วรรณกรรมนำใจ Lite Literature

เร้น ๒



Ren



ชลนิล


(ต่อจากฉบับที่แล้ว)



            “จริงน่ะ” พิธีกรหนุ่มถามอย่างไม่อยากเชื่อ “จากทำรายการวัยรุ่น เน้นกลุ่มสาว ๆ แล้วเปลี่ยนไปทำเกี่ยวกับคดีดังนี่นะ...ไหวเหรอเจ้”

            พิธีกรหนุ่มไม่อยากเชื่อ

            โดนปรามาสเช่นนี้ สมองหญิงสาวทำงานทันที

            “ใช่ดิ...อย่างคดีเสี่ยหมงตอนนี้ไง...ใคร ๆ ก็บอกว่าเป็นอุบัติเหตุ รถแหกโค้งไปชนต้นไม้ แต่พี่สาวเขายืนยันว่าเป็นการฆาตกรรม เพราะฝันเห็นน้องชายทุกคืน บอกให้ช่วยทวงความยุติธรรมให้ด้วย...เห็นมั้ย ข่าวนี้มีประเด็นให้เล่นตั้งเยอะ ไม่จำเป็นต้องซีเรียสขนาดแกะรอย ตามล่าหาความจริงแบบรายการอื่นก็ได้”

            “อืม...ข่าวล่าสุดบอกว่า พวกญาติ ๆ ไม่เชื่อ จะพาคุณณีรนุช พี่สาวเสี่ยหมงไปหาจิตแพทย์อยู่นี่”

            “อ้าว...จริงเรอะ” หลุดปากเผลอตกหลุมพรางอีกฝ่ายแล้ว จึงรีบหาทางแก้ลำแบบเนียน ๆ “เห็นมั้ย นี่ก็เป็นประเด็นให้เราเล่นได้ ฉันอาจไปขอสัมภาษณ์จิตแพทย์ต่อได้อีก...”

            เตวิชย์หัวเราะเบา ๆ กับอาการ ‘แถ’ ของอีกฝ่าย

            “ยอมรับเถอะเจ้...ว่าในหัวไม่มีโปรเจกต์อะไรทั้งนั้น ที่ปฏิเสธพี่เป้ไป ก็เพราะอยากช่วยเจ้แต้วเท่านั้น”

            มีนาถอนใจเฮือกใหญ่ ขี้เกียจแถต่อ

            “เออ...” ยอมรับง่าย ๆ “นังแต้วมันอีโก้สูง แถมมั่นใจไร้สติขนาดนั้น ถ้าไม่ได้เจ้านายที่เข้าใจ รู้จักใช้คนเป็นอย่างพี่เป้ ฉันว่าก็คงไม่มีใครอยากเอามันไปทำงานแล้วล่ะ...ถึงมันจะอวดเก่ง ทะเลาะกับฉันประจำ แต่ยังไงก็ถือว่ามันเป็นน้อง ดื้อบ้าง เหวี่ยงบ้าง ตบตีกันบ้างก็ทิ้งมันไม่ลงหรอก ยิ่งพ่อมันมาป่วยแบบนี้ แล้วมันต้องมาตกงานอีก ครอบครัวมันจะลำบากกันหมด”

            ชายหนุ่มอมยิ้ม แตะไหล่หญิงสาวให้เดินไปทางสตูดิโออย่างคุ้นเคย สนิทสนม

            “หัวใจเจ้นี่มันแมนจริง ๆ นับถือ...นับถือ”

            “อย่าดัดจริตชม เดี๋ยวอ้วก” มีนาเบี่ยงไหล่ออก “แล้วอย่ามาทำแตะเนื้อต้องตัวสนิทสนมกันแถวนี้ ถ้าโดนแฟนคลับแกแอบถ่ายคลิปได้ ฉันขี้เกียจเสียเวลาไปแก้ข่าว”

            “เจ้เคยกลัวด้วยเหรอ” ชายหนุ่มหัวเราะ เข้าใจ...ที่มีนาพูดอย่างนี้ก็เพื่อรักษาภาพลักษณ์ของเขา

            “เออ ไม่กลัวหรอก...แน่จริงเอากุญแจคอนโดแกมาให้ฉันสิ รับรองจะบุกไปปล้ำคืนนี้เลย”

            หยอกล้อชายหนุ่มจบก็นึกถึงประเด็นที่พูดก่อนหน้านี้ได้

            “เออ ตะกี้แกว่าคุณณีรนุช พี่สาวเสี่ยหมงจะถูกส่งไปหาจิตแพทย์เหรอ”

            “ใช่...เพิ่งอ่านข่าวในเน็ตตะกี้เอง”

            “ถ้างั้นมันก็ไม่เกี่ยวกับผีน่ะสิ...น่าสนใจแฮะ” หญิงสาวพึมพำ

            “สนใจอะไร...อย่าบอกนะว่าเจ้จะทำโปรเจกต์รายการแกะรอยคดีดังไปเสนอผู้ใหญ่จริง ๆ”

            มีนานิ่งคิด สมองแล่นฉิว

            “มันน่าสนใจนะ...ถ้าอุบัติเหตุนี้มันเป็นการฆาตกรรมอำพราง แล้วคุณณีแกแอบรู้เงื่อนงำอะไรมาแต่บอกตรง ๆ ไม่ได้ เลยอ้างเรื่องฝันเห็นผีมาแทนเพื่อคุ้ยประเด็นให้คนสนใจ จนตำรวจต้องกลับมาสืบสวนรายละเอียดกันใหม่”

            “มโนเก่งจังเลยนะเจ้...คิดไปไกลตั้งโน้น”

            มีนาไม่สนใจคำเหน็บแนม

            “ในข่าวบอกมั้ยว่าเขาไปหาจิตแพทย์ที่ไหน”

            “ไม่บอกหรอก เรื่องอย่างนี้ใครเขาจะประกาศออกไปล่ะ”

            รอยยิ้มแปลก ๆ จุดบนริมฝีปากหญิงสาว

            “อืม...ฉันว่า...ลองมาทำรายการแกะรอยคดีดังน่าจะดีนะไอ้เต...”



- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -



            บุคคลที่เปิดประตูเข้ามาหาคุณหมอธันวาดูไม่เหมือนผู้ป่วยเท่าไหร่ เธอเป็นหญิงวัยกลางคน อายุราวห้าสิบ แต่งกายดี ท่าทางเรียบร้อย ไม่มีแววตาผิดปกติ

            เธอเดินเข้ามาหาเตรียมนั่งลงพูดคุย แล้วก็มีหญิงวัยเดียวกัน ลักษณะเหมือนญาติ ผู้ติดตาม รีบตามหลังเข้ามาในห้องด้วย

            ธันวาเหลือบมอง นึกสงสัยเล่น ๆ ว่าใครเป็นคนป่วยกันแน่

            “คุณณีรนุช” คุณหมออ่านชื่อในใบส่งตัว

            “ดิฉันเองค่ะหมอ” ผู้ที่เข้าห้องคนแรกคือผู้ป่วย

            “สวัสดีค่ะหมอ ดิฉันเป็นญาติค่ะ ขอเข้ามาด้วย เผื่อช่วยอธิบาย เล่ารายละเอียดได้มากขึ้น” ฝ่ายผู้ติดตามยกมือไหว้คุณหมอทั้งที่อายุมากกว่า เพราะเกรงจะโดนจิตแพทย์เชิญออกจากห้องก่อน

            ธันวายกมือรับไหว้ ไม่เอ่ยปากคัดค้าน ใบหน้าผ่อนคลาย ไม่ถึงกับเปิดรอยยิ้มต้อนรับ แต่สีหน้าละมุน ชวนให้ผู้อยู่ใกล้ผ่อนคลาย สบายใจ

            “มาจากโรงพยาบาล...หรือครับ” ธันวาเอ่ยชื่อโรงพยาบาลในต่างจังหวัด ที่ปรากฏอยู่ในใบส่งตัว

            “ใช่ค่ะ” ณีรนุชเป็นคนตอบ

            “ค่ะ...คือทางนั้นเขาบอกว่ายังไม่มี...เอ่อ...แพทย์เชี่ยวชาญทางนี้ เลยทำใบส่งตัว แนะนำให้มาที่นี่” ผู้ติดตามอธิบายเสริม

            “คือ...จิตแพทย์ทางนั้นเขาไม่ยืนยันว่าดิฉันเป็นบ้า...เลยต้องส่งมาให้คุณหมอที่นี่ดูอีกที” ผู้ป่วยพูดกึ่งประชด

            “แหม พี่ณีอย่าพูดอย่างนั้นสิคะ” หญิงวัยไล่เลี่ยเอ่ยปากท้วง “พวกเราน้อง ๆ ญาติ ๆ เป็นห่วงพี่ณีกันทั้งนั้น กลัวว่าเสียใจฟุ้งซ่านเห็นภาพหลอน จนเอ่อ...จะเจ็บไข้ได้ป่วยไป”

            “ฉันบอกแล้วว่าไม่ได้เห็นภาพหลอน” ณีรนุชพูดเสียงเข้ม “แทนที่พวกแกจะบอกให้ตำรวจช่วยสืบหาคนร้ายตัวจริง กลับพาฉันมาส่งโรงพยาบาลแบบนี้”

            “ไม่ใช่นะคะ พวกเราเป็นห่วงพี่ณีจริง ๆ ส่วนเรื่องเสี่ยหมง ทางตำรวจเขาก็ยังไม่ได้รีบสรุปคดีเลย”

            หญิงกลางคนถอนใจ ไม่มองหน้าญาติผู้ติดตาม

            ธันวารอจนสองฝ่ายสงบเสียง จึงเอ่ยปากถาม

            “ลองเล่าให้ผมฟังดีกว่ามั้ยครับ ว่าเกิดเรื่องราวอะไร...เผื่อผมจะช่วยอะไรได้บ้าง” จิตแพทย์หนุ่มเริ่มทำงาน



            หลายคนมักชอบพูด...งานของจิตแพทย์คือรับฟังปัญหาผู้คน ซึ่งมีส่วนถูกบ้างแต่ไม่ทั้งหมด เพราะนอกจากรับฟังแล้ว ต้องหาวิธีคลี่คลายปัญหาให้ผู้ป่วยด้วย

            วิธีคลี่คลาย รักษานั้นมีทั้งการพูดจา แนะนำ ให้ยา รวมทั้งหลากหลายวิธีการอื่น เรียนกันไม่รู้จบ

            ครั้งนี้ คนที่มากับผู้ป่วยเป็นคนสาธยาย บอกเล่าเรื่องราว ปัญหาที่เกิดมากกว่าผู้ป่วยจริงด้วยซ้ำ

            ธันวาปล่อยให้ฝ่ายตรงข้ามบอกเล่าเรื่องราวทั้งหมดโดยไม่ขัด สามารถสรุปเหตุการณ์เป็นฉาก ๆ

            มงคลชัย หรือเสี่ยหมง น้องชายณีรนุชเสียชีวิตจากอุบัติเหตุรถแหกโค้งชนต้นไม้ข้างทาง ตำรวจและคนทั่วไปต่างสรุปทางเดียวกันว่าเป็นอุบัติเหตุ เกิดจากการหลับใน

            ณีรนุช พี่สาวคนโตกลับไม่เชื่อ ยืนยันว่าเป็นการฆาตกรรม เธอบอกกับทุกคนว่าเสี่ยหมงมาเข้าฝัน คืนที่เสียชีวิต บอกว่าตนเองโดนฆาตกรรม ขอให้ช่วยตามคนร้ายด้วย

            ความฝันชัดเจนเหมือนจริง กระทั่งลืมตาตื่น เธอยังงุนงง ไม่เชื่อว่าน้องชายจะตาย จนทางโรงพยาบาลโทรศัพท์แจ้งให้ทางครอบครัวมาดูศพ

            ที่นั่น ณีรนุชมองเห็นวิญญาณเสี่ยหมงยืนอยู่ข้างศพ ร่ำร้องบอกว่าตัวเองโดนฆ่าตาย เธอจึงโวยวายร้องบอกทุกคนจนกลายเป็นเรื่องใหญ่ แตกตื่นกันไปหมด จนกระทั่งนักข่าวยังนำเรื่องนี้ไปเขียน เผยแพร่ กลายเป็นข่าวดัง

            ฟังถึงตรงนี้ ธันวาค่อยสะกิดใจ เคยผ่านตาข่าวนี้มาเมื่อวันก่อน แต่เห็นเป็นเรื่องไร้สาระจึงไม่ใส่ใจ

            “คุณหมอทางนั้นบอกว่า พี่ณีน่าจะช็อคจนเห็นภาพหลอน” ญาติผู้ติดตามเสริมขึ้น “เสี่ยหมงตายอย่างนั้น พวกลูกเมียเขาก็เสียใจกันทุกคน แต่พี่ณีสนิทกับแกมากกว่าใคร เพราะโตมาด้วยกัน ทำธุรกิจร่วมกันมาตลอด ทุกคนเข้าใจว่าต้องเสียใจมาก แต่ก็ไม่มีใครถึงขนาดกรีดร้องลั่นห้อง แล้วชี้มือไปตรงที่ไม่มีคน ร้องเรียกเสี่ยหมงซ้ำ ๆ อย่างกับคนบ้าแบบนั้น ทั้งหมอ พยาบาลมาช่วยฉุด จับยังไงก็ไม่ฟัง ดิ้นรนร้องโวยวายน่ากลัว จนหมอต้องจับฉีดยาให้สงบสติอารมณ์ พอฟื้นมาก็พูดอย่างเดียวว่าเสี่ยหมงอยู่ใกล้ ๆ เสี่ยหมงบอกว่าถูกฆ่าตาย ช่วยตามหาฆาตกรด้วย”

            ธันวามองหญิงกลางคนที่นั่งตรงหน้า สังเกตปฏิกิริยาเมื่อเจ้าตัวโดนพูดถึงในช่วงเวลาขาดสติอย่างนั้น

            “ฉันเห็นยังไงก็พูดอย่างนั้น”‘คนป่วย’ ตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ไม่พยายามอธิบายแก้ตัว

            จิตแพทย์หนุ่มเอ่ยปากเรียบ ๆ

            “ผมขอคุยกับคุณณีรนุชตามลำพังได้มั้ยครับ” คุณหมอเจาะจงพูดกับผู้ติดตาม

            “เอ่อ...ได้ค่ะ” ผู้ติดตามดูเหมือนไม่เต็มใจนัก “แต่...ถ้าคุณหมออยากทราบอะไรเพิ่มเติม...”

            “ผมขอถามจากคุณณีรนุชก่อนแล้วกัน” น้ำเสียงเรียบพอกับกิริยาท่าทาง ทำให้อีกฝ่ายยอมออกจากห้องแต่โดยดี

            สตรีกลางคน ‘ผู้ป่วย’ มองตามหลังผู้ติดตามจนกระทั่งประตูปิดลง ค่อยระบายลมหายใจยาว หันมาพูดกับคุณหมอกึ่งบ่น

            “ดี...ไปซะที พวกนี้ชอบทำเหมือนดิฉันเป็นเด็กสามขวบ”

            พูดจบสบตาคุณหมอพร้อมคำถามตรงไปตรงมา

            “คุณหมอว่าดิฉันเป็นบ้าหรือเปล่า?”

            ไม่มีคนบ้าที่ไหนยอมรับว่าตัวเองบ้า แต่มีคนปกติมากมายแกล้งทำตัวเป็นบ้า!

            ณีรนุชเป็นบุคคลประเภทไหน?

            “ผมอยากทราบเรื่องของคุณ กับคุณมงคลชัย” ธันวาย้อนถามแทนการตอบปัญหาที่ไม่จำเป็น

            “หมออยากทราบเรื่องไหนล่ะ” คำย้อนคล้ายสงสัยกึ่งท้าทาย

            “แล้วแต่คุณอยากเล่าเลย” ธันวาไม่เจาะจง

            “ดิฉันเห็นผีของหมงตั้งแต่ในห้องเก็บศพ เขาตามฉันไปทุกที่ เพื่อให้ฉันช่วยบอกคนอื่นว่าถูกฆาตกรรม แต่ไม่มีใครเชื่อสักคน”

            “นอกจากบอกว่าถูกฆาตกรรมแล้ว เขาพูดเรื่องอื่นบ้างมั้ย” คุณหมอถามต่อ

            “เรื่องอื่น...เรื่องไหน”

            “เขาไม่บอกหรือว่า ใครเป็นคนฆ่า...ฆาตกรเป็นใคร วางแผนจัดฉากแบบไหนถึงดูเป็นอุบัติเหตุอย่างนั้น”

            คุณหมอถามด้วยน้ำเสียงปกติ พูดคุยธรรมดา ไม่มีร่องรอยประชดประชัน แสดงความไม่เชื่อถือในวาจาอีกฝ่าย

            “ไม่บอกหรอก บอกแค่มันไม่ใช่อุบัติเหตุ ช่วยหาฆาตกรให้ด้วย” ณีรนุชพูด

            “เสี่ยหมง น้องชายคุณมักปรากฏตัวให้เห็นตอนไหน?” คำถามใหม่

            ดวงตาสตรีกลางคนฉายแววประหลาดชั่วแวบ มองทางด้านหลังคุณหมอ ก่อนเบือนสายตากลับ

            “ไม่แน่นอนหรอก...แล้วแต่เขาอยากมาให้เจอ...” น้ำเสียงขาดหายชั่วขณะ “อย่าง...ตอนนี้ ดิฉันก็เห็นเขานะ”

            “ครับ” จิตแพทย์ตอบรับ แสดงอาการสนใจ

            “ฉันเห็นเขาอยู่ในห้องนี้!” เสียงติดสั่นน้อย ๆ ดวงตาไม่กล้าเหลือบทางด้านหลังคุณหมอ

            “ตรงไหนครับ” จิตแพทย์ถามต่อ ไม่มีรอยหวั่นเกรง แปร่งแปลกในน้ำเสียง

            “ด้านหลังคุณหมอนั่นไง”

            พูดอย่างนี้เป็นใครต้องสะดุ้งวูบ ไขสันหลังวาบ ธันวากลับไม่แสดงอาการใด มองสตรีกลางคนตรงหน้าด้วยแววตาปกติ

            “ตอนนี้เขาบอกอะไรคุณเพิ่มขึ้นมั้ย” คำถามแสดงการใส่ใจ

            สตรีกลางคนชะงักชั่วขณะก่อนตอบคำถามนั้น

            “ไม่...เขาแค่...ปรากฏให้เห็นแล้วค่อย ๆ เลือนไป”

            ธันวาไม่แสดงอาการใดต่อคำตอบนี้

            “อืม...ตอนนี้ผมอยากให้คุณช่วยเล่าเรื่องเกี่ยวกับอุบัติเหตุที่เกิดกับคุณมงคลชัย ตั้งแต่ก่อนเกิดเรื่อง บอกว่าเขาไปทำธุระที่ไหน เกิดเหตุยังไง จนถึงตอนที่คุณเห็นเขา และได้รับการติดต่อขอให้ช่วยเหลือแบบนี้”

            จิตแพทย์หนุ่มสังเกตเห็นการชะงักงัน แอบถอนใจของอีกฝ่าย ก่อนจะเริ่มเล่าเรื่องตามที่ต้องการ

            เรื่องที่พูด ไม่แตกต่างจากตอนได้ฟังญาติผู้ติดตามเล่าครั้งแรก เพิ่มรายละเอียดปลีกย่อยเล็กน้อย และไม่น่าแตกต่างจากในข่าวที่คนทั่วไปรับรู้

            ครู่ใหญ่ กว่าการสนทนาอันยืดยาวจบลง

            “เรื่องมันก็มีเท่านี้ คุณหมออยากทราบอะไรเพิ่มอีกมั้ย” ท้ายเสียงแฝงรอยประชด

            “วันนี้พอแค่นี้ก่อนดีกว่า คราวหน้าถ้ามีอะไรมากกว่านี้ เราค่อยมาคุยกัน” ธันวาตอบ

            “อะไร...นี่ดิฉันต้องมาหาคุณหมออีกเหรอ บอกแล้วไงว่าเห็นจริง ๆ ไม่ใช่ภาพหลอน” คราวนี้ผู้พูดไม่อาจปกปิดความขุ่นเคือง

            “ผมก็ไม่ได้บอกว่าคุณณีรนุชเห็นภาพหลอน” เขาพูดเสียงอ่อน

            “หรือหมอจะสรุปว่าดิฉันเป็นบ้า”

            “ผมก็ไม่ได้สรุปอย่างนั้นเหมือนกัน เพียงแต่อยากทราบว่าหลังจากนี้ คุณมงคลชัยจะบอกอะไรเพิ่มเติมอีกหรือเปล่า หรือไม่แน่ คุณณีรนุชอาจไม่เจอเขาอีกแล้วก็ได้ ซึ่งเรื่องนั้นเราคงต้องมาคุยกันอีกที”

            “แล้วไง ระหว่างนี้ หมอจะจ่ายยาอะไรให้ใช่มั้ย” คำถามดักอย่างรู้ทัน

            “คุณปวดหัว เครียด นอนไม่หลับหรือเปล่า?” คำถามพื้น ๆ

            “ไม่...ดิฉันนอนหลับสนิทตลอด ถึงได้ฝันเห็นหมงนี่ไง”

            “ครับ...ถ้างั้นผมก็คงไม่ต้องจ่ายยาอะไร”

            คำตอบของหมอชวนให้คนไข้งงงัน ไม่นานผู้ติดตามก็เข้ามาในห้องอีกครั้ง

            ธันวาเขียนใบนัดหมายครั้งต่อไป พร้อมแนะนำการปฏิบัติตัวของผู้ป่วย รวมถึงข้อควรระวังสำหรับผู้ติดตามดูแล ก่อนให้ทั้งสองกลับออกไปได้

            เมื่อประตูเปิด ผู้ป่วยและผู้ติดตามเดินออกจากห้อง ธันวามองเห็นนักข่าวสองคนอยู่ด้านนอก เพื่อรอสัมภาษณ์ ซักถามข้อมูลเพิ่มเติม จึงรู้ว่า ข่าวการตายเสี่ยหมงเป็นเรื่องที่คนทั่วไปสนใจไม่น้อย

            พอประตูปิด คุณหมอหนุ่มหันหน้าไปทางด้านหลังเก้าอี้ตน แววตาบอกความเข้าใจบางอย่าง

            ณีรนุชไม่ได้เห็นผี! ...นี่คือข้อสรุปแรก

            ยิ่งยืนยันว่าวิญญาณเสี่ยหมงยืนอยู่ด้านหลังเขา เท่ากับพิสูจน์ว่ามันไม่จริง

            ธันวาไม่มีดวงตา ‘พิเศษ’ มองเห็นภูตผี วิญญาณ แต่เขามีสัมผัสเร้นลับ เชื่อถือได้แม่นยำ ว่ามีสิ่งแปลกปลอมต่างภพอยู่ใกล้ตัวหรือไม่

            สัมผัสนี้ได้รับการยืนยัน ตรวจสอบพิสูจน์จาก คุณปู่ของตน ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านไสยเวทมาแล้ว

            ตอนที่ณีรนุชบอกว่าวิญญาณน้องชายยืนอยู่เบื้องหลัง สัมผัส ‘พิเศษ’ บอกว่า...เป็นเรื่องโกหก ด้านหลังเขาไม่มีบรรยากาศแปลกเปลี่ยน อย่างลักษณะการมีอยู่ของเพื่อนต่างภพเลย

            ในเมื่อณีรนุชไม่เห็นผี ประสาทของเธออาจผิดปกติ เห็นภาพหลอน จินตนาการสร้างภาพปิศาจน้องชายขึ้นมาเอง

            ...ไม่ใช่...

            จากการสังเกต ซักถามพูดคุย ปล่อยให้เป็นฝ่ายเล่าเรื่องราวต่าง ๆ ธันวาเชื่อว่าหญิงกลางคนนี้ไม่มีอาการผิดปกติทางจิต เขาจึงไม่จ่ายยาใด ๆ

            หากจะมีสิ่งผิดปกติ ก็น่าจะเป็น ‘เจตนา’ ของเธอ

            ณีรนุชมีจุดประสงค์ใดที่สร้างเรื่องผีน้องชายขึ้นมา บอกกับญาติพี่น้อง ตำรวจ นักข่าว

            ธันวาไม่แน่ใจว่าพวกนักข่าวจะเข้ามาถามตนเองเกี่ยวกับ ณีรนุชหรือไม่...

            ถ้าเกิดเหตุการณ์นั้นจริง เขาคงเลี่ยงได้ว่า ต้องปกปิดข้อมูลผู้ป่วย ให้สัมภาษณ์ไม่ได้...ทั้งที่มันเป็นเรื่องน่าสนใจไม่น้อย

            โชคดีที่ธันวาเป็นจิตแพทย์ ไม่ใช่ตำรวจ เขาจึงไม่จำเป็นต้องเข้าไปวุ่นวายเรื่องนี้ ทำแค่หน้าที่ตนก็พอ

            ...จิตแพทย์หนุ่มไม่อาจทราบว่า...เรื่องนี้มันจะวนกลับมาหาเขาได้อย่างไม่น่าเชื่อ...



- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -



            ภายในลิฟต์ คอนโดมิเนียม

            มีนาตรวจของในกระเป๋าอีกครั้ง จนแน่ใจไม่หลงลืมอะไรจึงค่อยคลายใจ พร้อมเดินทาง

            เหตุจากโปรเจกต์ลอย ๆ ที่ยกมาอ้างกับพี่เป้ และตัวอย่างอุบัติเหตุคดีเสี่ยหมงที่พูดกับเตวิชย์ ทำให้หญิงสาวเกิดไอเดียในการทำรายการใหม่ขึ้นจริง ๆ

            อุบัติเหตุที่พี่สาวผู้ตายไม่เชื่อว่าเป็นอุบัติเหตุ

            หากมันเป็นคดีฆาตกรรมอำพรางจริง นับว่ามีเบื้องหลังน่าสนใจ สามารถเล่นประเด็นปลีกย่อยได้หลายรูปแบบ

            พอกลับมาถึงห้องชุดคอนโด มีนาก็เก็บเสื้อผ้า คอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊คใส่กระเป๋า เตรียมกล้องไปบันทึกภาพสถานที่เกิดเหตุ สัมภาษณ์ญาติพี่น้องผู้ตาย เพื่อทำเป็นตัวอย่างรายการเสนอผู้บริหาร

            สถานที่เกิดเหตุอยู่ในเขตจังหวัดบ้านเกิดของเธอ มีนาจึงถือโอกาสไปทำงาน และกลับบ้านพักผ่อนไปในตัว

            ...ติ๊ง...ลิฟต์หยุดชั้นต่ำกว่าห้องเธอสองชั้น ประตูเปิด ชายหนุ่มร่างสูง ผิวขาวยืนสะพายเป้เตรียมก้าวเข้ามา

            สองสายตาสบกัน ฝ่ายผู้มาใหม่พยักหน้าทักทายอย่างคนรู้จัก มีนาแสดงอาการรับรู้ ไม่เอ่ยปากพูดจาชวนคุย ตามนิสัยคนมีมนุษยสัมพันธ์ดีอย่างเคย

            ประตูปิด ชายผู้มาใหม่ยืนอยู่มุมลิฟต์ตรงข้ามหญิงสาว ไม่พูดจาอะไรเช่นกัน บรรยากาศไม่ถึงกับอึมครึมชวนอึดอัด ด้วยต่างฝ่ายเติบโตเป็นผู้ใหญ่เกินกว่าจะแสดงท่าปั้นปึ่ง ประฝีปากอย่างในวัยเยาว์



            “ไอ้หมาธัน...แกทำอย่างนี้ทำไม?” เสียงเด็กสาวสมัยนั้นกราดเกรี้ยวด้วยโทสะ คับแค้นใจ

            “ขอโทษ” เด็กหนุ่มปากหนัก ยิ้มยากเอ่ยปากได้มากสุดเพียงเท่านี้

            “แกไม่มีอะไรอธิบายดีกว่านี้หรือไง” พูดทั้งที่รู้ คำว่า ‘ขอโทษ’ ก็เป็นวาจาที่ยากจะหลุดจากปากเด็กหนุ่มอยู่แล้ว

            “ไม่มี” คำตอบสั้น ดวงตาคู่สวยนั้นมีวาจานับร้อยพัน

            ทว่า...เด็กสาวเลือกที่จะไม่อ่านมัน...



            มีนา ธันวาเติบโตมาด้วยกัน สองครอบครัวสนิทสนมกันมาตั้งแต่รุ่นปู่ ยันรุ่นพ่อแม่ รั้วบ้านติดกัน เรียนจบมาทำงานกรุงเทพฯ ก็ยังเลือกที่จะซื้อห้องชุดในคอนโดมิเนียมเดียวกันโดยไม่ได้นัดหมาย

            โชคชะตาหรือฟ้ากลั่นแกล้ง ทำให้สองหนุ่มสาวที่น่าจะสนิทสนมกลมเกลียวกันอย่างดี กลายเป็นมีเรื่องผิดใจกันตั้งแต่วัยรุ่น กาลเวลาผ่านไปจนเติบโต ช่วยกล่อมเกลาบาดแผล ไม่ให้บาดหมางจนถึงขั้นไม่อยากมองหน้า เพียงแต่มีความสัมพันธ์แค่คนรู้จัก บ้านติดกันเท่านั้น

            ประตูลิฟต์เปิดออกเมื่อถึงชั้นอาคารจอดรถ

            ธันวาเบี่ยงตัวให้มีนาก้าวออกจากลิฟต์ก่อน พอหญิงสาวเดินผ่านไปแล้วค่อยก้าวตามช้า ๆ

            มีนาเดินไปที่รถตนเอง เหลือบมองเห็นรถ SUV สีขาวคันใหญ่ยี่ห้อดังของธันวาจอดนิ่งให้ฝุ่นจับ บอกให้ทราบว่าเจ้าของไม่ค่อยได้ใช้งานมันบ่อยนัก

            เธอรู้ว่าปกติเขาจะขึ้นรถไฟฟ้าไปทำงานที่โรงพยาบาลเพื่อความสะดวก คล่องตัว ใช้รถยนต์ในการเดินทางเฉพาะวันหยุด ออกนอกเมืองในเวลาไม่รีบเร่ง ซึ่งจุดหมายของเขาส่วนใหญ่เป็นบ้านที่ต่างจังหวัด

            หญิงสาวแอบถอนใจ นึกจิกกัดตัวเอง...เป็นแค่คนรู้จักกันเท่านั้น...ทำไมรู้เรื่องส่วนตัวเขามากขนาดนี้!



- - - - - - - - - - - - 0 0 - - - - - - - - - - - -



            เวลาเย็นย่ำ บนถนนนอกเมือง

            ตามปกติ ถ้ารถไม่ติด หลังออกจากความจอแจในกรุงเทพฯ จะใช้เวลาขับรถประมาณสามชั่วโมง ก็จะถึงบ้านต่างจังหวัดของมีนา

            หญิงสาวขับรถตามสบายไม่รีบร้อน อดไม่ได้ต้องสอดส่ายสายตามองถนนข้างหน้าแล้วเหลือบดูกระจกหลัง เพื่อหารถ SUV สีขาวคุ้นตาคันนั้น

            มีนา กับธันวาออกจากคอนโดในเวลาไล่เลี่ยกัน ชายหนุ่มไม่ใช่โชเฟอร์ตีนผี น่าจะขับตามหลัง ที่ยังมองไม่เห็นอาจเป็นได้ที่เขาแวะเติมน้ำมัน เติมลมยาง เพราะปกติเจ้าตัวไม่ค่อยดูแล ใส่ใจรถตนเองสักเท่าไหร่

            โปรดิวเซอร์สาวถอนใจเฮือกใหญ่ สลัดความคิดฟุ้งซ่านเกี่ยวกับชายหนุ่ม ‘คนรู้จัก’ ออกจากหัว แล้วสนใจคิดถึงงานตนเองให้มากขึ้น

            อุบัติเหตุเสี่ยหมง!

            เท่าที่อ่านรายละเอียดในข่าว นายมงคลชัย หรือเสี่ยหมง เจ้าของธุรกิจก่อสร้างและอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ในภาคกลางได้ไปคุยธุรกิจ ดื่มสังสรรค์กับเพื่อนร่วมอาชีพแถวชานเมืองกรุงเทพฯ ก่อนขับรถกลับบ้านตนเองในเวลาประมาณสองทุ่ม

            บ้านเสี่ยหมงอยู่ในจังหวัดเดียวกับบ้านมีนา การเดินทางจึงใช้เวลาประมาณสามชั่วโมงเท่ากัน

            รถยนต์เสี่ยหมงเกิดอุบัติเหตุแหกโค้งชนต้นไม้ข้างทางบริเวณก่อนเข้าตัวเมือง ในเวลาเที่ยงคืนเศษ หรือประมาณสี่ชั่วโมงกว่าหลังออกจากกรุงเทพฯ ผลตรวจศพพบแอลกอฮอล์ในเลือดปริมาณน้อยมาก เพื่อนร่วมวงสังสรรค์บอกว่าเสี่ยหมงจิบเบียร์ตามมารยาทเท่านั้น ทั้งยังบอกกับทุกคนว่าคืนนี้จะขับรถกลับบ้านจึงไม่กล้าดื่มของมึนเมา

            ตำรวจสันนิษฐานขั้นต้นว่าเกิดจากการหลับใน



(โปรดติดตามต่อฉบับหน้า)



แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP