ดังตฤณวิสัชนา Dungtrin's Answer

ทำอย่างไรจึงจะมีชีวิตที่มีความสว่างและเจริญรุ่งเรือง



ถาม – ถ้าเราอยากประสบความสำเร็จ แต่เป้าหมายชีวิตยังไม่ชัดเจน
จึงไม่แน่ใจว่าเมื่อสร้างกุศลแล้วควรอธิษฐานขออย่างไรจึงจะเหมาะสมค่ะ


คือพูดง่ายๆ ว่าเป้าหมายชีวิตของเราอาจจะยังไม่ชัดเจนพอ
ที่เราจะไปตั้งอธิษฐานว่าเราอยากได้อะไร เข้าใจถูกไหมครับ
อย่างนั้น คำตอบนะ สิ่งที่เราจะต้องมีเป็นอันดับแรก ก่อนที่เราจะอธิษฐานอะไร
คือความเข้าใจว่าชีวิตที่ดีที่สุด ชีวิตที่เจริญ
ชีวิตที่เหมาะกับการจะมีเป้าหมายในชีวิต คือชีวิตที่มีความสว่าง
คือความสว่างเป็นต้นทางของอะไรๆ ดีๆ ของเป้าหมายดีๆ ทั้งหมดเลยนะ
เปรียบเหมือนกับคนมีตาดี ถ้าเราแค่มีตาดี
ลืมตาขึ้นมาก็เห็นว่าอะไรเป็นอะไร เรากำลังอยู่ที่ตรงไหน
เรากำลังไปถึงไหนแล้ว หรือว่าเราควรจะไปถึงที่ใด
อันนี้คือเรื่องของความสว่างทางแก้วตาที่เราสามารถรู้ได้ชัด


แต่ทีนี้ใจนี่ ใจของคนทุกคนเลยร้อยเปอร์เซ็นต์ ตั้งแต่เกิดมามีความมืดบอด
เปรียบเหมือนกับเป็นจิตที่ไม่มีดวงตาหรือว่าเป็นจิตที่มืดบอดอยู่
คำว่า “ตาสว่าง” มันก็ใช้แทนจิตที่มันสว่างขึ้น หรือว่าจิตที่มันรู้นั่นเองว่า
ตัวเองต้องการอะไร ตัวเองอยู่ตรงไหน ตัวเองควรจะไปที่ใด
เพราะฉะนั้นผมถึงบอกว่าการตั้งเป้าให้มีความสว่างทางจิต
มีความสว่างใจ สำคัญเป็นอันดับหนึ่ง
ถึงแม้ว่าเราจะยังบอกตัวเองว่าเป้าหมายในชีวิตไม่ชัดเจน
แต่ถ้าเป้าหมายทางธรรม คือต้องการที่จะมีใจที่สว่างแล้ว
ยิ่งถ้าตั้งใจจะมีใจที่สว่างโร่ ยิ่งดี อย่างนี้มันครอบจักรวาล
เพื่อที่จะยังจิตให้เกิดความสว่างราวกับว่ามีดวงตาที่เปิดขึ้นแล้ว
ในทางพุทธก็ให้เริ่มต้นจากการศึกษาธรรมะของพระพุทธเจ้า
จนเกิดความศรัทธาในพระพุทธองค์
ไม่ใช่ศรัทธาแบบมืดบอด ไม่ใช่บลายด์บีลีฟ (
blind belief)
แต่เป็นศรัทธาอันเกิดจากการเห็นว่าพระพุทธเจ้าสอนให้เราได้ดี


พระพุทธเจ้าสอนให้เราจิตสว่าง
จิตสว่างด้วยการรู้จักให้ทาน ไม่ใช่ให้แค่ทรัพย์สิน
ทรัพย์สิน ความช่วยเหลือ เศษเงินอะไรต่างๆ มันเป็นส่วนหนึ่งของทาน
ทานจริงๆ มันมีเรื่องของการให้อภัยเป็นทาน
มันมีเรื่องของการให้ธรรมะเป็นทาน

ถ้าเรารู้จักให้ทรัพยทาน อภัยทาน และธรรมเป็นทาน
ธรรมะหมายความว่าให้คำแนะนำที่ดีๆ กับคนอื่น
ให้เขารู้ทางถูกทางชอบอย่างนี้นะ ใจเราก็มีความสว่างในขั้นของทาน
เมื่อใจเรามีขั้นของทานเป็นความสว่างแล้ว เราก็ตั้งจิตให้มันสว่างยิ่งๆ ขึ้นไปอีก
คือทำมหาทาน สิ่งที่เรียกว่า “มหาทาน” ก็คือการถือศีล

เพราะว่าอะไร เพราะว่าเมื่อถือศีลแล้ว เราจะเป็นความปลอดภัยให้กับคนทั้งโลก
เหมือนกับให้ความปลอดภัยกับคนไม่เลือกหน้า
นั่นเองพระพุทธเจ้าจึงตรัสว่าการรักษาศีลคือการทำมหาทาน


พอมีทาน มีศีลได้ ตรงนี้เรียกว่ามีความสว่างอย่างยิ่งยวดให้กับชีวิตของเราแล้ว
คือต่อให้เราไม่อธิษฐานอะไรเลย
ไม่ต้องทำบุญเพื่อที่จะหวังจะมีความสว่างแบบนี้ มันก็เกิดขึ้นเอง
เกิดขึ้นจากการที่เรารู้จักการให้ทาน เรารู้จักการรักษาศีล
ถึงแม้มีเรื่องยั่วใจ มีเรื่องยั่วยุให้ผิดศีล เราก็ไม่ทำ เราก็ไม่ผิด
อย่างนี้เรียกว่ามีศีลจริง ถือศีลจริง รักษาศีลจริง
ความสว่างมันก็เกิดขึ้นจริงเช่นกัน เราจะอธิษฐานหรือไม่อธิษฐานก็ตาม

แต่ทีนี้ถ้าเราทำทานและรักษาศีล จนกระทั่งเกิดความสว่างประจักษ์ใจ
รู้สึกใจเบา รู้สึกใจดี รู้สึกใจสบาย รู้สึกใจมันเปิดไฟอยู่ทั้งวัน ทั้งวันทั้งคืน
ตลอดวันตลอดคืนไม่มีความมืดบอด ไม่มีความสับสน


อย่างนี้เราสามารถใช้ใจนั่นแหละ และอธิษฐานให้มันทบขึ้นไป
บอกว่าขอให้ความสว่าง อันเกิดจากการให้ทานและรักษาศีลที่ได้ผลแล้วนี้
จงเป็นเหตุปัจจัยให้เกิดความสว่างยิ่งๆ ขึ้นไป บนเส้นทางแบบพุทธ

ตรงนี้ วันดีคืนดีเราก็อาจจะเกิดความรู้สึกขึ้นมา อยู่ๆ อยากเจริญสติ
อยากจะมีปัญญาแบบพระพุทธเจ้า พระอรหันต์ ที่พวกท่านไปถึงที่สุดกันแล้ว
อยู่ๆ มันเกิดความรู้สึกขึ้นมาเฉยๆ
นี่ก็เป็นส่วนหนึ่งของผลบุญที่เราได้สร้างความสว่างขึ้นมา
แล้วให้ความสว่างนั้นน่ะเป็นเป้าหมายนำชีวิตของเรา


แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP