วรรณกรรมนำใจ Lite Literature

เร้น ๘



Ren



ชลนิล


(ต่อจากฉบับที่แล้ว)



            มีนาตั้งสมาธิใจจดจ่อกับร่างสีเทาที่ปรากฏวอบแวบข้างหน้า คอยเดินตาม เลี้ยวซ้ายเลี้ยวขวา และหยุดนิ่งเมื่อธันวาแตะไหล่เป็นเชิงเตือนให้หลบคนในสำนักงานทนาย ใจเต้นตึกตัก ทั้งกลัวทั้งตื่นเต้น

            นึกถึงคำถามตนเองขณะวางแผนกันบนรถ



            “เราแค่ไปบอกทนายความให้พาไปที่ตู้เก็บเอกสารไม่ง่ายกว่าเหรอ...ทำไมต้องแอบไปขโมยของตัวเองด้วย”

            “ถ้าเขาอยากคืนโฉนดให้เรา ก็คงคืนให้แต่แรก ตอนคุณย่าขอแล้วล่ะลูก” ดวงสุดาบอก

            “พวกนั้นมีเจตนาเก็บของพวกนี้ไว้ต่อรองกับเรา...แล้ว...ถ้ายังไม่มี ‘คำอนุญาต’ จากนายใหญ่ตัวจริง ก็ยังไม่กล้าคืน ต้องดึงเกมไว้ก่อน” ธันวาอธิบายสรุปจากข้อมูลเท่าที่รู้มา



            หญิงสาวยอมรับ พยายามทำหน้าที่อย่างดีที่สุด เป็นนักแกะรอยตามดวงวิญญาณด้วยใจตุ๊ม ๆ ต่อม ๆ ขนลุกเป็นระยะ ร่างที่เห็นอาจไม่น่ากลัวเหมือนผีหน้าเละอย่างในทีวี หนังสยองขวัญ แต่คลื่นความเป็นตัวตนของผู้อยู่ต่างภพมีกระแสความหม่น อึดอัด ไม่ชวนให้เข้าใกล้เลย

            ถ้าไม่มีธันวาอยู่ใกล้จนแทบสัมผัสลมหายใจกันขนาดนี้ หล่อนคงขาอ่อน ก้าวตามร่างข้างหน้าไม่ไหวเช่นกัน

            ภายในสำนักงานทนายความจัดห้องหับซับซ้อน มีทางเลี้ยว หลืบมุมชวนเวียนหัว มีนาคิดว่าตู้เอกสารน่าจะอยู่บนห้องชั้นสอง แต่วิญญาณเสี่ยหมงกลับพาลัดเลาะมาทางด้านหลัง ผ่านห้องเก็บของ เอกสารไม่สำคัญ ห้องน้ำพนักงาน ไปยังมุมประตูด้านหนึ่ง ซึ่งไม่มีการปิดล็อคอะไรเลย

            เปิดประตูห้องเข้าไปง่ายดาย พบชั้นวางอุปกรณ์ทำความสะอาด ไม้ถูพื้น เครื่องมือช่าง ดูเผิน ๆ ไม่น่าสะดุดตา พอมองดี ๆ จะเห็นว่ามันเป็นการพรางตาประตูอีกบานอย่างแนบเนียน

            ประตูบานนั้นไม่มีบานล็อคใด นอกจากแผงสวิตซ์รูดคีย์การ์ด กับใช้เลขรหัสเปิด

            มีนาเงยหน้ามองชายหนุ่มเป็นเชิงปรึกษาว่าควรทำอย่างไร

            “ถามเขาสิ” ธันวาพูดพอได้ยินสองคน

            ดวงหน้าเสี่ยหมงหันมามองราวกับรับรู้เจตนาชายหนุ่ม ดวงตาซีดจางคล้ายปลาตายนั้นแสดงอาการบางอย่างที่มีนาเห็นแล้วขนลุกซู่ เผลอถอยหลังจนชิดร่างจิตแพทย์หนุ่ม

            ธันวาแตะไหล่หญิงสาวเบา ๆ สัมผัสถึงความกลัวในใจอีกฝ่าย ปลายนิ้วบีบต้นแขนแทนการถ่ายทอดกำลังใจ

            มีนาข่มความกลัว ค่อยชี้นิ้วไปที่แป้นคีย์บอร์ดข้างประตู เอ่ยปากเสียงแผ่ว

            “รหัสอะไร”

            ดวงตาลอยทื่อนั้นแสดงอาการเข้าใจคำถาม หันไปที่แป้น ยื่นนิ้วมือซีดเทาออกไปกดรหัสให้เห็นช้า ๆ

            มีนาตั้งสติ มองอย่างตั้งใจ พอนิ้วมือเสี่ยหมงละจากแป้น เธอก็ยื่นนิ้วไปกดรหัสตามทันทีราวกับกลัวจะหลงลืม

            เสียงดังคลิก...ล็อคถูกปลด บานประตูแง้มเล็กน้อย

            สองหนุ่มสาวเข้าไปในห้องลับ กดสวิตช์ไฟแล้วยืนนิ่งมองภายในห้องเก็บรายละเอียดอย่างรวดเร็ว

            มันดูไม่ต่างจากห้องเก็บเอกสารทั่วไป มีช่องระบายอากาศเล็ก ๆ ด้านบน ผนังสี่ด้านทึบตัน ดูแข็งแรงคล้ายห้องนิรภัยในธนาคาร เห็นแล้วไม่แปลกใจว่าทำไมเสี่ยหมงถึงเก็บเอกสารสำคัญไว้ที่นี่แทนบ้านตนเอง

            ตู้เอกสารถูกวางชิดผนังเรียงกันสามตู้ ความสูงลดหลั่นกัน ธันวาหยิบลูกกุญแจดอกที่ณีรนุชบอกว่าใช้ไขตู้เก็บโฉนดมาถือ แล้วเดินไปดู สังเกตเปรียบเทียบกับแม่กุญแจที่ล็อคตู้แต่ละใบ ก่อนเสียบลูกกุญแจไขยังตู้ใบหนึ่งโดยไม่ต้องให้มีนาเอ่ยถามผีว่าเป็นตู้ใบไหน

            ...กริ๊ก...กุญแจถูกไข ตู้เปิดออก

            ชายหนุ่มถอนใจเบา มองเห็นเอกสารสำคัญหลายอย่างถูกวางเป็นระเบียบ แยกประเภทอยู่ในตู้ใบนั้น เขาใช้เวลาไม่นานก็สามารถหาโฉนดที่ดินคุณย่าร้อยกรองพบ...ดึงมันออกมาตรวจสอบจนแน่ใจแล้วจึงจัดเอกสารภายในให้เหมือนเดิม ก่อนปิดตู้ เตรียมกลับไปยังห้องรับรองแขก

            “เดี๋ยว!” มีนาเรียกเสียงเบา มือเย็นเฉียบรั้งแขนชายหนุ่มไว้

            ธันวาก้มมองเธอด้วยแววตาสงสัย ใบหน้าหญิงสาวค่อนข้างซีด รอยหวั่นปรากฏในแววตา ก่อนชี้มือไปทางตู้ใบสุดท้ายตรงมุมห้อง

            “เขา...บอกว่า...ให้เอาเอกสาร...ในตู้นั้น...ไปด้วย...” มีนาพยายามพูดไม่ให้เสียงสั่น พอจบก็ถอนใจเฮือกใหญ่

            “ใช้กุญแจดอกไหน” ธันวาถาม

            “...ลองเองได้มั้ย...” หญิงสาวกัดฟันพูดเสียงดุ “อย่าให้ฉันต้องคุยกับเขาบ่อย ๆ”

            ดวงตาชายหนุ่มมีรอยขัน รู้สึกถึงอาการเกร็ง พยายามข่มความกลัวของหญิงสาวแล้วอยากหัวเราะขึ้นมา

            ...นี่ขนาดพิจิกบอกว่า มีนาโตจนเคยชินกับการเห็นผีแล้วนะ...

            ตู้ใบที่บอกมีลักษณะไม่ต่างจากใบอื่น ธันวาเลือกกุญแจในพวงไม่กี่ครั้งก็สามารถเปิดตู้ได้ มองเห็นซองเอกสารปึกใหญ่ชุดหนึ่งวางในนั้น

            “เอกสารชุดนี้ใช่มั้ย” แกล้งถามทั้งที่เห็นว่ามันมีแค่ชุดเดียว

            มีนาถลึงตาใส่ ธันวาหยิบเอกสารออกมาแล้วปิดตู้ด้วยท่าทางไม่ใส่ใจทั้งตานัยน์ตาพราวรอยขันอย่างปิดไม่มิด

            ออกจากห้องเอกสารสำคัญ ยกนาฬิกาขึ้นดู...เวลาผ่านไปไม่ถึงสิบนาที...สำหรับสองหนุ่มสาวที่อยู่ในสภาวะกดดัน ระวังตัว รู้สึกเหมือนมันผ่านไปเป็นปี



- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -



            เวลาเย็น แดดร่ม

            ถัดจากเรือนปู่เผด็จ บริเวณด้านหลังบ้านเป็นสระบัวขนาดย่อม ถมดินขึ้นเนินสร้างศาลาพักผ่อนรับลมเย็น ล้อมรอบด้วยต้นไม้ร่มรื่น ริมกำแพงมีประตูเปิดเข้าไปหาบ้านข้าง ๆ ได้

            บนศาลามีชายชราสองคนนั่งคุยกับหลานชาย

            เผด็จ...วัยเกือบเก้าสิบ ขาข้างหนึ่งเคยหัก เดินเหินไม่คล่อง สายตายังเฉียบคมฉับไว นั่งเปิดดูข้อมูลชิ้นใหม่ที่หลานชายนำมาฝาก

            คงคาหรือเล้ง...ปู่ของมีนาวัยใกล้เคียงเผด็จ ผิวขาวอย่างคนมีเชื้อจีน นัยน์ตาเรียวรี กิริยาภายนอกดูใจเย็น ไม่โผงผางเท่าเพื่อนสนิท หากในดวงตาฉายแววรอบรู้ เท่าทันผู้คน ดูมีอำนาจอย่างหายากในคนวัยเดียวกัน

            สองผู้เฒ่าเปิดดูเอกสารทั้งหมดที่ธันวานำมาให้ แล้วฟังหลานชายอธิบายเพิ่มเติม ก่อนสรุปเนื้อหาในนั้น

            “มันเป็นรายละเอียดข้อมูลเบื้องหน้าและเชิงลึกของโครงการเมืองใหม่ทั้งหมด บอกว่ามีใครร่วมหุ้นร่วมทุนบ้าง ตัวเลขจำนวนเงินที่เข้ามา แผนการที่เขาจะนำเสนอ ที่น่าสนใจคือรายชื่อผู้ใหญ่ที่เขาอ้างถึง ผลประโยชน์ที่ต้องจ่าย สมุดบัญชีรายชื่อบุคคลสำคัญ สมุดบัญชีแสดงรายรับ และการโอนเงินเข้าบัญชีหลายราย ทั้งที่ระบุชื่อ รวมถึงบัญชีลับซึ่งต้องรอการตรวจสอบ”

            ผู้สูงวัยทั้งสองวางเอกสารในมือ สบตากัน

            “มึงว่าไง” เผด็จถามความเห็นเพื่อน ผู้อยู่ในธุรกิจการค้าขายมาตลอดชีวิต

            “มันเป็นแผนต้มตุ๋น ที่แนบเนียนจนกูไม่แปลกใจว่าทำไมเมียมึงถึงพลาด” คงคาตอบพลางถอนใจ

            “ผมเอาโฉนดคุณย่าคืนมาได้แล้ว...แต่เรื่องเงินที่ท่านลงไป...คงยาก” ธันวาเสริม

            “ช่างเถอะ ที่เสียแล้วก็แล้วกันไป” เผด็จพูดอย่างคนใจนักเลง

            “มันไม่ถึงกับสูญหรอกว่ะ” คงคาบอกเพื่อน “เอกสารที่ผีไอ้หมงมันให้มานี่ น่าจะพอให้ตำรวจใช้เป็นหลักฐานเอาผิดบริษัทมันได้”

            “ผมเห็นด้วย หลังจากนี้เราน่าจะให้ทางตำรวจจัดการต่อ เขามีกระบวนการ ขั้นตอนจัดการอยู่แล้ว ถ้าเราใจเย็น รอถึงตอนสุดท้ายที่เขายึดทรัพย์ แล้วจ่ายคืนผู้เสียหาย เงินคุณย่าก็คงไม่สูญไปหมดหรอกครับ” ธันวาบอก

            “ดูจากรายชื่อ ตำแหน่งผู้ใหญ่ของมันในบัญชี” เผด็จพูดยิ้ม ๆ “ลำพังแค่ตำรวจธรรมดาจะจัดการไหวหรือ”

            คงคายิ้มน้อย ๆ ด้วยวัยที่ผ่านโลก ผ่านประสบการณ์ชีวิตมามาก จึงเกิดความเข้าใจไม่น้อยกว่าเพื่อนสนิทตน

            ธันวาเห็นกิริยาประมุขสองบ้าน ก็เข้าใจความหมาย เอ่ยขัดด้วยน้ำเสียงเรียบ ๆ

            “อย่าลืมนะครับว่าคุณพ่อผม...และพ่อวี...ลูกชายปู่เล้ง ไม่ใช่ตำรวจธรรมดา”

            พฤกษ์ และปฐวี บุตรชายสองผู้เฒ่า บิดาธันวา บิดามีนา เป็นนายตำรวจตงฉินขึ้นชื่อ เคยเป็นมือปราบสร้างวีรกรรมดีงามมากมาย ปัจจุบันทั้งสองอยู่ในตำแหน่งเกือบสูงสุดในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ

            เผด็จลูบศีรษะหลานชายอย่างเอ็นดู

            “อืม...นั่นสิ พ่อแกเป็นนายตำรวจไม่ธรรมดา แต่ทำไมลูกชายสองคนไม่คิดตามรอยพ่อเลยสักคนหือม์”

            ธันวาเงยหน้าตอบ

            “เพราะว่าพ่อ...ก็ไม่เดินตามรอยปู่เหมือนกันครับ”

            เผด็จ คงคาหัวเราะชอบใจ

            สมัยเด็ก ธันวามองเห็นพ่อเป็นฮีโร่ วีรบุรุษน่ายกย่อง พอโตขึ้นมากลับซึมซับนิสัย ใจนักเลงแบบปู่เผด็จ ความตรงไปตรงมา โผงผางทำให้เป็นเด็กผู้ชายที่มีเรื่องทะเลาะชกต่อยกับคนอื่นมากที่สุดในรุ่นเดียวกัน

            พอขึ้นชั้นมัธยมต้น เผด็จส่งหลานชายไปเรียนชกมวยจริงจัง สอนให้ใจเย็น มีสติสมาธิ ใช้พลังงานล้นเหลือไปในทางที่ถูก ทำให้เด็กชายหันมาสนุกกับการเล่นกีฬาทุกประเภท มองหาตัวตนจริงว่าชอบอะไรกันแน่

            เด็กชายธันวารู้ว่าตนไม่สนุกกับการเป็นตำรวจอย่างพ่อ และไม่คิดสานต่อดำเนินกิจการต่าง ๆ ของปู่

            ระหว่างที่ยังหาความชอบจริง ๆ ไม่เจอ เขาจึงเลือกเรียนต่อมัธยมปลาย เป็นวัยรุ่นที่แสวงหาตัวเองต่อไป

            ยังดีที่เผด็จไม่เคยคาดหวังให้ลูกหลานต้องมาสานต่อกิจการของตน ผู้เฒ่าให้อิสระแก่ลูกหลานในการดำเนินชีวิต ไม่ขีดกรอบบังคับ อีกทั้งยังส่งเสริมไปในทางที่พวกเขาสนใจอย่างเต็มที่

            วันนี้ท่านจึงมีลูกชาย หลานชายที่น่าภูมิใจยิ่ง



            “พูดถึงพ่อแก ค่ำนี้น่าจะมาถึงบ้านแล้วล่ะ” เผด็จบอกหลานชาย

            “ปู่โทรตามพ่อมาแล้วหรือครับ” ธันวาไม่แปลกใจในความรวดเร็วเรื่องการตัดสินใจ สั่งงานของปู่

            “อืม...ไอ้วีมันก็ยังอยู่บ้าน งั้นคืนนี้เรามาคุยเรื่องนี้กันอีกทีก็ดี” คงคาพูดถึงลูกชายตนบ้าง

            “พ่อวีก็อยู่ด้วย...” ธันวาแปลกใจ วันนี้อยู่กับมีนาครึ่งค่อนวัน เจ้าหล่อนไม่พูดถึงบิดาตนเองเลย

            “ใช่...เมื่อวานพอเอาข้อมูลคดีไอ้หมงมาให้ มันก็อยู่บ้านตลอด ไม่ได้ไปไหนเลยนี่” คงคาบอกเอง

            เพียงเท่านี้ ธันวาก็ทราบที่มาข้อมูลคดีเสี่ยหมงซึ่งปู่ให้มาเมื่อเช้าแล้ว

            “ดี...งั้นค่ำนี้มากินข้าวที่บ้านกู เสร็จแล้วจะได้คุยกันต่อเลย” เผด็จรับเป็นเจ้าภาพการประชุม

            ธันวาสะดุดใจ เอ่ยถามขึ้น

            “แล้วให้มีนาร่วมฟังด้วยมั้ยครับ” ที่ต้องถามเพราะหญิงสาวมีส่วนอย่างมากในการนำข้อมูลใหม่มาให้

            “มันจะกลับบ้านตอนไหน ปู่ยังไม่รู้เลย” คงคาบอก

            “เขาไปไหนครับ” ธันวาสงสัย

            หลังกลับจากสำนักงานทนายความตอนบ่าย เขาส่งมีนากลับบ้าน ก่อนพาแม่ไปหาย่าที่โรงพยาบาล

            ช่วงเวลานั้นพบว่าของบางอย่างหายไป จึงโทรหาพยายามติดต่อหญิงสาว แต่มีนาจงใจไม่รับสาย ไม่อ่านข้อความ

            “ไม่รู้สิ เห็นมันเอารถที่บ้านออกไปตอนบ่ายแก่ ๆ นี่แหละ” คงคาตอบ

            ธันวานิ่ง แววตาไตร่ตรอง คาดเดาการกระทำหญิงสาวได้หลายส่วน อดถอนใจไม่ได้ ยอมรับว่ามีนาเป็นผู้หญิงที่ช่างหาเรื่องใส่ตัวคนหนึ่งจริง ๆ



- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -



            เวลาค่ำ

            ขณะที่ธันวากำลังร่วมประชุม พูดคุยกับพ่อและปู่ทั้งสองบ้าน มีนาเพิ่งกลับจากฟังสวดศพเสี่ยหมง เข้าห้องส่วนตัว โหลดคลิปและเทปวิดีโอที่ถ่ายมาวันนี้ทั้งหมดลงในคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊ค

            จากการเข้าไปขโมยโฉนด ได้เอกสารพิเศษติดมือมา ทำให้มองเห็นว่าคดีเสี่ยหมงมีประเด็นไกลออกไปจนถึงเรื่องการฉ้อฉลโครงการเมืองใหม่เสียแล้ว ทั้งที่เจตนาแรก เธอแค่ต้องการทราบเกี่ยวกับเบื้องหลังอุบัติเหตุครั้งนี้เท่านั้น

            ระหว่างเจาะประเด็นเฉพาะเรื่องอุบัติเหตุ เกิดข้อสงสัยหนึ่งขึ้นมา...

            เหตุใดเสี่ยหมงใช้เวลาเดินทางจากกรุงเทพฯ ถึงที่เกิดเหตุนานผิดปกติ เขาแวะที่ใดระหว่างทาง และประสบกับอะไร ก่อนขับรถแหกโค้งชนต้นไม้ เสียชีวิต

            มีนารู้สึกว่าธันวาได้เค้าเงื่อนบางอย่าง จึงสามารถใช้มันหว่านล้อมจนณีรนุชยอมร่วมมือ มอบพวงกุญแจตู้เก็บเอกสารให้

            ระหว่างอยู่บนรถ เธอพยายามตะล่อมถาม แต่ผู้ชายอย่างเขามีหรือยอมหลุดปากบอก

            กระทั่งภารกิจเสร็จสิ้น ได้โฉนดคืนมาอย่างแนบเนียน เขามาส่งหล่อนที่บ้าน ก่อนพามารดาไปหาย่าร้อยกรองที่โรงพยาบาล โดยลืมสังเกตว่าหล่อนแอบ ‘หยิบ’ อะไรบางอย่างจากรถเขามาด้วย

            มีนาพบ ‘ปฐวี’ บิดาตนยังอยู่บ้าน นึกสะกิดใจจึงทำเป็นเลียบเคียงคุยด้วย พร้อมเปิดเผยว่าวันนี้ตนเอง ธันวา และดวงสุดาไปทำอะไรมา

            นายตำรวจใหญ่ไม่แสดงท่าทางแปลกใจ เหมือนรู้ว่าต้องเกิดเรื่องราวเช่นนี้ ลูกสาวจึงเอ่ยปากถามตรง ๆ

            “พ่อคิดว่าอุบัติเหตุเสี่ยหมงมีเบื้องหลังแปลก ๆ หรือเปล่าคะ”

            “คนเป็นพี่สาวเขาโวยวายขนาดนั้น...ตำรวจก็ต้องรับฟัง ไม่นิ่งเฉยหรอก” บิดาตอบเลี่ยง

            “งั้นแสดงว่าตำรวจต้องสืบรู้เบื้องหลังอุบัติเหตุครั้งนี้แล้ว...สรุปว่ายังไงคะพ่อ” มีนาถามแบบไม่อ้อมค้อม

            “เรื่องของตำรวจ ไม่เกี่ยวกับเราหรอก” นายตำรวจใหญ่ปฏิเสธลูกสาว

            “เมื่อเช้า...หนูเห็นพ่อถือซองอะไรสักอย่างไปหาคุณปู่บ้านโน้น...เอกสารในซองคงไม่เกี่ยวกับคดีหรอกเนอะ เพราะปู่เผด็จก็ไม่ใช่ตำรวจสักหน่อย” หญิงสาวเหน็บอย่างมีลูกไม้

            คนเป็นพ่ออมยิ้ม รู้ทันลูกสาว จงใจเฉยไม่ตอบวาจา

            เพียงเท่านี้มีนาก็พอคาดเดาออก ปู่เผด็จ พ่อ และธันวาน่าจะรู้ข้อมูลเบื้องหลังอุบัติเหตุเสี่ยหมงในเชิงลึกแล้ว แต่ไม่มีทางง้างปากผู้ชายเหล่านี้ได้

            นึกถึงเอกสารที่วิญญาณเสี่ยหมงให้นำมาด้วย หล่อนเปิดอ่านมันทั้งหมดตั้งแต่บนรถ โดยธันวาไม่สามารถคัดค้าน ห้ามปรามได้

            เอกสารนั้นพูดถึงเบื้องหลังโครงการเมืองใหม่เป็นหลัก มีรายชื่อบุคคลสำคัญหลายคนที่น่าสนใจ ชวนให้เชื่อว่าเสี่ยหมงไม่มีทางคิดทำโครงการนี้คนเดียว

            งานนี้น่าจะมี ‘นายใหญ่’ อยู่เบื้องหลัง อุบัติเหตุครั้งนี้ คงเกิดจาก ‘ใบสั่ง’ จากนายใหญ่เช่นกัน

            ในเมื่อหญิงสาวไม่สามารถถามข้อมูลเบื้องหลังการตายเสี่ยหมงจากผู้ชายรอบตัวได้ ทางเดียวคือต้องย้อนกลับไปต้นตอ



            มีนาเตรียมอุปกรณ์เครื่องบันทึกเสียง กล้อง พร้อมแต่งชุดดำ

            ขับรถออกจากบ้านตั้งแต่บ่ายจัด แล้วไปบันทึกเทปสถานที่เกิดเหตุตรงโค้งมรณะแห่งนั้น แอบไปถ่ายที่บ้านเสี่ยหมง ก่อนไปถึงวัดตอนเย็น

            ตลอดบ่ายนั้นเธอเห็นสายเรียกเข้า และข้อความจากธันวา รู้ว่าเขามีจุดประสงค์ใด จึงทำเฉย ไม่สนใจ



            ภายในศาลา ก่อนเวลาสวดศพร่วมชั่วโมง มีแขกมาแค่ประปราย โดยมากเป็นครอบครัว ญาติผู้ตายมาเตรียมตัวรอรับแขกผู้ร่วมฟังสวด

            มีนามองหาณีรนุชจนพบ แล้วรีบเข้าไปพูดคุยก่อนเจ้าตัวจะไม่สะดวก

            “สวัสดีค่ะ หนูเป็นตัวแทนคุณย่ามาฟังสวดคืนนี้” หญิงสาวยกมือไหว้ทักทาย

            สตรีกลางคนไม่สงสัย เพราะเพิ่งเห็นกันเมื่อตอนกลางวัน รู้ว่าสองครอบครัวสนิทสนมจนสามารถเป็นตัวแทนกันและกันได้

            “ท่านให้มาขอบคุณ แล้วก็...เอากุญแจมาคืนด้วยค่ะ” มีนากระซิบบอก พร้อมแอบยื่นพวงกุญแจคืนให้

            นี่เป็นสิ่งที่หญิงสาวแอบหยิบมาจากรถธันวา เป็นเหตุให้เจ้าตัวโทรตาม ส่งข้อความทวงหาตลอดบ่าย

            ณีรนุชแอบรับกุญแจคืนอย่างแนบเนียน ไม่มีใครสังเกตเห็น

            “ทุกอย่างเรียบร้อย...ขอบคุณมากค่ะ” มีนากระซิบอีกครั้ง

            ผู้สูงวัยกว่าพยักหน้า แสดงอาการวางใจ หญิงสาวนึกโล่งอก แผนการเข้าหา เพื่อให้ณีรนุชไว้ใจสำเร็จแล้ว แม้จะต้องใช้ลูกไม้เล็กน้อยก็ตาม

            “นนท์ไม่รู้ใช่มั้ย” ณีรนุชอดถามถึงทนายความไม่ได้

            “ไม่มีใครรู้ค่ะ รับรองได้” มีนาตอบเสียงหนักแน่น

            “ดีแล้ว...”

            มีนาเห็นอีกฝ่ายคลายใจลง พร้อมเปิดโอกาสให้พูดคุย จึงเริ่มเกริ่นนำชวนคุยเรื่องสัพเพเหระทั่วไป แล้วถามโน่นถามนี่เกี่ยวกับงานศพ ครอบครัวเสี่ยหมง แล้วแอบวกมาถึงเรื่องโครงการเมืองใหม่เล็กน้อย

            หญิงสาวจึงทราบว่า ณีรนุชเป็นเพียงหมากตัวหนึ่งในเกมนี้ มีหน้าที่ติดต่อหาเหยื่ออย่างย่าร้อยกรอง แล้วเปิดโอกาสให้เสี่ยหมงเกลี้ยกล่อมพูดคุย โดยเจ้าตัวไม่รู้เบื้องลึกรายละเอียดใดเลย

            แรกทีเดียวณีรนุชไม่รู้ว่าโครงการเมืองใหม่เป็นโปรเจ็กต์ลวงโลก คิดว่าเป็นงานใหญ่ได้ผลประโยชน์จริง จึงชักชวนย่าร้อยกรอง พอตอนหลังเริ่มระแคะระคายก็แก้ไขอะไรไม่ได้แล้ว

            กระทั่งเสี่ยหมงเกิดอุบัติเหตุเสียชีวิต ณีรนุชเริ่มหวั่นใจ รู้สึกไม่ชอบมาพากล สิ่งหนึ่งที่คนทั่วไปไม่รู้นั่นคือ...

            คืนเกิดเหตุเสี่ยหมงได้ไปหาใครบางคนก่อนกลับมาบ้าน อีกทั้งเจ้าตัวส่งข้อความสั้น ๆ มาบอก

            “...ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับผม...พี่ต้องบอกว่าไม่เกี่ยวข้องกับโครงการนี้!”

            ข้อความนั้นถูกลบทิ้งทั้งจากโทรศัพท์ของเธอ และโทรศัพท์เสี่ยหมงเรียบร้อย

            ณีรนุชเชื่อว่าต้องมี ‘นายใหญ่’ อยู่เบื้องหลังการตายของเสี่ยหมง แต่เธอไม่อาจร้องบอกต่อใครตามความเป็นจริงได้ จำเป็นต้องกุเรื่องผีขึ้นมาอ้าง เพื่อสร้างกระแสความสนใจ

            หลังจากนั้นเธอก็แอบให้ข้อมูลเหล่านี้กับตำรวจที่ไว้ใจได้ แล้วแกล้งทำเป็นเหมือนเสียสติ ยอมไปพบจิตแพทย์ เพื่อให้คนรอบตัวเชื่อว่าสภาพจิตไม่ปกติ เห็นภาพหลอนจริง ๆ

            มีนาตามรอยถูกทาง และยิงคำถามที่อยากรู้

            “คืนเกิดเหตุ เสี่ยไปไหนก่อนกลับบ้านคะ”

            “ไปหา ‘กัญญา’” ชื่อนี้หลุดออกมา

            ‘กัญญา’ มีความสัมพันธ์ไม่ธรรมดากับเสี่ยหมง เธอไม่ใช่เมียน้อย ภรรยานอกสมรส ไม่ใช่คู่ค้าร่วมธุรกิจ แต่ณีรนุชสังเกตว่าเสี่ยหมงเกรงใจผู้หญิงคนนี้พอสมควร

            มีนาจำได้ว่า ‘กัญญา’ เป็นหนึ่งในรายชื่อที่เสี่ยหมงโอนเงินเข้าบัญชีไปให้สองสามครั้ง รวมแล้วไม่ต่ำกว่าเจ็ดแปดหลัก!

            “เขามาฟังสวดบ้างมั้ยคะ” มีนาถามซื่อ ๆ

            “มาคืนแรกคืนเดียวแล้วไม่เห็นอีกเลย” ณีรนุชตอบ

            โปรดิวเซอร์สาวขมวดคิ้ว ความคิดบางอย่างแล่นขึ้นมา

            “โครงการเมืองใหม่เกี่ยวกับผู้หญิงชื่อกัญญาด้วยหรือเปล่าคะ” หญิงสาวถาม

            ผู้สูงวัยกว่านิ่งคิดชั่วขณะ ก่อนความทรงจำที่เลือน ๆ ค่อยแจ่มชัดขึ้น

            “จริงสิ...หมงเคยบอกว่า ถ้าโครงการนี้ทำให้เขารวยได้ กัญญาก็มีส่วนช่วยเหมือนกัน”

            “คืนเกิดเหตุ เสี่ยไปพบกัญญาที่ไหน?”

            “ไม่รู้สิ เท่าที่ฟังดูมันก็อยู่ในเส้นทางกลับบ้านนี่แหละ”

            เมื่อไม่อาจหาสถานที่ชัดเจน มีนาจึงเปลี่ยนคำถาม

            “กัญญาเขาทำอาชีพอะไรคะ เป็นนักธุรกิจ เปิดบริษัทเหมือนเสี่ยหรือเปล่า”

            “เท่าที่รู้...แม่คนนี้เขาขายครีม ยาบำรุงเสริมความงามอะไรพวกนี้แหละ ใช้ชื่อตัวเองเป็นชื่อผลิตภัณฑ์ เห็นว่ารวยเป็นร้อยล้านทีเดียว”

            การสนทนาหมดเท่านี้ เพราะแขกร่วมงานทยอยมามากขึ้น ณีรนุชถูกครอบครัวเสี่ยหมงพาไปช่วยรับแขก พูดคุยเพื่อยืนยันว่าเธอไม่ได้เสียสติถึงขั้นพูดจาไม่รู้เรื่อง เป็นอันตรายต่อผู้อื่น



            เทปวิดีโอ คลิปที่ถ่ายมาทั้งหมดถูกโหลดลงในโน้ตบุ๊คเรียบร้อย มีนาร่างเค้าโครงการนำเสนอรายการของตนไว้คร่าว ๆ จนเห็นว่าเตรียมงานได้พอสมควรแล้วจึงวางมือชั่วคราว

            จากนั้นหญิงสาวเริ่มค้นหาข้อมูลในอินเตอร์เน็ต ค้นชื่อผลิตภัณฑ์เสริมความงามที่ชื่อแบรนด์มีคำว่า ‘กัญญา’ อยู่ด้วย จนกระทั่งพบอยู่ประมาณห้าหกรายชื่อ

            พอเจาะดูที่ตั้งสำนักงาน ที่อยู่เจ้าของผลิตภัณฑ์ซึ่งอยู่บนเส้นทางระหว่างกรุงเทพฯ กับจังหวัดนี้ พบว่ามีเพียงแห่งเดียว ซึ่งใช้เวลาขับรถจากตัวจังหวัดย้อนไปทางกรุงเทพฯ ประมาณหนึ่งชั่วโมง

            มีนาถอนใจยาว พลางสะบัดต้นคอขับไล่ความเมื่อยขบ วางแผนเดินทางไปพบกัญญาอยู่ในใจ นึกว่าควรพูดจา ล้วงถามข้อมูลจากเธออย่างไร...แล้วความคิดวูบหนึ่งแล่นผ่านหัว



(โปรดติดตามต่อฉบับหน้า)



แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP