วรรณกรรมนำใจ Lite Literature

เร้น ๗



Ren



ชลนิล


(ต่อจากฉบับที่แล้ว)



            ดวงสุดาขึ้นมาบนศาลาฉันขณะพระกำลังสวดอนุโมทนาให้พร เธอจึงนั่งพับเพียบ พนมมือรอคอย พร้อมกวาดตามองหาณีรนุช พี่สาวเสี่ยหมง พบเจ้าตัวกำลังนั่งรับพรอยู่แถวหน้า ใกล้กับภรรยาและลูกน้องชาย

            ระหว่างรอพระสวดเสร็จ ดวงสุดานึกหาวิธีพูดกับอีกฝ่ายในเรื่องที่รับปากจากแม่สามี ดูจากสถานการณ์ตอนนี้ น่าจะคุยเรื่องธุรกิจลำบาก ทางนั้นอาจอ้างเรื่องงานศพเพื่อเป็นการหลีกเลี่ยงได้

            พระให้พรเรียบร้อย ญาติโยมกรวดน้ำเสร็จก็เริ่มขยับแยกย้าย ลูกเมียเสี่ยหมงยกถาดอาหารลงจากศาลาฉันไปยังศาลาตั้งศพที่อยู่ใกล้ เพื่อนำอาหารไปวางให้ผู้ตายที่หน้าโลง

            ณีรนุชนั่งอยู่คนเดียว ดวงสุดาได้โอกาสเข้าไปคุยทักทาย

            “สวัสดีค่ะคุณณีรนุช” ฝ่ายตรงข้ามอายุน้อยกว่าเธอราวสองสามปี ดวงสุดาก็ยังเรียกแบบให้เกียรติ

            “เอ๊ะคุณดา” อุทานอย่างแปลกใจเมื่อพบลูกสะใภ้ของร้อยกรอง นักธุรกิจหญิงชราที่ตนพาให้มาร่วมทุนกับน้องชาย

            “มาได้ยังไงคะ” ณีรนุชเอ่ยถามหลังตั้งสติได้

            “คุณแม่ท่านให้มาไหว้ศพเสี่ยน่ะค่ะ ขอโทษที่มาช้าไปหน่อย พอดีคุณแม่ท่านก็ป่วยเข้าโรงพยาบาลเหมือนกัน”

            ดวงสุดาจงใจไม่อธิบายว่าแม่สามีเข้าโรงพยาบาลด้วยสาเหตุใด

            “ตายแล้ว คุณนายร้อยกรองป่วยหรือคะ เจอกันวันรดน้ำศพเจ้าหมงยังไม่เห็นมีอาการอะไร ท่านเข้าโรงพยาบาลเป็นอะไรมากมั้ย” ฝ่ายเจ้าภาพทำท่าเหมือนเพิ่งทราบเรื่องวันนี้

            “ไม่มากหรอกค่ะ พอดีวันรดน้ำศพนั้น ท่านมีโอกาสคุยกับคุณนนท์ ทนายความของเสี่ย...เลย...เครียดนิดหน่อย พอดีท่านอายุมากแล้ว ดิฉันเลยพาท่านไปหาหมอ ทางนั้นอยากให้ท่านพักผ่อนดูอาการที่โรงพยาบาลสักสามสี่วัน”

            ดวงสุดาไม่บอกว่าร้อยกรองคุยกับทนายเสี่ยหมงด้วยเรื่องอะไรจึงเครียดขนาดนั้น คล้ายรอให้อีกฝ่ายเอ่ยปากถาม

            ณีรนุชนิ่งครู่ใหญ่ ไม่ถามกลับ แสดงให้รู้ว่าเธอทราบเรื่องที่คุยกัน

            “คุณณีพอจะมีเวลาคุยกับดิฉันสักครู่มั้ยคะ”

            พอได้ยินคำถามนี้ พี่สาวเสี่ยหมงแสดงอาการอึกอักไม่อยากตอบรับ แต่ไม่กล้าปฏิเสธ

            ดวงสุดาเห็นอย่างนั้นจึงกล่าวรวบรัดเอง

            “ดิฉันว่า...เราหาที่เงียบ ๆ คุยกันข้างล่างดีกว่าค่ะ จะได้ไม่มีใครรบกวน”

            เจอวาจากึ่งมัดมือชกเช่นนี้ ณีรนุชจำต้องพยักหน้า แอบถอนใจก่อนลุกขึ้นเดินตามดวงสุดาด้วยสีหน้าเคร่งเครียด แววตากังวล



- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -



            บริเวณเก้าอี้หินใต้ร่มไม้ลมเย็นพัดโบกโบย อากาศสดชื่นไม่ร้อนอบอ้าวทั้งที่เป็นเวลากลางวัน

            สตรีกลางคนทั้งสองนั่งคุยกันเงียบ ๆ ฝ่ายหนึ่งมีสีหน้าเคร่งเครียด หัวคิ้วย่นขมวดมุ่น อีกฝ่ายผ่อนคลายกว่า กล่าววาจานุ่มนวลสุภาพ พูดอ้อมค้อมถนอมน้ำใจบ้าง แต่ก็ยังไม่หลุดจากประเด็น เป้าหมายที่ต้องการมาคุย

            “คุณแม่ท่านอยากได้โฉนดคืนค่ะ” ดวงสุดาสรุปหลังเกริ่นนำพอสมควร

            ณีรนุชถอนใจมองผู้พูดอย่างอับจน

            “ดิฉันไม่ทราบจริง ๆ ค่ะว่าโฉนดของคุณนายร้อยกรองอยู่ไหน...ลองถามเจ้านนท์ ทนายของหมงดูมั้ย”

            “คุณแม่ท่านถามแล้วค่ะ คุณนนท์เธอบอกว่าเสี่ยเป็นคนเก็บไว้ น่าจะอยู่ที่บ้าน...ยังไงรบกวนคุณณีหาให้หน่อยได้มั้ยคะ”

            “เอ่อ...ถ้าเป็นบ้านหมง ต้องถามเมียเขาแล้วล่ะ”

            ดวงสุดายิ้มน้อย ๆ มองออกว่าคนพูดตั้งใจพูดดึงเกม ถ่วงเวลา เธอรู้ดีว่าคนในบ้านเสี่ยหมง เกรงใจณีรนุช พี่สาวคนนี้อย่างยิ่ง หากเจ้าตัวออกปากสั่งอะไรย่อมไม่มีใครกล้าคัดค้าน

            ทนายโยนเรื่องโฉนดมาให้ครอบครัวเสี่ยหมง คนเป็นพี่สาวผู้ตายก็โยนคืนเรื่องนี้กลับให้ทนายเช่นกัน สองฝ่ายโยนกันไปมาเช่นนี้ ดูท่ายากจะได้โฉนดคืนง่าย ๆ แน่

            ขณะที่ดวงสุดากำลังหาวิธีเกลี้ยกล่อม หว่านล้อมณีรนุชให้พาไปค้นโฉนดที่บ้านเสี่ยหมง ก็มองเห็นบุตรชายตนเดินมาหา พร้อมกับมีนา

            “สวัสดีครับคุณณีรนุช” ครั้งนี้ธันวาเป็นฝ่ายยกมือไหว้ทักทายผู้สูงวัยก่อน

            “คุณหมอ...” ณีรนุชรับไหว้งง ๆ ตกใจที่เห็นจิตแพทย์เมื่อวันก่อนมายืนตรงหน้า ลืมสังเกตหญิงสาวข้างกายเขาที่กำลังยกมือไหว้เช่นกัน

            “รู้จักกันหรือคะ” ดวงสุดาแปลกใจนิดหน่อยก่อนแนะนำ “คนนี้ลูกชายดิฉันค่ะชื่อธันวา...ส่วนแม่หนูคนนี้ชื่อมีนา เป็นลูกสาวคุณเภา...”

            “คุณเภา...คุณนายเภา” ณีรนุชพึมพำ นึกถึงผู้บริหารห้างสรรพสินค้าแห่งเดียวในจังหวัด เจ้าของร้านทองหลายสาขา...คนทั้งเมืองเรียกเธอว่า ‘คุณนายเภา’ หญิงเหล็กที่ใคร ๆต่างยกย่อง นับหน้าถือตา และเป็นเพื่อนสนิท อยู่บ้านติดกับดวงสุดา

            “เมื่อตะกี้คุณย่าร้อยกรองโทรมาบอกว่า ให้มาขอกุญแจตู้เก็บเอกสารกับคุณณีรนุช เพราะโฉนดของท่านอยู่ในตู้เอกสารสำคัญ ที่สำนักงานทนายความคุณนนท์”

            มีนาบอกอย่างชัดเจน รวดเร็วด้วยสีหน้าซื่อ เหมือนได้รับคำสั่งจากย่าร้อยกรองจริง ๆ



- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -



            ถ้าผีอยากให้เราช่วย ผีก็ต้องช่วยเราก่อน’ วาจาของพิจิกถูกธันวานำมาบอกกับมีนา เพื่อขอความช่วยเหลือ

            “จิตแพทย์หรือหมอผีกันแน่เนี่ย...คิดได้ยังไง ให้ฉันติดต่อ ถามดวงวิญญาณเสี่ยหมง เรื่องโฉนดที่ดินคุณย่า”

            “มันเป็นข้อต่อรอง...ถ้าเขาอยากให้เราช่วยหาฆาตกร...เขาก็ต้องช่วยหาโฉนดคุณย่ามาให้เราก่อน”

            “แหม...คิดว่าคุยกับผีเป็นเรื่องง่ายหรือไงยะ...ไอเดียหมอคนไหนนี่...หมอธันหรือหมอจิก...ฉันสงสารมหาวิทยาลัยที่ให้ปริญญาพวกแกมาจริง ๆ”

            มีนาบ่นยาวใช้อารมณ์ขุ่นมัวปกปิดจิตใจที่กำลังขลาดกลัว สมัยเด็กเจอผีแค่แวบสองแวบเธอยังวิ่งป่าราบ ต่อให้โตขึ้นมา มีสติตั้งรับเพื่อนต่างภพได้บ้าง ก็ยังไม่คิดเผชิญหน้าพูดคุยจริงจังถึงขั้นต่อรองกันแบบนี้

            “พูดอย่างนี้จะช่วยมั้ย” ธันวาไม่พูดจายืดยาว

            “ถึงอยากช่วยแต่ฉันไม่รู้ว่าเขาอยู่ไหนนี่” มีนาอ้อมแอ้ม...ทั้งที่สัมผัสเร้นลับบอกชัด ‘บุคคลนั้น’ ยืนอยู่นอกรถ ด้านหลังเธอนั่นเอง

            “ฉันรู้ว่าเธอรู้...เขาอยู่นอกรถ ตรงประตูฝั่งเธอนั่นแหละ” ธันวาเปิดโปง

            เขาสัมผัสกระแสพลังงานหนาแน่นตรงนั้นชัดเจน สังเกตอาการหญิงสาวว่าพยายามหันหลังให้กระจก โดยยอมหันมามองหน้าเขาตรง ๆ แทน

            “ถ้ารู้ดีขนาดนั้น ก็ติดต่อ บอกเงื่อนไขกับเขาเองสิ...มาใช้ฉันทำไม” พอโดนจับผิดได้ก็เริ่มพาล

            “ขอร้อง...ช่วยกันหน่อย” นี่เป็นวาจา ‘ยอมลง’ มากสุดสำหรับธันวาแล้ว

            มีนาถอนใจเฮือกใหญ่ สบตาชายหนุ่มที่นั่งใกล้...คนอื่นคนไกลเดือดร้อน หล่อนยังยอมช่วยเหลือไม่ปริปากบ่น นี่เป็น ‘คนใกล้’ เหมือนครอบครัวเดียวกันแท้ ๆ ถึงจะเคยมีเรื่องเคืองใจกันบ้าง แต่จะให้ละเลยไม่สนใจคงไม่ได้



            เสี่ยหมงยืนอยู่ตรงนั้น นอกรถตรงหน้ากระจกฝั่งมีนา ร่างเขาชัดเจนกว่าเคย มองเห็นใบหน้าสีเทาซีดเซียวทั้งที่เป็นเวลากลางวัน แสงแดดจ้า...อาจเป็นเพราะดวงจิตได้อนุโมทนารับส่วนบุญ จากการถวายเพลแก่พระภิกษุสงฆ์ในวันนี้

            มีนามองรายละเอียดร่างตรงหน้า กระแสจิตอีกฝ่ายคมชัด เสียงสื่อสารจากใจสู่ใจกังวานไม่ผิดเพี้ยน

            “ช่วยด้วย!”

            หญิงสาวระบายลมหายใจแผ่ว ตั้งสติ รู้ทันความหวาดกลัวในใจ จิตค่อยตั้งมั่น ความกลัวดับลง เปิดใจรับกระแสความคิด เชื่อมต่อการสื่อสารโดยอัตโนมัติอย่างเป็นธรรมชาติ

            “ถ้าจะให้ช่วย...คุณต้องช่วยพวกเราก่อน” วาจาในใจเธอตอบโต้อย่างนั้น

            “จะให้...ช่วยอะไร” คำถามคล้ายสงสัย...งุนงง...ไม่คิดจะเจอการต่อรอง

            “ช่วยบอกที...โฉนดที่ดินคุณย่าร้อยกรองอยู่ที่ไหน...ทำอย่างไรถึงจะเอาคืนมาได้”

            ฝ่ายนั้นนิ่งอยู่อึดใจ ก่อนคำตอบจะถูกถ่ายทอดออกมาเป็นภาพในหัว มีนาได้รับรู้มากกว่าต้องการรู้ และทุกสิ่งที่ได้รู้นี้ ถูกถ่ายทอดสู่ธันวาทั้งหมดโดยไม่ปิดบัง

            ...หวังว่า หน้าที่ของหล่อนคงหมดแค่นี้...



- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -



            สำนักงานทนายความของนนท์ ทนายเสี่ยหมงอยู่ในตัวเมือง เป็นอาคารสองชั้นตั้งอยู่ริมถนนสายย่อย

            พวงกุญแจตู้เก็บเอกสารสำคัญอยู่ในมือธันวา...การได้มันมาไม่ใช่เรื่องง่าย เพียงแค่มีนาอ้างถึงคุณย่าร้อยกรอง



            “กุญแจตู้เก็บเอกสารอะไร ฉันไม่รู้” ณีรนุชเกิดอาการแข็งขืน ตอบปฏิเสธทันที

            สองหนุ่มสาวลอบสบตากัน ปฏิกิริยาที่ได้รับไม่เกินคาดหมาย ดวงสุดามองนิ่ง คอยสังเกตบรรยากาศ แล้วเอ่ยปากคลี่คลายความกดดันนั้น

            “อ้าว...กุญแจอะไรลูก...คุณย่าท่านให้มาเอาอะไรจากคุณณี”

            มีนายิ้มกว้าง ทำใบหน้าใสซื่อไม่รู้เรื่องราว เหมือนตนเองมีหน้าที่แค่นำสารมาบอก เมื่อพูดจบก็หมดคำอธิบาย

            คนที่ดำเนินแผนการต่อคือธันวา

            “ขอโทษครับ...แม่ออกไปก่อนนะ ผมมีเรื่องขอคุยกับคุณณีสักครู่” จิตแพทย์หนุ่มบอกด้วยน้ำเสียงอ่อน สุภาพ

            มีนาชวนมารดาธันวาลุกจากเก้าอี้ แล้วพากันเดินไปทางศาลาตั้งศพ เพื่อไปไหว้คารวะศพเสี่ยหมงอย่างที่บอกกับณีรนุชไว้แต่แรก



            ธันวามีโอกาสคุยกับณีรนุชตามลำพังอีกครั้ง หลังจากเคยคุยกันที่โรงพยาบาลมาแล้ว

            “ผมทราบนะครับว่าคุณไม่ได้ป่วย จนถึงขั้นต้องมาหาจิตแพทย์อย่างผม” ธันวาเริ่มต้น

            “หมอรู้ได้ยังไง” ณีรนุชเสียงห้วน ระวังตัว

            “เพราะผมมั่นใจว่าคุณไม่ได้เห็นวิญญาณคุณมงคลชัย”

            “ไม่จริง” เสียงค้านทันที

            สีหน้าธันวาละมุน เอ่ยวาจาช้า ๆ ชัดเจน

            “คุณไม่ได้เห็นวิญญาณคุณมงคลชัย แต่คุณรู้ว่าน้องชายถูกฆาตกรรม ‘ตัดตอน’ จึงยกเรื่องผีมาอ้าง โวยวายให้ตำรวจสืบสวน โดยตัวคุณเองยอมถูกหาว่าบ้า แกล้งปล่อยให้ญาติพาไปหาจิตแพทย์อย่างผม เพื่อไม่ให้ตัวเองโดนสงสัย เพ่งเล็งว่ารู้เห็นมีส่วนเกี่ยวข้องกับธุรกิจของเขา”

            ณีรนุชอึ้ง...สูดลมหายใจอย่างหนาวเหน็บ ตัวชา คาดไม่ถึงตนจะโดนเปิดโปงง่ายดายเช่นนี้

            “หมอ...” หญิงกลางคนพึมพำ พยายามหาข้ออ้างหลีกเลี่ยง “หมอโกหก...แต่งเรื่องปรักปรำฉัน”

            “คิดดูนะครับว่าผมจะเอาเรื่องพวกนี้มาพูดได้ยังไง...มีใครทราบบ้างว่าคุณร่วมมือ มีส่วนรู้เห็นใน ‘งาน’ ของคุณมงคลชัย...และมีใครรู้บ้างว่านอกจากคุณมงคลชัยแล้ว คุณก็ยังมีกุญแจตู้เก็บเอกสารสำคัญของเขา...ซึ่งมันอยู่ที่สำนักงานทนายความแทนที่จะอยู่บ้าน!”

            “เรื่องนี้...มีแค่ฉัน...กับหมง...ที่รู้” ณีรนุชหลุดปากแผ่วเบา แล้วตวัดสายตามองจิตแพทย์หนุ่มอย่างคาดคั้น “หมอรู้มาจากไหน...ใครบอก”

            ธันวาสบตาหญิงกลางคนอย่างไม่เกรง ก่อนเอ่ยปากเบา ๆ ทว่าหนักแน่น

            “คุณมงคลชัย!”

            คำตอบนี้เล่นเอาคนถามอึ้ง พูดไม่ออกชั่วขณะ

            “ไม่จริง” ณีรนุชพยายามย้ำคำเดิม

            “อย่าคิดว่าไม่มีคนติดต่อกับวิญญาณได้สิครับ” ธันวาพูด “ยิ่งเป็นวิญญาณที่ตายอย่างคับแค้นแบบนั้น เขาต้องการหาคนมาช่วยอยู่แล้ว...และถ้าคุณรู้จักครอบครัวผม ก็น่าจะทราบว่าปู่ผมเป็นใคร”

            ณีรนุชอึ้ง...ชื่อของ ‘เผด็จ’ เจ้าของที่ดินแปลงใหญ่หลายแปลงในเมือง เจ้าของโรงสีขนาดใหญ่ ธุรกิจเกี่ยวกับการเกษตรครบวงจร ยังไม่เป็นที่รู้จักของคนในเมืองมากเท่ากับท่านเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านไสยเวท ช่วยเหลือผู้คนมาหลายสิบปี

            “หมอ...เจอ...หมงจริง ๆ หรือ” สตรีกลางคนเอ่ยปากอย่างไม่อยากเชื่อ

            “ผมไม่ชอบพูดย้ำยืนยันอะไร...วิญญาณของเขาต้องการความช่วยเหลือจริง แต่ไม่ใช่แค่ทวงความยุติธรรม นำคนผิดมาลงโทษ...ที่เขาต้องการให้จับตัวคนผิด ‘ตัวการใหญ่’ ให้ได้นั้นก็เพราะ...ตราบใดที่ ‘คนคนนั้น’ ยังมีชีวิตอยู่ คนในครอบครัวเขา และทุกคนที่ ‘ฝ่ายนั้น’ สงสัยว่าอาจรู้เห็นความลับ เบื้องหลังธุรกิจมืดนี้...จะไม่ปลอดภัย”

            ณีรนุชพูดไม่ออก ริมฝีปากสั่นระริก ทุกวาจาธันวากระแทกความหวาดกลัวในใจเธอออกมา

            “ผมรับปากจะช่วยเขา ถ้าเขาช่วยคืนโฉนดที่ดินของย่าผมก่อน...โฉนดที่พวกคุณตั้งใจยึดไว้เป็นหลักประกันต่อรอง หลอกใช้ หาผลประโยชน์จากนักธุรกิจที่เป็นเหยื่ออย่างย่าของผมต่อไป”

            สตรีกลางคนหน้าซีดเผือด คาดไม่ถึงจิตแพทย์หนุ่มตรงหน้าจะอ่านเกมพวกตนออกหมดขนาดนี้

            “ตอนนี้คุณมีสิทธิเลือกแล้วครับ” ธันวาอ่านความสับสนในแววตาฝ่ายตรงข้ามออก จึงพูดกระตุ้นให้ตัดสินใจ

            ณีรนุชเลือกที่จะทำเป็นไม่รู้ไม่เห็น ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับธุรกิจน้องชายต่อไป โดยที่จิตใจคอยหวาดหวั่นว่าเมื่อไหร่ ‘ตัวการ’ แท้จริงจะพุ่งเป้ามายังตนเอง

            หรือให้ความร่วมมือกับจิตแพทย์หนุ่ม ที่ตนรู้ว่าพ่อของเขา และบิดาหญิงสาวที่มาด้วยกันเป็นนายตำรวจใหญ่ มีอิทธิพลพอตัว อีกทั้งสองครอบครัวนี้เป็นที่นับหน้าถือตาของคนทั้งเมืองตั้งแต่รุ่นปู่ บารมีล้นเหลือ...

            เธอจะกล้าเป็นปฏิปักษ์กับพวกเขาเชียวหรือ?

            “ได้...หมอ...ฉันจะช่วย”



- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -



            ภายในสำนักงานทนายความโอ่อ่ากว้างขวางกว่าที่เห็นด้านนอก นนท์...ทนายความใหญ่เป็นชายวัยสี่สิบ ไว้หนวด หน้าผากเถิกเกือบครึ่งศีรษะ ลักษณะภูมิฐานน่าเชื่อถือ ทว่าแววตาดูรอบจัด พร้อมเอาเปรียบทุกคน

            “สวัสดีครับคุณดวงสุดา” ทนายความใหญ่ออกมาต้อนรับด้วยตนเอง “อ้าวนั่นมากับใครครับ”

            คำเอ่ยทักเมื่อเห็นสองหนุ่มสาวไม่คุ้นตาร่วมทางมาด้วย

            “อ๋อ...นี่ธันวาลูกชายดิฉัน ส่วนนี่ก็มีนา...ลูกสาวคุณเภา” ดวงสุดาแนะนำ

            สองหนุ่มสาวยกมือไหว้ ทำตัวเป็นผู้ติดตามสงบเสงี่ยมเรียบร้อย

            “โอ้...ได้ยินชื่อมาตั้งนานลูกชายลูกสาวของสองบ้านดังในเมือง เพิ่งเจอตัวจริงวันนี้เอง” นนท์พูดอย่างชื่นชม แล้วหันไปมองดวงสุดาพร้อมเอ่ยถามอีกเรื่อง

            “จริงสิ ได้ข่าวว่าคุณนายร้อยกรองป่วย ท่านเป็นอะไรมากมั้ยครับ”

            คำถามคล้ายเป็นมารยาทมากกว่าอยากรู้จริง

            “ก็...ป่วยพอสมควร ท่านเลยให้ดิฉันมาคุยแทน” ดวงสุดาทำสีหน้ากังวลหนักใจ “เอ่อ...คุณณีคงโทรมาบอกแล้วใช่มั้ยคะว่าดิฉันจะมาหา”

            “ครับ...คุณณีรนุชบอกผมแล้ว” ทนายความพูดจริงจัง “เรื่องเกี่ยวกับสัญญาที่คุณนายร้อยกรองทำไว้”

            “ค่ะ ดิฉันเป็นตัวแทนคุณแม่ จะมาปรึกษาว่า...กรณีที่เสี่ยหมงเสียชีวิตอย่างนี้ ทางเราจะขอยกเลิกสัญญาร่วมทุน หรือไม่ก็ขอให้สัญญาเป็นโมฆะได้มั้ยคะ”

            ทนายความมีสีหน้ายุ่งยากใจ

            “เสี่ยหมงแกจดทะเบียนเป็นบริษัทนะครับ ไม่งั้นคงรับทำโครงการเมืองใหม่ไม่ได้...ต่อให้แกเสียชีวิต สัญญาก็ไม่น่าเป็นโมฆะ เพราะบริษัทยังดำเนินการได้อยู่ แต่ถ้าคุณนายร้อยกรองท่านอยากขอยกเลิกสัญญา...ผมจะพยายามหาดูว่ามีช่องว่างตรงไหนพอจะช่วยได้บ้าง...”

            การสนทนาดำเนินต่ออีกครู่หนึ่ง โดยไม่มีเนื้อหาคืบหน้า ธันวารอจังหวะเวลาเหมาะสมจึงให้สัญญาณมีนา

            “อุ๊ย...” มีนาอุทานมือปิดปาก แสดงกิริยาคลื่นไส้วิงเวียนอย่างแนบเนียน

            “ลูกมีน...เป็นอะไรไปจ๊ะ” ดวงสุดามีสีหน้ากังวล ขยับตัวจะเข้าไปช่วย แต่ช้ากว่าลูกชายซึ่งนั่งใกล้กว่า

            “น่าจะเป็นโรคประจำตัวของเขาครับแม่” ธันวาดูอาการก่อนบอกด้วยสีหน้าปกติ

            “หรือจ๊ะ...ทำยังไงดีล่ะ แม่ยังคุยธุระไม่จบเลย...” ดวงสุดาแสดงท่าละล้าละลัง มองหญิงสาวอย่างเป็นห่วง “ไม่สบายมากมั้ยลูก”

            “คลื่นไส้ เวียนหัว แต่ยังพอทนค่ะ...คุณแม่คุยธุระต่อเถอะ” มีนาตอบด้วยสีหน้าอิดโรย

            “งั้นผมพามีนไปห้องน้ำก่อนดีกว่า” ธันวาบอกแล้วหันไปทางทนายความ “คุณนนท์ครับ ห้องน้ำไปทางไหน ผมขออนุญาตใช้หน่อย”

            “เชิญเลยครับ...ทางนี้” ทนายความรีบชี้ทางให้

            ธันวาประคองมีนาหลวม ๆ ลุกจากห้องไปทางห้องน้ำที่เจ้าของสถานที่บอกไว้

            ดวงสุดาสีหน้ามีกังวล ก่อนฝืนยิ้มให้ทนายความ ก่อนคุยเรื่องที่ยังค้างคาต่อ...



- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -



            ห้องน้ำปราศจากผู้คน อยู่ไกลห้องรับรองแขกพอสมควร

            มีนายืนจ้องชายหนุ่มที่ปล่อยมือประคองเธอตั้งแต่พ้นสายตาทุกคนในห้อง

            “ฉันเป็นโรคประจำตัวอะไรยะ” ถามอย่างอดไม่ได้

            “โรคมารยา...เห็นเป็นตั้งแต่เด็ก...ป่านนี้ยังไม่หาย” ธันวาตอบหน้าตาเฉย

            “หน็อย...ถ้าไม่ใช่โรคมารยาของฉัน แผนแกจะมาถึงนี่ได้เหรอ”

            หญิงสาวพูดใส่...แผนการขโมยโฉนดคืน ถูกวางระหว่างขับรถกลับจากวัด แต่ละคนมีหน้าที่ต่างกัน ณีรนุชแค่โทรมาบอกนนท์...ทนายความว่าดวงสุดาจะมาหา เพื่อปรึกษาเรื่องขอยกเลิกสัญญา

            ดวงสุดามีหน้าที่ถ่วงเวลา ดึงความสนใจจากเจ้าของสถานที่ ส่วนธันวา มีนาทำหน้าที่หาโฉนดคืนมาให้ได้ภายในเวลาที่กำหนด

            แผนการเดินมาถึงครึ่งทางแล้ว ที่เหลือคือภารกิจสุดท้าย

            “อืม...ไปต่อกันได้แล้ว” ธันวาบอก

            “จะไปทางไหน ห้องเก็บเอกสารเสี่ยหมงอยู่ไหนก็ไม่รู้” มีนาพูดเสียงเบา “ขืนทะเล่อทะล่าเดินหามั่ว ๆ เดี๋ยวก็โดนจับได้หรอก”

            ถึงจะเป็นวันหยุดราชการ สำนักงานทนายความก็ยังมีคนมาทำงาน

            “ถามเจ้าของสถานที่ตัวจริงสิ” จิตแพทย์หนุ่มพูดง่าย ๆ

            มีนาแทบตาเหลือก หล่อนเห็นผีก็จริง แต่ไม่มีคาถาเรียกผี

            “จะให้ไปถามที่ไหนล่ะ ตอนนี้ฉันไม่เห็นมีผี...สัก...” คำพูดสุดท้ายยังไม่ทันหลุดจากปาก กระจกตรงหน้าก็ปรากฏภาพบุคคลที่พร้อมให้ความช่วยเหลือทันที

            มีนาจ้องกระจกตาค้าง พูดไม่ออกชั่วขณะ ร่างเสี่ยหมงยืนอยู่ด้านหลังหล่อนนี่เอง ก่อนหน้านี้ที่ไม่รู้สึกถึงการมีอยู่ของเขาก็เพราะเธอมัวต่อล้อต่อเถียงกับชายหนุ่ม จนจิตไม่อาจสัมผัสคลื่นพลังงานต่างภพได้

            ส่วนธันวาตั้งสติ เปิดสัมผัสเร้นลับอยู่แล้ว เขาจึงรู้สึกได้ตั้งแต่เดินมาห้องน้ำว่า ‘เสี่ยหมง’ กำลังเดินตามพวกตนช้า ๆ รอเวลามีนาสามารถ ‘จูน’ คลื่นติด มองเห็นการมีอยู่ของตน เพื่อจะได้ทำหน้าที่ตามข้อตกลง

            สำนักงานทนายความขนาดกลาง ผู้คนไม่พลุกพล่าน แต่ยังมีคนทำงานตามห้องต่าง ๆ ถ้าสุ่มสี่สุ่มห้าเดินหาตู้เอกสารสำคัญ อาจพลาดพลั้งโดนจับได้ง่าย ๆ

            การให้เจ้าของสถานที่นำทางย่อมสะดวกง่ายดายกว่า...อย่างน้อยก็ไม่เสียเวลา...








บทที่ ๕



            ‘ผี’ นำทางนับว่ายากแล้ว ให้คนกลัวผีอย่างมีนาติดตามรอยผีน่าจะยากกว่า

            ธันวาเคยถามพิจิกตอนร่วมวางแผน คิดว่าหญิงสาวจะทำหน้าที่นี้ได้หรือไม่?

            “เจ้มีนแกไม่ใช่เด็กที่กลัวผีแล้วร้องกรี๊ดเผ่นแน่บก่อนใครเหมือนเมื่อก่อนแล้ว ถึงจะกลัวแค่ไหน แต่นิสัยแก้ไม่หายของเจ้แกคือ...ชอบช่วยเหลือคนอื่น ยิ่งเป็นคนที่แกรักอย่างคุณย่าของเรา เจ้ทำเต็มที่อยู่แล้ว...ทีนี้พี่ธันก็แค่คอยอยู่ใกล้ ๆ ให้เจ้มีนอุ่นใจว่ามีเพื่อน ไม่ทิ้งแกอยู่กับผี แค่นี้ก็พอไหว”

            ‘ทิ้ง’ คำนี้ทำให้ใจธันวาสะท้านเยือก

            ด้วยครั้งหนึ่ง เขาเคยทำผิด ทิ้งมีนาเอาไว้จนเกือบเกิดเรื่องร้ายแรง ทำให้เธอโกรธแค้นไม่พูดกับเขาเป็นปี จนเติบโตเป็นผู้ใหญ่ ด้วยความที่สองครอบครัวผูกพันมานานเกินกว่าจะบาดหมาง สองหนุ่มสาวจึงต้องพยายามพูดจา ปรับความสัมพันธ์ให้เป็นปกติ ทั้งที่บาดแผลความเจ็บปวดยังเร้นลึกอยู่ในใจ

            “พี่จะไม่ ‘ทิ้ง’ เขาอีกแล้ว” ธันวาตอบเรียบ ๆ

            คนเป็นน้องชายฟังแล้วสะดุดหู นึกได้ว่าหลุดวาจาสะกิดความรู้สึกผิดของพี่ชายไปแล้ว

            “ขอโทษครับ”

            ธันวาพยักหน้ารับ แสดงกิริยาไม่ถือสา หากในใจรับรู้...คำว่าขอโทษ...อาจเยียวยาบาดแผลในใจบางคนไม่ได้



(โปรดติดตามต่อฉบับหน้า)



แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP