วรรณกรรมนำใจ Lite Literature

ม่านมนตรา ๒๑


Literature

โดย ชลนิล

(ต่อจากฉบับที่แล้ว)

ขณะที่ราตรีกาลแห่งหนึ่งกำลังอิ่มเอมด้วยความสุข ทว่าใต้ม่านราตรีเดียวกัน กำลังจะมีเหตุร้ายอุบัติขึ้น...

หลังกลับจากออฟฟิศของมรรคา พันเกลียวไม่ได้ไปซื้อข้าวของเพื่อเตรียมทำพิธีใดๆ อย่างที่บอกกับเขา การที่จะนำ ของ ไปทำพิธีนั้น ไม่ได้ใช้เวลาถึงสองสามวัน เพียงแค่ยกขึ้นมาตั้งบนแท่นกล่าวอาราธนาคุณพระรัตนตรัยและสวดบูชาคุณครูบาอาจารย์ ตั้งอธิษฐานจิต ไม่ถึงชั่วโมงก็ใช้ได้

พันเกลียวอยากให้มรรคาไปหาปีกแก้ว แม้จะรู้ว่ามันไม่เป็นการยุติธรรมต่อกะพ้อเลยก็ตาม...

หญิงสาวใช้เวลาตลอดบ่ายถึงเย็น นั่งเงียบๆ ที่ป่าช้าในวัดซึ่งไม่ค่อยมีคนสัญจร หล่อนทบทวนดูตัวเอง ถามใจอย่างลึกซึ้งในหลายๆ เรื่อง และหนึ่งในนั้นคือ...หล่อนคิดอย่างไรต่อมรรคา?...

กว่าจะได้คำตอบช่างแสนยากเย็น พอหญิงสาวกระจ่างใจแก่ตนเองแล้วก็ต้องถอนใจอย่างเหน็ดเหนื่อย....หล่อนพึงใจผู้ชายคนนี้...เป็นคำตอบที่พันเกลียวไม่แน่ใจว่าควรยินดี หรือเสียใจกับมันดี...

ใกล้พลบ หญิงสาวจึงออกจากวัด แวะซื้ออาหารสำเร็จก่อนเข้าบ้าน เพราะรู้ว่า ด้วยเรี่ยวแรงที่ถดถอยลงของยายคนเก่าแก่ในบ้าน แกคงไม่ได้เตรียมอะไรไว้ให้มากนัก

ฟ้าเริ่มมืดเมื่อหญิงสาวเปิดประตูเข้าบ้าน สายลมกรูเกรียวหมุนวนรอบร่างหล่อนเป็นการทักทาย พันเกลียวขนลุกซู่ รีบตั้งสติ...มีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้นแล้ว

หญิงสาวยืนนิ่ง ใช้สายตาเก็บรายละเอียดรอบตัวอย่างรวดเร็ว ไฟที่ระเบียงบ้านไม่ได้เปิด มีเพียงแสงไฟรำไรสว่างออกมาจากตัวบ้าน บริเวณที่หล่อนยืนถูกห้อมล้อมด้วยไม้ผลใหญ่ๆ ความมืดยิ่งมืดกว่าเดิม

ซ่า...ซ่า... เสียงใบมะม่วงต้องลมดังกราว พันเกลียวก้าวเท้าเข้าไป...ผ่านทางเดินขึ้นบริเวณระเบียง จึงเอื้อมมือกดสวิตช์ไฟบนผนัง...แสงซีดๆ ของหลอดไฟสว่างขึ้นมา หญิงสาวออกจะแน่ใจด้วยซ้ำว่า แสงไฟมันสว่างน้อยลงกว่าเดิมมากมาย

ประตูบ้านไม่ได้ล็อก ไฟห้องรับแขกไม่ได้เปิด เมื่อเดินลึกเข้าไป สายตาพอจะเห็นแสงสว่างส่องลอดมาจากห้องทำงานที่หล่อนใช้ต้อนรับบรรดา ลูกช้าง ทั้งหลาย

จิตใจที่ค่อยสงบกลับเต้นระทึก หญิงสาวสะกดมันด้วยบทสวดพุทธคุณที่ใช้เป็นบทแรกของการบำเพ็ญภาวนา

ประตูห้องทำงานเปิดออก แสงสว่างชอนไชนัยน์ตา ชั่วครู่กว่าจะมองเห็นภายในห้องชัดเจน

สีเขียวอ่อนที่ทาผนังดูจะเข้มข้นขึ้น โต๊ะขนาดย่อมที่ปูผ้าดำ ยิ่งแลดูลึกลับน่าสะพรึงกลัว ทั้งห้องไม่มีเฟอร์นิเจอร์อื่นๆ ตกแต่ง มันจึงแฝงความวังเวง และโดดเดี่ยวอย่างไม่อาจซ่อนเร้น

สายตาของพันเกลียวจ้องเขม็งไปยังเก้าอี้ตัวใหญ่...มันไม่ได้มีสิ่งใดผิดปกติกว่าเคย นอกจากมีบุคคลหนึ่งกำลังซุกร่างคุดคู้อยู่บนนั้น

ร่างชราดูร่วงโรยอย่างไม่น่าเชื่อ นัยน์ตาหลับสนิท ผิวพรรณเหี่ยวย่นซีดกรอบราวใบไม้แห้งใกล้ร่วงจากต้น เก้าอี้ตัวใหญ่กับหญิงชราร่างเล็ก บอบบาง

ยาย พันเกลียวพึมพำเบาๆ จิตใจกระสับกระส่ายจนไม่อาจควบคุม

จากสัมผัสบอกว่าร่างนั้นยังอบอุ่น ที่ข้อมือยังมีจังหวะเต้นของชีพจร พันเกลียวเกือบจะถอนใจ แต่แล้วแสงสว่างก็ดับลงในฉับพลัน

มืด...มันมืดไม่ผิดกับโลกันตร์ หญิงสาวตัวชาดิก พบว่าตนเองตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบจนไม่อาจแก้ไข หล่อนพลาดที่ไม่สามารถควบคุมสติและจิตใจให้สงบตั้งมั่นได้...สิ่งแปลกปลอมจึงจู่โจมเข้ามาโดยไม่ทันเตรียมตัว

มันเริ่มแล้ว หญิงสาวบอกกับตัวเอง...เสียงฟู่ดังเบาๆ คล้ายเสียงลมหายใจของอสูรร้าย ความมืดแปรเปลี่ยน...แสงสีแดงฉานค่อยสว่างขึ้น เป็นแสงที่เหมือนส่องผ่านเลือดสดๆ

พันเกลียวแทบระงับใจไม่อยู่ เมื่อมองเห็นบริเวณรอบๆ ตัว...ที่นี่ไม่ใช่บ้านที่หล่อนรู้จักอีกแล้ว...



๑๖

มันคือที่ไหนกัน...หญิงสาวไม่อาจตอบได้ แต่ที่แน่ๆ มันไม่ใช่ห้องที่คุ้นเคย ห้องสี่เหลี่ยมไร้เฟอร์นิเจอร์กลับกลายเป็นสถานที่โล่งกว้างสุดลูกหูลูกตา...แสงสีแดงฉานทาบริเวณรอบๆ ตัวหล่อนและกินอาณาเขตออกไปราวเกือบร้อยเมตร และไกลกว่านั้น คือเขตแดนความมืดอันน่าขนลุกเกรียว

พันเกลียวกำลังเหยียบอยู่บนดินเหลวๆ เฉอะแฉะ กลิ่นคาวจัดฉุนติดจมูก หล่อนยกขาก้าวออกไปด้วยความยากลำบาก...ไม่มียาย สิ่งต่างๆ ในห้องสูญหาย หล่อนต้องใช้ความสามารถของตนบุกฝ่าแดนมายานี่ออกไป

รอบตัวหญิงสาวระเกะระกะด้วยเนินดินสูงๆ ต่ำๆ พอหยั่งขา เท้าก็จมลึกถึงตาตุ่ม ยกขึ้นมาก็แสนยาก กลิ่นคาวยิ่งรุนแรงกว่าเดิม

ฟู่...ฟู่... เสียงประหลาดดังจากเบื้องหน้า เนินดินที่นิ่งสงบกลับมีอาการเคลื่อนไหว คล้ายลูกคลื่นในทะเลกว้าง

พันเกลียวตั้งสติ ระลึกถึงคุณครูบาอาจารย์ แต่ยังไม่ทันถึงเสี้ยววินาที เสียงระเบิดกึกก้องก็ดังขึ้น

บรึ้ม ดินเหลวแตกกระจาย ร่างสุดอัปลักษณ์แสนวิกลวิกาลพุ่งขึ้นมา

หญิงสาวปาดเศษดินที่กระเซ็นมาโดนหน้า พร้อมกับมองฝ่าแสงสีแดง... ร่างที่โผล่ขึ้นมาทำให้หล่อนนึกพรั่นพรึง หัวของมันเหมือนปลาตัวใหญ่ ลิ้นที่แลบปลาบไม่ต่างจากงู ลำตัวคล้ายกิ้งก่า มีเกล็ดชิ้นใหญ่ๆ ติดแทนหนัง มือก็เช่นเดียวกับขาหน้าของกิ้งก่า ส่วนขากลับเป็นขามนุษย์...

มันกระโจนเข้าใส่ พันเกลียวเบี่ยงตัวหลบ ร่างเสียหลักล้มลงไปในดินเหลวพยายามตะเกียกตะกายหนี คาถาต่างๆ กลับหลงเลือนไม่อาจใช้ทันท่วงที

แฮ่... ลิ้นยืดยาวแลบปลาบฉก พันข้อเท้าหล่อน หญิงสาวกลั้นใจดึงลิ้นอันมีเมือกลื่นออก แต่ไม่สำเร็จหนำซ้ำมันกลับเป็นฝ่ายดึงหล่อนเข้าไปหา

มือทั้งสองของพันเกลียวกดดันพื้นแน่น ฝืนตัว...แต่ไร้ผล ดินเหลวถูกไถเป็นทางยาว และหญิงสาวได้สติในชั่ววินาทีนั้น...

ปฐวีกสิณ

หญิงสาวใช้เวลาสองสามวินาทีหลับตาสำรวมใจ กำหนดดินเหลวเป็นอารมณ์ จากนั้นกอบดินขึ้นอธิษฐานจิตและขว้างไปสุดแรง

ดินเหลวกลับแข็งคล้ายหินหนาพุ่งเข้าใส่ปิศาจลูกผสมอย่างจัง

อ๊าก... มันร้องออกมาคำเดียว ลิ้นคลายจากข้อเท้า...พันเกลียววางมือบนแผ่นดินอีกครั้ง ตั้งใจแน่วแน่เปลี่ยนดินเหลวทั้งมวลให้เป็นแผ่นดินอันแข็งแกร่ง

ชั่วแวบ แสงสีแดงถูกขจัดไปบางส่วน พันเกลียวขึ้นไปยืนเต็มเท้าบนพื้นดินที่แข็งหนา มองปิศาจตรงหน้าด้วยใจสงบขึ้น หล่อนรู้แต่แรกแล้วว่านี่เป็นภาพลวงตาที่เกิดจากอำนาจมนต์มายา หล่อนต้องหาวิธีหลุดออกไปให้ได้

แต่เพียงไม่ถึงอึดใจ เสียงระเบิดดังบรึ้มๆๆ ขึ้นซ้อนๆ กัน ปิศาจรูปร่างหน้าตาไม่ผิดจากเจ้าตัวแรกโผล่ขึ้นมาทีละตัวๆ จนแน่นขนัด

พันเกลียวสูดลมหายใจอย่างหนาวเหน็บ...ทำอย่างไรถึงจะฝ่าออกไปได้

ฟ้ามืด ดาวเต็มฟ้า คลื่นทยอยซัดเข้าหาฝั่งไม่ขาดสาย นอกจากดวงดาวยังมีดวงจันทร์...แสงจันทร์คลี่พรมทั่วหาดทรายขาวนวล ลมทะเลพัดกรรโชก ทิวมะพร้าวโบกสะบัดเป็นเงาดำ

มรรคากับปีกแก้วเดินลุยหาดทรายกลับบ้านอย่างเชื่องช้า เสียงพูดคุยผสานมากับสายลม

พี่มัคตามแก้วถูกได้ยังไงคะ

...ไม่มีคำตอบจากชายหนุ่ม...

ที่จริงแก้วน่าจะเดาออกน้า...ว่ายังไงพี่มัคคงคิดถึงที่นี่เป็นแห่งแรก

เสียงหัวเราะใสๆ ดังกังวาน

แต่ทำไมป่านนี้เพิ่งจะตามมาก็ไม่รู้

ถ้าพี่มาก่อนหน้านี้ แก้วยังจะดีใจแบบนี้หรือเปล่าจ๊ะ คำถามของมรรคาแว่วมา

ไม่รู้สิคะ เสียงอีกฝ่ายแผ่วลง ศีรษะเอียงซบไหล่คนตัวสูงกว่า แขนเล็กๆ กระหวัดแขนแข็งแรงไว้หลวมๆ ไม่มีคำพูดใดแว่วมากับสายลม ทั้งสองยังอยู่ในอ้อมกอดของชายหาด แสงดาว และฟ้ากว้าง


พวกมันขยับเข้ามาช้าๆ ด้วยความมั่นใจ พันเกลียวยืนนิ่ง ปักปลายเท้ามั่น สงบใจ หลับตาลง นึกกำหนดดวงเทียนสว่างวับแวม และขยายแสงเทียนให้สว่างโพลง โชติช่วง

หล่อนลืมตาขึ้น มองไปยังกองทัพปิศาจ ฉับพลัน เปลวไฟสีน้ำเงินเข้มก็ลุกพรึบเหนือหัวพวกมัน

วี้ด...วี้ด เสียงร้องกรีดแหลมไม่ต่างจากส่งเสียงผ่านปลายไม้อันแคบเล็ก พวกมันเต้นเร่าๆ กลิ้งเกลือกลงกับพื้นเพื่อพยายามดับไฟ

สติกลับคืนสู่หญิงสาวเต็มร้อย หล่อนทรุดร่างลงขัดสมาธิ บทสวดที่พ่อเคยสอนให้ท่องจำ กังวานแว่วขึ้นมา...

...คาถาชัยมงคล...

พันเกลียวขยับริมฝีปากท่องตามกระแสเสียงที่กังวานในหัว บทสวดอันยืดยาวถูกถ่ายทอดออกมาตั้งแต่ต้นจนจบ บรรยากาศอึดอัดรอบกายค่อยคลายลง เมื่อลืมตาหญิงสาวถอนใจด้วยความโล่งอก ทุกอย่างกลับสู่สภาพเดิม แดนมายาถูกทำลายลงแล้ว

ยายฟุบตัวอยู่บนเก้าอี้ แสงไฟส่องสว่างตามปกติ พันเกลียวลุกขึ้นยืนมองรอบๆ ห้องอย่างเหน็ดเหนื่อย จากนั้นพยุงยายขึ้นนอนบนโต๊ะ เตรียมปฐมพยาบาล

ชุดยาอยู่อีกห้องหนึ่ง พันเกลียวต้องออกไปเอามา

หล่อนเปิดประตูออกแล้วผงะหงาย ถอยหลังก้าวใหญ่ มีร่างทะมึนยืนขวางเต็มประตู...ผู้ชายตัวหนา หุ่นนักกล้ามใบหน้าไม่คุ้นเคย แต่สร้างความประหวั่นใจแก่พันเกลียว

ดวงตาของเขาเหลือกกลับเห็นแต่ตาขาว ผิวพรรณเขียวซีด คล้ายศพตายมาหลายวัน กลิ่นฟอร์มาลีนฉุนจัดกระทบจมูก ยิ่งกว่านั้นหล่อนยังเห็นขมับเขามีแผลขนาดใหญ่เป็นรูกว้าง...แผลจากกระสุนปืน

รอยเลือดเกรอะกรังยังหลงเหลือให้เห็นตามใบหน้าและเสื้อผ้า พันเกลียวถอยหลังมาอีกสองก้าว หลังจากผ่านเหตุการณ์น่าสยองขวัญมาแล้ว หล่อนควบคุมสติได้เร็วขึ้น

มันไม่ได้มาตัวเดียว อีกร่างมีขนาดย่อมกว่า ใบหน้ามันมีรอยแผลยับเยิน บางรอยพอจะมองเห็นฝีเข็มและรอยเย็บตกแต่ง แต่ถึงกระนั้น ก็ไม่อาจดูออกว่าเป็นใบหน้ามนุษย์หรือไม่

มันทั้งคู่กำลังก้าวเข้ามาช้าๆ ด้วยท่าทีคุกคาม ใบหน้าของพันเกลียวขาวจนออกซีด ถอยหลังจนติดโต๊ะ สำรวมใจ นึกถึงมนต์นะจังงัง...

หยุด หล่อนตวาดลั่น สองร่างนิ่งงันเหมือนตุ๊กตาหมดลาน

หญิงสาวปาดเหงื่อออกจากไรผม มองอาคันตุกะผู้หวังร้ายทั้งคู่อย่างพิจารณา พวกมันไม่ใช่ปิศาจ อสุรกาย...ไม่ใช่ดวงวิญญาณ แต่มันเป็นเพียงซากศพ...ศพที่ถูกโยงใย ใช้งาน

ฮ่ะ...ฮ่า... เสียงหัวเราะดังเสียดประสาทแว่วมาจากซากศพ

ดูสิว่ามนต์ของเอ็ง กับอำนาจของข้า ใครมันจะเหนือกว่ากัน พันเกลียวรู้ชัด มันเป็นเสียงปิศาจหมอผี

ร่างที่แน่วนิ่งพยายามขยับกายอย่างลำบาก แขนทั้งคู่ยกขึ้นทั้งดุ้นเหมือนไม้ตายซาก ขาลากช้าๆ ไม่อาจโค้งงอได้สะดวก มันทั้งคู่แยกกันขนาบข้างพันเกลียว

แกต้องการอะไร หญิงสาวส่งเสียง

มึงอยากช่วยอีกะพ้อนักไม่ใช่หรือ คำตอบก้องมา ถ้าเอาชนะข้าได้ ค่อยว่ากัน

พันเกลียวเข้าใจแล้ว การที่หล่อนกับมรรคาวางแผนร่วมมือไปช่วยกะพ้อเป็นสาเหตุให้มันต้องมา...แต่เวลานี้หล่อนจะเอาอะไรสู้กับมัน ของ ที่พ่อทิ้งไว้ยังอยู่ในห้องพระ วิชา ที่หล่อนมีจะต้านมันได้สักเท่าไหร่ หล่อนยังไม่มั่นใจ

แขนอันยาวเหม็นของพวกมันตวัดเข้าใส่หล่อนอย่างเร็วหญิงสาวหลบแล้วกระโจนหนี ตั้งใจออกทางประตู แต่เหมือนรู้ใจ ศพตนหนึ่งกระโดดขวางหล่อน พอหล่อนเปลี่ยนทิศ ปิศาจอีกตนก็โผร่างเข้าใส่

เมื่อไม่มีทางเลือก หญิงสาวได้แต่ชี้นิ้วใส่หน้าผากมัน กำหนดอำนาจจิตไว้ที่ปลายนิ้ว ผลที่ได้เพียงทำให้มันผงะไปชั่วครู่ พันเกลียวรู้ว่า วิชา ที่หล่อนฝึกฝนยังอ่อนด้อยนัก ลำพังสองมือกับพลังสมาธิที่ฝึกยังไม่ถึงขั้นใช้ออกได้ตามใจคงยากต้านกับอำนาจอีกฝ่าย ที่นับวันยิ่งสูงขึ้นได้

พันเกลียวหลบพ้นมาเฉียดฉิว นึกเสียใจที่ห้องนี้ไม่มีอะไรพอจะหยิบฉวยมาใช้งานได้เลย อาโปกสิณที่หล่อนฝึกคล่องกว่าเพื่อนก็ขาดปัจจัยสำคัญคือน้ำ พันเกลียวจึงได้แต่กระโดดหลบไปมา ไม่สามารถออกจากห้องได้

ห้องไม่กว้างนัก หนึ่งมนุษย์สองผีต่างไล่จับกัน ดูเผินๆ อาจน่าขัน แต่พันเกลียวยิ้มไม่ออก ทุกวิชาที่มี อย่างน้อยหล่อนต้องใช้เวลาสำรวมใจตั้งสมาธิ แต่เหมือนเจ้าสองตัวนี่จะรู้ จึงเร่งไล่หล่อนจนไม่มีเวลาพัก

พันเกลียวพลาด...หล่อนถูกต้อนเข้ามุมอับ สองศพเข้าประกบ มือทั้งสี่บีบคอหล่อน เค้นอย่างรุนแรง ศีรษะหล่อนกระแทกผนังจนมึนวูบ กลิ่นเหม็นฉุนของฟอร์มาลีนและกลิ่นศพใกล้เน่า ฉุนจมูก จนหญิงสาวคลื่นเหียน วิงเวียน

ท่ามกลางความคับขันหล่อนจึงได้คิด หลับตา สำรวมใจ อธิษฐานจิตขอให้น้ำลายแห่งตน เป็นน้ำมนต์ที่ทรงอานุภาพ

หล่อนรวบรวมกำลังบ้วนน้ำลายออกมา น่าเสียดายที่น้ำลายมีแรงกระเซ็นเพียงเปื้อนมือพวกมันเท่านั้น แต่ก็เพียงพอแล้ว ที่จะทำให้พวกมันสะบัดมือเร่าๆ ราวกับโดนน้ำกรด

โอกาสเป็นของหล่อน หญิงสาวใช้ความเร็วอย่างที่สุดกระโจนออกจากห้อง รีบวิ่งขึ้นบันไดไปยังห้องพระชั้นบน...ถ้าถึงห้องพระได้ก็ไม่ต้องกลัวสิ่งใดแล้ว อำนาจสิ่งศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ มีมากพอที่จะไม่ยินยอมให้ผีร้ายตนใดย่างกรายเข้าไปได้

ประตูเปิดผาง พันเกลียวก้าวเข้าห้องพระแล้ว...แต่ทว่า...

ตุ้บ เสียงทึบๆ ดังขึ้น หญิงสาวหมดสติล้มพับ

เจ้าของเสียงเป็นซากศพอีกซาก ถือไม้ดุ้นเบ้อเริ่ม มันไม่สามารถเข้าห้องพระได้ก็จริง แต่สามารถทำร้ายพันเกลียว ไม่ห่างจากร่างของมัน มีเงาดำทะมึนสูงใหญ่ยืนจังก้า...ใบหน้าชาด้านคล้ายหน้ากาก ยังคงบิดเบี้ยวคับแค้น มันเองก็ไม่สามารถเข้าห้องพระได้ ขณะที่มันอับจนปัญญา ทันใด นัยน์ตาของมันก็ฉายแววลิงโลด...พันเกลียวล้มในห้องพระก็จริงแต่ปลายนิ้วเท้าข้างหนึ่งยื่นผ่านธรณีประตูออกมา...ปิศาจหมอผีกระหยิ่มใจ ยินดี...เท่านี้ก็เพียงพอนำวิญญาณหล่อนออกไปแล้ว

เสียงคลื่นกระทบฝั่งปลุกปีกแก้วจากห้วงนิทราอันน่ารื่นรมย์ ฟ้ายังไม่สว่างดีนัก แต่กระนั้นหล่อนก็รู้สึกว่าได้นอนเต็มตา ลมทะเลพัดใบมะพร้าวดังซู่ซ่าผสานกับเสียงไก่ขันแว่วมาไกลๆ

วันนี้เป็นวันที่ปีกแก้วมีความสุขที่สุด ข้อแรกเพราะหล่อนกับมรรคาเข้าใจกัน ส่วนอีกข้อคือ วันนี้หล่อนอายุครบยี่สิบปี นับว่าผ่านพ้นวัยของเด็กสาวเข้าสู่หญิงสาวเต็มตัวแล้ว เป็นผู้ใหญ่พอจะคิดตัดสินใจ กระทำเรื่องใดๆ ด้วยตนเองโดยไม่มีใครขัดแย้ง...จะมีเรื่องเดียวที่หล่อนยังขุ่นใจอยู่ลึกๆ

คุณอา ขาดการติดต่อกับหล่อนมานานเหลือเกิน นับตั้งแต่เกิดเรื่องจนถึงปัจจุบัน ปีกแก้วไม่เคยได้ยินเสียงคุณอา ช่วงเวลาที่หล่อนนั่งมองทะเลอย่างเดียวดาย เคยร้องเรียกคุณอานับครั้งไม่ถ้วน หวังให้ช่วยปลอบใจ ชี้เส้นทางปลอดโปร่งให้ แต่ก็เงียบ...ปีกแก้วจำต้องยืนหยัดด้วยตัวเอง ใช้สายลมและเสียงคลื่นเป็นเพื่อน จนเวลาช่วยคลายเกลียวในใจลง หล่อนจึงกล้าโทรศัพท์ไปหามรรคา หวังเพียงได้ฟังเสียงเขาให้อบอุ่นใจ แต่ใครจะคิด เวลาไม่ถึงครึ่งวัน มรรคากลับมายืนอยู่ตรงหน้าหล่อน

ปีกแก้วยินดี ดีใจจนลืมคุณอาไปชั่วขณะ

คุณอาคะ สาวเพิ่งเต็มวัยยี่สิบร้องเรียกชื่อนี้ในใจ

คุณอาเจ้าขา หล่อนลืมตาแป๋ว จงใจส่งเสียงเรียกเบาๆ

แต่ก็เงียบ...เช่นเคย...ปีกแก้วถอนใจ นึกว่าวันนี้คุณอาอาจจะยอมติดต่อกับหล่อน แต่ก็เปล่าประโยชน์ คุณอายังคงเป็นบุคคลลึกลับเช่นเคย

ฟ้ากลายเป็นสีขาว ปีกแก้วจรดปลายเท้าออกจากห้อง ปิดประตูอย่างเบามือ ก่อนจะย่องไปที่เก้าอี้ยาวห้องรับแขก...มรรคานอนเหยียดขาหลับสนิท มีเพียงผ้าห่มผืนบางๆ คลุมกาย

ปีกแก้วทรุดกายลงตรงพื้นหน้าเก้าอี้ยาว นัยน์ตาจับอยู่ที่ใบหน้ามรรคา ฟ้าสว่างพอที่จะเห็นรายละเอียดใบหน้าเขาชัดเจน หญิงสาวเอียงคอมองพลางอมยิ้ม...ยามมรรคาหลับเขาดูอบอุ่นที่สุด นัยน์ตาคมดุที่ใครๆ นึกหวาด ไม่อาจส่งแสงยิบๆ ชั่วคราว ริมฝีปากบางที่มักเม้มสนิทหารอยยิ้มยากเย็นก็คลายลง

แสงแรกแห่งอรุณอาบไล้ใบหน้าเขาราวกับเป็นมืออันอ่อนโยนของมารดา ปีกแก้วมองเคราเขียวๆ อย่างนึกขันอยากเอามือไปลูบเล่น แต่เกรงเจ้าตัวจะตื่นเสียก่อน

หลังชื่นชมจนอิ่มแล้ว หล่อนก็เลื่อนสายตาไปนอกหน้าต่าง แหงนคอมองยอดสนเอนไกวตามจังหวะสายลม จิตใจดื่มด่ำกับธรรมชาติยามอรุณ กระทั่งรู้สึกว่ามีการเคลื่อนไหวบางอย่างอยู่ใกล้ๆ แต่ไม่ทันขยับตัว แก้มหล่อนก็สัมผัสกับลมหายใจอุ่นๆ และเคราสากๆ อย่างนุ่มนวล

หันหน้ามาจึงพบว่ามรรคาตื่นแล้ว เขากำลังยิ้มให้หลังจากหอมแก้มหล่อน

สุขสันต์วันเกิดจ้ะ

หญิงสาวร้อนผ่าวที่ใบหน้าและขอบตา...นานมาแล้ว วันเกิดของหล่อนในบ้านหลังใหม่ที่ไม่เคยคุ้น... พี่มัค เคยเข้ามาหอมแก้มและยื่นของขวัญให้แต่เช้า

...สุขสันต์วันเกิดจ้ะ... รอยยิ้มวันนั้น ไม่ผิดจากวันนี้...

ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปเท่าใด...มรรคาจะปฏิบัติเช่นเดิมอยู่ทุกปี ถึงเขาจะติดงานไกลแค่ไหน ก็ต้องรีบมาให้ทันเช้าวันเกิดของ น้องน้อย เสมอ

วันนี้...ดวงตาของมรรคามีรอยยิ้ม ริมฝีปากมิได้หุบสนิทดังเดิม เขาลงมาจากเก้าอี้ยาว นั่งตรงหน้าชิดกับปีกแก้ว ล้วงมือเข้าไปในกระเป๋ากางเกง หยิบตลับเล็กๆ ที่ค่อนข้างเก่าออกมายื่นให้

เมื่อเปิดฝาออก หญิงสาวต้องงงงัน เงยหน้ามองมรรคาด้วยความปีติ

แหวน...ของแม่ มรรคาดึงมือขวาของหญิงสาวขึ้นมา แม่บอกกับพี่ว่าเก็บไว้ให้น้องตอนน้องโตเป็นสาวนะมัค

น้ำตาปีกแก้วไหลช้าๆ ขณะที่ชายหนุ่มสวมแหวนให้อย่างทะนุถนอม

พี่ไม่เคยเห็นแก้วเป็นสาวสักที...จนตอนนี้อายุยี่สิบ น่าจะเป็นสาวได้แล้วนะจ๊ะ อย่าซนอย่างเด็กๆ อีก เขาพูดเรื่อยๆ นิ้วนางมือซ้ายนี่ ให้แก้วเก็บไว้สำหรับคนพิเศษในอนาคต...ส่วนวงนี้ พี่จะสวมให้ที่นิ้วนางมือขวาก็แล้วกัน

เขาสวมแหวนเสร็จกำลังจะชักมือออก แต่ปีกแก้วกลับรั้งมือเขาไว้ รวบขึ้นมาจูบเบาๆ ประกายตาของมรรคาฉายแววขึ้นวูบหนึ่ง เขาไม่อาจตอบได้ว่าตนเองรู้สึกอย่างไร แต่ชั่วเวลาไม่นาน ปีกแก้วก็โน้มคอเขามากอดไว้แนบแน่น และสะอื้นไห้อย่างสุดกลั้น

มรรคาปล่อยให้บรรยากาศนี้ดำรงอยู่ชั่วครู่...ก่อนจะพูดเบาๆ

เด็กขี้แย เขายีผมยุ่งๆ อย่างหมั่นเขี้ยว เจอหน้าพี่ก็เอาแต่ร้องไห้

หญิงสาวเงยหน้าชุ่มน้ำตาขึ้นมา

พี่มัคบ้า หล่อนหัวเราะทั้งสะอื้น ชอบทำให้เค้าร้องไห้

ว่าพี่อีกแน่ะ...คนอะไร...น้ำท่ายังไม่อาบก็มาร้องไห้แงๆ ให้พี่ดูแต่เช้าเชียว

พี่มัคก็ยังไม่อาบ เสื้อผ้าตั้งแต่เมื่อวานก็ยังไม่เปลี่ยน ปีกแก้วเถียง

จ้า...จ้ะ...อาบก็ได้ เสื้อผ้าพี่มีเปลี่ยนอยู่ในรถอีกชุดมั้ง ไปอาบน้ำอาบท่ากันก่อน แล้วค่อยหาอะไรรองท้องกัน

เลี้ยงฉลองวันเกิดแก้วนะคะ หญิงสาวทำท่าเหมือนเด็กๆ

แต่เช้าเชียว เขาล้อ

เช้า กลางวัน เย็น เลี้ยงฉลองหมดเลย

โอเคๆ

เขายอมตกลง...ธรรมดา พี่มัค ไม่เคยขัดใจน้องอยู่แล้ว โดยเฉพาะเป็นวันเกิดที่สำคัญเช่นนี้...ปีกแก้วกำลังยิ้มอย่างสดชื่น ใบหน้าของมรรคาเต็มไปด้วยความรื่นรมย์ โดยหารู้ไม่ว่า อีกด้านหนึ่ง ยังมีคนที่กำลังทุกข์ทรมานและรอคอยพวกเขาอยู่



(โปรดติดตามต่อฉบับหน้า)



แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP