่า เมื่อองค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้าตัดสินใจออกบวช ได้ใช้พระขันธ์ตัดพระโมลีของพระองค์ลง เวลานั้นองค์อินทร์ได้นำผอบแก้วมารับพระเกศาไว้และอัญเชิญไปประดิษฐานในพระเกศจุฬามณีแห่งนี้

ขณะที่อดีตเทวนารีมาถึง ก็เห็นปวงเทพมากมายถือดอกไม้มาบูชานมัสการ ท่านพ่อ พาหล่อนเข้ากลุ่มร่วมกับชาวเทพเหล่านั้น หญิงสาวรับดอกบัวสดสีขาวกลิ่นหอมมาถือไว้ แล้วเดินเวียนรอบเจดีย์นมัสการครบสามรอบ วางดอกบัวบูชาไว้บนแท่นที่จัดเตรียม จากนั้นถอยหลังมาก้มลงกราบเคียงข้างท่านพ่อ

แสงแห่งแก้วทั้ง ๗ ประการที่ประดับโดยรอบพระเจดีย์กำลังส่องแสงเรืองรุ่งกระจายออกไปทั่วทุกทิศ หญิงสาวปีติ อิ่มเอิบจนมิอาจกลั้นน้ำตาไว้ได้

จากนี้ไป...ไม่ทราบว่าอีกนานเท่าไหร่ ลูกถึงจะได้มากราบพระเกศจุฬามณีอีกครั้ง หล่อนพึมพำ

อนาคตนั้นไม่แน่...ยามลูกตัดสินใจก้าวลงจากสรวงสวรรค์ ลูกก็ได้ยอมรับแล้วว่าจะต้องได้เผชิญกับสิ่งใดบ้าง

ท่านพ่อเตือนสติ

ลูกต้องขอกราบขอบพระคุณท่านพ่อ ที่คอยช่วยเหลือลูกมาตลอดยี่สิบปีมนุษย์ หญิงสาวพูดราวกับรู้ว่าต่อแต่นี้ จะไม่มี คุณอา คอยเกื้อกูลอีกต่อไป

ถึงอย่างไร เจ้าก็ยังเป็นลูกของพ่อ คำพูดนี้ สร้างความปีติตื้นตันใจแก่นาง เพราะท่านเป็นท่านพ่อ จึงยอมเสียพลังอำนาจคอยสอดส่องติดตามหล่อนตลอดยี่สิบปี...แต่อย่างไรก็ย่อมมีวันสิ้นสุด สัตว์โลกล้วนต้องเผชิญกรรมของตนด้วยตนเอง อำนาจทิพย์แห่งสวรรค์เข้าไปก้าวก่ายไม่ได้

นับแต่นี้ ทั้งหล่อนและมรรคาต้องใช้ พลังและปัญญาที่มี ฝ่าฟันเอาตัวรอดกันเอง ท่านพ่อทำได้เพียงดูอยู่ห่างๆ และที่ท่านพาหล่อนมายังพระเกศจุฬามณี ก็เพื่อสั่งลาอย่างเป็นสิริมงคล

ลูกต้องลงไปจริงๆ แล้ว... หล่อนพูดเสียงแผ่วเครือ

บุญรักษานะลูก ท่านพ่ออวยพร พร้อมกับใช้ปลายนิ้วซับน้ำตาให้

หมอกเลือนๆ บดบังภาพทุกภาพไป สัมผัสจากปลายนิ้วยังแจ่มชัด หญิงสาวยิ้มให้กับตนเอง ต่อไปนี้จะเป็นการต่อสู้ และหล่อนก็ยินดีต่อสู้เคียงไหล่กับชายที่รัก

 

ใบหน้าของพันเกลียวซีดขาว เหมือนไม่มีเลือดขึ้นไปหล่อเลี้ยง ร่างกายซูบเซียวคล้ายคนขาดอาหาร หล่อนนอนอยู่ในห้องโล่งมีเตียงหลังเดียว เฟอร์นิเจอร์เครื่องตกแต่งใดๆ แทบไม่มีเลย

มรรคานั่งอยู่บนขอบเตียงพิจารณาอาการหญิงสาว พร้อมฟังอธิบายสั้นๆ จากหญิงชราจนพอเข้าใจ ประกอบกับได้เห็นหล่อนในที่คุมขังแล้ว จึงยิ่งรู้เหตุใดพันเกลียวเป็นเช่นนี้

พันเกลียวมีอาการอย่างนี้มากี่วันแล้ว

หกเจ็ดวันได้มังคะ หญิงชราตอบนอบน้อม...หล่อนสังเกตเห็นกิริยาบางอย่างของมรรคาผิดแปลกจากคนธรรมดา

เคยให้หมอมาตรวจบ้างหรือยัง เขาถาม

ยังเจ้าค่ะ ก็คุณพันเกลียวโดนอำนาจของผีร้าย

คำพูดไม่ทันจบมรรคาก็ปรายตาเชิงตำหนิ แล้วหันไปสั่งเจ้าชัย

ชัย ไปเชิญหมอมาที บอกว่าคนไข้สลบมาหลายวันแล้ว เขาอธิบายสั้นๆ เด็กหนุ่มพอเข้าใจจึงรีบออกไป

อย่าคิดว่าหมอจะช่วยอะไรไม่ได้ มรรคาบอก อย่างน้อยร่างกายยังมีชีวิต ต้องอาศัยอาหารหล่อเลี้ยงให้หมอเขาดูแล ให้น้ำเกลือ ฉีดยากระตุ้นหัวใจบ้าง จะช่วยพันเกลียวเขาได้มากขึ้น

ขออภัยเจ้าค่ะ อิฉันไม่ทราบ

มรรคาลุกขึ้นเดินรอบๆ เตียง หากเป็นเมื่อก่อน ปัญหาเพียงนี้เล็กน้อยสำหรับเขา แต่เวลานี้เขายอมรับว่ายังหาทางช่วยพันเกลียวไม่ได้ คิดๆ ไปเขาไม่น่าให้สัญญาเช่นนั้นเลย...แต่ทว่ามาถึงขั้นนี้ จะมัวครุ่นคิดแต่คำ ถ้าหากเป็นเมื่อก่อน จะได้ประโยชน์อะไร เป็นมนุษย์ก็ต้องหาทางรับมือเช่นมนุษย์ธรรมดาทั่วไป

ในห้องพระของคุณท่านมี ของ หลายอย่าง ไม่ทราบว่าพอจะช่วยคุณพันเกลียวได้บ้างไหมคะ ยายเสนอ มรรคาพยักหน้าเห็นด้วย

หญิงชรานำทางเร็วที่สุดเท่าที่คนวัยนี้จะทำได้ ส่วนมรรคาค่อยๆ กะเผลกๆ ตาม...ที่จริงหมอยังไม่ให้เขาออกจากโรงพยาบาลด้วยซ้ำ แต่เขายืนยันว่าไม่เป็นไร อ้างเหตุผลว่ายายคนนี้ต้องการความช่วยเหลือด่วนไม่ไปไม่ได้ หมอคงระอาความดื้อรั้นของคนไข้ จึงยอมปล่อยเขาไป

เขาให้เจ้าชัยขับรถพามาที่บ้านพันเกลียว แล้วปล่อยป้าแฉล้มเฝ้าปีกแก้วตามลำพัง ชายหนุ่มไม่อาจรู้ว่าหลังเขาออกจากโรงพยาบาลไม่กี่ชั่วโมง ป้าแฉล้มจะได้พบเหตุการณ์ประหลาดครั้งหนึ่งในชีวิต

 

ห้องคนป่วยของปีกแก้วอยู่ชั้นบนสุดของโรงพยาบาล ภายในมีตู้เย็นโทรทัศน์ครบครัน ซึ่งเตรียมให้คนเฝ้าไข้เสียมากกว่า ส่วนคนป่วยยังอยู่ในอาการหลับสนิท หลังจากมรรคาตามยายคนนั้นไป ป้าแฉล้มก็นั่งดูทีวีเฝ้าปีกแก้วไม่ไปไหน

ช่วงสองสามวันมานี้ป้าแฉล้มมักรู้สึกว่าปีกแก้วสวยขึ้น หน้าใสผุดผ่องขนตาเรียงยาวเป็นแผง ริมฝีปากโค้งแดงระเรื่อ ไม่เหมือนคนป่วยแม้แต่น้อย แต่หญิงสูงวัยไม่กล้าบอกใคร โดยเฉพาะมรรคา

เพราะคนโบราณเคยกล่าวในทำนอง...พิศหน้าเจ้าก็นวล...จวนจะตาย

เวลานี้ป้าแฉล้มยิ่งเห็นปีกแก้วสวยกว่าทุกวัน สวยจนแทบไม่เหมือนหญิงสาวที่แกรู้จัก แกไม่กล้ามองนานเกินไป จึงเลี่ยงจากเตียงตั้งใจเข้าห้องน้ำ แต่เดินเพียงสองสามก้าว เท้าทั้งสองต้องหยุดนิ่ง ราวถูกตรึงด้วยหมุดเล่มใหญ่

แสงสว่างเจิดจ้าสาดส่องมาจากด้านหลังป้าแฉล้ม ทีแรกแกคิดว่าเป็นแสงแดดที่ส่องมาจากหน้าต่าง แต่ไม่ใช่...แสงนี้สว่างกว่าดวงอาทิตย์หลายเท่า แต่มิได้มีความร้อนแรงใดๆ หนำซ้ำยังก่อให้เกิดความอบอุ่น ซึมซ่านสู่จิตใจ

ป้าแฉล้มทำใจกล้าค่อยๆ หันกลับ ฉับพลันต้องตกตะลึง ตัวชาค้างเข่าอ่อนจนทรุด

เตียงปีกแก้วบังเกิดแสงสว่างเป็นกลุ่มก้อนขนาดใหญ่ ฉายโชนขึ้นจนเต็มห้อง และกึ่งกลางแสงนั้น มีร่างหญิงสาวที่งดงามอย่างยิ่งปรากฏเลือนๆ

ป้าแฉล้มไม่เคยเห็นผู้หญิงที่สวยงามขนาดนี้มาก่อน ไม่เคยคิดด้วยซ้ำว่าโลกสามารถสร้างสรรค์ความงามของสตรีได้ถึงเพียงนี้ หญิงงาม กำลังคลี่ยิ้มให้ป้าแฉล้ม แล้วมีม่านขาวๆ ออกมาบดบัง

ป้าแฉล้มกะพริบตาชั่วครู่ ภาพตรงหน้าหายไปอย่างรวดเร็วเฉกเช่นตอนปรากฏ ความตื่นตะลึงยังไม่หมด คราวนี้แกเห็นร่างร่างหนึ่งกำลังลุกขึ้นนั่งบนเตียงอย่างถนัดตา

คุณแก้ว... คำพูดเดียวที่สามารถหลุดจากปากได้ นอกจากนั้นมีแต่น้ำตาที่หลั่งไหลออกมาด้วยความปีติยินดี


๑๙

เวลา เดินทางนานเพียงไรพันเกลียวไม่อาจรู้ สถานที่แห่งนี้ไม่มีกลางวัน กลางคืน รอบตัวมีแต่ความสลัวรางคล้ายยามสนธยา และเบื้องล่างคือความมืดมิด หล่อนค่อนช้างชาชินกับเจ้ารากไม้ที่เป็นเสมือนตรวน จึงไม่คิดดิ้นรนให้หลุดรอดไปอีก

พันเกลียวตามเรื่องถูกแล้ว หล่อนเคยถูกฝังในเขตอำนาจของจ้าวเมื่อชาติก่อน จึงโดนปิศาจหมอผีจับตัวมาเป็นทาสรับใช้ หล่อนพบกะพ้อที่นี่ ได้รับความช่วยเหลือ ความเห็นใจและความปรานีเท่าที่จะช่วยได้จากกะพ้อ ครั้งหนึ่งหล่อนทำงานพลาดเกือบโดนทัณฑ์ทารุณ กะพ้อออกรับช่วยเหลือ จึงรับโทษแค่จองจำทั้งคู่ ช่วงเวลานั้นเองที่หล่อนได้รู้เรื่องของกะพ้อ ความรักของกะพ้อที่มีต่อทิชาเทพ...มันเป็นช่วงเวลาที่ไม่ต่างจากยามนี้...

พ่อของพันเกลียวมาเยี่ยมอาการป่วยของหลวงลุง ตอนกลางคืนได้นั่งสมาธิ และเห็นหล่อนกับกะพ้อในนิมิต จึงตามสืบสาวเรื่องและรับรู้ในที่สุด...ท่านสามารถช่วยพันเกลียว...แต่ไม่อาจช่วยกะพ้อได้

ยามที่สองสาวต้องจากกัน มีแต่ความอาลัยห่วงใย พันเกลียวต้องการตอบแทนความดีของกะพ้อจึงเสนอตัวช่วยเหลือหากทิชาเทพลงมาเกิดเป็นมนุษย์ มันไม่ใช่คำสัญญาที่ยิ่งใหญ่หนักแน่น แต่มันคือน้ำใจ...เป็นน้ำใจของผู้ที่เคยร่วมผจญทุกข์มาด้วยกัน

ก่อนที่พันเกลียวจะได้เกิดเป็นลูกของพ่อ...หล่อนได้ขอร้องบิดาในอนาคตให้ช่วยสั่งสอน วิชา ต่างๆ เพื่อใช้ช่วยเหลือทิชาเทพรับมือกับจ้าว แรกทีเดียวพ่อหล่อนไม่ต้องการให้ลูกสาวร่ำเรียนวิชาเหล่านี้ เขาหวังให้บุตรของตนเป็นคนธรรมดาสามัญ ไม่ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องภูตผีปิศาจ แต่สุดท้ายก็ต้องใจอ่อนเพราะพันเกลียวตัดใจไม่ยอมเกิดเป็นลูกเขา ปล่อยให้วิญญาณดวงอื่นมาเกิดแทน

พ่อตกลง...เนื่องจากเป็นทางเดียวจะทำให้พันเกลียวพ้นจากการคุกคามของปิศาจหมอผี...หากจะช่วย ต้องช่วยให้ถึงที่สุด...นี่คือหลักการของพ่อหล่อน

แต่วันนี้...พ่อคงผิดหวัง เมื่อรู้ว่าบุตรสาวของตนร่ำเรียนวิชามาอย่างใช้ไม่ได้ ขนาดแค่สมุนของจ้าว หล่อนยังพ่ายแพ้มัน แล้วเช่นนี้หล่อนจะทำตามความตั้งใจเดิมได้อย่างไร...

นอกจากใช้เวลาส่วนใหญ่ฟังเรื่องของตนเอง พันเกลียวก็ยังสำรวมจิตสวดมนต์ได้ทีละนานๆ ซึ่งมันไม่นับว่าไร้ผลเช่นตอนแรก อย่างน้อยหล่อนรู้สึกถึง พลังบางอย่างกำลังก่อเกิดทีละน้อย

จบจากเล่า สัญญา ในอดีต กะพ้อมักจะเงียบ ในช่วงเวลาหนึ่ง หล่อนจะหายไปจากที่คุมขัง และกลับมาในสภาพบอบช้ำ อิดโรย หญิงสาวไม่ปริปากพูดอะไร แต่พันเกลียวมักนึกสะท้อนใจ...กะพ้อยอมทนเพื่อความรักได้ถึงเพียงนี้เชียวหรือ

พันเกลียวลืมตาขึ้นหลังจากสวดมนต์จบบท หล่อนมองไปยังความสลัวรางรอบตัว เห็นกะพ้อมีสภาพไม่ต่างจากศพถูกแขวน หล่อนกำลังจะเอ่ยปากเรียก แต่พลันมีแสงสีแดงจ้าชอนไชนัยน์ตา

บุรุษรูปงามลอยเด่นท่ามกลางรังสีอันแดงฉาน ใบหน้าประดับด้วยรอยยิ้มชวนลุ่มหลง แต่แววตาดุดัน อำมหิต

ใคร พันเกลียวแปลกใจแกมพิศวง ตั้งแต่ถูกขังหล่อนไม่เคยพบใครนอกจากกะพ้อ

กะพ้อหน้าซีด ตัวสั่นเทา เสียงหลุดออกมาไม่เกินกระซิบ จ้าว...

อยู่สุขสบายดีไหมล่ะ...พวกเจ้า เสียงไพเราะ รอยยิ้มเกลื่อนทั่วใบหน้า

จ้าวต้องการให้ข้าน้อยทำสิ่งใดหรือไม่ กะพ้อถามเสียงนอบน้อม ติดจะสั้นๆ...จ้าวจะน่ากลัวยามพูดจาไพเราะหวานหู

พันเกลียวเกร็งตัว ระมัดระวัง นี่หรือจ้าว...หล่อนคิดในใจ

ไม่ จ้าวตอบ เท่าที่เจ้าอยู่อย่างนี้ ก็เป็นการช่วยเหลือข้าอย่างยิ่งแล้ว

แล้วท่านมาทำไม พันเกลียวถามห้วนๆ หล่อนออกจะผิดคาดในรูปลักษณ์ของจ้าวอยู่บ้าง

ข้ามาบอกข่าวดี จ้าวไม่ใส่ใจท่าทางบึ้งตึงของพันเกลียว อีกะพ้อ ต่อไปเอ็งไม่ต้องถูกลงทัณฑ์แล้ว

คำพูดกึ่งห้วน กึ่งหยันทำเอากะพ้อสะดุ้ง คลางแคลงใจ

ทิชาเทพกำหนดวันมาช่วยพวกเจ้าแล้ว นี่คือเหตุผล

นัยน์ตาดุดันกวาดผ่านสองสาว วิธีใช้ตัวประกัน เป็นวิธีเก่าแก่โบราณที่สุด แต่มันยังใช้ได้ผล ถ้าไม่ได้พวกเอ็ง ทิชาเทพคงยากจะคืนความทรงจำ หรือไม่ก็บิดเบือน กลับกลอกสัญญาได้...ฮ่ะ...ฮ่า...

มีแต่เสียงหัวเราะสะท้อนก้องไปมา น้ำเสียงอันดุดันมีความเบิกบานเจือด้วยอำมหิตและปองร้ายอยู่ในที

 

ห้องพระแห่งนี้กว้างที่สุดเท่าที่มรรคาเคยเห็นมา แต่สิ่งที่เขาตะลึงลานคือสารพัด ของ ที่หญิงชราชี้ให้เขานำมาเปิดออกดู

พระอัฐิธาตุ...ขี้เหล็กไหล...ตะกรุดเงิน...ชายจีวรเก่าคร่ำคร่า...และที่สะดุดตาเขามากที่สุดคือ มีดเล่มเล็ก ตีจากเหล็กเนื้อดี ลงอักขระกำกับดำพรืด เขาขนลุกซู่ยามสัมผัสมีดเล่มนั้น...กระแสปราณอันรุนแรงกระทบสู่ใจ

มรรคาแยกมีดไว้ต่างหาก แล้วเก็บสิ่งของอื่นๆ คืนด้วยความเคารพศรัทธา จากนั้นชวนหญิงชราออกจากห้องพระ

มีวิธีช่วยคุณพันเกลียวแล้วใช่ไหมเจ้าคะ ยายถามเสียงกระตือรือร้น

มรรคามองมีดในมือ วิธีพอจะมี แต่ฉันช่วยไม่ได้

คนรอคำตอบสีหน้าสลดลง มรรคาจึงอธิบายต่อ

ถ้ามีใครสามารถส่ง อำนาจ ของมีดเล่มนี้ไปยังที่คุมขังของพันเกลียวได้ หล่อนก็จะสามารถกลับมา

มรรคาเม้มริมฝีปาก...ใช่...เขารู้วิธีช่วย...แต่ไม่สามารถช่วยได้...การส่ง พลัง มีดเล่มนี้ไป ผู้ส่งต้องมีพลังในตัวพอสมควร แล้วเวลานี้เขามีอะไรเหลือ

ชายหนุ่มรอหมอให้น้ำเกลือและฉีดยาบำรุงหัวใจพันเกลียวเรียบร้อยจึงเดินออกไปส่ง เมื่อกลับมาเห็นอาการทดท้อของหญิงชราจึงพูดปลอบใจ

ใจเย็นๆ พันเกลียวต้องกลับมา ฉันสัญญา

ไม่ใช่แค่คำปลอบใจ...เขารู้ดี...คืนเพ็ญที่จะถึง เขาต้องปล่อยจ้าว...ยามนั้นจ้าวน่าจะทำตามสัญญา ปล่อยหญิงทั้งสอง

คุณมัคครับ ชัยเข้ามาหา เสร็จเรื่องแล้ว เราจะไปโรงพยาบาลกันก่อน หรือให้ผมส่งคุณที่บ้านก่อนครับ

กลับบ้านก่อนแล้วกัน...ฉันอยากพักผ่อน ยังไงแกค่อยไปรับป้าแล่มตอนเย็นๆ ก็ได้ พูดจบเขาหันไปทางหญิงชรา ฉันยืมมีดเล่มนี้ไปก่อนนะยาย ถ้ายังไงพรุ่งนี้จะมาดูอีกที

ค่ะ ในเสียงรับคำ บอกถึงความไว้วางใจทั้งมวลที่มีให้

(โปรดติดตามต่อฉบับหน้า)



แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP