สารส่องใจ Enlightenment

เราปฏิบัติธรรมเพื่ออะไร (ตอนที่ ๒)



พระธรรมเทศนา โดย พระสุธรรมคณาจารย์ (หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ)
วัดอรัญญบรรพต อำเภอศรีเชียงใหม่ จังหวัดหนองคาย



เราปฏิบัติธรรมเพื่ออะไร (ตอนที่ ๑) (คลิก)



คนผู้ที่มีปัญญา เชื่อพระปัญญาตรัสรู้ของพระพุทธเจ้านั้นแหละ
มันถึงไม่เบียดเบียนบุคคลอื่นและสัตว์อื่น
กลัวบาปกรรมมันจะตามสนองให้เป็นทุกข์ไปในวัฏสงสาร
คนไม่เชื่อพระปัญญาตรัสรู้ของพระพุทธเจ้านั่นอยู่ในโลกอันนี้
ที่มันเบียดเบียนกันอยู่นั่น ทำลายล้างผลาญชีวิตก็ดี
ทรัพย์สมบัติของกันและกันก็ดี หมู่นี้ มนุษย์ไม่เชื่อคำสอนของพระองค์
ไม่เชื่อว่านรกมีจริง ไม่เชื่อว่าเปรตมีจริง อะไรพวกนี้ มันไม่เชื่อทั้งนั้น
ถ้ามันเชื่ออย่างนี้ มันไม่ทำอะ ผู้ใดเชื่อแล้ว ผู้นั้นไม่ทำเลย มันเป็นอย่างนั้น


เพราะฉะนั้น พระพุทธเจ้าจึงว่า “สทฺธาย ตรติ โอฆํ”
ผู้จะพ้นจากโอฆะแห่งแก่งกันดารในวัฏสงสารนี้ได้ ก็เพราะศรัทธาความเชื่อ
“อปฺปมาเทน อณฺณวํ” ผู้จะข้ามห้วงมหรรณพภพสงสารได้ เพราะความไม่ประมาท


ความเชื่อ เมื่อเราเชื่อว่านรกมีจริง มันก็เว้นจากบาป ๕ ประการนั้น
พูดกันตรงๆ นะ บุคคลจะไปนรก
ก็เพราะทำบาป ๕ ประการนั้นอย่างใดอย่างหนึ่ง อย่างนี้
นรกนั้นพระองค์เปรียบเหมือนอย่างห้วงน้ำ
ในมหาสมุทรทะเลอันกว้างใหญ่ไพศาล แล้วก็ลึกด้วย
ผู้ใดตกลงไปนั้นแล้ว ยากที่จะรอดได้ ตกลงไปในห้วงมหาสมุทรนั้นแล้ว
อันนี้ก็เช่นเดียวกันนั่นแหละ ถ้าผู้ใดได้ตกลงไปสู่นรกแล้ว
ก็ไม่ใช่ว่ามันจะพ้นทุกข์ง่ายเมื่อไร ทนทุกข์ทรมานอยู่ในนรกนานแสนนาน
อายุของสัตว์นรก ยืนกว่าอายุของเทวดาบนสวรรค์
นี่ว่าตามตำรานะ เท่าตัวนั่นแหละ
เช่นอย่างสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ อายุยืน ๑
,๐๐๐ ปีทิพย์อย่างนี้
อายุสัตว์นรกชั้นเพียงอุสสทนรกอายุหมู่นี้ ๒,๐๐๐ ปีทิพย์โน่น
ได้เสวยทุกข์ทนทรมานอยู่อะ
ถ้ามันไม่มีจริง พระพุทธเจ้าไม่ได้ทรงแสดงไว้เลย เรื่องพวกนี้ เราต้องเชื่อ
คนที่ไม่ทำบาปไม่เบียดเบียนบุคคลอื่นและสัตว์อื่นอยู่นี้
ก็เพราะเชื่ออย่างว่านั่นน่ะ เชื่อพระพุทธเจ้า เชื่อพระปัญญาตรัสรู้ของพระองค์
ถ้าใครไม่เชื่ออย่างนี้แล้ว ไม่ฟัง มันทำบาปเบียดเบียนกัน มันเป็นอย่างนั้น


ในบรรดาความทุกข์ทั้งหลายนั้น
จะเชื่อหรือไม่เชื่อ มันก็มีให้เห็นอยู่ชัดๆ แล้ว ในปัจจุบันนี้แหละ
เช่น ความแก่ชรา หมู่นี้นะ มันก็ปรากฏชัดอยู่แล้ว
จะเชื่อหรือไม่เชื่อมันก็เป็นอยู่อย่างนั้น
อยู่นานปีนานเดือนไปร่างกายก็ทรุดโทรมไปเรื่อยๆ
แต่ก่อนไม่ได้ถือไม้เท้าเลย ต่อไปก็ร่างกายมันอ่อนแอลงไป
ถ้าไม่ถือไม้เท้าช่วย เดี๋ยวก็หกล้มลงไป เกิดอัมพาตขึ้นมาล่ะยิ่งทรมานใหญ่โต
มันก็ค่อยทรุดโทรมให้เห็นไปอย่างนั้นแหละร่างกายอันนี้
แต่คนส่วนมากมันหลงมันเมาแล้ว ไม่ได้พิจารณาเลย
ถึงไม่เกิดความสังเวชสลดใจเบื่อหน่าย


ผู้ปฏิบัติธรรมมันก็ต้องพิจารณาของหมู่นี้แหละ อย่าไปเข้าใจอย่างอื่น
เมื่อพิจารณาถึงความแก่ความเจ็บป่วยไข้เป็นอารมณ์อยู่เสมออย่างนี้
มันจะเกิดนิพพิทาความเบื่อหน่ายในสังขารร่างกายอันนี้
ผู้ที่ไม่เจ็บไม่ไข้ล่ะ จะให้พิจารณายังไง
ไม่เจ็บไม่ไข้ ก็ลองหยุดรับประทานอาหารสักวันหนึ่ง
ลองดูมันจะเป็นไข้ไหม ไม่รับประทานอาหารสักวันหนึ่งสองวันน่ะ
มันจะเห็นความไข้ เราจะรู้เลยว่าร่างกายมีโรคภัยอะไร โรคแห่งความหิว


อันนี้ที่มันไม่มีโรคภัยอะไรเบียดเบียนก่อน
ก็เพราะว่ามีอาหารหล่อเลี้ยงมันอยู่ทุกวันๆ มันจึงประทังอยู่ได้
แต่ถึงกระนั้นมันก็ยังค่อยทรุดโทรมไปทีละน้อยๆ โดยที่เจ้าตัวไม่รู้หรอก
รู้จนเมื่อฟันหลุด ผมหงอก โน่นน่ะ ถึงรู้ว่าเป็นคนแก่
บางคนน่ะ มันเป็นอย่างนั้น ตามัว หูอื้อไปโน่น
เวลาตายังใสสว่าง หูยังได้ยินอะไรชัดอยู่อย่างนี้ ฟันก็ยังดีอยู่ ไม่หลุดไม่หลอ
เข้าใจว่าตนยังไม่แก่ ยังไม่มีโรคภัยอะไรเบียดเบียน
แต่ที่แท้โรคภัยมันเบียดเบียนอยู่ทุกวัน
โรคแห่งความหิวข้าวกระหายน้ำ โรคอยากหลับอยากนอน
โรคอยากเปลี่ยนอิริยาบถ นั่งนานก็ไม่ไหว ต้องลุกไปเดิน
เดินนานก็ไม่ไหว ยืนนานก็ไม่ไหว นอนนานเกินไปก็ไม่ไหว อย่างนี้


ลองดูซิร่างกายอันนี้ มันเที่ยงมันยั่งยืนเมื่อไหร่เล่า
ต้องได้เปลี่ยนอิริยาบถอันนี้อยู่เรื่อยไป จึงพอประทังอยู่ได้
แต่ถ้าเราลองนอนอย่างเดียว ลองดูซิ ไม่ต้องทำอะไร
แน่นอนคนนั้นน่ะ เอาไปเอามาก็ไปไหนไม่ได้แล้ว
ถ้านอนอยู่อย่างเดียวเลย ร่างกายอันนี้ทรุดโทรมไปหมด ไม่มีทางที่มันจะแข็งแรงอยู่ได้
ที่มันแข็งแรงอยู่ได้นี่ ก็เพราะมันลุกไปลุกมา ทำโน่นทำนี่อะไรอยู่อย่างนั้น
นั่งบ้าง นอนบ้าง ยืนบ้าง เดินบ้าง เปลี่ยนอิริยาบถอยู่อย่างนี้ จึงพอประทังอยู่ได้
ถ้าจะอุปมาแล้วก็เหมือนรถ เหมือนเรือนั่นแหละ
เครื่องรถเครื่องเรือพวกนี้ ถ้าเก็บไว้เฉยๆ ไม่ใช้
นานไป สนิมจับแล้วก็สตาร์ทไม่ติดเลย
ต้องได้ล้างเครื่องเสียก่อนให้สะอาด ปราศจากสนิมอะไรต่ออะไรแล้ว
ใส่น้ำมันหล่อลื่นเข้าไป สตาร์ทเข้าไป มันจึงติดใช้ได้
ดังนั้นรถราเป็นต้น จึงจำเป็นต้องใช้อยู่เรื่อยไป มีน้ำมันหล่อลื่นเลี้ยงมันไว้อยู่อย่างนั้น
มันก็จึงค่อยมีกำลังวิ่งไปได้ บรรทุกสิ่งของต่างๆ ไปได้


ร่างกายคนเรานี่มันก็เป็นอย่างนั้นน่ะ
ในทางธรรมะท่านจึงเรียกว่า “สรีรยนต์” นะ
เครื่องยนต์คือสรีระร่างกายอันนี้ เปรียบเหมือนกับเครื่องยนต์กลไก
เราต้องพิจารณาดูอย่างนี้เสมอๆ
อ้าว ยังหนุ่มนี่ ก็อย่างที่ว่ามานั่นแหละ หนุ่มก็จริงอยู่ นานๆ ไปมันก็แก่
มันจะมีอะไรอะ ไม่ใช่ว่ามันจะหนุ่มอย่างนี้อยู่เรื่อยไป ไม่มีทางนะ
ในเวลานี้ไม่เจ็บป่วยไข้ แต่ต่อไปมันต้องเจ็บ ไม่ครั้งใดก็ครั้งหนึ่งแหละ มันต้องมี
คนเราถ้าไม่เจ็บป่วยไข้ก็ไม่ตาย ก่อนจะตายมันต้องเจ็บลงด้วยโรคภัยอย่างใดอย่างหนึ่ง
ต้องพิจารณาให้มันลึกซึ้งลงไป แล้วความสำคัญว่าเป็นคนหนุ่ม มันจะหายไป
มันจะเกิดความรู้ความเห็นขึ้นว่า ร่างกายสังขารนี้ เมื่อมันเกิดขึ้นเบื้องต้นแล้ว
มันก็แปรผันไปในท่ามกลาง แตกดับในที่สุด มันก็เป็นอย่างนี้แหละ


ความจริงของร่างกายมีเท่านี้ ดังนั้น ไม่ควรที่จะไปหลงใหลมัวเมาอะไรนักหนา
ควรฝึกจิตใจของตนนี่ให้มันหลุดมันพ้นไป
จากความยึดความถือในรูปในนามอันนี้
อาศัยการฝึก ฝึกทีแรกก็อย่างที่ระเบียบมีอยู่นั่นน่ะ
ฝึกทำใจให้สงบให้นิ่งควบคุมจิตให้อยู่ในอำนาจของตัวได้
บอกว่าอย่าคิดมันก็ไม่คิด อย่างนี้นะ หยุดคิด มันก็หยุดคิดลงได้
เมื่อฝึกจิตให้สงบลงได้อย่างว่านี้แล้ว ต้องฝึกให้มันคิด
ต้องพิจารณาความจริงของชีวิตนี้ให้เห็นตามจริง
เมื่อมันเห็นด้วยปัญญาแล้ว มันจะเกิดนิพพิทาความเบื่อหน่าย
เบื่อหน่ายที่มองดูสิ่งไหนส่วนไหนของร่างกายก็มีแต่ของไม่เที่ยง
ต้องเยียวยา ต้องปรนเปรอมันอยู่อย่างนั้นตลอดไป
มันเป็นอย่างนั้น มันจึงพออยู่ได้
ถ้าขาดการปรนเปรออุปถัมภ์บำรุงแล้ว อยู่ไม่ได้เลย ต้องแตก ต้องทำลายลง


เพราะฉะนั้นให้พึงพากันพิจารณาลงไป
ให้มันเห็นชัดตามความเป็นจริง แล้วปล่อยวางไว้ตามสภาพ
นี้แหละ เป็นทางหลุดพ้นจากทุกข์ไปในสงสาร ขอจบลงเพียงเท่านี้


- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -


จาก ธรรมโอวาท หลวงปู่เหรียญ ๗
ที่ระลึกงานทอดกฐินสามัคคี วัดป่าพิชัยวัฒนมงคล อ.บางพลี จ.สมุทรปราการ
วันอาทิตย์ที่ ๖ พฤศจิกายน ๒๕๖๕. จัดพิมพ์โดยชมรมกัลยาณธรรม


แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP