ดังตฤณวิสัชนา Dungtrin's Answer

จะรู้วิญญาณขันธ์ได้อย่างถูกต้องได้อย่างไร



ถาม - เราจะรู้ว่าวิญญาณขันธ์ไม่ใช่ตัวตนจริงๆ ได้อย่างไรครับ


วิญญาณขันธ์ก็คือจิตที่มันเป็นผู้รู้ผู้ดูอยู่
พระพุทธเจ้าท่านเปรียบเทียบว่าวิญญาณขันธ์เปรียบเหมือนมายากล
ถ้าเราดูแล้วเห็นว่ามีเหตุปัจจัยที่ให้รู้อะไรขึ้นมาอย่างหนึ่งชั่วคราว
พอสิ่งที่ถูกรู้นั้นหายไป วิญญาณก็หายไปด้วย
อย่างนี้เรียกว่ารู้จักว่าวิญญาณขันธ์ไม่ใช่ตัวตนจริงๆ
เป็นปลายทาง เป็นเหมือนมายากลชนิดหนึ่ง
ผมยกตัวอย่างอย่างเช่นในขณะอยู่ในสมาธิ เรารู้สึกว่าการรับรู้ มันตั้งอยู่ที่จิตที่ตั้งมั่น
มีความขาวโพลน มีความสว่าง ราวกับว่าไม่มีอะไรที่ไปเจือปนอยู่กับจิตนั้น
ทีนี้พอในจิตที่ว่างๆ นั้น มันเกิดสายหมอกของความคิด โผล่ขึ้นมาท่ามกลางความว่าง
เห็นเหมือนกับท้องฟ้าว่างๆ แล้วมีเมฆลอยมา
จิตเกิดการรับรู้ว่ามีเมฆลอยมา มีเมฆหมอกลอยมาอยู่ในหัว
แล้วก็เห็นว่าเมฆหมอกนั้นมันมีความเคลื่อนไหว มันไม่ได้เกาะกลุ่มอยู่นิ่งๆ
แล้วมีความคิดถึงอะไรอย่างหนึ่งขึ้นมา แล้วพอเรามองไปก็เห็นว่าความคิดถึงสิ่งนั้น
มันปรากฏอยู่แป๊บหนึ่งแล้วก็สลายตัวกลายเป็นความว่างใหม่


ตรงนี้ได้ชื่อว่าวิญญาณขันธ์ที่เห็นตัวธรรมารมณ์ มันเคลื่อนเข้ามากระทบใจ มันเกิดขึ้นแล้ว
แล้วพอตัวธรรมารมณ์นั้น สายหมอกนั้นมันสลายตัวไป กลายเป็นความว่างเหมือนเดิม
การรับรู้กลุ่มความคิดหรือว่าสายหมอกนั้นมันก็สลายตัวตามไปด้วย
นี่ยกตัวอย่างแบบให้เข้าใจได้ง่ายๆ ที่สุดนะ
จริงๆ ถ้าทำยากจริงๆ ตอนที่อยู่ระหว่างวัน แล้วตาประจวบรูป เห็นรูป
แล้วก็เกิดปฏิกิริยาทางใจ รู้ขึ้นมาว่ามีอาการยึดรูปแล้ว
หรือได้ยินเสียง มีอาการยึดเสียงแล้ว เห็นการยึดโยงของใจ
จนกระทั่งว่าอาการยึดโยงนั้นมันเป็นแค่ของชั่วคราว
อาการเงี่ยหูฟังก็ชั่วคราว อาการที่เพ่งตาดูอะไรอย่างหนึ่งก็ของชั่วคราว
ณ ขณะที่มีสติคมจริงๆ แล้วเห็นภาวะที่เพ่งดูอะไรอย่างหนึ่ง เงี่ยหูฟังอะไรอย่างหนึ่ง
ตัวนั้นน่ะเรียกว่าเป็นการเห็นวิญญาณขันธ์ เป็นจักขุวิญญาณหรือว่าเป็นโสตวิญญาณ
แล้วพอโสตวิญญาณหรือจักขุวิญญาณดับไป
กลายเป็นจิตที่มันว่างๆ เข้ามารู้ลมหายใจ เข้ามารู้ภาวะของใจ
อย่างนี้เรียกว่าเห็นวิญญาณขันธ์ดับไป
ตัวจักขุวิญญาณดับไปแล้ว ตัวโสตวิญญาณดับไปแล้ว



แต่ที่จะทำได้ คุณต้องเดินจงกรมแข็ง
แล้วก็มีการรู้ระหว่างวันในแบบที่มันต้องมีความเพียรจริงๆ มันถึงจะเห็นอย่างนี้ได้
แต่ถ้าดูจากสมาธิ อย่างนี้มันง่ายหน่อย
เวลาเกิดความคิดจรมา แล้วเรามองเป็นสิ่งกระทบ
มาล่อให้เกิดตัววิญญาณขันธ์ คือมโนวิญญาณ แล้วก็มโนวิญญาณนั้นรู้อะไร
รู้ธรรมารมณ์ที่มากระทบ ที่มันเคลื่อนมาล่อให้เกิดการรู้ รู้มัน
ตัวนี้เราก็จะมองได้ว่าวิญญาณขันธ์มันเกิดขึ้นตรงนี้
มโนวิญญาณมันเกิดขึ้นรู้ธรรมมารมณ์ แล้วธรรมารมณ์มันหายไป
ตัวมโนวิญญาณที่ไปรู้ธรรมารมณ์นั้นก็สลายตัวตามไปด้วย
กลายมาเป็นรู้อะไรว่างๆ ตามเดิม มันจะละเอียดนิดหนึ่ง

แต่อย่างไรก็ตามคือจะได้ประสบการณ์แบบที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้เป๊ะเลย
วิญญาณขันธ์เปรียบเหมือนมายากล มายากลเป็นอย่างไร
มันมีการแสดงหลอกให้นึกว่ามีอะไรแบบนั้นอยู่จริงๆ ทั้งๆ ที่มันไม่มี
เดี๋ยวนี้ถึงขั้นหลอกได้แบบเจ๋งๆ เลย
เสื้อผ้าแขวนอยู่บนราวตากเสื้อ มันลอยมาเข้าร่างกลายเป็นเสื้อตัวนั้นได้
เดี๋ยวนี้มันหลอกกันได้ถึงขนาดนั้น หลอกให้เรานึกว่ามีอะไรแบบนั้นเกิดขึ้นจริงๆ
ทั้งๆ ที่มันเป็นการตระเตรียมอุปกรณ์มายากลหลายๆ ชิ้น ที่ตาเห็นน่ะมันเป็นแค่ส่วนเดียว
แล้วนึกว่าเป็นจริงเป็นจัง นึกว่าเป็นปาฏิหาริย์ นึกว่าเป็นของวิเศษอะไร
แต่จริงๆ แล้วมันเป็นแค่ของหลอกอันเกิดจากการตระเตรียมไว้อย่างดี


อันนี้ก็เหมือนกันวิญญาณขันธ์
เราจะเห็นชัดๆ เลย ณ ขณะที่เกิดประสบการณ์รู้วิญญาณขันธ์
มันเหมือนกับมีตัววิญญาณขันธ์เกิดขึ้นจริงๆ แล้วก็มีอยู่จริงๆ
เเต่ที่ไหนได้ ไม่ใช่ มันต้องมีเครื่องล่อ มันต้องมีการกระทบอายตนะ
ที่เป็นสถานีที่ตั้งอายตนะทั้งหกอยู่ในกายในใจนี้ พอเกิดการกระทบทีก็เกิดวิญญาณขันธ์ที
เราเลยนึกว่ามีจิตอยู่จริงๆ ทั้งๆ ที่จิตที่มันไปรู้อะไรอย่างหนึ่ง แป๊บเดียวมันก็หายไป
พอรู้อย่างนี้ไปเรื่อยๆ รู้ได้ว่าวิญญาณขันธ์เป็นแค่เลเยอร์ (
layer) หนึ่ง
ของการหลอกลวงให้เห็นว่ามีอยู่ แป๊บเดียวหายไป
รู้ไปมากๆ เข้า พวกนี้บรรลุธรรมง่าย เพราะมันรู้เข้าไปที่จุดยืน พื้นยืนของอุปาทานเลย
ที่นึกว่ามีตัวตนอยู่ มันก็มีตัวหลอกที่สำคัญสองตัว คือความคิดแล้วก็จิต
ถ้าผ่านความคิดไปได้ รู้สึกเหลือแต่จิต อ๋อ เนี่ยนึกว่ารู้แล้ว แต่จริงๆ ต้องมีจิตอีกตัวหนึ่ง


เปรียบเทียบได้กับแก้วน้ำที่อุ้มน้ำไว้ได้ด้วยตัวรองแก้วสองชั้น
ชั้นแรกเป็นชั้นที่สัมผัสกับน้ำโดยตรง คือความคิดของเรา
ถ้าความคิดถูกมองว่ามันไม่ใช่ตัวเราไปได้
เหมือนกับที่ผมให้ดูว่ามันเป็นแค่กระแสไฟฟ้าในสมองอย่างนี้
แล้วหลายๆคนเก็ต (
get) อันนั้นก็เหมือนกับก้นแก้วทะลุไปชั้นหนึ่ง
แต่มันยังเหลือชั้นบางๆ ก้นแก้ว แต่ว่าเหนียวแน่นแข็งแรงมาก
บางแต่ว่าแข็งแรงมากคือตัวจิตนี่แหละ เรานึกว่าจิตเป็นตัวเรา
แม้แต่พระอนาคามียังบอกเลยนะ
บอกว่าที่ยังติดอยู่ที่เป็นอนาคามีอยู่ ไม่เป็นพระอรหันต์เพราะกลัวจะไม่มีจิต
ไปหลงเพลินอยู่กับอรูปฌานบ้าง หรือว่าความเป็นจิตที่มันยิ่งใหญ่เหนือจักรวาลบ้าง
มันก็มีตัวตนที่สูงลิบขึ้นไปอีกระดับหนึ่ง


ทีนี้ถ้าเราทำความเข้าใจว่าอย่างนี้ ว่าจิตหรือว่าวิญญาณขันธ์เหมือนมายากล
แล้วเราเห็นเป็นขณะๆ ณ เวลาที่มันเกิดจริงๆ แล้วก็หายไปจริงๆ
มันจะเกิดจิตขึ้นมาได้ มันจะเกิดวิญญาณขันธ์ได้
ต่อเมื่อมีอะไรมาประจวบกับอายตนะภายใน แล้วเกิดการรับรู้ขึ้นมา
แล้วการรับรู้นั้นอยู่แป๊บหนึ่ง เหมือนกับพยับแดดที่ปรากฏแค่ป๊อบแป๊บ
แล้วเดี๋ยวมันก็หายไปเลือนไป
พอต้นเหตุที่มากระตุ้นมันผ่านไปเหมือนกับความคิดในหัว
พอมันลอยผ่านไป ตัวการรับรู้นั้นแบบนั้นๆ ก็หายตามไปด้วย
นั่นก็คือให้ถือว่าจิตดับไปแล้ว จิตแบบนั้นดับไปหายไป
แล้วมันจะไม่ซ้ำ ไม่มีธรรมชาติของจิตแบบไหนนะที่มันซ้ำตัวเดิม หายไปแล้วหายไปเลย
แต่ว่าเราก็ยังยึดว่ามันเป็นจิตของเราอยู่ เพราะมันสืบเนื่องเป็นสายน้ำ
พอจิตดวงหนึ่งดับ จิตอีกดวงหนึ่งเกิดขึ้นแทนที่ทันที จนจับไม่ได้ไล่ไม่ทัน
กระทั่งเรามาฝึกอานาปานสติ
เริ่มเห็นเป็นบล็อกๆ นะ เริ่มเห็นเป็นบล็อคๆ สภาวะธรรม
มันจะเหมือนกับมีการมาหลอกอยู่เบื้องหลังจริงๆ
เอาตัวต่อมาต่อทีละบล็อกๆ ให้เรารู้สึกว่ามันเป็นตัวเดิม
ทั้งๆ ที่มันไม่ใช่ จะเห็นเลยนะจากสติที่คมพอ



แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP