ดังตฤณวิสัชนา Dungtrin's Answer
ควรเจริญภาวนาในช่วงเวลาใดของวัน
ถาม - เราจำเป็นต้องกำหนดเวลาในการสวดมนต์ นั่งสมาธิ และเดินจงกรมไหมคะ
ถ้าตื่นตั้งแต่เช้ามืดแต่ยังรู้สึกง่วง พอสวดมนต์ก็เหมือนสวดไปอย่างนั้น
หรือควรนอนให้เต็มที่แล้วตื่นมาสวดแบบมีสติ โดยปฏิบัติในเวลาใดก็ได้
แบบไหนจะดีกว่ากันคะ
เวลาที่ดีที่สุดที่เราควรใช้ภาวนา คือเวลาที่เรายังไม่มีขยะทางอารมณ์ในหัว
ซึ่งก็คือช่วงตื่นนอนนั่นแหละ
ช่วงตื่นนอน ขยะทางอารมณ์ที่มีอยู่ชิ้นเดียว
ก็คือความรู้สึกตกค้างจากอารมณ์ในฝัน
พอเรานอน จะฝันอะไรก็แล้วแต่ ตื่นขึ้นมามันจะตกค้างอยู่ในหัว
ถ้าฝันดีมันก็จะมีความสุขตกค้างอยู่ในใจ
แล้วก็ภาพอะไรๆ ที่มันดีๆ มันก็จะยังวุ้งวิ้งๆ อยู่
แต่ถ้าฝันร้ายแล้วมันมีความคุกรุ่น มันมีความรู้สึกไม่สบายใจอยู่ลึกๆ
บางทีลืมแล้วว่าฝันอะไร รู้แต่ว่าฝันเมื่อกี้มันไม่สบายใจ มันอึดอัด
จะเป็นความอึดอัดไม่สบายใจ
หรือว่าเป็นความรื่นรมย์อารมณ์ดีก็ตามหลังจากที่ออกจากฝัน
มันยังไม่ใช่ขยะทางอารมณ์ในแบบจริงจัง มันเป็นอะไรที่มันลอยๆ
ตรงนี้ที่ทำให้บางทีเราอาจจะมาสวดแบบงึมงำได้
ตอนที่อารมณ์ที่มันลอยๆ แล้วเราอยู่กับมัน
มันมีความรู้สึกเหมือนกับว่าครึ่งหลับครึ่งตื่น
หรือว่าตื่นขึ้นมายังไม่เต็มตา ฝันยังไม่จบสุดทางของมัน
ตัวนี้ก็พิจารณาว่าอาจจะไม่ใช่เวลาที่เราตื่นมา
แล้วจะภาวนาได้หรือว่าสวดมนต์ดี
แต่ต้องมีครับ ต้องมีจังหวะหนึ่ง ลองจับเวลาของตัวเอง
ลองจับจังหวะของตัวเอง จับจุดของตัวเองให้ถูก
มันจะมีอยู่เวลาหนึ่งที่ตื่นขึ้นมาแล้วมันรู้สึกสดชื่น รู้สึกมีกำลังวังชา มันรู้สึกตื่นเต็ม
ซึ่งอาจจะไม่ใช่ว่านอนนานขึ้น ตรงข้ามอาจนอนให้น้อยลง
สำหรับบางคน ผมสมมติง่ายๆ จะต้องตื่นเช้าขึ้นมาเพื่อไปทำงาน
ตอนนี้รถก็ติดกันเหลือเกิน ออกจากบ้านนี่ขืนออกหกโมงครึ่งหรือว่าเจ็ดโมง
ไปนู่นถึงเก้าโมง ช้าเกินไป ก็เลยต้องออกจากบ้านเร็วกว่านั้น
ทีนี้คนปกติก็จะตื่นกันประมาณตีห้าครึ่งหรือว่าบางคนก็หกโมง
คือคำนวณไว้แล้วว่าบ้านกับที่ทำงาน
สามารถเดินทางได้จากหกโมงครึ่งเจ็ดโมง ไปถึงที่ทำงานพอดีเวลางานนะครับ
ทีนี้ถ้าเราตื่นขึ้นมา สมมติตีห้าครึ่ง
แล้วเรารู้สึกว่าเป็นเวลาที่มันก็มีกำลังวังชาดี แต่ต้องรีบออกจากบ้าน
เพราะฉะนั้นก็ไม่มีเวลาที่จะสวดมนต์ หรือว่ามานั่งสมาธิ มาเดินจงกรมอะไร
คือใจมันจะเร่งๆ คนกำลังจะไปทำงานนะ มันจะรู้สึกว่าตื่นตีห้าครึ่งก็จริง
มันก็ไม่ถือว่าสาย แต่ว่าถ้าช้าไปเดี๋ยวมันจะไปไม่ทันทำงาน
ตัวเร่งๆ มันทำให้ไม่พร้อมที่จะมาสวดมนต์แม้แต่แค่สองนาทีสามนาที
มันจะไม่รู้สึกว่านั่นเป็นแค่สองนาทีสามนาที แต่มันมีความรู้สึกว่าต้องรีบไปทำงาน
พูดง่ายๆ เวลานี่มันอยู่ที่ใจเราด้วย ว่าใจเราสามารถที่จะแบ่งได้หรือเปล่า
เพราะฉะนั้นถ้าตีห้าครึ่งแล้วรู้สึกว่าใจมันเร่งๆ ไม่สามารถที่จะสวดมนต์ได้อย่างสงบ
ก็ลองตื่นตีห้า บอกว่า เออ ถ้าตีห้าครึ่งนี่เราไปทำงานทัน
เพราะฉะนั้นตื่นตีห้าก็แปลว่ามีเวลาครึ่งชั่วโมงก่อนจะถึงตีห้าครึ่ง
ครึ่งชั่วโมงนั้นถ้าเรารู้สึกว่ามันก็พอนี่ มันก็โอเคนี่
ตื่นขึ้นมาแล้วเราก็นอนพอแล้ว
ก็ให้ตื่นตีห้าสม่ำเสมอ มีความรู้สึกอิ่ม มีความรู้สึกเต็มมากพอ
มีกำลัง มีความพร้อมที่จะมาสวดมนต์ ก็เลือกเอาตีห้า
แต่ถ้าตีห้ามันรู้สึกว่ายังไม่ไหว ลองปรับมาเป็นตีห้าสิบห้า
จะโอเคไหม มีเวลาสิบหน้านาทีในการสวดมนต์แล้วก็นั่งสมาธิ
ถ้ามันไม่ได้อีก ลองปรับย้อนไปเป็นตีห้าสี่สิบห้า มันต้องมีสักเวลาหนึ่ง
คือห้านาทีหรือสิบนาทีนี่มีความหมายนะ มันมีความหมายมากๆ
เพราะว่าร่างกายของเรา ระบบชีวะในร่างกายมนุษย์ การทำงานของสมอง
เวลาแค่ห้านาทีสิบนาที มันเปลี่ยนโหมด (mode) เลยนะ
มันสวิตช์ (switch) มันแตกต่างได้
ซึ่งถ้าเราหาเวลานั้นเจอ ก็แปลว่าเราหาจังหวะที่สมองกำลังตื่น
กำลังมีความพร้อมที่จะลุกขึ้นมาทำงาน
สรุปง่ายๆ คือให้หาว่าจังหวะไหนที่มันจะโอเคกับตรงนี้นะครับ
คือไม่ใช่ว่าไปฟิกซ์ (fix) เวลาตามชาวบ้านเขาหรือว่าแม้แต่ตามครูบาอาจารย์
ถ้าเราเป็นฆราวาสอยู่อย่างนี้
เอาเวลาที่ถือว่ากำลังเวิร์ก (work) สำหรับตัวเอง
เป็นหลัก เป็นที่ตั้ง เป็นจุดมุ่งหมายนะครับ
< Prev | Next > |
---|