ดังตฤณวิสัชนา Dungtrin's Answer

ผู้ที่เพิ่งสูญเสียคนในครอบครัว ควรทำอย่างไรจึงจะเป็นประโยชน์แก่ผู้ที่ล่วงลับ



ถาม - อยากขอ ๓-๕ คำจากคุณดังตฤณ เพื่อเป็นกำลังใจแก่คนที่เพิ่งสูญเสียคนในครอบครัวค่ะ


ถามตัวเองนะครับว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนี่เราห้ามอะไรได้ไหม
หรือว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนี่เราพยายามที่สุด
คือพยายามให้มันมากกว่านี้ แล้วมันจะกลับคืนมาได้ไหม
พอถามตัวเองนะครับว่าเอาตัวเองเป็นที่ตั้ง
ว่าเรามีส่วนที่จะไปยับยั้งหรือว่าจะไปฉุดดึงกลับมาได้ไหม
แล้วได้คำตอบว่าเราทำไม่ได้ มันเกินวิสัยของเรา
มันไม่ใช่วิสัยของมนุษย์ที่จะไปเบรกอะไรได้
มันก็จะเกิดความรู้สึกว่า เออ ตรงนี้มันพ้นขอบเขตความสามารถ
พ้นวิสัยที่เราจะทำอะไรต่อในแง่ของการฉุดรั้งไว้หรือว่าดึงกลับมานะครับ


ทีนี้คือผมไม่ให้เป็นคำ ผมให้เป็นวิธีที่ว่าพอเราได้ข้อสรุปกับตัวเองจริงๆ นะว่า
ความพยายามแบบมนุษย์มันมีขีดจำกัด มันไปรั้งอะไรไว้ไม่ได้
จากนั้นจิตเป็นอย่างไร ถ้าจิตยังเศร้าหมองต่อนะครับ
ถ้าจิตยังมีความรู้สึกที่แย่ๆ อยู่ อาลัยอาวรณ์อยู่
ให้บอกตัวเองว่าถ้าหากผู้จากไป สมมติว่า สมมตินะว่า
ว่าเขาเหลียวมองกลับมา แล้วถ้าเขาอยู่ที่สูงกว่าเรา หรือท่านอยู่ที่สูงกว่าเรา
พอเหลียวกลับมา อ้าว คนที่อยู่ข้างหลังนี่เศร้าหมอง
คุณลองนึกดูว่าจะเกิดอะไรขึ้นนะ
ใจที่อุตส่าห์มันพ้นทุกข์ไปได้จากโลกนี้แล้ว มองกลับมา มันก็จะพลอยรู้สึกเศร้าไปด้วย
รู้สึกอาลัย ยึดติดแบบที่กลับมาหากันไม่ได้อีก
นี่ไปทำให้คนที่ไปดีแล้วกลับมาอยู่กับอารมณ์ร้ายๆ ของเรา
ร้ายในที่นี้หมายความว่ามันยังยึดติดแล้วก็เศร้าโศกเสียใจ ไร้กำลัง ไร้เรี่ยวแรง


หรือถ้าสมมติอีกทาง สมมติว่าคนที่จากไปไปไม่ดี
แล้วมองกลับมาด้วยความคาดหวังว่า เออ เขาจะได้ ได้เราเป็นผู้ช่วย
ส่งบุญ ส่งเสบียง ส่งความสว่าง ส่งความชุ่มชื่นใจไปให้เขาบ้าง
ปรากฏว่าไม่ได้ เพราะว่ามันเจอพวกเดียวกัน
คือฝั่งเขาก็เศร้าอยู่ในภพที่มันต่ำกว่าความเป็นมนุษย์
หวังจะได้รับความช่วยเหลือจากมนุษย์ที่ยังอยู่ในโลกที่ยังทำบุญส่งไปได้
แต่ก็เจอพวกเดียวกัน จิตวิญญาณไม่แตกต่างกันเลย
มีความเศร้าหมอง มีความซูบเซียว มีความหม่นมืด
มีความเป็นอกุศลพอๆ กัน สิ้นหวังเลยคราวนี้


ทีนี้เราก็คือเอาเป็นว่า เราบอกตัวเองว่าเราต้องทำตัวเป็นที่ตั้งของความเป็นที่พึ่ง
เอาเป็นหลักตั้ง ถ้าเขาต้องการที่จะรับความช่วยเหลือ
เราต้องเป็นที่พึ่งได้ เราต้องช่วยได้ด้วยจิตที่ชุ่มชื่น ด้วยจิตที่สว่าง
ด้วยจิตที่มันผ่องแผ้ว ด้วยจิตที่ยังมีความสามารถแบบมนุษย์
ที่จะยกระดับตัวเองจากเศร้าให้กลายเป็นสุข จากอกุศลให้กลายเป็นกุศล
ในภพมนุษย์มันทำได้ตลอดเลยนะ
พลิกแค่นาทีเดียวมันเปลี่ยนจากมืดเป็นสว่างได้เลย แต่ในอีกภพหนึ่งนี่ทำไม่ได้นะ
ถ้าเขาติดล็อกอยู่กับความมืด เขาต้องขอความช่วยเหลือจากเราอย่างเดียว
แล้วเราทำตัวเป็นผู้ช่วยหรือเปล่า เป็นที่พึ่งให้เขาได้หรือเปล่า
หรือถ้าแม้ว่าเขาไปดีแล้วเราไปฉุดเขาลงมาหรือเปล่า
ระลึกอย่างนี้มันจะได้เกิดกำลังของจริงขึ้นมา จะได้แบบว่าสำรวจตัวเอง
แล้วเราตั้งอยู่ในจิตที่ถูกต้องกับความสามารถแบบภพภูมิมุษย์หรือเปล่า


อันนี้ก็จะเป็นส่วนที่ทำให้มีแก่ใจอยากขวนขวายจริงๆ
ด้วยใจจริงๆ ว่าจะทำตัวเองให้มันมีความชุ่มชื่นขึ้น มีความเป็นกุศลมากขึ้น

ไม่อย่างนั้นนะ คือถ้าคิดว่าทำเพื่อตัวเองบางทีมันไม่รู้จะทำไปเพื่ออะไร
เสียบุคคลอันเป็นที่รักไปล้ว แล้วก็เอากลับมาไม่ได้แล้ว
แล้วก็เห็นแก่ใจตัวเอง เห็นใจตัวเอง จะเอาให้ได้อย่างใจตัวเอง
มันก็ไม่รู้จะทำให้มีความชุ่มชื่นขึ้นมาทำไม เพราะว่ามันไม่ได้อย่างใจ
แต่ถ้าคิดว่าทำเพื่อคนอื่น ทำเพื่อคนที่จากไปแล้ว
ซึ่งอาจจะสบายกว่าเราหรือลำบากกว่าเรา
อย่างไรพอเขาย้อนมองกลับมา อย่างน้อยเรายังอยู่ตรงนี้ เป็นที่พึ่งให้กับเขาได้
อันนี้ต่างหากนะครับที่เราจะมีแก่ใจขึ้นมา


แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP