ดังตฤณวิสัชนา Dungtrin's Answer

มีความคิดไม่ดีต่อผู้อื่นอยู่เสมอ ทำอย่างไรจึงจะแก้นิสัยนี้ได้



ถาม - ดิฉันเป็นคนจิตใจไม่ดี ชอบต่อว่าคนอื่นในใจ ทำอย่างไรจึงจะแก้นิสัยนี้ได้คะ


นิยามตัวเองใหม่นะ “เป็นคนจิตใจปกติเหมือนคนธรรมดาทั่วไป”
เดิมทีไม่มีใครคิดดีหรอก เชื่อเถอะ
เพราะว่าพระพุทธเจ้าท่านก็ตรัสนะ
บอกว่าจิตคนเหมือนกับน้ำที่มีธรรมชาติไหลลงต่ำ
คือไม่ต้องไปทำอะไรเลย อยู่เฉยๆ มันไหลลงต่ำได้เอง
เหมือนอย่างความคิดที่คิดไม่ดี มันไม่ใช่อยู่ๆ มีตัวความคิดไม่ดีติดตั้งอยู่ในจิตของเรา
แต่ว่าจิตของเรามันมีความมืดได้มากกว่าความสว่าง มีความทุกข์ได้มากกว่าความสุข
มีความอยากอิจฉาริษยา เปรียบเทียบ เทียบเขาเทียบเรา
มากกว่าที่จะเทียบกับตัวเองเมื่อวานนี้ว่ามันดีขึ้นหรือยัง
อาการของจิตเหล่านี้มันปรุงแต่ง นึกออกไหม
อย่างเวลาเราร้อน เรามักจะนึกอยากด่าคนหรือว่าอยากสาปแช่งคนอยู่ในใจ
แต่เวลาเราหนาวๆ เวลาเรารู้สึกเย็นๆ อากาศสบายๆ เราจะมีแก่ใจมองอะไรดีๆ ได้
จิตมันมีการปรุงแต่งอยู่ตลอดเวลา
ด้วยสภาพแวดล้อมหรือไม่ก็สภาวะของจิตเอง


ถ้าสภาวะของจิตมันกำลังวุ่นวายฟุ้งซ่าน
แล้วก็ชอบไปดูละคร ชอบไปดูอะไรที่มันทำให้รบกวนจิตใจ
มันก็อยู่ในภาวะพร้อมที่จะคิดไม่ดีอยู่ตลอดเวลา
มันอยู่ในภาวะคือเหมือนกับยืนอยู่บนเวที
หรือว่ายืนอยู่ในป่ารกที่มันเต็มไปด้วยยุง เต็มไปด้วยอากาศที่มันอบอ้าว
หรือว่าเต็มไปด้วยสภาพที่มันเป็นพิษ เป็นมลพิษ
เราพร้อมที่จะป่วยไข้ เราพร้อมที่จะรู้สึกตะครั่นตะครอ รู้สึกร้อนๆ หนาวๆ
อาการแบบนี้ของจิตมันทำให้เราคิดไม่ดีอยู่ตลอดเวลา
พร้อมที่จะมองใครไม่ดีอยู่ทุกคน
อย่างเจอใครใหม่ คิดแล้ว เออ คนนี้
สมมติว่าเป็นคนที่ทำงาน จะต้องติดต่อกัน
เอ มันจะโกงหรือเปล่า หน้าตามันดีๆ เดี๋ยวนี้คนหน้าตาดีๆ จิตใจมันชั่วร้าย
มันคดโกง มันชอบเอาเปรียบ มันโน่นนี่นั่น


คือเราเสพแต่ข่าวหรือว่าเจอแต่ประสบการณ์
ที่มันเหมือนกับบีบให้เราคิดไปในทางนั้น
แล้วมันก็เกิดความเคยชินที่จะคิดกับทุกคนที่เจอหน้าใหม่ๆ
หรือแม้กระทั่งคนที่เราอยู่ด้วยมานาน บางทีก็คิดระแวง
เพราะปัจจุบันมีสมบัติส่วนตัวเป็นมือถือกัน มันจ้องแล้ว
เอ๊ะนี่ก้มหน้าคุยยิ้มๆ นี่คุยกับใคร
หรือเอ๊ะนี่พิมพ์จังเลย พิมพ์อยู่นั่นแหละ ไม่หยุดเสียที
แอบโฉบผ่านไปแล้วดู เอ๊ะนี่คุยเรื่องอะไรกับใคร อ้าว เออ นี่คุยกับผู้ชายไม่เป็นไร
อะไรแบบนี้มันเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา แล้วการที่เราไม่มีช่วงเว้นวรรคเลย
มันก็กลายเป็นปฏิกิริยาลูกโซ่ทางความคิดลบ


ปฏิกิริยาลูกโซ่ทางความคิดลบมีความหมายอย่างไร
มีความหมายว่าพอความคิดไม่ดีกับคนคนหนึ่งมันเกิดขึ้น
ทำให้จิตใจของเราแย่ เต็มไปด้วยความระแวง เต็มไปด้วยความระวัง
เต็มไปด้วยความรู้สึกเคียดแค้นเก่าๆ
เต็มไปด้วยความความรู้สึกเหมือนกับอยากจะเอาให้ได้แบบเขาบ้าง
ขอลัดๆ ได้ไหม วิธีอะไรแบบไหนที่มันได้เร็วๆ แบบเขา อยากได้แบบนั้นน่ะ
ความรู้สึกแย่ๆ ที่ตกค้างอยู่ ขยะทางอารมณ์ที่มันไม่ไปไหน
มันเหมือนกับขยี้ขยำให้จิตมันเป็นก้อนๆ มันเป็นอะไรที่มันมั่วๆ
และความรู้สึกมั่วๆ เป็นก้อนๆ ร้อนๆ ตรงนั้น มันก็ผลิตความคิดไม่ดีระลอกต่อมา
ไม่ต้องเจอหน้าใคร มันคิด มันคิดถึงหน้าคนเก่าๆ
ที่เรารู้สึกเกลียดชังหรือเรารู้สึกระแวงอยู่
เพราะฉะนั้นมันก็เกิดเป็นความคิดไม่ดีขึ้นมา
แล้วความคิดไม่ดีนั้นมันก็ไปทำให้อกุศลจิตยังคงอยู่ คือเลี้ยงอกุศลจิตไว้
เพราะฉะนั้นไปเจอคนใหม่ ไปเจอคนต่อมา มันก็คิดไม่ดีกับเขาอีก
นี่แหละปฏิกิริยาลูกโซ่ทางความคิดไม่ดี มันเป็นแบบนี้
คิดไม่ดีแล้วเกิดอกุศลจิต อกุศลจิตทำให้เกิดความคิดไม่ดี ความคิดไม่ดีทำให้เกิดอกุศลจิต
อย่างนี้เรียกว่าปฏิกิริยาลูกโซ่ทางอกุศลธรรม
คิดไม่ดีแล้วก็เกิดอกุศลจิต อกุศลจิตก็ไปจุดชนวนความคิดไม่ดีต่อไปเรื่อยๆ ไม่รู้จบ


ถามว่าทำอย่างไร นี่แหละตอนที่เราเริ่มต้นตั้งคำถามแบบนี้
เขาเรียกว่าเป็นศุภนิมิต ในโลกทางวิญญาณ เขาถือว่าเป็นศุภนิมิตแล้ว
ถ้าสมมติว่าเรามีเทวดาคอยดูแลรักษาอยู่ พอแค่เราตั้งคำถามนี้ ท่านเห็นแล้ว
นี่มีแสงสว่าง มีอะไรบางอย่างที่มันเป็นกุศลเกิดขึ้นมาในจิตของเราแล้ว
ทีนี้ทำอย่างไรให้ชนวนที่มันเกิดขึ้นนี้ กลายเป็นปฏิกิริยาลูกโซ่ทางกุศลจิตขึ้นมา
นั่นก็คือเราเคยมองแง่ไม่ดีของคนไว้อย่างไร จำแง่ไม่ดีของคนไว้อย่างไร
ลองงัดเอาแง่ดีของเขาขึ้นมาทันทีที่คิดไม่ดีเกี่ยวกับเขา
คนเรามีทั้งมืดทั้งสว่าง มีทั้งดีมีทั้งไม่ดี
แล้วก็ความทรงจำของเราเกี่ยวกับตัวเขาก็ต้องมีทั้งดีและไม่ดีเหมือนกัน


ทันทีที่แอบคิดไม่ดี จะอยู่หน้าเขาหรือว่าลับหลังเขาก็ตาม
บอกตัวเองว่าเรื่องไม่ดีของเขาเป็นกรรมของเขา ที่คิดไม่ดีนี่คือกรรมของเรา
ถ้าหากว่าเราตั้งใจจะเปลี่ยนจากความคิดไม่ดีนี้ให้กลายเป็นความคิดที่ดีขึ้น
ชีวิตของเราก็จะพลิกจากลักษณะคว่ำเป็นหงายขึ้นมา

เตือนตัวเองให้ได้แบบนี้บ่อยๆ ทันทีที่นึกเรื่องไม่ดีของใคร
ง่ายๆ เลยเอาเรื่องดีมาชน เอาของดีมาสู้
เหมือนกับให้มีสองคนอยู่ในตัวเรารู้แล้วรู้รอดไปเลย
ฝ่ายหนึ่งมันตั้งหน้าตั้งตาจะฉุดตัวเองลงต่ำ
อีกฝ่ายหนึ่งก็ตั้งอกตั้งใจที่จะฉุดตัวเองขึ้นสูง
พอมันมีความเคยชินสักครั้งสองครั้งที่เวลาคิดไม่ดีกับใคร
แล้วนึกถึงแง่ดีของเขาขึ้นมาทันที ครั้งแรกๆ เหมือนจะแพ้
เพราะว่าคนมักจะสู้ความเคยชินที่ผ่านๆ ของตัวเองไม่ค่อยจะได้หรอก


แต่ถ้าหากว่าเรายังมีแก่ใจที่จะทำให้เกิดขึ้นครั้งที่สอง ครั้งที่สามไปเรื่อยๆ
ในที่สุดปฏิกิริยาลูกโซ่ทางความคิดดีมันจะจุดติด จุดชนวนติด
สังเกตได้ว่าทันทีที่ตั้งใจจะคิดไม่ดีกับใคร มันเอะใจขึ้นมา นี่อย่างนี้เกิดสติ
เรียกว่ารู้ตัวว่ากำลังคิดไม่ดี แล้วนึกทันที ถึงอะไรดีๆ เกี่ยวกับตัวคนคนนั้น
ต่อให้เขาเคยทำให้เราเจ็บใจมาขนาดไหนก็ตาม
อาจจะนึกแง่ดีว่าเขาเป็นคนที่กตัญญูกับพ่อแม่เขา ดูเขารักลูกเขานะ
หรือว่าท่าทางเขาถึงแม้ว่าจะโผงผาง ถึงแม้ว่าพูดจาจิกกัดให้เราเจ็บใจได้ง่ายๆ
แต่ก็ดูท่าทางซื่อสัตย์ดี ไม่ได้คดโกง ไม่ได้เจ้าเล่ห์ อะไรแบบนี้
มันหาเรื่องดีๆ ที่จะเอามารีบสู้กัน หรือกลบทับความทรงจำที่มันเป็นลบของเรา
เราอาจไม่ได้ถึงขนาดว่าเปลี่ยนจากเกลียดเป็นรัก หรือว่าเปลี่ยนจากหมั่นไส้เป็นชื่นชม
แต่อย่างน้อยมันเปลี่ยนจากความมืดในใจของเราเอง เป็นความสว่างขึ้นมาได้
แล้วถ้ามันสว่างบ่อยๆ เราจะติดใจรสชาติความสว่างนั้นมากขึ้นทุกทีนะครับ



แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP