วรรณกรรมนำใจ Lite Literature

เร้น ๔



Ren



ชลนิล


(ต่อจากฉบับที่แล้ว)



            รถ SUV สีขาวแล่นมาจอดเทียบ รถ SUV สีดำยี่ห้อเดียวกัน ซึ่งจอดอยู่ตรงลานด้านข้างตึกผู้ป่วย

            “เอ๊ะ...รถจิกนี่” มีนาเอ่ยทักก่อนขยับตัวลงจากรถ

            หญิงสาวติดรถธันวาเข้าเมืองมาด้วย นับเป็นเหตุการณ์ไม่เกิดบ่อยนัก ครั้งนี้จำเป็นต้องมาด้วยกันเพราะว่า...



            “รถคุณพี่ตัวควบคุมฯ เครื่องมันเสียครับ เปลี่ยนที่นี่ไม่ได้ ต้องลากไปเปลี่ยนอะไหล่ที่ศูนย์ พร้อมกับตรวจเช็คระบบตัวอื่นอีก” ช่างบอกอย่างนั้น

            “อ้าว แล้วพี่จะเข้าเมืองยังไงล่ะ”

            “ผมเรียกรถลากมาแล้ว คุณพี่จะติดรถเข้าเมืองไปด้วยก็ได้ครับ” ช่างยนต์หนุ่มพูดพลางหันมองผู้ชายตัวสูงที่ยืนข้างหญิงสาว เป็นเชิงสงสัยว่าทำไมไม่เข้าเมืองด้วยกัน

            “เธอไปกับฉันก็ได้” ธันวาเอ่ยปาก

            มีนาเหลือบมองชายหนุ่มอย่างชั่งใจ เปรียบเทียบระหว่างการนั่งรถกระบะเก่าโทรม กับรถอเนกประสงค์สัญชาติยุโรป แอร์เย็นฉ่ำ

            คนอื่นคงไม่เสียเวลาตัดสินใจนานนัก มีนาดันมีฟอร์มกับเจ้าของรถ เลยไม่รู้จะพูดอย่างไร

            ธันวาเห็นท่าทางหญิงสาวก็พอเดาใจออก

            “อ้อ...แต่ฉันจะไปเยี่ยมคุณย่าที่โรงพยาบาลก่อนนะ” จิตแพทย์หนุ่มบอก

            “อ้าว...คุณย่ากรองเป็นอะไร...” มีนาตกใจ หล่อนรักเคารพย่าร้อยกรองเหมือนเป็นคุณย่าแท้ ๆ ของตน

            “ไม่สบาย แม่เธอไม่ได้บอกเหรอ” ธันวาแปลกใจที่หล่อนไม่รู้

            “ไม่ได้บอก...ฉันกลับบ้านมาทำงาน” หญิงสาวบอกแค่นั้น

            “งั้นไปเยี่ยมย่าฉันด้วยกันสิ” คุณหมอหนุ่มชวน

            “ไปไป...อยากเจอคุณย่าเหมือนกัน ฉันไปด้วย” คราวนี้หญิงสาวไม่ลังเล

            มีนาโล่งใจที่หาเหตุผลสมควรนั่งรถธันวาได้แล้ว จึงไม่ทันสังเกตรอยขันในดวงตาชายหนุ่ม ที่คล้ายจะบอกว่า...หล่อนตกหลุมพรางจนได้

            ระหว่างทางเข้าเมืองด้วยกัน หญิงสาวพยายามพูดคุยเรื่องงานของตน พร้อมกับขอให้เขาพาไปสัมภาษณ์ ณีรนุช พี่สาวเสี่ยหมง

            จิตแพทย์หนุ่มปฏิเสธสั้น ๆ หลังจากนั้น ไม่ว่ามีนาเซ้าซี้แค่ไหน เขาจะใช้อาการนิ่งเฉยแทนคำตอบ

            สุดท้ายหญิงสาวอ่อนใจ คร้านจะรบเร้าขอร้อง หล่อนรู้จักนิสัยเขาดี ผู้ชายคนนี้ปากหนัก คำไหนคำนั้น

            เพราะอย่างนี้ ‘วันนั้น’ เธอจึงเคืองเขานักหนา ต่อให้วันเวลาละลายโทสะในใจจนหมดแล้ว ก็ยังพยายามถอยความสัมพันธ์ ไม่กล้าถลำใจอย่างเดิม



            สมัยเด็ก สองครอบครัวแอบสนับสนุนให้ลูกชาย ลูกสาวของตนได้สนิทสนมผูกสัมพันธ์ พอเจ้าตัวรู้ต่างรีบปฏิเสธแบบดื้อหัวชนฝา ไม่ยอมตามใจผู้ใหญ่ จนกระทั่งย่างเข้าสู่วัยรุ่น ความรู้สึกเริ่มเปลี่ยนแปลง ความรู้สึกดี ๆ ก่อตัวช้า ๆ จนถึงจุดที่ทั้งสองรู้ใจกันและกัน

            แต่แล้วเกิดเหตุการณ์บางอย่างทำให้มีนาโกรธเคืองธันวา และเด็กหนุ่มก็ไม่คิดง้องอน อธิบายปรับความเข้าใจ ความสัมพันธ์จึงแตกแยก เปลี่ยนไป

            กาลเวลาผ่านเลย เรื่องในวัยเยาว์เป็นเพียงแค่มุมหนึ่งในความทรงจำ มาถึงทุกวันนี้มีนาสามารถพูดคุย อยู่ร่วมตึกคอนโดเดียวกับธันวาได้โดยไม่อึดอัด ลำบากใจ

            หากถามว่ามีนาเกลียดธันวาหรือไม่?

            ...ไม่เกลียดแต่ไม่กล้ารัก...



            เมื่อขอร้องเรื่องงานไม่สำเร็จ หญิงสาวจึงเปลี่ยนเรื่องคุย

            “คุณย่ากรองไม่สบายเป็นอะไร”

            “จิกมันบอกว่าเป็นโรคคนแก่” ธันวานำวาจามารดามาตอบ

            “แหม ไอ้จิกมันเป็นหมอฟัน จะรู้เรื่องอาการป่วยอย่างอื่นได้ยังไง” มีนาสวนทันควัน

            ธันวาไม่ตอบอะไร นอกจากรอยขบขันในดวงตา ไม่อยากบอกหญิงสาวว่า...แม่เขาก็พูดอย่างเธอ...ผู้หญิงสองบ้านนี้คิดอะไรเหมือนกัน

            ขับรถถึงโรงพยาบาล เห็นรถน้องชายจอดข้างตึกคนป่วย แสดงว่าเจ้าตัวยังอยู่ อาจเฝ้าคุณย่าเป็นเพื่อนมารดา

            สองหนุ่มสาวเข้าไปในตึก พบกับพิจิก...ทันตแพทย์หนุ่มน้องชายธันวายืนรออยู่



            “ว่าไงน้องเขยรูปหล่อ”

            มีนาเข้าไปกอดทักทายอย่างสนิทสนม เพราะนอกจากจะคุ้นเคยกันแต่เล็กแล้ว พิจิกยังเป็นแฟนเมษา...น้องสาวเธอด้วย

            “หวัดดี พี่สะใภ้คนสวย ไม่เจอกันนานคิดถึงจังเล้ย” พิจิกคลายกอดแล้วหันไปหลิ่วตาหยอกล้อกลับบ้าง

            “อย่ามาตอแหล ปากหวาน ไอ้หมาจิก” มีนารีบตัดบท ไม่อยากให้พิจิกแซวคำว่า ‘พี่สะใภ้’ ต่อหน้าธันวา ถึงจะไม่ใช่ครั้งแรกที่คุณหมอหนุ่มได้ยินคนในครอบครัวหยอกล้อกันแบบนี้ก็ตาม

            “แล้วไงยะ ตอนนี้มีญาณหยั่งรู้ ขนาดมายืนรอได้เลยเหรอ”

            “ผมไม่เก่งขนาดนั้นหรอกเจ้” พิจิกหัวเราะ พยักเพยิดทางพี่ชาย “พี่ธันโทรมาบอกตอนกำลังจะเข้าเมืองน่ะ”

            ธันวาตีหน้าเฉย ไม่อธิบายว่าตนโทรบอกน้องชายตอนไหน เมื่อสองหนุ่มยืนคู่กันดูโดดเด่น สะดุดตาคนที่อยู่บริเวณใกล้เคียง

            ทั้งคู่มีความเหมือน และแตกต่างอย่างลงตัว ส่วนสูงใกล้เคียง โครงหน้ารูปเดียวกัน ธันวามีดวงตาสวยคม ทว่าขรึมดุกว่า พิจิกมีประกายตาอบอุ่น ริมฝีปากคล้ายมีรอยยิ้มติดเสมอชวนเข้าใกล้ พอยืนประกบกันแล้วจึงน่ามอง ชวนค้นหา

            “คุณย่าอยู่ชั้นไหน” ธันวาถามน้องชาย

            “ห้องพิเศษ ชั้นแปด” ทันตแพทย์หนุ่มตอบ

            “ป่านนี้นอนหลับหรือยังเนี่ย” มีนาเป็นห่วง

            “ยังหรอก” พิจิกตอบยิ้ม ๆ “ตอนนี้ยังไม่ดึก ยิ่งรู้ว่าหลานชายสุดที่รักอย่างพี่ธันจะมามีแต่จะตั้งตารอ แม่ก็เลยไล่ให้ผมมารอรับอยู่ข้างล่างนี่ไง”

            ขณะตอบคำถาม ทั้งสามก็เดินไปรออยู่หน้าลิฟต์

            “คุณย่าป่วยเป็นอะไร” มีนาถามแล้วรีบดักคอ “ห้ามบอกว่าเป็นโรคคนแก่!”

            พิจิกหัวเราะขัน มองพี่ชายเป็นเชิงขอความช่วยเหลือ

            “แล้วอย่างนี้ผมจะตอบยังไงล่ะพี่ธัน”

            “ตอบตามจริงไปสิ” ธันวาพูดตรง

            ทันตแพทย์หนุ่มอมยิ้มก่อนอธิบายขยายความ

            “ความดันขึ้น หัวใจมีปัญหา แขนขาไม่มีแรง ปอดไม่ค่อยดี...อย่างนี้สรุปว่าเป็นโรคอะไรดีครับ...คุณหมอ”

            พอได้ยินอย่างนั้น ผู้ฟังนิ่งอั้น ตอบไม่ถูก พิจิกเกรงอีกฝ่ายจะใจเสียจึงพูดต่อ

            “ที่จริงถือว่าไม่น่าหนักใจเท่าไหร่ ถ้าเทียบกับคนอายุแปดสิบกว่า ซึ่งอวัยวะต่าง ๆ มันต้องเสื่อมสภาพตามวัยอยู่แล้ว คุณย่าท่านดูแลสุขภาพ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ ท่านจึงแข็งแรง ไม่เจ็บไม่ป่วยบ่อยอย่างคนวัยเดียวกัน”

            “ทำไมจู่ ๆ อาการพวกนี้ถึงมาพร้อมกันได้ล่ะ” มีนาซักไซ้

            “ท่านเครียด...ธุรกิจที่ทำเจอปัญหาหนักอย่างไม่เคยเกิดมาก่อน”

            “แล้วทำไมยังปล่อยให้ท่านทำงานอยู่อีก” ธันวาบ่นกึ่งดุ

            พิจิกหัวเราะเบา ๆ ไม่รู้จะตอบคำถามพี่ชายอย่างไร...เพราะความจริง ธันวาก็รู้นิสัยคุณย่าดีพอกับเขา

            “คุณย่าท่านดื้อจะตาย ใครไปห้ามก็จะถูกด่าว่า...ธุรกิจบ้านเรา ถ้าเราไม่ทำแล้วใครจะทำ...” ทันตแพทย์หนุ่มจงใจเลียนเสียงคนแก่ได้ใกล้เคียง

            “แถมท่านยังบ่นต่อไปอีกว่า...คุณปู่ก็เกษียณตัวเองเข้าวัดเข้าวาไม่สนใจ คุณพ่อเรา ลูกชายคนเดียวของท่านก็เป็นนายตำรวจ ตำแหน่งใหญ่โต ภาระรับผิดชอบเยอะแยะ หลานชายสุดที่รักอย่างพี่ธันก็หนีไปทำงานกรุงเทพฯ ไม่ยอมรับช่วงต่อ ส่วนหลานชายที่ท่านรักน้อยกว่านิดนึงก็ไม่สนใจทำธุรกิจ หวังรอรับมรดกอย่างเดียว เหลือแต่คุณแม่ ลูกสะใภ้สุดโปรดที่ช่วยท่านทำงาน ดูแลธุรกิจพันล้าน หาสมบัติให้พวกเรา...”

            เรื่องที่ฟังชวนปวดหัว พิจิกกลับมีวิธีพูด น้ำเสียงทำให้คนฟังอมยิ้มได้

            ธันวาถอนใจ เขารู้จักธุรกิจครอบครัวตั้งแต่เล็ก คุณปู่มีที่ดินแปลงใหญ่หลายแปลงทั่วจังหวัด แปลงในเมืองสร้างตึก อาคารพาณิชย์ ทำตลาดให้คนเช่าทำธุรกิจการค้า นอกเมืองให้ชาวบ้านเช่าทำนา ทำสวน นอกจากนั้นยังมีโรงสีขนาดใหญ่ โกดังข้าว ร้านขายเครื่องมือ อุปกรณ์การเกษตรครบวงจร ไม่นับรถสิบล้ออีกหลายคันซึ่งใช้ในการขนส่งข้าว ผลผลิตทางการเกษตรต่าง ๆ

            ธุรกิจมากมายเหล่านี้ ปู่ได้จัดสรรคนที่ไว้ใจได้ ให้ดูแลรับผิดชอบ แบ่งผลประโยชน์อย่างสมน้ำสมเนื้อ ตั้งแต่ก่อนเกษียณตัวเองนานแล้ว เพราะรู้ว่าลูกชาย หลานชายของท่านไม่มีใครสืบกิจการต่อเลยสักคน

            ย่ากับมารดาเขาสามารถอยู่เฉย ๆ ใช้ชีวิตอย่างสุขสบายก็ได้ ท่านกลับอยากทำงาน ดูแลกิจการอยู่ห่าง ๆ นำผลประโยชน์ รายได้มหาศาลที่มีไปลงทุนในกิจการอื่นโดยปู่ไม่ทราบ



            ...ติ๊ง...ลิฟต์มาถึง การสนทนาหยุดชะงักชั่วขณะก่อนดำเนินต่อภายในลิฟต์

            “คราวนี้ย่ากรองท่านแอบไปลงทุนอะไรล่ะ” มีนาถามขึ้น

            “โครงการเมืองใหม่” พิจิกตอบก่อนอธิบายเพิ่ม “ท่านแค่ร่วมทุนน่ะ ไม่ได้เป็นเจ้าของโครงการ พอดีที่ดินของท่านอยู่ในแผนโครงการขยายเมืองใหม่ เลยคิดว่าจะลงทุนทำสนามกอล์ฟ หมู่บ้านจัดสรร...”

            “แล้วเกิดปัญหาอะไร” ธันวาถาม

            “เจ้าของโครงการตายกะทันหัน...คราวนี้ถึงได้รู้ว่าโครงการนี้มีรูรั่วเยอะ ปัญหาเน่าในสารพัด มีเอกสารหลายฉบับที่ทางผู้ใหญ่ยังไม่ได้เซ็น เพราะตรวจสอบไม่ผ่าน แต่สัญญาเรื่องที่ดินร่วมทุนของเราดันเซ็นไปแล้ว เงินมัดจำก้อนแรกก็วางไปหลายล้าน จะมาขอยกเลิกสัญญา เอาเงินคืนตอนนี้ไม่ได้ คุณย่าท่านเลยเครียดจนป่วยนี่ไง”

            “เจ้าของโครงการที่ตายเป็นใคร” มีนาสะกิดใจถามขึ้น

            “เสี่ยหมง คนที่ขับรถแหกโค้งชนต้นไม้ตายไง...แกมีเบื้องหลังไม่ธรรมดาเลยล่ะ” พิจิกตอบ

            “เสี่ยหมง!” มีนาอุทาน ใจหายวูบ



            จิตระลึกถึงตอนที่สื่อสารกันภายในรถ ดวงตาหล่อนทอดมองโดยไม่โฟกัสสิ่งใดเป็นพิเศษ ภาพที่เห็นคือร่างดำทะมึนยืนอยู่หน้ารถ พร้อมมีร่างสีเทาจาง ๆ หลายตน เรียงรายอยู่โดยรอบ

            สติสมาธิเธอไม่คมชัดพอจะพอเห็นรายละเอียดรูปร่างหน้าตาพวกเขาชัดเจนนัก สิ่งที่กระทบใจคือกระแสความรู้สึกหม่นมัว ซึมเซา คร่ำครวญ โหยหา เหมือนคนหิวที่กินเท่าไหร่ก็ไม่รู้จักอิ่มพอ

            มีนาสวดบทแผ่เมตตา และอุทิศบุญกุศลอย่างที่ปู่เคยสอน จิตใจตั้งมั่นขึ้น พวกที่ล้อมรถค่อยจางหาย เหลือร่างดำทะมึนตรงหน้าที่ยืนนิ่ง ราวกับมีความต้องการอื่นอีก

            จิตที่แผ่ความเมตตาออกไป ย้อนกลับมาให้จิตใจเธอมีกำลัง เข้มแข็งกว่าเดิม มองร่างตรงหน้าโดยไม่รู้สึกหวาดเกรง ลักษณะรูปร่างหน้าตาฝ่ายนั้นจึงค่อยชัดเจนขึ้น

            ...เสี่ยหมง...

            เสี่ยหมง ชายกลางคนรูปร่างสันทัด ผิวขาวซีดออกเทา ดวงตาเรียวแบบคนจีน หุ่นท้วม แก้มย้อย อยู่ในชุดเสื้อผ้าที่เห็นในข่าว ทว่ามันดูมอมแมม เก่าโทรม ขาดวิ่นพยายามขยับปากเพื่อร้องบอกขอความช่วยเหลือ

            “ช่วยด้วย ช่วยด้วย ผมถูกฆ่าตาย”

            เสียงดังกระทบไปมาในหัว กระแสเสียงเต็มไปด้วยความทุกข์ เว้าวอน จนหญิงสาวเกิดความเมตตา สงสารยิ่งกว่าเดิม

            “จะให้ช่วยยังไง...ใครเป็นคนฆ่าคุณ” มีนาตอบโดยใช้เสียงทางความคิด

            “พี่ณี...พี่ณีรู้...พี่ณีช่วยได้...” เสียงตอบขาด ๆ หาย ๆ ก่อนร่างเสี่ยหมงจะเลือนรางจากไป

            นี่เป็นเหตุผลที่มีนาเซ้าซี้ คะยั้นคะยอให้ธันวาพาเธอไปพบณีรนุช



            พอได้ยินชื่อเสี่ยหมง พร้อมหลุดปากออกมาซ้ำ จิตมีนาประหวัดนึกถึงภาพดวงวิญญาณที่เพิ่งเห็นไม่นาน เกิดกระแสดึงดูด สื่อสาร คลับคล้ายการเรียกขาน

            ส่งผลให้ภายในลิฟต์มีกลิ่นแปลก ๆ อบอวล บรรยากาศมึนซึม อากาศเย็นชืดลงฉับพลัน และที่มุมลิฟต์ด้านหลังทุกคนนั้น มีร่างท้วมสันทัดยืนก้มหน้า คล้ายกำลังรอคอยให้ใครสักคนหันมาเห็น








บทที่ ๓



            อากาศเย็นยะเยือกแผ่มาจากด้านหลัง ความซึมเซากระจายทั่วบรรยากาศ แสงไฟหม่นลงราวกับมีความมืดมนเข้าแทรก

            มีนารู้สึกตัว สลัดความทรงจำออก กำลังจะหันไปมองเบื้องหลังตามสัญชาตญาณ ทว่าวงแขนอบอุ่น แข็งแรงของพิจิกโอบกระชับหล่อนเบา ๆ พูดด้วยน้ำเสียงกลั้วหัวเราะ

            “เราอย่าคุยเรื่องชวนปวดหัวของคุณย่าเลย...เจ้ฟังเรื่องน่าปวดหัวของผมดีกว่า” ชายหนุ่มดึงความสนใจหญิงสาวมาอยู่ที่ตนเอง

            “แกมีเรื่องปวดหัวอะไรนักหนา ใช้ชีวิตแสนจะสุขสันต์ เป็นหลานรักปู่เผด็จที่ใคร ๆ ต้องเกรงใจ” มีนาเหน็บหนุ่มรุ่นน้อง

            “ปัญหาหัวใจไงเจ้...ตอนนี้ที่รักผมเขาหนีไปโกอินเตอร์ทำโปรเจ็กต์ใหญ่อยู่ตั้งไกล” ชายหนุ่มแกล้งทำเสียงน่าสงสาร พูดถึงเมษา น้องสาวมีนาที่กำลังทำงานอยู่ต่างประเทศ

            “แล้วไม่ดีหรือไง หมวยเล็กไม่อยู่ แกก็เป็นโสด แรดได้เต็มที่ สาว ๆ รุมตอมแทบเหยียบกันตาย” มีนาประชด

            “ผมรักเดียวใจเดียวนะเจ้ แล้วก็ไม่ได้อยากโสดสักหน่อย ช่วยไปเกลี้ยกล่อมให้หมวยเล็กมันเลิกทำงานบริษัทเพื่อนมันสักทีดิ”

            “หนอย ให้หมวยเล็กเลิกทำงานมาอยู่บ้านเฉย ๆ ให้แกเลี้ยงหรือไงยะ” มีนาโมโหแทนน้องสาว รู้ว่าขืนเกลี้ยกล่อมจริงเจ้าตัวคงอาละวาดแน่

            พิจิกอมยิ้ม รู้ถึงอารมณ์ที่เปลี่ยนของมีนาชัดเจน แอบปรายตามองด้านหลัง เขาคนนั้น’ ยังยืนก้มหน้าอยู่อย่างเดิม ไม่ขยับไปไหน แต่ถูกการดึงอารมณ์ ความสนใจออกไป ทำให้มีนาไม่อาจรับรู้ มองเห็นผู้อยู่ต่างภพเวลานี้ได้

            ธันวาเหลือบมองตามสายตาน้องชาย รู้สึกชัดถึงสิ่งแปลกปลอมซึ่งมาพร้อมบรรยากาศแปลกเปลี่ยน กระแสมัวซัว มีความเข้มข้น จนเกือบสร้างรูปร่างหน้าตาให้เห็นในมโนภาพได้

            สิ่งนั้น’ ยืนอยู่มุมลิฟต์ด้านหลัง

            ตอนมีนาขยับจะหันหลังไปมอง จิตแพทย์หนุ่มเตรียมขยับตัวไปยืนขวางแล้ว ถ้าน้องชายตนไม่หาวิธีดึงความสนใจหญิงสาวไปเสียก่อน

            สองหนุ่มพี่น้องสบตาโดยไม่ตั้งใจ พิจิกยักคิ้วให้เป็นเชิงเข้าใจ รู้ทัน ธันวาแค่พยักหน้ารับทราบ ไม่แสดงกิริยาแปลกออกไป

            เมื่ออารมณ์ ความรู้สึกมีนาถูกเบี่ยงเบน ประกอบกับโดนพิจิกโอบไว้หลวม ๆ กระแสคลื่นบางอย่างจึงไม่อาจกระทบถูก เจ้าตัวจึงถูก ‘ตัด’ การรับรู้พิเศษชั่วคราว



            “โหเจ้...ใครจะไปกล้าให้หมวยเล็กอยู่บ้านเฉย ๆล่ะ ให้มันไปคุมร้านทองแทนแม่เภา หรือไปดูแลระบบในห้างก็ได้ กิจการบ้านตัวเองมีเยอะแยะ ไม่รู้จักไปทำ” พิจิกพูดหน้าตาเฉย

            กิจการครอบครัวมีนา เมษาทำเกี่ยวกับการค้าขาย ไม่ว่าจะเป็นห้างสรรพสินค้า ร้านทอง ร้านขายส่งเครื่องอุปโภคบริโภค พ่อของทั้งคู่ ‘ปฐวี’ เป็นนายตำรวจใหญ่ ตำแหน่งสำคัญไม่แพ้พ่อสองหนุ่ม จึงไม่ได้รับช่วงดูแลกิจการ ทำให้คุณเภา ผู้เป็นภรรยา มารดาสองสาวเป็นผู้บริหารทั้งหมด โดยมีคนเก่าคนแก่ที่ไว้ใจได้แยกดูแลแต่ละกิจการอีกที

            “กิจการบ้านแกก็มีตั้งเยอะ ทำไมไม่ไปทำ ปล่อยให้ย่ากรองกับแม่ดาดูแลกันสองคน” มีนาย้อนคืน

            พิจิกยิ้มเผล่

            “ผมทำหน้าที่หลานชายกตัญญู ดูแลปู่และรอรับมรดกอย่างเดียว” เขาพูดหน้าตาเฉยจนคนฟังอดหัวเราะไม่ได้

            “อย่างนี้ไม่ด่าว่าหน้าด้านก็ไม่รู้จะว่ายังไงแล้ว ไอ้จิกเอ๊ย” มีนาบ่น

            “อ้าว ถ้าหมวยเล็กมาทำงานที่นี่ ทุกคนก็ได้ประโยชน์นะ แม่เภาจะได้เบาแรงลง ผมกับมันจะได้แต่งงานกันสักที สองตระกูลเป็นทองแผ่นเดียวกันสมความมุ่งหมาย ปู่ก็จะได้อุ้มเหลนสมใจ”

            คำว่า สองตระกูลเป็นทองแผ่นเดียวกัน’ ทำให้มีนาชะงักชั่วขณะ แอบเหลือบมองชายหนุ่มอีกคนที่ยืนนิ่งไม่พูดจา แล้วลอบถอนใจเบา



            ตั้งแต่จำความได้ ทั้งปู่ย่า พ่อแม่ ต่างเปิดโอกาส แอบเชียร์ลับ ๆ ให้หล่อนกับธันวามีใจให้กัน ด้วยความใกล้ชิดแต่เล็กจึงมองกันเป็นแค่เพื่อน ยิ่งผู้ใหญ่เปิดทางสะดวก ยิ่งไม่อยากก้าวเดิน...

            สมัยเด็กมีนาจึงหาสารพัดวิธีผลักไสธันวาให้พ้นตัว

            “ธัน...ขอเบอร์หน่อยสิ” เด็กสาวมีนาแอบกระซิบกระซาบเด็กหนุ่มตอนอยู่ที่โรงเรียน

            “เธอก็มีเบอร์ฉัน จะขอไปทำไม” หนุ่มน้อยธันวาแสดงความรำคาญทางสีหน้าแววตา

            “ไม่ใช่...ฉันจะขอไปให้หนิง...เพื่อนฉันเอง ได้ไหม”

            “ไม่!”

            ธันวาตอบสั้น ๆ มีนารู้ว่าหากตนแอบเอาเบอร์ของเขาไปให้เพื่อนคนนั้นเมื่อไหร่ รับรอง ‘หนิง’ ต้องเจอวาจาตัดรอนชนิดทำให้ร้องไห้ไปสามวัน

            ถึงอย่างนั้นเจ้าหล่อนก็ยังไม่เข็ด ด้วยความที่ธันวาหน้าตาหล่อจัดจนเลื่องลือ เป็นนักกีฬาแทบทุกชนิดตั้งแต่ฟุตบอลยันมวยไทยสมัครเล่น เด็กสาวทุกคนจึงหวังใช้มีนาเป็นสะพานทอดไปหาเด็กหนุ่มข้างบ้าน

            “นี่...จดหมายรักจากเจี๊ยบ เพื่อนห้องสี่”

            “ช็อคโกแลตแท่งนี้ น้องแจน ห้องสามฝากมาให้”

            “เค้กชิ้นนี้ พี่เก้า ห้องหก ทำให้แกกับมือเลยนะ”

            ธันวาแค่ยืนมองเฉย ๆ ไม่เคยยื่นมือรับ ไม่เคยเอ่ยปากฝากคำขอบคุณใคร นอกจาก...

            “ฉันไม่เอา เธอไปจัดการเอง”

            แรก ๆ มีนายังมีการออดอ้อน

            “โธ่ฉันไม่รู้จะทำยังไงนี่ เขาอ้อนวอนขอร้องมา น่า...นะแกรับไปเถอะ...นะนะ...พวกเขาจะได้ดีใจ”

            “ไม่” เจอคำพูดนี้ มีนาจนแต้ม

            บางครั้งเด็กสาวอดรนทนไม่ไหว ต้องระเบิดใส่เด็กหนุ่มจอมเล่นตัวคนนี้บ้าง

            “ไอ้หมาธันเอ๊ย...แกรีบคบ ๆ ใครไปสักคนทีเถอะ ฉันจะได้พ้นเวรพ้นกรรม ไม่ต้องเป็นแม่สื่อแม่ชักแบบนี้”

            “เธอไง...คบกับฉันมั้ย” คำพูดห้วนทื่อ สีหน้าเฉยเมย เหมือนวาจาตัดรำคาญ

            “ไอ้บ้า แค่คิดก็ขนลุกแล้ว ไปหาคนอื่นไป๊”

            “ทำไมล่ะ” เขาพูดด้วยสีหน้าเบื่อ ๆ อย่างเคย “บ้านเราอยู่ติดกัน เธอไม่ต้องเสียเวลาส่งจดหมายมาหาฉัน เบอร์โทรฉัน...เธอก็มีอยู่แล้ว ไม่ต้องเสียเวลาขอใหม่ ช็อคโกแลต ขนมพวกนี้ ฉันก็ไปกินบ้านเธอประจำ ไม่ต้องเอามาให้ แถมเราคบกันพวกผู้ใหญ่ก็ดีใจ ไม่มีอะไรเสียหายเลย”

            มีนาถอนใจเฮือกใหญ่ ถ้าคนพูดจะมีสีหน้าแววตาอบอุ่น อ่อนหวานเหมือนในละครสักนิด จิตใจเด็กสาวอย่างเธออาจหวั่นไหว คล้อยตามบ้าง แต่นี่เขาพูดตรง ชัด ทื่อ เหมือนสอนการบ้านวิชาคำนวณให้เธอ

            “ไม่มีทางหรอกย่ะ...เรื่องอะไรฉันจะยอมตามใจผู้ใหญ่ เป็นทองแผ่นเดียวกับแก...แหยะนี่มันสมัยไหนแล้ว...”

            ธันวาไม่พูดมากกว่านั้น ดวงตาแลตรง ไม่แสดงอารมณ์ความรู้สึกให้เห็น มีนาคิดว่าไม่มีวันที่เธอจะเห็นอีกฝ่ายเป็น ‘ผู้ชาย’ ของเธอได้...แต่...ไม่นานนัก ความรู้สึกเช่นนั้นกลับแปรเปลี่ยน

            ...แผนที่จะให้สองครอบครัวเป็นทองแผ่นเดียวกันเริ่มมีความหวังรำไร...จนกระทั่ง...



            ...ติ้ง...ประตูลิฟต์เปิด ความฟุ้งซ่านในหัวละลายหาย พิจิกแตะไหล่ให้มีนาก้าวออกมาก่อน ธันวาเดินตามมาเป็นคนสุดท้าย เหลือบมองด้านหลัง คลื่นความเป็นตัวตนของ ‘สิ่งนั้น’ ยังเข้มข้น ชัดเจน

            ระหว่างเดินไปยังห้องผู้ป่วย ธันวารู้สึกถึงการเคลื่อนไหวติดตาม

            ‘เขา’ ตามมาช้า ๆ ไม่มีเจตนาร้าย แค่รู้สึกด้วยสัญชาตญาณว่าหญิงสาวที่เดินนำหน้า สามารถช่วยเหลือได้ เมื่อช่วยเหลือได้ เขาต้องตามเธอไป หาโอกาสติดต่อสื่อสาร...

            ธันวาไม่รู้ควรทำอย่างไร เห็นน้องชายตนไม่คลายวงแขนที่โอบไหล่หญิงสาว หนำซ้ำพูดจาเรื่อยเปื่อย ยั่วให้เธอมีอารมณ์ขึ้นลง จนไม่อาจสัมผัสกระแสคลื่นด้านหลังได้

            พอมาถึงหน้าประตูห้องคนป่วย พิจิกค่อยคลายมือจากไหล่มีนา แล้วหันไปจ้องอากาศว่างด้านหลัง ดวงตาทอประกายอ่อนโยน มีกระแสบางอย่างพุ่งออกไปสัมผัสกลุ่มคลื่นที่มองไม่เห็นนั้น จนอีกฝ่ายค่อยเจือจาง แล้วหายไปเอง

            ทันตแพทย์หนุ่มหันมาพบพี่ชายกำลังจ้องมองตนเองอยู่ จึงยิ้มให้ด้วยดวงตาสดใส แทนคำบอกกล่าวต่อกัน

            ...ไม่ต้องห่วง ‘เขา’ ไปแล้ว...



(โปรดติดตามต่อฉบับหน้า)



แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP