ดังตฤณวิสัชนา Dungtrin's Answer

เหตุใดพระเวสสันดรจึงบริจาคบุตรเป็นทาน



ถาม – ดิฉันเกิดความสงสัยว่าการที่พระพระเวสสันดรได้ให้บุตรเป็นทานแก่ชูชก
คนสมหวังและมีความสุขคือชูชกคนเดียว
ส่วนบุตรและชายาของพระพระเวสสันดรคงต้องมีความทุกข์แน่นอน
จึงอยากขอคำชี้แนะว่าอะไรคือบุญ อะไรคือความสุขจากการให้ในกรณีนี้คะ


อันนี้เป็นความคาใจ ที่บอกว่าพระเวสสันดรท่านได้เหมือนกับทำทานด้วยบุตรและธิดา
มันดีหรือไม่ดีอย่างไร เพราะเห็นชัดๆ ว่าบุตรและธิดาจะต้องเป็นทุกข์
ทีนี้คือเราไปมองแค่ตรงนี้ไม่ได้ ต้องมองจุดประสงค์ของท่าน
ในประวัติของพระเวสสันดรที่บันทึกไว้ ก็คือท่านรู้ว่าท่านมีความปรารถนา
แล้วก็จะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่ง
แล้วท่านก็ตั้งใจให้ชาตินั้นเป็นชาติแห่งการบริจาคออก เป็นการไม่ยึดติด
เพื่อที่ให้ใจไม่มีอะไรเหลืออยู่จริงๆ นะ มีแต่การคิดให้จริงๆ
แล้วท่านไม่ได้บริจาคแค่บุตรและธิดา
แต่ท่านคิดบริจาคเลือดเนื้อขององค์ท่านเองด้วยเป็นทาน
คือท่านตั้งใจไว้เลย ใครมาขอดวงตาท่านให้บริจาคให้เป็นทาน
ท่านจะควักให้เดี๋ยวนั้นเลย



อันนี้คือถ้าเราไม่อยากมองเป็นเรื่องจริงจัง
หรือว่าทำไมอดีตชาติของพระพุทธเจ้าทำอย่างนี้
เรามองเป็นเรื่องอุปมาอุปไมยได้ไหม ว่าการที่ใครคนหนึ่งจะพ้นทุกข์ในทางพุทธได้
คนคนนั้นจะต้องไม่ยึดมั่นถือมั่นในความมีกายมีใจนี้
อันนี้ข้อหนึ่ง เรื่องที่ว่าจุดประสงค์
จุดประสงค์ของท่านทำให้ท่านบริจาคได้ทุกอย่าง
ไม่ใช่อยู่ๆ ท่านรังเกียจบุตรธิดาแล้วก็ไปบริจาคทิ้ง
โดยไม่สนใจว่าบุตรธิดาจะมีความทุกข์เช่นไร
ท่านต้องการให้บุตรและธิดาของท่าน
ได้มีส่วนในเส้นทางของอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณด้วยนะครับ



แล้วพิสูจน์ อันนี้เวลาที่เรามองประวัติของพุทธ เรามองที่จุดใดจุดหนึ่งไม่ได้
เราต้องมองตั้งแต่จุดเริ่มต้นถึงจุดสุดท้าย จุดสุดท้ายคืออะไร
จุดสุดท้ายคือบุตรและธิดาของท่าน
คือพระนางพิมพาแล้วก็พระราหุลในชาติสุดท้าย พระโอรสของท่าน
ได้กราบขอบพระคุณท่านที่ช่วยให้พระนางพิมพากับพระราหุลได้บรรลุอรหัตตผล
ซึ่งเป็นสมบัติที่ดีที่สุด เหนือกว่าการมีเลือดเนื้อกายใจความเป็นมนุษย์

เราต้องดูตรงนี้ด้วยนะ ดูที่ปลายทางว่าสุดท้ายแล้วพวกท่านพากันไปไหน
การเชื่อแบบพุทธ การศรัทธาแบบพุทธ
เราต้องมองอย่างนี้นะว่าสุดท้ายแล้วลงเอยอย่างไร เป็นสุขหรือเป็นทุกข์
สุดท้ายแล้วพระนางพิมพาและพระราหุลได้ข้อสรุปตรงกัน
ว่าการมีกายนี้ใจนี้ที่ต้องเวียนว่ายตายเกิดไปเรื่อยๆ
แบบไม่รู้จบ ไม่รู้อีโหน่อีเหน่ เป็นความทุกข์
สิ่งที่พวกท่านต้องการกันจริงๆ คือบรมสุข
จากการไม่ต้องเวียนว่ายตายเกิดด้วยความหลงผิดอย่างที่เคยอีก
แล้วมีแต่กำลังของพระมหาบุรุษ คือพระพุทธเจ้าเท่านั้นที่ทำได้



ทีนี้การเป็นพระพุทธเจ้า ไม่ได้สั่งสมบารมีกันชาติเดียว
ท่านต้องสั่งสมกันมายาวนาน สี่อสงไขยมหากัปเป็นอย่างน้อย
คือถ้าหากว่าเป็นพระพุทธเจ้าประเภทปัญญาธิกะ
คือมีปัญญามาก ใช้สี่อสงไขยมหากัป
นานแค่ไหน ก็เอาเป็นว่าถ้าคุณนึกถึงคำว่าล้านๆ ได้
แล้วคุณประมาณได้นะว่าจำนวนมันแค่ไหน นั่นน่ะประมาณอย่างนั้นน่ะ ล้านๆ ชาติ
เห็นไหมมันนึกไม่ออกใช่ไหมว่าล้านๆ มันมีประมาณเท่าไหร่
แต่จริงๆ แล้วมันนานกว่านั้น ใช้จำนวนชาตินี่นานกว่านั้น
ถ้าเรามองเป็นเกม เกมของสังสารวัฏ
ใครที่จะมีความสามารถมากพอที่จะขนสัตว์ออกไปได้มากๆ
ต้องมีความเสียสละยิ่งใหญ่ แล้วความเสียสละที่ยิ่งใหญ่ก็พิสูจน์ได้
ด้วยการที่เราเสียสละเลือดเนื้อของตัวเองเป็นประโยชน์แก่มหาชนได้



ทีนี้ก็มีเรื่องเล่าว่าพระนางพิมพากับพระราหุล
หรือในสมัยที่ท่านเป็นชายาของพระเวสสันดร
ก่อนที่จะมาเป็นพระชายาของพระเวสสันดร
ท่านเคยอธิษฐานมาก่อนว่าจะขอติดตามพระโพธิสัตว์องค์นี้
คือสมัยนั้นที่ท่านได้เริ่มอธิษฐานคู่กันเลย
ตอนนั้นพระพุทธเจ้าเป็นฤๅษีเป็นพราหมณ์ที่มีฤทธิ์
ส่วนพระนางพิมพ์ในชาตินั้นก็เป็นนางชาวบ้านที่ได้รู้ว่าสุเมธดาบส
ตอนนั้นท่านเป็นดาบสชื่อสุเมธ
ท่านได้อธิษฐานต่อเบื้องพระพักตร์ของพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่ง
ว่าด้วยบุญที่ข้าพเจ้าทำทางให้พระพุทธเจ้าและพระสาวกเสด็จนี้
ขอให้ข้าพระองค์ได้บรรลุพระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ
ได้ขนสัตว์ออกจากสังสารวัฏ เหมือนเช่นที่พระพุทธเจ้าพระองค์นั้นได้ทำแล้ว
พระพุทธเจ้าก็ตรัสพยากรณ์บอกว่า
จะได้สำเร็จเป็นพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่งในกาลข้างหน้า
ชื่อว่าพระโคดม หรือว่าพระโคตม
ซึ่งหญิงชาวบ้านผู้หนึ่งได้เห็นการอธิษฐานนั้นก็เกิดจิตเลื่อมใส
แล้วก็ขอปวารณาตัว ขออธิษฐานตาม
ว่าขอให้ตัวเองจงได้ติดตามพระองค์ไปทุกภพทุกชาติ
ในฐานะบาทบริจาริกา คือเป็นผู้ติดตาม เป็นหญิงผู้พร้อมจะสละแม้กระทั่งชีวิต
เพื่อให้เส้นทางพระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณได้สำเร็จ นางได้อธิษฐานมาอย่างนั้น



ตรงนี้นะในเรื่องแบบพุทธ
บางทีมันเป็นเรื่องที่เรามาตรึกตรองกันด้วยความรู้สึกแบบคนธรรมดาไม่ได้

ต้องรู้ที่มาที่ไป จุดตั้งต้นอยู่ที่ไหน จุดกลางอยู่ที่ไหน จุดลงเอยอยู่ที่ไหน
แล้วคือเรื่องทั้งหลายนี่จะจริงไม่จริงแค่ไหนอย่างไรก็ตาม
เรามาสนใจจุดสุดท้ายดีกว่าว่าพระนางพิมพากับพระราหุลกล่าวไว้ตรงกัน
มาขอบพระคุณพระพุทธเจ้าก่อนที่จะลาไปนิพพาน
ว่าข้าพระองค์ถือว่าเป็นบุญอย่างสูงสุด
ในการเดินทางท่องเที่ยวเกิดตายเป็นอนันตชาติในสังสารวัฏนี้
ที่ได้ติดตามพระองค์มาจนถึงชาติสุดท้าย
ไม่ว่าเหตุการณ์อะไรที่เกิดขึ้นระหว่างนั้น
แม้กระทั่งพระองค์ได้ทรงบริจาคเลือดเนื้อให้เป็นทาน
ก็รวมอยู่ในการขอบคุณนั้นด้วย เพราะเป็นเกียรติที่ได้ร่วมสร้างบารมี
แล้วก็ช่วยให้พระองค์ได้สำเร็จพระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ
ได้เป็นพระพุทธเจ้า รื้อขนสัตว์ออกจากสังสารวัฏได้


อันนี้จริงๆ แล้ว ถ้าจะพูดให้ละเอียดยิ่งกว่านี้ มันพูดได้อีกยาว
แต่ใจความสรุปจริงๆ เลยก็คือว่า
พระพุทธศาสนาไม่ใช่พุทธศาสนาที่จะให้ความพอใจกับคนได้ทุกคน
อย่างแม้แต่พระพุทธเจ้า ในสมัยที่พระองค์ยังทรงพระชนม์
ก็มีลัทธิต่างๆ ได้รับความเดือดร้อนที่ศาสนาพุทธของพระองค์เจริญกว่า
มีคนไปเคารพบูชากราบไหว้กันมากกว่า
พวกเขาไม่มีทิฏฐิ ไม่มีความเข้าใจ
ว่าพุทธศาสนาเกิดขึ้นมาเพื่ออะไร สอนคนให้สำเร็จอะไร

ก็เลยเหมือนกับเห็นเป็นแค่ปฏิปักษ์
หรืออย่างเราๆ ท่านๆ บางทีไปมอง มองจากสเกล (scale) เล็ก
ไปทำความเข้าใจสเกลใหญ่บนเส้นทางแบบพุทธเจ้า
บางทีก็เกิดความคลางแคลงว่าแบบนี้นี่ดีเหรอ
แบบนี้มันไม่เป็นไปตามคอมมอนเซนต์ (common sense) ของคนมีจิตสำนึกแบบธรรมดา


เราก็ต้องทำใจเพื่อที่จะให้เกิดความรู้สึกเป็นธรรมกับพระพุทธเจ้า
ก็คือดูพระองค์ว่าพระองค์ต้องการอะไร
โดยเฉพาะอย่างยิ่งนะ ไม่ใช่ความต้องการให้พระองค์เองนะครับ
แต่ต้องการอะไรให้กับสังสารสัตว์ที่ไม่มีประมาณนี้ พวกเราๆ ท่านๆ นี่แหละ
แล้วเส้นทางที่พระองค์จะบรรลุถึง จะต้องทำอะไร จะต้องผ่านเส้นทางแบบไหน
แล้วจริงๆ เรื่องพระเวสสันดร คือจะจริงหรือไม่จริง
ในยุคเรานะ ไม่มีทางพิสูจน์ได้
แต่สิ่งที่พิสูจน์ได้ก็คือว่าถ้าพระองค์ผ่านเส้นทางนั้นมาจริง
พระองค์ทำประโยชน์สูงสุดให้กับชาวโลกแล้ว
คือสามารถเอาออกจากสังสารวัฏ คือทุกข์ เส้นทางอันกันดารนี้ได้

ตรงนี้แหละที่จะเป็นจุดที่อยากให้จำกันจริงๆ
อย่าจำแค่ว่ามีเรื่องราวแบบไหนเกิดขึ้นนะครับ



แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP