สารส่องใจ Enlightenment

ธรรมนาวา (ตอนที่ ๑)



พระธรรมเทศนา โดย พระสุธรรมคณาจารย์ (หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ)
วัดอรัญญบรรพต อำเภอศรีเชียงใหม่ จังหวัดหนองคาย




ตั้งใจนะ ตั้งใจทุกคน สำรวมจิตใจของตนให้ดี
กิเลสตัณหานี่เหมือนกับห้วงน้ำในมหาสมุทรทะเล
บุคคลผู้ใดไม่มีความพากเพียรพยายาม
มันก็เหมือนกับบุคคลตกลงไปสู่ห้วงทะเล มหาสมุทร
แล้วไม่พยายามแหวกว่ายก็จมน้ำตาย
ฉันใดก็อย่างนั้นแล กิเลส ราคะ โทสะ โมหะ
มันเหมือนกับน้ำที่ท่วมหัวใจของคนอยู่
ผู้ใดไม่พากเพียรพยายามแหวกว่ายกิเลสเหล่านั้นออกจากจิตใจ ผู้นั้นก็จมอยู่ในทุกข์
เหมือนอย่างบุคคลตกไปในทะเลอันกว้างใหญ่ไพศาลนั้นแหละ
ย่อมไม่มีทางเอาตัวรอดได้
ผู้ใดชอบปล่อยใจของตนให้กิเลสเหล่านี้ครอบงำแล้ว
ก็เอาตัวรอดจากทุกข์ไม่ได้เช่นเดียวกัน เพราะฉะนั้น อย่าพากันประมาท



เราได้เกิดมาเป็นมนุษย์ในชาตินี้
ได้มาพบพระพุทธศาสนา พบคำสอนของพระพุทธเจ้า
ซึ่งชี้บอกอุบายกำจัดกิเลสตัณหาเหล่านี้ไว้อย่างถูกต้อง
เมื่อผู้ใดปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธเจ้าอย่างจริงจังแล้ว
ก็จะทำให้กิเลสเหล่านี้เบาบางออกไปจากจิตใจอย่างแท้จริง
การที่บุคคลพยายามฝึกฝนจิตก็ดี ฝึกฝนกายก็ดี ฝึกฝนวาจาก็ดี
ให้ตรงต่อศีล สมาธิ ปัญญา นั้น
นั่นว่าอุปมาอย่างกับบุคคลต่อเรือที่กำลังจะข้ามไปสู่ฝั่งโน้น
การที่เรามาปฏิบัติตามศีล สมาธิ ปัญญา นี่ เรียกว่าเราพยายามต่อเรือ
เรืออันนี้เรียกว่าประกอบด้วยธรรมะ ไม่ใช่ประกอบด้วยไม้ ด้วยเหล็ก
เอาธรรมะต่างๆ มารวมกันเข้า
เห็นลำเรือสำหรับให้ดวงจิตนี้ได้อาศัยข้ามจากโอฆะแห่งแก่งกันดาร
คือความโลภ ความโกรธ ความหลง หรือว่าราคะตัณหาพวกนี้



บุคคลจะพ้นจากโอฆะเหล่านี้ไปได้ ก็เมื่อมาปฏิบัติตาม ศีล สมาธิ ปัญญานี้เอง
ไม่ใช่ปฏิบัติไปอย่างอื่นแล้วมันจะพ้นไปได้ ไม่มี
ข้อปฏิบัติใดๆ ในโลกนี้ นอกเหนือไปจาก ศีล สมาธิ ปัญญาแล้ว
ไม่มีข้อปฏิบัติใดที่จะมากำจัดกิเลสดังกล่าวมานี้
ให้น้อยเบาบางหรือหมดสิ้นไปจากจิตใจนี้ได้ ไม่มีเลย
เพราะฉะนั้นให้พากันพยายามอย่าท้อถอย
เรามันถูกห้วงน้ำ คือกิเลสเหล่านี้ท่วมท้นจิตใจมานับไม่ถ้วนแล้ว
เราลอยคออยู่กลางมหาสมุทรทะเล คือราคะ โทสะ โมหะ เหล่านี้นะ
จิตใจมันล่องลอยอยู่ในกิเลสเหล่านี้มานับชาติไม่ถ้วนแล้วนะ คิดให้ดี



แต่เราระลึกชาติหนหลังไม่ได้หรอก พระพุทธเจ้าพระองค์ทรงระลึกชาติหนหลังได้
พระองค์จึงเบื่อหน่ายในการเกิด ในความเป็นมาของพระองค์
และเพราะความเบื่อหน่ายนั่นแหละ จึงคลายความกำหนัดยินดีในขันธ์ทั้ง ๕ นี้เสียได้
พระองค์จึงไม่ถูกห้วงน้ำคือกิเลสดังกล่าวมานั้นท่วมท้นต่อไป
ดังจะเห็นได้จากการที่พระองค์ออกบวชแล้ว
พระองค์ไม่หวนกลับไปครองราชสมบัติอีกเลย
นั่นแสดงว่าพระองค์พ้นจากห้วงน้ำเหล่านั้นไปแล้วจริงๆ
แล้วพระองค์ก็ไม่ได้สะสมสมบัติอะไรในโลก
ที่มีพุทธบริษัทบริจาคทานนับไม่ถ้วน ทั้งปัจจัยเครื่องอาศัยต่างๆ
พระองค์ก็ไม่สะสมเลย ทรงแจกแก่ภิกษุสามเณรไปหมด



ดังจะเห็นได้จากช่วงใกล้ที่พระองค์จะเสด็จดับขันธปรินิพพาน
พระองค์ไม่ได้จำพรรษาอยู่ที่วัดเชตวันวนารามเลย
ซึ่งตามปกติแล้ว พระองค์จะประทับอยู่ที่นี่
แต่ในปีนั้นพระองค์เสด็จไปจำพรรษาอยู่บ้านเวฬุคาม
ตำบลน้อยๆ ตำบลหนึ่งใกล้กับเมืองเวสาลี
แล้วทรงอนุญาตให้ภิกษุไปเที่ยวจำพรรษาอยู่กับมิตรสหาย
นั่นหมายความว่า ภิกษุไปคุ้นเคยกับญาติโยมหมู่บ้านใด ที่เขานับถือเลื่อมใส
ก็ให้ไปจำพรรษาอยู่ในหมู่บ้านนั้น ซึ่งไม่ห่างจากพระพุทธองค์สักเท่าไร
เพราะถ้าจะจำพรรษาอยู่กับพระองค์นั้น คงบิณฑบาตไม่พอฉัน
(คำว่าบ้านน้อยๆ ในตำราท่านกล่าวไว้ คงจะมีภิกษุไม่กี่รูป รวมทั้งพระอานนท์ด้วย)



ในพรรษานั้นทรงพระประชวรด้วยพระโรคาพาธต่างๆ
แต่ก็ทรงบำบัดโรคภัยไข้เจ็บนั้นด้วยอิทธิบาทธรรมทั้ง ๔
โดยทรงรำพึงว่าเวลานี้ยังไม่สมควรจะปรินิพพาน
หมอโกมารภัจจ์ซึ่งเป็นหมอประจำพระองค์ ก็ไม่ปรากฏว่าได้ไปรักษาพระองค์เลย
เพราะว่าหมอโกมารภัจจ์นี่ อยู่เมืองสาวัตถีนู้น
ในขณะที่พระศาสดาเสด็จไปจำพรรษาอยู่เมืองเวสาลี
พระองค์ทรงบำบัดโรคาพาธด้วยการเจริญภาวนา เจริญอิทธิบาทธรรมทั้ง ๔
ขับไล่อาพาธนั้นออกไป เพราะยังไม่ถึงเวลาที่จะดับขันธ์เข้าสู่พระนิพพาน
โรคภัยก็ถอยออกไป พระองค์ก็อยู่ไปได้ตลอดพรรษา



เมื่อออกพรรษาแล้ว พระองค์ก็เสด็จไปประทับอยู่ที่พระเจดีย์แห่งหนึ่ง ใกล้เมืองเวสาลี
แล้วก็เสด็จไปบิณฑบาตในเมืองเวสาลีนั้นกับพระอานนท์
พระองค์ประทับอยู่ ณ เจดีย์นั้น ซึ่งเป็นเจดีย์ของชาวเมืองเวสาลีสร้างไว้
สำหรับบรรจุอัฐิธาตุของบรรพบุรุษของกษัตริย์ อะไรทำนองนั้นแหละ
แต่พระองค์ก็ไปอาศัยอยู่ที่นั้น
จนถึงวันเพ็ญเดือน ๓ พญามารก็มาอาราธนาให้พระองค์เสด็จดับขันธ์เข้าสู่พระนิพพาน
โดยพญามารอ้างว่า บัดนี้ พระองค์ก็ได้ทรงสั่งสอนบริษัทสี่เหล่า
ให้ได้มรรคได้ผลเจริญรุ่งเรืองมาเต็มอัตราแล้ว
ร่างกายของพระองค์ก็เข้าสู่วัยชราทรุดโทรมแล้ว
สมควรที่พระองค์จะเสด็จดับขันธ์เข้าสู่พระนิพพานได้แล้ว
ขอพระองค์จงรับอาราธนาของข้าพระองค์ด้วยเถิด



ก่อนหน้านี้ พระศาสดาได้ทรงแสดงโอภาสนิมิตให้แก่พระอานนท์ฟังว่า
ดูก่อนอานนท์ บุคคลใด เมื่อมาเจริญอิทธิบาทธรรมทั้ง ๔ ให้มาก
ให้แก่กล้าเต็มที่แล้ว ปรารถนาจะมีอายุยั่งยืนนานไปตลอดกัปตลอดกัลป์ก็อยู่ได้
พระองค์ทรงแสดงอุบายอันนี้ถึงสามครั้ง พระอานนท์ก็ระลึกไม่ได้เลย
ไม่ได้ทูลอาราธนาพระองค์ให้เจริญอิทธิบาทธรรมทั้ง ๔
เพื่อให้ทรงมีพระชนมายุยั่งยืนนานตลอดไป
เพื่อเป็นประโยชน์แก่มนุษย์และเทวดาทั้งหลาย
ในตำราท่านกล่าวไว้ว่า ทั้งนี้ก็เพราะมารเข้าดลใจพระอานนท์
เนื่องจากว่าพระอานนท์นั้นเป็นเสขบุคคล ยังไม่สำเร็จอรหัตตผล
ได้บรรลุเพียงโสดาบันเท่านั้น กิเลสยังมีอยู่ ดังนั้น มารจึงเข้าดลใจได้
ถ้าหากพระอานนท์สำเร็จพระอรหันต์แล้ว มารจะเข้าดลใจพระอานนท์ไม่ได้เลย
มารเข้าดลใจเป็นเหตุให้พระอานนท์นึกไม่ออก
นึกไม่ถึงอุบายที่พระองค์ทรงตรัสโอวาทดังกล่าวมานั้น



(โปรดติดตามเนื้อหาต่อในฉบับหน้า)


- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -


จาก ธรรมโอวาท หลวงปู่เหรียญ ๖ ที่ระลึกงานทอดกฐินสามัคคี วัดป่าพิชัยวัฒนมงคล
อ.บางพลี จ.สมุทรปราการ วันอาทิตย์ที่ ๗ พฤศจิกายน ๒๕๖๔. จัดพิมพ์โดยชมรมกัลยาณธรรม



แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP