ดังตฤณวิสัชนา Dungtrin's Answer

วิธีขอพรจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์อย่างถูกต้อง



ถาม – อยากทราบวิธีขอพรต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์อย่างถูกต้องค่ะ



สิ่งศักดิ์สิทธิ์สูงสุดในอนันตจักรวาลก็คือพระพุทธเจ้า
เพราะฉะนั้นคนเลยอยากจะไปเกิดในยุคที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมกันมากมาย
เพราะว่าอะไร เพราะว่าได้ไปเจอสิ่งที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สูงสุดในอนันตจักรวาลแล้ว
แล้วก็เจอไปทำไม โดยสัญชาตญาณของคนทั่วไปก็คือจะได้ขอพร
หรือว่าจะได้ได้อะไรสักอย่างที่วิเศษศักดิ์สิทธิ์จากพระองค์
คือไม่รู้หรอกว่าสิ่งที่วิเศษสูงสุดคืออะไร
รู้แต่ว่าถ้าบุคคลเช่นพระองค์อุบัติแล้ว
ก็จะเผื่อแผ่สิ่งที่มันเป็นมงคลสูงสุดมาให้กับเรา
ตรงนี้ก็เลยถึงได้เป็นเหตุให้คนอยากได้เข้าเฝ้า
หรืออยู่ต่อเบื้องพระพักตร์ของพระพุทธเจ้าองค์ใดองค์หนึ่ง
ก็อธิษฐานกันว่าขอให้ไปเกิดในยุคพระศรีอาริย์บ้าง ขอให้ไปเกิดในยุคโน้นยุคนี้บ้าง
อย่างไรก็ตามขอให้ไปพบพระพุทธเจ้าเถอะ แล้วอะไรดีๆ ก็จะเกิดขึ้นเอง


ทีนี้จริงๆ แล้ว เอาพระพุทธเจ้าที่เป็นองค์ปัจจุบันจริงๆ
เวลาคนไปเข้าเฝ้า ก็เข้าเฝ้ากันด้วยลักษณะนี้แหละ
ว่าใจเล็งอยู่ว่านี่คือสิ่งศักดิ์สิทธิ์สูงสุด ศักดิ์สิทธิ์ยิ่งกว่าพระพรหมอีก
คนที่กราบไหว้วิงวอนพระพรหม จริงๆ พระพรหมไปกราบไหว้พระพุทธเจ้านะ
แล้วก็ขอให้พระองค์สอน
ขอสิ่งศักดิ์สิทธิ์จากพระองค์ให้ประทานต่อองค์เทพองค์พรหม
อันนี้คือถ้าเป็นศาสนาอื่นจะไม่เชื่อนะ ความจริงข้อนี้
เขาจะเชื่อว่าพระพุทธเจ้าเป็นแค่อวตาร
หรือว่าเป็นแค่คนที่ได้รับคำสั่งให้มาเป็นอะไรแล้วแต่
แล้วแต่ความเชื่อกันไป


แต่ถ้าเป็นศรัทธาแบบพุทธจริงๆ ที่มีหลักฐานแสดงอยู่ในพระไตรปิฎก
ก็คือว่าพระพุทธเจ้าเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์สูงสุดในอนันตจักรวาล
ในขณะหนึ่งๆ จะมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์แบบนี้ได้เพียงหนึ่งเดียวนะครับ ไม่มีเป็นที่สอง
คนไปเข้าเฝ้า ไปขอพรจากพระองค์ พระองค์ตรัสตอบว่าอย่างไร
พระองค์ตรัสตอบว่าเราตถาคตเลิกให้พรนานแล้ว
เราชี้ทางอย่างเดียว
คือชี้ทางว่าสิ่งที่มันดีที่สุดที่จะเกิดขึ้นกับชีวิตของพวกเธอได้
ก็คือให้ละบาป บำเพ็ญบุญ แล้วก็เจริญสติให้จิตผ่องแผ้ว
อันนี้คือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่สุดในจักรวาลแล้ว

คนที่รู้มากที่สุดในจักรวาล เห็นมากที่สุดในจักรวาล ท่านให้สิ่งนี้
บอกว่าเป็นสิ่งที่ล้ำค่าที่สุด ท่านบอกว่าท่านไม่ให้พรแล้ว


แต่ทีนี้อย่างถ้าโดยธรรมชาติของมนุษย์ ท่านก็รู้นะ
ว่าจะต้องขอพรจากสมณะผู้ที่ตนนับถือ หรือว่าถวายข้าวปลาอาหารให้
พระองค์ก็เลยอนุญาต เป็นพระวินัยเลยนะ
บอกว่าถ้าญาติโยมขอ ก็ให้พรได้ตามอัธยาศัยของญาติโยม
แต่ไม่ใช่อยู่ๆ ไปสอนให้ขอตะพึดตะพือ
ศาสนาพุทธจริงๆ ไม่ใช่ศาสนาที่สอนให้ขอ
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถึงแม้จะเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ให้พรได้จริง
อันนั้นก็จะทำให้เกิดความยึดติด ความยึดติดเป็นที่มาของความงมงาย

คือเชื่ออย่างเดียวว่าเราจะต้องได้สิ่งดีๆ มาจากบุคคลที่ศักดิ์สิทธิ์
หรือว่าจากเทพยดาที่ศักดิ์สิทธิ์องค์ใดองค์หนึ่ง
แต่พระพุทธเจ้าบำเพ็ญบารมีมาเป็นอนันตชาติ เพื่อจะมาบอกว่าไม่ใช่
สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่สุดคือคำสอน คือการชี้ทางให้เจริญสติ
ถ้าเจริญสติได้ อันนี้มันคือของวิเศษที่สุดแล้ว
ที่เราพึงมีพึงได้จากการเวียนว่ายตายเกิดในสังสารวัฏนี้

ที่เราเวียนว่ายตายเกิดอยู่ มันเป็นสิ่งที่เราถูกหลอก
แล้วการเจริญสติก็คือการที่เอาตัวของเราเองออกจากการถูกหลอกนั้น


คราวนี้ตอบคำถามว่าทำอย่างไร
วิธีที่จะอธิษฐานขอพรสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ถูกต้องและได้ผล
ก็คือเรามีความเข้าใจจริงๆ
ว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์สูงสุดในพระพุทธศาสนาท่านบอกไว้อย่างนี้
ว่าพรอันประเสริฐที่สุดเท่าที่ท่านจะให้ได้
ก็คือการให้เราได้มีความเข้าใจในการเจริญสติ

เพราะฉะนั้นถ้าเราอธิษฐาน ถ้าเราจะอธิษฐานต่อหน้าพระพุทธรูป
หรือต่อหน้าพระผู้ศักดิ์สิทธิ์ที่ไหนก็แล้วแต่

เราอธิษฐานว่าขอให้ใจเรามีความสามารถในการทิ้ง
อันนี้คีย์เวิร์ด (
keyword) ก่อนเลยนะ
มีความสามารถในการทิ้งขยะทั้งปวงออกไป


ขยะชิ้นแรกที่พระพุทธเจ้าตรัสให้ทิ้งคือความตระหนี่
อันนี้ก็โดยการบริจาคทรัพย์เป็นทาน ทรัพย์ที่พึงมีพึงได้มา หามาได้โดยสุจริต

แบบที่เป็นส่วนเกินไม่ใช่ส่วนหลักของเรานะ
เอาส่วนเกินเล็กๆ น้อยๆ บริจาคให้คนอื่น
แล้วก็บริจาคความเคียดแค้นพยาบาทออกเป็นอภัยทาน
ถ้าเราไปทำบุญแค่ไหน
เราอธิษฐานเลยขอให้บริจาคความเคียดแค้นพยาบาทได้เท่านั้น
ทำลายความตระหนี่เสร็จ มาทำลายความพยาบาท
แล้วก็ขอให้เรามีกำลังที่จะรักษาความสะอาดของใจให้เป็นศีล
คำว่าศีล จริงๆ มันต้องสะอาดจากการไม่เอาจิตยอมไปแปดเปื้อนบาปทั้งห้านะครับ
ถ้าหากว่าทำได้มันถึงจะเรียกว่าศีล
ศีลไม่ใช่ตั้งต้นกันด้วยการมาบอกว่าข้าพเจ้าจะถือศีล แบบนั้นยังไม่เป็นศีล
ศีลจะเกิดขึ้นต่อเมื่อมีสิ่งยั่วยุให้ทำบาปทั้งห้า
แล้วเราไม่เอา ใจเราไม่เอา นี่ตัวนี้ที่มันเป็นศีลขึ้นมาแล้ว
ก็อธิษฐานว่าขอให้เราได้มีความศักดิ์สิทธิ์ในตัวเองที่จิต มากพอที่จะรักษาศีลได้
จากนั้นก็ขอให้เรามีสติปัญญามากพอที่จะทิ้งอุปาทาน
ยึดมั่นถือมั่นว่ากายนี้ใจนี้เป็นตัวของเรา
อธิษฐานแบบนี้คืออธิษฐานเข้ากับสิ่งศักดิ์สิทธิ์สูงสุดในจักรวาล
คือพระพุทธเจ้า



เวลาที่เราอธิษฐานว่าจะขอทิ้ง ทิ้งความเข้าใจผิด ทิ้งความตระหนี่ ทิ้งบาป
แล้วก็ทิ้งความเข้าใจผิดยึดติดอุปาทานว่ากายใจเป็นตัวของเรา
ตรงนี้ผลมันจะเกิดเป็นอย่างไร ผลมันจะเกิดเป็นว่าเราเกิดอีกกี่ครั้งกี่หนก็ตาม
มันจะไปอยู่ในทิศทางที่เป็นไปในทางดี
มีแนวโน้มที่จะเป็นไปในทางดี มีแนวโน้มที่จะเข้าหาพุทธศาสนา
พุทธศาสนานี่ไม่ได้อุบัติบ่อย แต่เมื่อไหร่ที่พุทธศาสนาอุบัติ
คนที่อธิษฐานถูกต้องอย่างนี้ก็จะได้เป็นอภิสิทธิ์ชน คือมีสิทธิ์ได้เข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า
หรืออย่างน้อยถ้าไม่ได้เข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า
ก็มีสิทธิ์ได้รับคำสอนคำชี้แนะโดยตรงจากครูบาอาจารย์ที่เป็นพระอรหันต์
แล้วอะไรที่คุณอยากได้จากการอธิษฐานก็ตาม
มันไหลมาเทมาจากการที่เราได้มีโอกาสขึ้นที่สูง
ได้พบพุทธศาสนา ได้ครูบาอาจารย์เป็นอริยบุคคล
มันจะมีผลนะ คือไม่ใช่เฉพาะที่ว่ามันจะต้องไปรอชาติหน้าก่อน
เอาชาตินี้ ถ้าอธิษฐานแบบนี้บ่อยๆ
อธิษฐานขอทิ้งความตระหนี่ ทิ้งบาป
แล้วก็ทิ้งความเข้าใจผิด ทิ้งความยึดติดที่มันเป็นอุปาทาน
อธิษฐานบ่อยๆ ในที่สุดมันจะได้เจอคนที่มาสอนเรา
ให้เราสามารถจะหลุดพ้นจากความทุกข์ได้นะครับ



แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP