ดังตฤณวิสัชนา Dungtrin's Answer

ควรมีกิจวัตรประจำวันอย่างไร จึงจะมีความก้าวหน้าในการปฏิบัติธรรม



ถาม – ผมอยากได้คำแนะนำจากคุณดังตฤณเกี่ยวกับกิจวัตรประจำวัน
ว่าในวันหนึ่งๆ ฆราวาสควรปฏิบัติธรรมเป็นเวลากี่นาที ต้องรักษาศีลแปดหรือไม่
ควรงดการใช้สื่อสังคมออนไลน์ไปเลยไหม เพื่อที่จะได้ภาวนาอย่างมีวินัยครับ


เข้าใจคำถามนะ นี่แหละเป็นฆราวาส ความหมายก็คืออย่างนี้
ที่เรามาปฏิบัติธรรมที่บ้านกัน ถือเป็นเอ็กซ์ตร้า (
extra)
เป็นอะไรที่มันไม่ใช่สิ่งที่เราต้องทำก็ได้
ไม่เหมือนพระ ถ้าพระไม่ปฏิบัติธรรมไม่ทำตามที่ตกลงกับพระพุทธเจ้าไว้ในวันบวช
ว่าบวชเข้ามาเพื่อทำมรรคผลนิพพานให้แจ้ง อย่างนี้ถือว่าผิด
คือถ้าไม่ปฏิบัติธรรม ออกมาทำอะไรอย่างอื่น
เอาแต่กิจนิมนต์อย่างเดียว ไปขายของออนไลน์บ้างอะไรบ้าง
อย่างนี้ถือว่าผิด เป็นความผิดที่ต้องมีผล ต้องชดใช้
แต่ของพวกเรานี่เป็นฆราวาส โดยความหมายก็คือเป็นอิสระที่จะตัดสินใจเองได้
ว่าจะเลือกอะไร ไม่เลือกอะไร เพราะฉะนั้นถ้าไม่ปฏิบัติก็ไม่ผิด
ไม่ผิดเพราะไม่ใช่ไปทำกติกา ตกลงตามกติกาอะไรกับใครไว้
ข้าวน้ำก็หามากินด้วยน้ำพักน้ำแรงของตัวเอง ไม่ได้ไปขอใครนะ
อย่างพระสงฆ์นี่คือทำข้าวทำปลากินเองไม่ได้นะ
ท่านต้องฉันจากข้าวในบาตรที่หามาได้ด้วยลำแข้ง


เพราะฉะนั้นพอเราเห็นภาพตรงนี้ ภาพรวมตรงนี้ไว้ก่อน
ก็จะได้เกิดความเข้าใจในลำดับต่อไป
ว่าการเลือกที่จะปฏิบัติเอาจริงเอาจังแค่ไหน มันขึ้นอยู่กับความสมัครใจ
แล้วแต่ละคนก็มีความทนทานต่อกิเลสยั่วยุ
หรือว่าแม่เหล็กที่จะมาดึงดูดให้เข้าไปติดอยู่กับโลกแตกต่างกัน
ถ้าเราบอกเป็นเหมือนกับกฎตายตัวให้ต้องทำตาม

ให้ตกลงกับตัวเองให้ได้ว่านี่ห้าม นั่นได้
มันไม่ตรงตามจริงกับแต่ละบุคคล ความเหมาะของแต่ละบุคคล
อย่างบางคนถือศีลแปดแล้วภาวนาก้าวหน้า
มันเหมือนกับก้าวกระโดด มีสปริงบอร์ดอะไรมา
แต่บางคนถือศีลแปดปุ๊บ การงานทางโลกแย่ลงทันที
หิวข้าวแล้วก็ร่างกายอ่อนเพลีย หาอยู่หากินไม่ได้แบบเดิม ไม่พร้อม
แล้วพอมาภาวนาก็แสบท้องอีก แต่ละคนต่างกัน
หรืออย่างหยุดเล่นโซเชียลอย่างนี้
บางคนเป็นเหตุให้เกิดความรู้สึกว่า เออ! สมองมันว่าง ใจมันโปร่งเบาดี
แต่บางคนหยุดเล่นโซเชียลปุ๊บ อ้าว! งานจากตรงโน้นก็มา งานจากคนนี้ก็มาก
แล้วบอกว่าทำไมไม่มาตอบไลน์ ทำไมไม่มาสนใจตรงนี้ มันไม่ได้
คือเราไปกะเกณฑ์หรือว่าไปล็อกให้ฆราวาสทำแบบเดียวกันไม่ได้เลยนะ
ความแตกต่างของฆราวาสนี่พิสดารมาก มันแตกต่างมโหฬาร



แต่มีจุดจุดหนึ่งที่สามารถพูดได้ว่า
อันนี้เป็นหลักสากลสำหรับคนทั่วไปที่น่าจะครอบจักรวาล
นั่นก็คือสังเกตเอากับตัวเองว่าหลงไปตามอะไรนานแค่ไหน แล้วจิตมันเฟ้อไป
มันมีอาการเฟ้อ มันมีอาการเพ้อ มันมีอาการที่เลื่อนลอย หลุดลอยจากโฟกัส
นี่ยังไม่ได้เข้าเรื่องภาวนา เอาแค่ว่าหลุดลอยจากโฟกัสของการมีสติอยู่กับปัจจุบัน
ไม่รู้เนื้อรู้ตัว อยากปล่อยเนื้อปล่อยตัว อยากจะงอมืองอเท้าเหลวเป๋ว
อย่างนี้ควรถอยออกมาหลายๆ ก้าว
เคยอนุญาตให้ตัวเองเล่นชั่วโมงหนึ่งกับสิ่งนั้น
ก็เปลี่ยนมาเป็นอนุญาตให้ได้ไม่เกิน ๑๐ นาที
แล้ววาง หยุด เลิก ห้ามขาดไม่ให้เล่นถึงหนึ่งชั่วโมงอีก อย่างนี้

อะไรก็แล้วแต่ดึงดูดจิตของเราให้เฟ้อ ให้เพ้อ ให้หลุดจากโฟกัสไปได้
เราสมควรเห็นสิ่งนั้นเป็นอันตรายต่อการภาวนา
แล้วก็อาจเป็นอันตรายกับการใช้ชีวิตแบบโลกๆ ด้วย


หลักการมีง่ายๆ แค่นี้ หนึ่งเดียวจำไว้ อะไรที่ทำให้จิตมันหลุดโฟกัส
เราอย่าอนุญาตให้ตัวเองไปคลุกอยู่กับมันมากเกินไป ต้องมีลิมิต (
limit)
แล้วลิมิตนี้ ถามว่าลิมิตควรจะแค่ไหน
ก็ดูว่าใช้เวลาอยู่กับมันเพียงใด แล้วจิตยังไม่หลุดออกจากโฟกัส
แล้วหยุดก่อนที่มันจะหลุดออกมา อันนี้ถือว่าใช่นะครับ


แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP