สารส่องใจ Enlightenment

ไม่ผิดศีลก็ไม่ผิดใจคน (ตอนที่ ๒)



พระธรรมเทศนา โดย พระสุธรรมคณาจารย์ (หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ)
วัดอรัญญบรรพต อำเภอศรีเชียงใหม่ จังหวัดหนองคาย



ไม่ผิดศีลก็ไม่ผิดใจคน (ตอนที่ ๑) (คลิก)



อันนี้แหละที่พระศาสดาทรงสอน ให้คนเรารักษาความดีของตนไว้
ให้เหมือนกับเกลือรักษาความเค็ม
ธรรมดาเกลือนะจะไปจมอยู่ในดิน มันก็มีความเค็มอยู่ในดินนั้นแหละ
จะเอาละลายลงไปในน้ำ มันก็ไปเค็มอยู่ที่น้ำ ทำน้ำนั้นให้เค็ม
อันนี้ก็เช่นเดียวกันนั้นแหละ
บุคคลผู้รักษาความดีของตนไว้ได้ จะไปที่ไหนจะอยู่ที่ไหนความดีก็ปรากฏอยู่ในที่นั้น
เป็นที่สรรเสริญเยินยอของคนทั้งหลาย คนทั้งหลายย่อมเคารพยำเกรง


อีกอย่างหนึ่ง พระศาสดาทรงสอนให้คนเรารักษาความดีของตนไว้
เหมือนกับตัวแรดมันรักษานอของมันไว้
ธรรมดาแรดนี้มันสงวนนัก นอของมันน่ะ
ถ้ามันรู้ว่าคนจะเอานอของมันอย่างนี้ มันจะต้องหนี ต้องพ่าย
หรือต้องสู้เอาจนสุดฤทธิ์เลย จนตัวตายนู่นแหละ
มันจะไม่ยอมให้เอานอของมันไปได้ง่ายๆ เลย
แม่ช้างก็เหมือนกันนะ มันก็รักษางาของมันไว้เป็นอย่างดี ฉันใด
พระศาสดาทรงสอนให้พุทธบริษัทนั้นรักษาความดีของตนไว้อย่าให้เสื่อม ก็ฉันนั้น


ดังนั้น ก็ให้พึงพากันพิจารณาตามพุทธโอวาทพุทธศาสนา
ดูว่าทำไมพระศาสดาจึงทรงสอนให้รักษาความดีของตนไว้
ก็เพราะตนจะมีความสุขได้ในขั้นใดๆ อาศัยความดีที่ตนทำนี้เท่านั้น
เราจะไปให้สิ่งอื่นนั้นมาทำให้ตนมีความสุขความเจริญมันเป็นไปไม่ได้
พระศาสดาทรงรู้แจ้งแล้ว ดังนั้นพระองค์เจ้าจึงแนะนำย้ำแล้วย้ำอีก
ให้คนเรานั้นเชื่อมั่นในความดีที่ตนกระทำนี้ให้เต็มร้อยเปอร์เซ็นต์เลย
อย่าไปเชื่ออย่างอื่น เมื่อตนทำความชั่วอย่างนี้นะ มันก็ได้รับผลเป็นทุกข์


มันเห็นได้ทั้งในปัจจุบันนี่แหละ
ไม่เฉพาะแต่ไปเห็นผลในเบื้องหน้าในชาติหน้าเท่านั้น ก็เห็นในปัจจุบันนี่เอง
คนผู้ล่วงศีลล่วงธรรมดังกล่าวมานั้นนั่นแหละ
มันถึงได้เบียดเบียนกันวุ่นวายอยู่ในโลกนี้ เบียดเบียนกัน ไม่ถึงตาย ก็ทุพพลภาพ
หรือเบียดเบียนทรัพย์สมบัติของกันและกัน
เบียดเบียนสามีภรรยากันในทางชู้สาว ปล่อยให้อีกฝ่ายหนึ่งเป็นทุกข์เดือดร้อนอย่างรุนแรง
นี่ใช้กับเบียดเบียนชีวิต ถึงล้มถึงตาย หมู่นี้ล่ะ
มันก็เกิดจากความเป็นผู้ไม่สำรวมจิต ไม่รักษาจิตดวงนี้
ปล่อยให้กิเลสมันครอบงำย่ำยีเอา ปล่อยให้กิเลสมันจูงไปในทางที่ไม่ดีต่างๆ


เพราะฉะนั้นนะ ให้พากันพิจารณาดูให้ดี ก็คนเกิดมาในโลกนี้นะ
เมื่อเพ่งพิจารณาถึงความต้องการแล้วไม่มีอย่างอื่นใดต้องการความสุขอย่างเดียว
ต้องการเงินทองข้าวของ ก็อยากจะได้มาใช้สอยให้มีความสุขสบาย
แต่คนส่วนมากมักจะต้องการแต่ความสุขชั่วคราว จึงได้ดิ้นรนหาแต่เงินแต่ทอง
เข้าใจว่าเงินทองนั้น จะให้ความสุขแก่ตนไปยืดยาวนาน
แท้ที่จริงแล้วมันก็ให้ความสุขได้แค่ชั่วชีวิตนี้เท่านั้นเองนะ
บางทีก็ไม่ถึงชั่วชีวิตด้วยซ้ำถูกโจรเขามาปล้นมาแย่งเอาไปเสียจนหมดก็มี
มันไม่นึกถึงทรัพย์ภายในคือบุญกุศลเลย


บุคคลผู้มีปัญญาทั้งหลายมีพระพุทธเจ้าเป็นต้น
พระองค์จึงแสวงหา ทั้งทรัพย์ภายนอก ทรัพย์ภายใน
ตอนที่พระองค์เป็นพระโพธิสัตว์ทรงสร้างบารมีอยู่
พระองค์ทรงเห็นประโยชน์ทั้งสองอย่าง
ทรัพย์สมบัติอันเป็นส่วนโลกภายนอก เมื่อได้มามากๆ แล้ว
ก็จำแนกแจกทาน ไม่หวงแหน ไม่บริโภคเฉพาะตนเท่านั้น
ทรัพย์ภายใน คือ ความประพฤติสุจริตด้วยกาย วาจา ใจ
ไม่ทำความชั่ว ไม่ฆ่าสัตว์ เป็นต้น
ดังกล่าวมานั้น ก็ทำให้คนดีทั้งหลายนั้นเคารพนับถือ
อยากจะคบหาสมาคม ยอมเป็นบริษัทบริวาร
ดังนั้นพระองค์จึงเป็นผู้มีบริษัทบริวารมาก
นี่เพราะว่าพระองค์กระทำความดีด้วยกายวาจา ใจ ไม่ทำใครให้เดือดร้อน


ดังนั้นแหละการรักษาความดีของตนไว้ได้นี้ จึงชื่อว่าเป็นสิ่งที่ควรกระทำโดยแท้จริง
ถ้าเราไม่รักษากุศลคุณงามความดีไว้แล้ว ไม่ทราบว่าจะไปรักษาอะไรอื่นได้บ้าง
นี้ลองคิดดูให้ดี รักษาอะไรก็ไม่เท่ารักษาความดี คิดให้มันเห็น
ก็รักษาใจให้มันดีซะอย่างเดียวอย่างที่ว่ามานั้นแหละ
การที่ใจมันจะดีได้ก็เพราะต้องกระทำให้มันถูกแบบถูกแผนที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงไว้
ในเบื้องต้นนี้ ก็พยายามเพ่งจิตนี้ให้มันเข้มแข็งให้มันกล้าหาญ ให้มันสงบ
อย่าให้ใจมันอ่อนแอ ถ้าใจอ่อนแอแล้ว มันก็สู้อำนาจกิเลสไม่ได้
กิเลสมันก็จูงไปได้ตามประสงค์


ดังนั้นอย่าไปย่อท้อในการทำความเพียร สมาธิ ภาวนา
ถ้าไปเกียจคร้านไหว้พระภาวนาแล้ว
คนเรานี้ย่อมมีจิตใจไม่มั่นคง ใจเลื่อนลอย เป็นอย่างนั้น
เมื่อเวลาทำการงานอย่างอื่นนะ อดทน หนักเอาเบาสู้ อาบเหงื่อต่างน้ำก็ยอม
เมื่อมานั่งสมาธิภาวนานี้ พอแต่เหน็ดเหนื่อยนิดหน่อยก็ไม่อดไม่ทน ถือว่าเหลือวิสัย
แล้วเช่นนี้จะทำให้จิตใจมันสงบตั้งมั่นลงได้อย่างไรล่ะ
ให้เข้าใจการภาวนานี้แหละ เราต้องอดทนยิ่งกว่าการงานอย่างอื่น
อธิษฐานใจลงไปว่า เรานั่งสมาธิเข้าไปแล้ว
ถ้าจิตนี้ไม่สงบ เราจะไม่ออกจากสมาธินี้เลย
เอาตายกันนี้แหละ เกิดมาทั้งทีทำดีไม่ได้ ตายดีกว่า
เอาตายแลกเอาความดีความสงบ มันได้แน่นอนเลย


แต่ไม่ถึงกับตาย เมื่อไม่กลัวตาย ใจมันก็รวมได้อย่างนี้นะ
เพราะว่าเราไม่ยอมออกไม่ยอมคลายจากสมาธิ
เจ้าจะคิดไปทั่วโลกนี้ก็คิดไป ข้าจะไม่ออกจากสมาธินี้ สู้กัน
เมื่อมันเจ็บมันปวดมันอะไรเข้ามามากๆ เข้า
มันทนไม่ไหว มันก็หยุดคิดส่งส่ายออกไป มันก็รวมลงได้
นี่สัจธรรมมันก็ช่วยพยุงจิตใจให้เข้มแข็งให้ตั้งมั่นลงได้
ถ้าหากว่าไม่มีสัจจะความจริงใจเสียเลยแล้ว
ไม่มีทางจะทำใจให้เป็นสมาธิได้ มันก็มายากอยู่ที่ตรงสมาธินี้แหละ


การปฏิบัติทางจิตใจนี้นะ เรื่องปัญญาแล้วไม่มีปัญหา
ถ้าทำจิตนี้ให้สงบลงได้อย่างสนิทสนมแล้ว ปัญญามันย่อมเกิดขึ้นแน่นอน
อุปมาเหมือนอย่างดวงตาของคนเรานี้นะ การที่ปล่อยให้ตาเกิดมีฝ้าปิดบัง
หรือมีขยะหยากเยื่ออะไรเข้ามา ตานี้ย่อมมัวไป
ทีนี้เมื่อไปหาหมอแล้ว หมอเขาเอายาล้างตาออกให้
เมื่อให้ยาอย่างนี้ เมื่อฝ้าของตาหลุดออกไปแล้ว
ตาก็ย่อมสว่างไสว มองเห็นอะไรได้ชัดเจนอันนี้


ฉันใดก็อย่างนั้นแหละ ก็เมื่อเรามาเพ่งจิตนี้ให้มันสงบให้มันตั้งมั่นลงไปแล้วอย่างนี้
บรรดากิเลสที่มันหุ้มห่อจิตใจให้มัวหมองนี้มันก็ตั้งอยู่ไม่ได้
เช่น ความวิตก เมื่อเพ่งจิตลงไปในความรักความใคร่นี้ มันก็ระงับไป
เมื่อใจตั้งมั่นลงแล้ว ความง่วงเหงาหาวนอนก็ระงับไป
ความฟุ้งซ่านของจิตใจ จิตใจมันชอบคิดเลื่อนลอยไปต่างๆ นานา มันก็ระงับไป
ความสงสัยลังเลในเรื่องบาปบุญคุณโทษ
หรือสงสัยในพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์อันนี้ มันก็ระงับไป
เพราะปัญญามันเกิดขึ้น มันมองเห็นอันนี้


บุญคือความสุขใจ พูดถึงผลอันนี้นะ เมื่อทำใจให้สุขสบายได้นั้นแหละคือบุญ
กุศลคือใจฉลาด ใจมีปัญญา รู้จักความจริงของชีวิต
ความเป็นจริง ชีวิตนี้เป็นของไม่เที่ยง ก็รู้ชัดตามเป็นจริง
ชีวิตนี้ประกอบไปด้วยทุกข์ ทนได้ยากลำบากก็รู้ความเป็นจริง
ชีวิตนี้เป็นอนัตตา ไม่ใช่ของเรา ไม่ใช่ของใคร บังคับไม่ได้ ไม่เป็นไปตามใจหวัง
นี่ก็รู้ นี่ปัญญาหรือกุศลธรรม เมื่อเกิดขึ้นในใจ มันทำให้เกิดความรู้
ยิ่งเห็นจริงในชีวิตตามเป็นจริงอย่างนี้ มันก็ไม่ถือมั่นนะ


เมื่อไม่ถือมั่นในขันธ์ ๕ ความทุกข์ใจก็ไม่มี
ใจที่เป็นทุกข์เดือดร้อนอยู่นี้ก็เพราะมันมายึดถือขันธ์ ๕
ว่าเป็นตัวเป็นตน เราเจ็บตรงโน้น เราปวดตรงนี้ เราเป็นอันนั้น เราเป็นอันนี้
เขาด่าเรา คนนั้นติเตียนเรา คนนั้นไม่ชอบเรา คนนั้นเบียดเบียนเรา อะไรอย่างนี้
พอนึกขึ้นมาก็น้อยใจ โกรธ ขุ่นเคือง
หมู่นี้เมื่อมันมีเรามีเขา มันก็มีแต่ทุกข์ทั้งนั้นเลย
ดังนั้นแหละจงบำเพ็ญกุศลธรรม คือความเฉลียวฉลาดให้เกิดมีขึ้นในจิตใจของตนให้ได้
ความทุกข์ทางใจนี้มันก็จะน้อยเบาบางออกไปจากจิตใจ


ดังแสดงมา ขอจบลงเพียงเท่านี้


- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -


จาก ธรรมโอวาท หลวงปู่เหรียญ ๗
ที่ระลึกงานทอดกฐินสามัคคี วัดป่าพิชัยวัฒนมงคล อ.บางพลี จ.สมุทรปราการ
วันอาทิตย์ที่ ๖ พฤศจิกายน ๒๕๖๕. จัดพิมพ์โดยชมรมกัลยาณธรรม


แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP