จุดหมายปลายธรรม Destination@Dharmma
ตายตาไม่หลับ
งดงาม
This e-mail address is being protected from spambots. You need JavaScript enabled to view it
เมื่อช่วงต้นเดือนตุลาคม ๒๕๖๖ ที่ผ่านมา
ผมได้ไปร่วมงานศพญาติธรรมท่านหนึ่งที่รู้จักกันมาหลายปีแล้ว
ซึ่งญาติธรรมท่านนี้เสียชีวิตจากโรคมะเร็ง
โดยที่ก่อนที่จะป่วยเป็นโรคมะเร็งนั้น เขาก็ประกอบอาชีพมีรายได้สูง
แต่ก็มีภาระทางครอบครัวที่ต้องดูแล กล่าวคือเขาหย่าร้างกับคู่สมรสแล้ว
และมีบุตรเล็กคนหนึ่งและมีพ่อแม่สูงวัยที่ต้องดูแล
เมื่อป่วยเป็นโรคมะเร็งแล้ว เขาได้เลือกใช้วิธีการรักษาทำคีโมและฉายแสง
ซึ่งมีค่าใช้จ่ายในการรักษาที่สูงมาก โดยจากเดิมที่มีรายได้ร่วมแสนบาทในแต่ละเดือน
และมีที่ดินส่วนตัวมูลค่าเป็นล้านบาท กลายเป็นต้องเที่ยวคอยยืมเงินเพื่อน ๆ ไปทั่ว
และต้องขายที่ดินส่วนตัวของตนเอง เพื่อนำเงินมาใช้ในการรักษา และใช้จ่าย
จนกระทั่งต่อมา เพื่อน ๆ ที่รู้จักก็หลีกหนีหาย และหลบเลี่ยงไม่รับโทรศัพท์ของเขา
เพราะว่าโทรคุยกันทีไร ก็มีแต่เรื่องยืมเงิน และช่วยกันไม่ไหวแล้ว
ในงานศพของเขานั้น คนในครอบครัวของญาติธรรมท่านนี้ได้เล่าให้ฟังว่า
ในช่วงเวลาสุดท้ายนั้น น้ำหนักตัวของเขาเหลือเพียงยี่สิบกว่ากิโลกรัม
และในเวลาที่ตาย เขาก็ตายแบบตาไม่หลับ คือตายังลืมโพลงอยู่ เอามือปิดให้ก็ไม่ปิด
โดยเข้าใจว่าเขาก็น่าจะยังเป็นห่วงบุตร และพ่อแม่ รวมทั้งปัญหาหนี้สินต่าง ๆ ที่สะสมอยู่
ซึ่งก่อนหน้านี้ เขาก็ตั้งใจอย่างมากว่า ตนเองจะต้องหาย เพื่อมาทำงานใช้หนี้
และดูแลบุตรต่อไปให้เรียนจนจบ
แม้ว่าผมจะได้รู้จักญาติธรรมท่านนี้มาเป็นเวลาหลายปีแล้วก็ตาม
แต่ก็เป็นแค่เพื่อนธรรมดาและไม่ได้สนิทมาก
โดยตอนที่ญาติธรรมท่านนี้เริ่มป่วย และทำคีโมและฉายแสงในช่วงแรกนั้น
ผมก็ได้ขอให้เพื่อนที่สนิทกับญาติธรรมท่านนี้
นำข้อมูลเรื่องวิธีการรักษาทางเลือกอื่นไปให้เขาด้วย
โดยได้ให้คำแนะนำว่าจะต้องวางแผนทางการเงินในเรื่องค่าใช้จ่ายในการรักษา
และค่าใช้จ่ายที่ต้องรับผิดชอบดูแลครอบครัวให้เหมาะสมด้วย
เพราะหากเราเลือกวิธีการรักษาที่ใช้ค่าใช้จ่ายสูงมาก
โดยที่ไม่ได้มีอะไรรับประกันได้ว่า เราจะหายแน่นอนแล้ว
ในกรณีที่เราเกิดรักษาไม่หายแล้ว ย่อมกลายเป็นว่าจะพาครอบครัวเดือดร้อนไปด้วย
แต่ว่าญาติธรรมท่านนี้ก็ไม่สนใจ และเลือกแนวทางการรักษาที่มีค่าใช้จ่ายสูงเช่นเดิม
ยกตัวอย่างว่า หากญาติธรรมท่านนี้เลือกวิธีการรักษาวิธีการอื่นที่ค่าใช้จ่ายน้อยแล้ว
แม้ว่าท้ายที่สุด เขาจะเสียชีวิตแล้ว แต่ว่าในครอบครัวก็ยังมีทรัพย์สินเหลือเป็นล้านบาท
ซึ่งก็ยังเพียงพอที่จะช่วยส่งลูกให้เรียนได้จนจบ
และแบ่งเบาภาระของพี่น้องที่เหลือในการดูแลพ่อแม่ที่สูงวัยต่อไปได้
โดยที่ไม่ได้มีหนี้สินยืมเพื่อน ๆ มาจำนวนมาก
และเพื่อน ๆ ก็จะมีกำลังช่วยนำเงินมาช่วยเหลือครอบครัวของญาติธรรมได้มากกว่านี้
แต่เมื่อตัดสินใจเลือกวิธีการรักษาที่มีค่าใช้จ่ายสูงมากแล้ว
รายได้ที่หาได้มาในแต่ละเดือน ก็ต้องนำไปใช้ในการรักษา และใช้จ่าย
ที่ดินส่วนตัวที่มีอยู่ ก็ต้องนำไปขาย เพื่อนำเงินมารักษา และใช้จ่าย
โดยในช่วงที่รักษานั้น ก็มีหลายช่วงเวลาที่ทำงานไม่ได้ หรือทำงานได้น้อยมาก
ก็ทำให้รายได้ลดลง หรือไม่มีรายได้ ซึ่งก็ทำให้ต้องหยิบยืมเงินเพื่อน ๆ จำนวนมาก
ซึ่งหากย้อนเวลาได้ และทราบว่าในท้ายที่สุดแล้ว จะต้องประสบผลลัพธ์เช่นนี้
เชื่อว่าญาติธรรมท่านนี้น่าจะตัดสินใจอีกแบบหนึ่งครับ
แต่ว่าในเวลานั้น ญาติธรรมท่านนี้ก็เชื่อมั่นว่าแนวทางที่เลือกนั้นดีที่สุด และตนเองจะหาย
โดยเรื่องที่ได้เล่ามา ก็เป็นอุทาหรณ์นะครับว่า
การตัดสินเลือกแนวทางรักษาในยามเจ็บป่วยร้ายแรงนั้น
เป็นสิ่งที่มีความสำคัญมาก เพราะหากตัดสินใจผิดแล้ว
ย่อมอาจทำให้ถึงขั้นสูญเสียทรัพย์สินเงินเก็บที่มี และนอนตายตาไม่หลับได้
ดังนี้ การที่ศึกษาข้อมูลวิธีการดูแลรักษาตัวเราไว้ล่วงหน้า
ย่อมจะเป็นสิ่งที่มีประโยชน์อย่างมากครับ
บางท่านอาจจะแย้งว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงสอนว่า
พึงสละทรัพย์ เพื่อรักษาอวัยวะไม่ใช่หรือ
ผมขอตอบว่าใช่ครับ พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงสอนเช่นนั้น
แต่ว่าเราก็ต้องมีปัญญาพิจารณาสถานการณ์ด้วยว่า
สถานการณ์มันเป็นไปตามคำสอนหรือไม่
หากสละทรัพย์แล้ว สามารถรักษาชีวิตได้ ก็พึงกระทำ
แต่หากสละทรัพย์แล้ว ก็รักษาชีวิตไม่ได้อยู่ดี และนำพาครอบครัวเดือดร้อนไปด้วย
จะเป็นสิ่งที่พึงกระทำเช่นนั้นหรือ
ในกรณีนี้ หากเราได้เลือกแนวทางการรักษาที่เหมาะสมกับฐานะ
และเหมาะสมกับแผนทางการเงินในเรื่องค่าใช้จ่ายในการรักษา
และค่าใช้จ่ายที่ต้องรับผิดชอบดูแลครอบครัวแล้ว ย่อมจะเป็นประโยชน์แก่ทุกฝ่าย
โดยท้ายที่สุดแล้ว แม้ว่าเราจะรักษาไม่หายก็ตาม
เราก็ยังอุ่นใจได้ว่าครอบครัวก็ยังมีทรัพย์สินเหลืออยู่ส่วนหนึ่งสำหรับใช้จ่ายต่อไป
โดยการที่เราจะตัดสินใจเลือกแนวทางรักษาเช่นนี้ได้
สิ่งสำคัญประการหนึ่งคือ เราพึงเจริญมรณานุสติครับ
โดยเราพึงเข้าใจว่าเราย่อมมีความตายเป็นธรรมดา
และควรเตรียมพร้อมสำหรับความตายของเรา
ไม่ใช่ว่าเราจะคิดหรือเชื่อแต่ว่า เราจะหาย เราจะรอด และเราจะไม่ตาย
โดยเราพึงคิดด้วยว่า แล้วถ้าเราไม่หาย เราไม่รอด และเราตายล่ะ จะเป็นยังไง
ดังนั้น ความรู้ในเรื่องการดูแลรักษาสุขภาพ และวิธีการรักษาทางเลือกอื่น ๆ
รวมทั้งการพิจารณาวางแผนทางการเงินของชีวิตเรา
ซึ่งมีภาระต้องรับผิดชอบดูแลคนอื่น ๆ ในครอบครัวนั้น
ย่อมมีความสำคัญ โดยไม่ควรรอให้เกิดเหตุป่วยร้ายแรง
จึงค่อยมาศึกษา เพราะว่าย่อมจะไม่ทันการณ์เสียแล้ว
อนึ่ง ในเรื่องของการศึกษาเพื่อการพ้นทุกข์นั้น ก็เช่นกัน
ย่อมเป็นเรื่องที่ต้องศึกษาไว้ล่วงหน้า เพราะเป็นเรื่องที่มีความสำคัญเร่งด่วน
โดยต้องใช้เวลาไม่น้อยในการศึกษา และปฏิบัติเพื่อให้เข้าใจ
ใน “เจลสูตร” (พระสุตตันตปิฎก สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค) นั้น
พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสถามภิกษุทั้งหลายว่า ภิกษุทั้งหลาย
เมื่อผ้าหรือศีรษะถูกไฟไหม้แล้ว จะควรกระทำอย่างไร?
ภิกษุทั้งหลายกราบทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ เมื่อผ้าหรือศีรษะถูกไฟไหม้แล้ว
ควรจะกระทำความพอใจ ความพยายาม ความอุตสาหะ ความไม่ย่นย่อ
ความไม่ท้อถอย สติและสัมปชัญญะอย่างแรงกล้า เพื่อดับผ้าหรือศีรษะนั้น.
แต่พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสตอบว่า ภิกษุทั้งหลาย บุคคลพึงวางเฉย
ไม่ใส่ใจถึงผ้าหรือศีรษะที่ถูกไฟไหม้ แล้วพึงกระทำความพอใจ ความพยายาม
ความอุตสาหะ ความไม่ย่นย่อ ความไม่ท้อถอย สติและสัมปชัญญะอย่างแรงกล้า
เพื่อตรัสรู้อริยสัจ ๔ ที่ยังไม่ตรัสรู้ตามความเป็นจริง
https://84000.org/tipitaka/read/v.php?B=19&A=10419&Z=10431&pagebreak=0
โดยจะเห็นได้ว่าพระผู้มีพระภาคเจ้าได้ทรงเปรียบเทียบให้เห็นความสำคัญเร่งด่วน
ของการใช้ความพยายามของเราในการศึกษาเรียนรู้อริยสัจ ว่ามีความเร่งด่วนอย่างยิ่ง
จึงไม่ใช่เรื่องที่จะมารอให้เกิดความทุกข์ก่อนแล้วค่อยมาเรียนรู้ครับ
< Prev | Next > |
---|