วรรณกรรมนำใจ Lite Literature

ทางยมทูต ๔๖ (จบ)



way cover




ชลนิล



(ต่อจากฉบับที่แล้ว)



            ห้องกระจายเสียงวิทยุ...ผู้ดำเนินรายการเป็นดีเจสองสาวต่างวัย...สุปรียา...บัวบุษราเช่นเดิม

            แขกรับเชิญวันนี้นับว่า ‘พิเศษ’ เกินคาด เป็นซูเปอร์สตาร์หนุ่ม อดีตบอยแบนด์ ปัจจุบันพระเอกคนดัง เจ้าพ่อพรีเซนเตอร์ที่ออกงานอีเวนท์ครั้งใด ก่อให้เกิดปรากฏการณ์ ‘ห้างแตก’ ทุกที

            “บัวขอกรี๊ดดีใจ...ต้อนรับแขกรับเชิญพิเศษวันนี้ก่อน...สวัสดีค่ะพี่ลุย”

            “สวัสดีครับ”

            “วันนี้ ‘ลุย รอยเธียร’ พระเอกคนดังเป็นแขกรับเชิญของเรา...สวัสดีนะคะน้องลุย...ดีใจจังเลยได้เจอกันใกล้ ๆ แบบนี้”

            “ผมก็ดีใจเหมือนกันครับพี่สุ น้องบัวที่ได้มาพูดคุยใกล้ชิดถึงห้องส่ง...ปกติเป็นแค่คนฟัง”

            “ตอนนี้น้องลุยมีงานใหม่ ๆ มาให้แฟน ๆ หายคิดถึงหรือยังคะ พี่รอนานแล้วนะเนี่ย”

            “ถ้าพูดถึงละคร ก็มีบทส่งมาให้ดูหลายเรื่อง กำลังตัดสินใจเลือกอยู่ครับ”

            “แล้วงานเพลงล่ะ...หลายคนคงจำได้ น้องลุยเคยเป็นบอยแบนด์ดังวง Three-Rex ถึงจะยุบวงไปสิบกว่าปีแล้ว แฟนคลับก็ยังคิดถึงกันอยู่”

            “ถ้าพูดถึงเพลงใหม่ ซิงเกิลอะไรคงยังไม่มีหรอกครับ”

            “คอนเสิร์ตล่ะคะ วง Three-Rex เคยขึ้นเป็นแขกรับเชิญคอนเสิร์ตการกุศลซื้อเครื่องมือแพทย์ปีก่อนโน้น แฟน ๆ จะได้เห็นการรวมตัวกันอีกหรือเปล่า”

            “ที่ผมออกรายการครั้งนี้ ก็ตั้งใจเป็นตัวแทนวง Three-Rex มาคุยเรื่องคอนเสิร์ตนี่ล่ะครับ”

            “ดีจังเลยค่ะ...เป็นคอนเสิร์ตแบบไหน เมื่อไหร่ ยังไง มีแขกรับเชิญหรือเปล่าคะ”

            ดีเจสาวถามติด ๆ กันแทนอารมณ์ ‘ติ่ง’ ขนานแท้ เรียกเสียงหัวเราะจากแขกรับเชิญเบา ๆ

            “เป็นคอนเสิร์ตการกุศลเพื่อเด็กพิการซ้ำซ้อนครับ” เจ้าตัวเลือกตอบแค่คำถามแรก

            “อืมม์ ข่าวว่าได้โปรดิวเซอร์ดัง ฝีมือสุดยอดมาช่วยทำเพลงให้ใช่มั้ยคะ”

            “ใช่ครับพี่สุ คอนเสิร์ตนี้คุณพายุ พยุหะ ช่วยทำดนตรีให้ร่วมสมัยขึ้นแต่ไม่ทิ้งกลิ่นอายเดิมของ Three-Rex”

            “โหย...สุดยอดเลย คนนี้นอกจากเป็นโปรดิวเซอร์มือทอง ปั้นนักร้องดังหลายคน บัวเพิ่งรู้ว่าเขาร้องเพลงได้ ตอนเห็นคลิปขึ้นเวทีกับพี่ลุยครั้งนั้น แล้วร้องแบทเทิลกันมันมาก ในเพลง Counting Stars ของวง OneRepublic”

            “ครับ...” พูดแล้วเจ้าตัวกลั้นหัวเราะ “กว่าจะให้โปรดิวเซอร์ติสต์แตกคนนี้ ยอมแบทเทิลกับผมได้นี่แทบแย่ ขนาดเป็นคอนเสิร์ตการกุศลหาเครื่องมือแพทย์ที่เขาเป็นตัวตั้งตัวตีเองด้วยนะ...แต่ออกมาแล้วคนดูชอบก็คุ้มครับ”

            “คุณพายุแกเก่งจริง หล่อด้วย ตอนทำเพลงวง Three-Rex เป็นแบบอะคูสติก แล้วนั่งเล่นกีตาร์บนเวทีร่วมกับนักร้องทั้งสามคน พี่ดูแล้วคิดว่าเป็นบอยแบนด์ F4 ซะอีก”

            “F4 เลยหรือคะพี่สุ...ไม่เก่าไปหน่อยเหรอ” ดีเจรุ่นน้องแซว

            “ไม่เลยจ้ะน้องบัว... F4 นี่คือตำนานที่ยังมีลมหายใจ...รีเมกมาทั่วเอเชียแล้ว...ของไทยเราก็มีเหมือนกันนะ”

            “ค่ะ...งั้นเราข้ามเรื่อง F4 มาฟังเพลงของบอยแบนด์ไทย...ที่ยังอยู่ในใจแฟนคลับอย่าง Three-Rex กันก่อนเลย...เดี๋ยวกลับมาฟังรายละเอียดคอนเสิร์ตกันหลังเบรกนะคะ”

            บัวบุษราพูดเข้าเพลง...ดนตรีขึ้น...ไมค์ดีเจและผู้ร่วมรายการถูกปิดชั่วคราว สามารถพูดคุยตามสะดวก

            “ขอบคุณพี่สุกับน้องบัวด้วยนะครับที่ให้ผมมาโปรโมตคอนเสิร์ตวันนี้” ดาราหนุ่มบอกด้วยสีหน้าสดใส

            “โธ่น้องลุย อย่าเรียกว่าโปรโมตเลย...เรียกว่ามาช่วยเพิ่มสีสันในรายการให้มีคนฟังเพิ่มขึ้นดีกว่า”

            “จริงด้วยค่ะ ในหน้าเฟซรายการตอนนี้ยอดผู้ฟังเพิ่มขึ้นเยอะเลย แถมส่งข้อความเชียร์ให้กำลังใจแล้วถามว่าคอนเสิร์ตจะมีวันไหน กี่รอบ อดใจรอไม่ไหวแล้ว”

            “ฟังแล้วชื่นใจ มีแรงทำงานเยอะเลย” ศิลปินหนุ่มตอบ

            “จริงสิช่วงนี้น้องลุยไม่มีงานละครเลย ตะกี้บอกว่ามีมาให้เลือกเยอะ ตัดสินใจรับเรื่องไหนหรือยัง”

            “แม่ผมอ่านนิยายเรื่องนึงแล้วชอบมาก พอดีมีผู้จัดส่ง ‘บทละคร’ เรื่องนี้มาเสนอ เลยคะยั้นคะยอให้ผมรับเล่น”

            “เรื่องอะไรคะ”

            “๒๕๒๕ เลขอาถรรพ์ วันมรณะ”

            “เรื่องราวเป็นยังไงคะ”

            “อืมม์ เนื้อเรื่องเกี่ยวกับอาถรรพ์วัยเบญจเพส พระเอกเป็นฝาแฝดอายุยี่สิบห้าปี ในปีพ.ศ.๒๕๒๕ ซึ่งเป็นปีฉลองกรุงเทพฯ สองร้อยปีพอดี”

            “ฟังแล้วน่าสนุกจัง น้องลุยรับบทฝาแฝดใช่มั้ยคะ”

            “เอ่อ...ที่จริง...ตามบทที่เขียน ผมต้องเล่นเป็นสี่ตัวละครเลยครับ”

            “สี่ตัวละคร! นอกจากบทฝาแฝดแล้วพี่ลุยต้องเล่นเป็นใครที่หน้าตาเหมือนกันอีกคะ”

            “อีกสองตัวอยู่ในยุคปัจจุบัน ตัวหนึ่งเป็นปิศาจที่คอยกระตุ้นยุยงให้คนฆ่ากัน อีกคนเป็นหนุ่มนักเรียนนอก เติบโตใช้ชีวิตในต่างประเทศ กลับมาเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยเมืองไทย”

            “สี่ตัวละคร...คาแรกเตอร์ไม่เหมือนกันเลยหรือคะ”

            “ไม่เหมือน...บทฝาแฝดนี่ไม่ใช่คนนึงดีคนนึงเลวนะ...เป็นคนดีทั้งคู่แต่นิสัย วิธีคิดวิธีจัดการปัญหา ลักษณะความเคยชินบางอย่างจะแตกต่างกัน...แสดงต่างกันไม่มากแต่คนดูต้องแยกออก...ส่วนในพาร์ทปัจจุบันนั่นเรียกว่าคนละขั้วเลย...ปิศาจร้ายจำอดีตไม่ได้กับหนุ่มนักเรียนนอกที่ไม่เคยเชื่อเรื่องภูตผี”

            “ฟังแค่นี้ก็อยากดูแล้ว พี่ลุยรับเล่นเถอะ บัวเชื่อว่าดังแน่”

            รอยเธียรหัวเราะ ไม่ตอบรับหรือปฏิเสธ

            หลังจากเพลงจบ หมดเบรกโฆษณา ดีเจและแขกรับเชิญพูดคุยถึงรายละเอียดคอนเสิร์ตการกุศลเพื่อเด็กพิการซ้ำซ้อน แล้วรับสายจากผู้ฟังจนกระทั่งหมดเวลาจบรายการ

            ก่อนศิลปินคนดังจะกลับออกไป ดีเจสาวรีบเข้าไปถาม

            “ปกติพี่ลุยเข้าฟิตเนส ออกกำลังกายที่ไหนคะ”

            “ที่บ้านผมมีเครื่องออกกำลังกายครบทุกอย่าง แม่เตรียมไว้ให้นานแล้วครับ”

            ศิลปินดาราต้องใช้รูปร่างหน้าตาทำงาน รอยเธียรไม่ต้องใช้บริการสถานออกกำลังกายที่ไหน เพราะมารดาจัดหาไว้ที่บ้านเรียบร้อย

            “หรือคะ...อืมม์พี่ลุยสนใจการออกกำลังกายแบบศิลปะการต่อสู้ ‘ชกมวย’ มั้ยคะ มันเป็นการออกกำลังเต็มรูปแบบใช้กล้ามเนื้อเต็มที่ คือไม่ได้ให้ไปชกกับใครนะคะ แต่เป็นการออกกำลังกายแบบหนึ่งที่ช่วยเผาผลาญไขมัน ดูแลรูปร่างลดน้ำหนัก มีผลดีหลายอย่าง...ตอนนี้ดาราหลายคนเริ่มมาออกกำลังกายแบบนี้กันเยอะเลยค่ะ”

            “น้องบัวมาโปรโมต ‘เคอาร์ยิม’ อีกแล้วหรือจ๊ะ” ดีเจสุปรียาเข้ามาแซวแล้วแฉให้ดาราหนุ่มฟัง “ตอนนี้เขากำลังเห่อออกกำลังกายค่ะ ชวนพี่ไปเหมือนกัน พอบอกไม่ชอบออกกำลังกายก็ชวนลูกชายพี่ไปเรียนชกมวยแทน...แถมบอกอีกนะว่าพี่ตามไปด้วยได้เพราะที่นั่นมีสปา นวดแผนไทยชั้นเยี่ยมชื่อ ‘ไบลนด์สปา’”

            “ไบลนด์สปา...หมายถึงสปาคนพิการทางสายตาหรือเปล่าครับ” คราวนี้ศิลปินหนุ่มสนใจ

            “ใช่ค่ะ...ผู้พิการทางสายตาที่นี่คัดฝีมือมาอย่างดี ทุกคนได้รับใบประกาศ ผ่านการทดสอบรับรองว่าฝีมือนวด จับเส้นได้มาตรฐาน...”

            “อืมม์น่าสนใจครับ แม่ผมเข้าสปาประจำอยู่แล้ว เพิ่มการนวดแผนไทยอีกน่าจะชอบมาก มีโบรชัวร์มั้ยครับ”

            ถามเช่นนี้แสดงว่าเจ้าตัวสนใจจริง ๆ

            “นี่ค่ะ” รีบหยิบให้พร้อมอธิบาย “เคอาร์ยิม กับไบลนด์สปาอยู่ในพื้นที่เดียวกัน ที่จอดรถกว้างขวาง นอกจากนี้ยังมีร้านกาแฟ ‘ดาร์กคาเฟ่’ ซึ่งมีบาริสต้า คนชงกาแฟเป็นผู้พิการทางสายตาด้วยค่ะ”

            พอโปรโมตถึงร้านกาแฟ ดาราหนุ่มย่นหัวคิ้วสงสัย คนเฉลยคือสุปรียา

            “น้องบัวเป็นอาสาสมัครของสมาคมผู้พิการทางสายตา คอยช่วยโปรโมตแนะนำสินค้า บริการ อาชีพผู้พิการหลายอย่าง...เวลาว่างก็ไปช่วยอ่านหนังสือเสียงให้ห้องสมุดคนตาบอดฯ เป็นงานอดิเรกค่ะ”

            บัวบุษรายิ้มสดใสอธิบายเพิ่มเติม

            “บัวเคยสูญเสียการมองเห็นไปถึงสองปี เข้าใจดีว่าอยู่ในโลกที่มองไม่เห็นเป็นยังไง...ตอนนี้เลยอยากสร้างประโยชน์แก่คนอื่นมากที่สุด...อย่างน้อยเพื่ออุทิศบุญกุศลให้แก่เจ้าของกระจกตาที่มอบให้มาด้วยค่ะ”

            รอยเธียรมองหญิงสาวด้วยแววตาชื่นชม พยักหน้าแล้วพูดชัดเจน

            “งั้นผมจะพาแม่มาใช้บริการสปาที่นี่ดู แล้วจะลองชิมกาแฟที่ดาร์กคาเฟ่สักครั้ง...ฝากน้องบัวบอกพวกเขาว่า...ตอนผมกับแม่ไปที่ร้าน อนุญาตให้ถ่ายรูปเพื่อโปรโมตได้เลย”

            “ขอบคุณมากค่ะพี่ลุย”

            ถ้าสุดยอดพรีเซนเตอร์ออกปากแบบนี้ เชื่อว่าสปาและร้านกาแฟจะเป็นที่รู้จักกว้างขวางกว่าเดิม

            “อ้อ...ส่วนเคอาร์ยิม...การออกกำลังกายแบบชกมวย...ผมจะรับไว้พิจารณานะ...อันนี้มีเบื้องหลังอะไรอีกหรือเปล่า”

            ดาราหนุ่มถามแววตาหยอกล้อ หญิงสาวอมยิ้มไม่กล้าตอบ ดวงตาแจ่มจรัสสว่างไสวแทบปิดบังอะไรไม่ได้เลย




--------------- ------------ --------------




            ด้านหน้า ‘เคอาร์ยิม’ เป็นตึกแถวอาคารพาณิชย์ริมถนนยาวเหยียด ทางเข้ากว้างพอสมควร พอขับพ้นอาคารเหล่านั้นค่อยพบสถานที่กว้างขวาง ด้านหน้าเป็นร้านกาแฟ ‘ดาร์กคาเฟ่’ ตกแต่งสวย ต้นไม้ร่มรื่นเหมาะสำหรับพักผ่อน ดื่มกาแฟ ถ่ายรูปลงโซเซียล ถัดมาอีกหน่อยเป็น ‘ไบลนด์สปา’ นวดแผนไทย ปลูกต้นไม้ตกแต่งด้านหน้าเชิญชวนให้เข้าไปใช้บริการ

            ด้านในสุดเป็นสถานออกกำลังกาย ‘เคอาร์ยิม’ ลานจอดรถกว้างขวาง สะดวกแก่ผู้มาใช้บริการทุกประเภท

            บัวบุษราพาสุปรียามาดูห้องเรียนมวยไทยสำหรับเด็ก ครูสอนเป็นชายชราหน้าตาอารมณ์ดี สอนเด็กชายเด็กหญิงจำนวนเกือบสิบคนอย่างใจเย็นสนุกสนาน

            “สวัสดีค่ะคุณตาแคล้ว” หญิงสาวยกมือไหว้ทักทายจากนอกห้อง

            ครูมวยชราหันมายิ้มพยักหน้าคุ้นเคย แล้วกลับไปให้ความสนใจเด็ก ๆ ต่อ

            “นี่ไงคะครูแคล้ว อดีตแชมป์มวยไทย ถึงจะแก่ร่างกายไม่แข็งแรงเท่าคนหนุ่มแต่สอนดีมาก เด็ก ๆ รักและติดแกเยอะ สนใจพาลูกชายมาเรียนมั้ยเอ่ย”

            “ขอดูตรงอื่นก่อนสิ” ดีเจรุ่นพี่ตอบเลี่ยง

            บัวบุษราพาเดินรอบเคอาร์ยิม ตั้งแต่ห้องฟิตเนส เครื่องออกกำลังกายทุกประเภทเรียงราย ห้องเรียนศิลปะต่อสู้ต่าง ๆ ยูโด คาราเต้ เทควันโด เวทีมวย สนามออกกำลังกาย ห้องเรียนโยคะ ห้องคาร์ดิโอ เวทเทรนนิ่ง ทุกที่มีสมาชิกใช้บริการพอสมควร

            จนถึงห้องเรียนมวยไทย นักเรียนส่วนใหญ่เป็นชาวต่างชาติ รวมแล้วหกเจ็ดคน ‘ครูมวย’ เป็นคนไทยร่างสูงเด่น หน้าตาหล่อคม สอนด้วยภาษาอังกฤษเป็นหลัก สำเนียงชัดเจนไม่ผิดเจ้าของภาษา ตอนพูดกับลูกศิษย์บางคนยังเปลี่ยนเป็นอีกภาษาคล่องแคล่วคุ้นลิ้น ลักษณะการสอนทุ่มเทจริงจัง ทำให้ผู้เรียนตั้งใจไม่แพ้กัน

            สุปรียาไม่สนใจการสอนอันเข้มงวด กลับมองหน้าตาบุคลิกครูคนนั้นแล้วพูดกึ่งเพ้อ

            “ตายแล้วน้องบัว...ครูมวยหล่อขนาดนี้ทำไมไม่บอกก่อน พี่จะรีบสมัครคนแรกเลย”

            “งั้นไปค่ะ...บัวพาไปสมัครเอง” หญิงสาวรับมุกรีบคว้าแขนทันที

            ดีเจรุ่นพี่หัวเราะตีแขนเบา ๆ

            “พูดเล่นย่ะ เข้าใจแล้วทำไมน้องบัวช่วยโปรโมตขนาดนี้...ใช่แฟนหรือเปล่า...”

            “ลองถามเขาดูสิคะ” แกล้งตอบปัด ๆ

            “พาพี่ไปดูไบลนด์สปาดีกว่า น่าจะได้ใช้บริการมากสุด”

            “ได้เลยค่ะ”

            หญิงสาวตอบรับ ก่อนหันหลังกลับยังแอบสบตาส่งรอยยิ้มให้ชายหนุ่ม ‘ครูมวย’ ส่งสัญญาณเป็นเชิงบอกว่าจะรอที่ร้านกาแฟด้านหน้า




--------------- ------------ --------------




            ถึงมีสมาธิอยู่กับการสอนนักเรียน ขุนคีรีก็ยังเห็นหญิงสาวแวะมาพร้อมกับ ‘ลูกค้า’ ที่เจ้าหล่อนเชิญชวนมาสมัครเรียน สมัครสมาชิกฟิตเนสประจำ สมควรรับตำแหน่งหัวหน้าฝ่ายขายและประชาสัมพันธ์ควบคู่กัน

            ตั้งแต่เสร็จสิ้นเรื่องราวแก้แค้น ภาระตรงหน้าคือ ‘มรดก’ ก้อนใหญ่จำนวนมหาศาลทั้งกิจการสีขาวไม่มีปัญหา และกิจการสีเทาที่ตนเองหลีกเลี่ยง วิ่งหนีมาตลอด

            ครั้งนี้เขาคุยกับเข้มชัดเจนจริงจัง

            “ผมไม่ต้องการรับช่วงงานพวกนี้ พี่เข้มมีอะไรแนะนำมั้ย”

            “ขายให้คนที่เขาอยากได้” ตอบทันทีเพราะรู้ว่าวันหนึ่งต้องเจอคำถามนี้

            “ผมยกให้พี่เข้มทั้งหมดเลยเอามั้ย” นี่ไม่ใช่คำถามลองใจ

            “ขุนไม่รับช่วงต่อ แล้วคิดว่าพี่อยากได้หรือ...ที่คอยดูแลมาตลอดเพราะพ่อเลี้ยงมีบุญคุณล้นหัว และต้องการเก็บไว้ให้ขุน...ถ้าไม่ต้องการ...พี่ก็วางมือได้เลย”

            “งั้นเราจะทำยังไงกับลูกน้อง...คนที่อาศัยพ่อเป็นที่พึ่งมาตลอดล่ะครับ”

            นี่คือสิ่งคาใจ...คนที่พึ่งใบบุญ คนที่ยอมตายแทนพ่อได้...เขาไม่ควรดูดาย

            เข้มพยักหน้าแววตามองน้องชายด้วยความเข้าใจ...ต่อให้พ่อลูกเจตนารมณ์ต่างกัน...สิ่งเหมือนกันคือเมตตาต่อผู้อาศัยใบบุญ...ไม่ทิ้งลูกน้องคนข้างหลัง

            “ถ้าอย่างนั้นเรามาแยกแยะดู...จะขายอะไรก่อน-หลัง ใครสามารถพึ่งตัวเองได้แล้ว ใครต้องการให้เราช่วยเหลือแบบไหน...อย่างไร”

            สุดท้ายได้ข้อสรุป

            บ่อนกาสิโนขายให้ปีเตอร์ราคาไม่ถูกไม่แพง สามารถโอนจ่ายเป็นงวด ๆ แลกกับสัญญาห้ามไล่พนักงานคนใดออก ทุกคนทำงานหน้าที่เดิม รายได้เท่าเดิม...ยกเว้นบางคนสมัครใจลาออกเองก็จะได้เงินทุนตั้งตัวก้อนหนึ่ง

            ยกสัมปทานเหล้าขาว เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ให้เจ้าอื่นรับช่วงแทน อีกทั้งเลิกเป็นเจ้ามือหวยเถื่อนซึ่ง ‘ขาส่ง’ คนเดินโพยลำบากแค่หาเจ้ามือรายใหม่เท่านั้น

            ส่วนกิจการสถานบันเทิงต่าง ๆ ก็ยกให้คนเก่าคนแก่ที่ทำงานตรงนี้มานานได้เป็นเจ้าของตัวจริง ซึ่งพวกเขาสามารถรับผิดชอบลูกน้อง คนของตัวเองได้

            รายได้จากขายบ่อนกาสิโน เงินก้อนใหญ่ที่เหลือจากการเป็นเจ้ามือหวยใต้ดินถูกตั้งเป็นกองทุนให้กับลูกน้องที่ยังเคว้งคว้างไม่มีที่ไป

            บางคนมีความรู้ความสามารถก็จะได้เงินทุนตั้งตัว บางคนไม่มีก็เตรียมอาชีพอื่นไว้รองรับ

            เงินกองทุนสีเทาถูกนำมาสร้างตลาดกลางคืน ‘ไนท์พลาซ่า’ ชักชวนคนนอกฝีมือดีมาเช่าค้าขาย แล้วเปิดช่องให้ลูกน้องตัวเองทำอาชีพขายของตามถนัด ไม่ก็จ้างให้เป็นผู้ดูแลจัดเก็บรายได้ ดูแลเรื่องความสะอาด ความปลอดภัย

            ข้าวต้ม ‘เจ๊แป๋ว’ ร้านอาหารขายดีก็ขยายสาขาอีกสองสามแห่ง สร้างงานให้ลูกน้องที่มีความสามารถด้านนี้

            ส่วนพวกเก็บตัวไม่ชอบสังคมผู้คนจริง ๆ ก็จะพาไปทำงานในไร่ในสวนผลไม้ ซึ่งได้รับการขยับขยายพื้นที่ใหญ่โตกว่าเดิม รองรับโรงงานที่เพิ่มกำลังผลิต รวมถึงผลไม้สดส่งออกต่างประเทศผ่านทาง ‘เกรทนภากรุ๊ป’

            หลังเคลียร์ธุรกิจสีเทาก็เหลือธุรกิจสีขาวสวนผลไม้ โรงงานซึ่งเข้มดูแลมาตลอด

            “อันนี้พี่เข้มเอาไปเลยก็ได้ แม่มีที่ดินแปลงใหญ่ในกรุงเทพฯ ข้างหน้าปลูกตึกแถวให้เช่าอยู่แล้ว ด้านหลังว่างผมอยากทำสถานออกกำลังกายมากกว่า”

            เข้มไม่ขัดธุรกิจน้องชาย แต่ไม่ยอมรับเป็นเจ้าของสวนผลไม้โรงงาน จนขุนคีรีต้องหาทางออก

            “งั้นแบ่งหุ้นส่วนกันคนละครึ่งห้าสิบห้าสิบ...แต่พี่เข้มต้องรับเงินเดือนผู้บริหารด้วย...ผมไม่ได้ทำอะไรจะได้เงินเท่ากันได้ยังไง”

            “ก็ได้”

            เมื่อหาทางออกสำเร็จ เข้มทำงานอย่างเดิมรายได้มากขึ้น ส่วนขุนคีรีทำธุรกิจตัวเอง แรก ๆ ยังไม่เห็นผลกำไรเท่าไร แค่พอจ่ายค่าจ้างเดือนชนเดือนไม่ถึงกับเข้าเนื้อมากมาย




--------------- ------------ --------------




            ร้านกาแฟ ‘ดาร์กคาเฟ่’ กับ ‘ไบลนด์สปา’ เป็นไอเดียบัวบุษรา แนะนำให้ชายหนุ่มเปิดควบคู่กับ ‘เคอาร์ยิม’ จุดประสงค์หลักเพื่อสร้างงานแก่ผู้พิการทางสายตา ธุรกิจนี้กลับทำรายได้เร็วกว่า ‘คนแนะนำ’ ยิ้มออก ได้หน้าได้ตา

            หญิงสาวนั่งจิบกาแฟรอตรงโต๊ะด้านนอก มองเห็นชายหนุ่มหมดชั่วโมงสอนเดินมาแต่ไกลจึงยิ้มต้อนรับ

            “เหนื่อยมั้ยคะ บัวสั่งกาแฟรอให้แล้ว”

            ขุนคีรีนั่งเก้าอี้ตรงข้าม มองบรรยากาศร้านกาแฟอย่างผ่อนคลาย

            “พี่ดีเจที่มาด้วยกันไปไหนแล้วล่ะ”

            สุปรียาไม่รู้จักขุนคีรี แต่ชายหนุ่มรู้จักทุกคนรอบตัวบัวบุษรา

            “พอสมัครสมาชิกฟิตเนสเสร็จกลับบ้านไปแล้ว เห็นว่าจะไปถามลูกชายอยากเรียนมวยกับตาแคล้วมั้ย”

            “อย่าหางานให้แกเยอะเลย พี่ให้ตาแคล้วมาสอนมวยเด็กเพื่อไม่ให้ว่างเท่านั้นเอง”

            เวลานี้ชายหนุ่มสนิทสนมกับเธอพอจะใช้คำแทนตัวว่า ‘พี่’ ได้แล้ว

            “แบบเดียวกับให้ยายปันมาคุมร้านข้าวแกงตึกข้างหน้าใช่มั้ยคะ” หญิงสาวรู้ทัน

            หลังขุนคีรีไม่อยู่ช่วยทำงานหนัก สองผู้เฒ่าเปิดร้านข้าวแกงกันสองคนแบบเดิมไม่ไหว ที่จริงรายได้จากค่าเช่าห้องก็พออยู่พอกิน แต่ความที่เคยทำงานมาตลอดให้หยุดอยู่เฉย ๆ คงไม่ได้

            ชายหนุ่มเลยชวนตาแคล้วมาสอนมวยเด็ก ๆ ที่ยิม แล้วให้ยายปันไปดูแลร้านข้าวแกงตรงตึกข้างหน้า ซึ่งมีลูกจ้างทำงานแทบทุกอย่าง แค่คอยดูแลสั่งงานเป็นผู้ใหญ่ในร้านเท่านั้น

            “อ้อ บัวมีข่าวดี...วันนี้ชวนพี่ลุย ดาราดังมาเป็นลูกค้าร้านกาแฟกับสปาเราได้แล้วนะคะ”

            “คิดอยู่แล้วว่าไม่น่ารอด” พึมพำอมยิ้ม

            “บ่นอะไร...แสดงว่าฟังรายการบัวอยู่ใช่มั้ย”

            “ฟังสิ” ตอบสั้น รอยยิ้มในดวงตาทำให้หล่อนหน้าแดง

            “แล้วจะให้รางวัลอะไรคะ” แกล้งถามกลบเกลื่อน

            “ไปเที่ยวด้วยกันมั้ย”

            “โหย...ใช้มุกเดิมอีกแล้ว บอกว่าจะพาเค้าไปเที่ยวที่บ้าน ชมภูเขาแม่น้ำลำธารอะไรนั่น จนป่านนี้ยังไม่เคยพาไปสักที”

            “หือ...พี่เคยสัญญาอะไรแบบนี้ด้วยเหรอ”

            “เฮ้อ...คนเรานี่น้า...คำพูดในฝันคงเชื่ออะไรไม่ได้...ตื่นมาอ้างว่าลืมหมด”

            “มีบางคำ...พี่ไม่ลืมนะ”

            แค่นี้คนฟังก็รู้สึกถึงความหวานแผ่ซ่านอยู่ในหัวใจ

            “และที่ยังไม่ชวนไปเที่ยวบ้าน...เพราะคิดว่า...เปลี่ยนจากพาครอบครัวบัวไปเที่ยวบ้านพี่...เป็นเชิญผู้ใหญ่ฝ่ายพี่...มาพูดคุยกับพ่อบัวก่อน...น่าจะเหมาะสมกว่า”

            เพียงเท่านี้ดีเจสาวที่เคยจ้อไม่หยุดกลับพูดอะไรไม่ออก หัวอกแน่นอิ่มเอิบด้วยความสุขจนล้น ประกายตาชายหนุ่มตรงหน้าฉายแววจริงใจยิ่งกว่าครั้งไหน

            บางคนต่อให้ไม่พูดวาจานั้น...แค่นั่งเฉย ๆ ตรงหน้า...สายตาก็แทนคำพูดทั้งหัวใจแล้ว




--------------- ------------ --------------




            ละอองไอขาว ๆ คลี่คลุมภาพตรงหน้าช้า ๆ ปีติความสุขจากสองหนุ่มสาวสัมผัสถึง ‘ผู้ดูจากเบื้องบน’ ชัดเจน

            “เท่าที่เห็นคงเพียงพอแล้วกระมัง” ผู้อยู่ก่อนถามเสียงเสนาะใส

            “ขอรับ ขอบพระคุณอย่างยิ่ง เพียงได้รู้ว่าพวกเขามีความสุข...ร่วมเดินบนเส้นทางสายกุศลเช่นนี้ก็น่ายินดีแล้ว”

            “ทั้งสองมีทางสายกุศลของตน...แล้วท่านผู้มาใหม่วางเส้นทางใดหลังจบ ‘เส้นทางยมทูต’ แล้ว”

            “กระผมยังไม่คิดเลยขอรับ”

            “ที่นี่มีความสุขล้นเหลือ...แต่มันอาจทำให้เผลอเพลินลืมกายใจ...รู้สึกตัวอีกทีก็หมดเวลาเสียแล้ว ต้องไปเดินบนทางสายใหม่อีกเรื่อย ๆ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นถนนแห่งทุกข์ เพราะเราอยู่ในวัฏสงสารอันไม่ปลอดภัย”

            “เช่นนั้นผู้อยู่ก่อนมีวาจาใดแนะนำบ้าง”

            “สถานที่แห่งนี้นอกจากมี ‘ผู้เสวยสุข’ แล้ว ยังมี ‘ผู้รู้’ ที่เคยเล่าเรียนจากพุทธองค์จนได้ดวงตาเห็นธรรม หากไปไถ่ถามขอคำแนะนำจากท่านเหล่านั้น อาจได้รู้จักกับ ‘ทางเอก’ เส้นทางสายเดียวซึ่งมีที่สิ้นสุด มิต้องตระเวนเสี่ยงเที่ยวเดินบน ‘ถนนแห่งความไม่รู้’ อีกต่อไป”

            “เช่นนั้นกระผมขอให้ท่านพาไปแนะนำรู้จักกับ ‘ผู้รู้’ เหล่านั้นได้หรือไม่”

            “ได้สิ...นี่เป็นเจตนาแรกที่เราต้องการเชิญชวนผู้มาใหม่อยู่แล้ว”

            “เหตุใดท่านจึงกรุณาต่อกระผมเป็นพิเศษ”

            “นั่นเพราะท่านได้ช่วยมอบ ‘สาร’ แห่งยมโลกชี้นำทาง จน ‘ลูกชาย’ ในชาติก่อนของเราเลือกเส้นทางถูกต้อง อีกทั้งยังพามาพบ ‘คู่บุญ’ อันประเสริฐที่จะส่งเสริมกันและกันให้เจริญยิ่งขึ้นไป”

            ดวงหน้าเทวนารีองค์นั้นงดงามยิ่งนัก รอยยิ้มจากริมฝีปากดวงตากำลังแสดงความสำนึกบุญคุณ ‘ผู้มาใหม่’ ชัดเจน



- - - - - - - - - - - - จบ - - - - - - - - - - - -



แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP