วรรณกรรมนำใจ Lite Literature

ทางยมทูต ๔๕



way cover




ชลนิล



(ต่อจากฉบับที่แล้ว)



            ภาพอดีตเจตน์ย้อนให้เป็นฉาก ๆ ตั้งแต่สมัยเป็นนักศึกษาหนุ่มหัวดีอนาคตไกล จนถึงวันที่ก้าวผิดพลาดกลายเป็นวายร้ายเช่นนี้

            พ่อแม่เจตน์เสียชีวิตตั้งแต่มัธยมต้น พี่ชายเป็นคนทำงานหาเลี้ยงเหมือนพ่อแม่คนที่สอง ทั้งให้ความรักเอาใจใส่ ทุ่มเทส่งเสียเล่าเรียนเต็มกำลัง

            พี่ชายแต่งงานสร้างบ้านมีครอบครัวตัวเองตอนเขาเรียนปีสองปีสาม ชีวิตภายนอกราบรื่นมีความสุข เจตน์พยายามไม่เป็นภาระด้วยการทำงานพิเศษเลี้ยงตัวเอง ขอรับแค่ค่าเทอม พอประกาศผลสอบเรียนจบจึงรีบไปบอกด้วยความดีใจ

            วันนั้นทำให้ทราบ ความสุขในครอบครัวพี่ชายเป็นแค่ภาพลวงตา...เขาเห็นสองสามีภรรยาทะเลาะกันเรื่องเงินผ่อนบ้าน ผ่อนรถ ค่าใช้จ่ายต่าง ๆ พี่ชายหารายได้พิเศษด้วยการเล่นพนันจนติดงอมแงมเป็นหนี้สินมากมาย

            เจตน์เพิ่งเข้าใจ ขนาดมีภาระขนาดนั้นก็ยังพยายามหาเงินส่งช่วยค่าเทอม พออับจนหนทางก็เลือกทางออกด้วยการเล่นพนัน เขาจึงรับปากครอบครัวพี่ชายจะช่วยทำงานใช้หนี้สิน

            เพียงไม่กี่เดือนก็ได้รับข่าวร้าย พี่ชายถูกจับเสียชีวิต พี่สะใภ้กำลังท้องฆ่าตัวตาย

            พอรู้ความจริงเบื้องหลังแทบทรุด พี่ชายพยายามหาเงินใช้หนี้พนันทุกวิถีทางถึงขนาดเป็นคนส่งยาเสพติด แล้วเลื่อนขั้นมาขายเองจนโดนจับ เสียชีวิตในคุกพราะถูกฆ่าปิดปาก ภรรยาไม่อาจทนรับสภาพปัจจุบัน อีกทั้งมองไม่เห็นหนทางข้างหน้าจึงคิดสั้นฆ่าตัวตาย

            บ่อนพนันที่พี่ชายเจตน์ติดหนี้สินมากมายเป็นของพ่อเลี้ยงบุญชัย ยาเสพติดที่รับมาขายก็เป็นของลูกน้องพลเทพ...ไม่ต้องถามว่าโดนใครสั่งฆ่าตัดตอน

            ‘ดวงตายมทูต’ ฉายถึงตอนนี้ขุนคีรีหดหู่แทบไม่มีกระจิตกระใจอยากรู้เรื่องต่อ...เขามองเห็นแค่ภาพบิดาที่รักเอาใจใส่ครอบครัว เห็นมุมเมตตาอ่อนโยนของพลเทพที่มีให้ ต่อให้ทราบทั้งสองทำอาชีพอะไร เห็นด้านมืดบางส่วนจนไม่อยากรับช่วงกิจการต่อ ก็ยังไม่ ‘มืดสนิท’ เลวร้ายรันทดขนาดนี้

            เรื่องราวยังไม่จบ...เส้นทางแก้แค้นเพิ่งเริ่มต้น

            เจตน์ยอมทิ้งอนาคตเพื่อการแก้แค้น พยายามฝึกใช้มีดเพื่อลอบสังหารแต่ไม่มีโอกาส จึงปลอมตัวเป็นลูกน้องบ่อนพนันโจ วางแผนให้สองเจ้าพ่อบ่อนใหญ่ทำสงคราม พอล้มเหลวก็หนีหัวซุกหัวซุนไปอยู่กับมาเฟียต่างประเทศ

            ที่นั่นเขาใช้เวลานานนับปีเปลี่ยนแปลงตัวตน แสดงออกถึงความรู้ ความฉลาดเฉลียว เผยฝีมือมีดระดับ ‘นักฆ่า’ ช่วยสังหารศัตรูแก่เจ้านายจนได้รับความไว้วางใจเป็นระดับหัวหน้าคนหนึ่ง

            พอถึงเวลาพร้อมกลับมาแก้แค้น เจ้าพ่อมาเฟียต่างประเทศรายนั้นโดนลอบสังหาร แก๊งใหญ่ระส่ำระสายแย่งกันเป็นหัวหน้าใหญ่

            เจตน์ต้องออกจากแก๊งหนีกลับประเทศใช้เงินก้อนใหญ่ที่มีปลอมแปลงตัวตน หลักฐาน วุฒิการศึกษา โปรไฟล์ ใบผ่านงานจากต่างประเทศแนบเนียนไม่มีใครจับได้ แล้วสมัครงานเลขาภากรเป็นบันไดขั้นแรกในการกลับมาแก้แค้น

            กว่าจะเป็น ‘เจตน์’ วันนี้ต้องผ่านอะไรมากมาย เพื่อล้างแค้นคนสองคนต้องฆ่าคนจำนวนไม่รู้เท่าไหร่ สร้างความวิบัติฉิบหายแก่ทุกที่ที่ย่างเท้าไปเหยียบ

            ...สุดท้ายได้อะไรนอกจาก ‘กรรมดำ’ วิบากมหาศาลที่จะติดตัวไปนานแสนนาน...




--------------- ------------ --------------




            ช่วงเวลาความทรงจำนับสิบปีของคนคนหนึ่ง ผ่านดวงตายมทูตให้รับรู้ภายในชั่วไม่กี่วินาทีในโลกปกติ

            ขุนคีรีนิ่งงันมือกำมีดตกข้างตัว ถอยหลังถอนใจยาว ดวงตาฉายแววรู้สึกผิดรุนแรง ขบริมฝีปากแน่นข่มกลั้นอารมณ์ตัวเอง

            “...ขอโทษ...แทนพ่อ...กับลุงพลด้วย”

            เจตน์สัมผัสความจริงใจผ่านน้ำเสียง ทว่าไม่มีประโยชน์ต่อจิตใจมืดดำขณะนี้ เขาเห็นว่านั่นคือโอกาสเดียวที่จะหนีเอาตัวรอด...เพื่อกลับมาแก้แค้นอีกครั้ง

            ด้วยพลังยมทูตตอนนี้ ขุนคีรีรู้ว่าฝ่ายตรงข้ามคิดอะไร การขัดขวางหยุดยั้งอีกฝ่ายไม่ใช่เรื่องยากเย็น แต่ร่างกายไม่อยากขยับ ความรู้สึกผิดแทนพ่อกับลุงรุนแรงจนอยากให้โอกาสชายคนนี้อีกครั้ง

            ...ไม่ว่าเขาจะแก้แค้น หรืออยากกลับตัวก็ตามที...

            “ปัง!”

            เสียงดังสนั่นก่อนโดนแรงปะทะบางอย่างซัดใส่จนทั้งร่างล้มลง สติดับวูบ ทุกสิ่งรอบกายมืดสนิท




--------------- ------------ --------------




            คูหาถ้ำกว้างเพดานสูงโปร่ง ผนังเป็นหินเรียบเงาวับ เสาแต่ละต้นสูงใหญ่สง่างาม พื้นหินสีขาวสลับดำเรียงมีศิลปะเห็นแล้วผ่อนคลายสบายตา

            ขุนคีรียืนเคว้งกลางพื้นหินกว้าง เบื้องหน้าไม่มีโต๊ะหินทรงกลมอย่างคราวก่อน มีแค่ร่างสูงสมส่วน ผิวขาวอมชมพูแดงระเรื่อ ใบหน้าคาดเดาอายุไม่ออก ดวงตาทรงอำนาจยุติธรรม

            พญามัจจุราชในชุดคลุมยาวสีขาวยืนบนแท่นหินสูงเหนือพื้นเล็กน้อย ยมทูตหินผายืนสำรวมด้านหน้า สีหน้าแววตาอ่อนโยน ปราศจากกระไอร้อน กลิ่นอายสะเก็ดหินนิรยภูมิ ทั้งคู่กำลังมองผู้มาใหม่อย่างพอใจ

            “มาได้เวลาพอดีขุนคีรี” ผู้เป็นใหญ่ในนรกเอ่ยทัก

            ขุนคีรีแสดงความเคารพ เดินเข้าไปหาช้า ๆ ก่อนหยุดยืนห่างทั้งสองไม่กี่ก้าว

            “ผมตายไปแล้ว มารอคำชี้แนะเส้นทางจากท่านมัจจุราชหรือครับ”

            เสียงปังที่ได้ยินก่อนหมดสติน่าจะมาจากกระบอกปืน อดคิดไม่ได้ว่าตนเสียชีวิตแล้ว

            “ไม่ใช่ ปืนกระบอกนั้นไม่ได้ยิงเธอ”

            ชายหนุ่มเกือบหลุดปากถามพญามัจจุราช ก่อนนึกได้...ที่ตรงนั้นมีแค่สองคน...ถ้าไม่ยิงตนเองจะยิงใคร?



            “ขอบใจมากนะ” ยมทูตหินผาโพล่งวาจาขึ้นมา

            “ขอบคุณผมเรื่องอะไรครับ”

            ยมทูตผู้เฉยชาเปิดรอยยิ้มกว้างจากริมฝีปากและดวงตาเป็นครั้งแรก

            “ขอบใจ...ที่รับฟัง ‘คำขอ’ ของฉัน...และ...ขอบคุณมากที่เลือก ‘ให้อภัย’”

            พูดเช่นนี้เข้าใจทันทีหมายถึงเรื่องอะไร

            “ผมให้อภัยเพราะเกรงกลัวบาป...ไม่อยากผูกเวรกรรมต่อกันยืดยาว” ชายหนุ่มบอกความรู้สึกตน

            พญามัจจุราชทอดสายตาอ่อนโยน เอ่ยวาจาขึ้น

            รู้หรือไม่...ความละอาย-เกรงกลัวต่อบาป...เป็นธรรมะของเทวดา

            แรงปีติชื่นใจบังเกิดขึ้นกลางอกชายหนุ่ม กระไอความสุขแผ่ซ่านทั่วร่าง

            “ฉันขอ ‘อนุโมทนา’ กับจิตใจที่มี ‘หิริโอตตัปปะ’ ของเธอ ซึ่งทำให้ ‘อภัย’ ละวางความแค้นใจลงได้”

            ยมทูตหินผายกมือประนมไหว้ สีหน้าผุดผ่องสว่างไสวขึ้นเรื่อย ๆ

            ขุนคีรียกมือไหว้ตาม ไม่ค่อยเข้าใจสถานการณ์ตรงหน้า

            ชั่วเวลานั้นพญามัจจุราชยืดกายสง่างามประกาศวาจากังวานทั่วคูหาถ้ำ

            “ยมทูตหินผา ‘เดิมพัน’ ครั้งนี้เจ้าชนะแล้ว”

            ความสงสัยปรากฏแก่ใจผู้มาใหม่...เดิมพันอะไร...ผลเป็นอย่างไร

            คำตอบปรากฏวูบในหัวโดยเจ้าแห่งนรกไม่ต้องอธิบาย

            ยมทูตหินผาใกล้หมดวาระของตนเต็มที่ ด้วยกุศลเดิมจากชาติก่อน ๆ กับผลงานกระทำมาตลอดอายุยมทูต ทำให้เขามีโอกาสเดินไปบนเส้นทางใหม่สองสาย

            หนึ่ง...รับหน้าที่พญามัจจุราชต่อจากองค์เดิม

            สอง...ขึ้นไปเสวยบุญกุศลบนสวรรค์ แสวงหาหนทางยกระดับจิตใจให้สูงขึ้นต่อไป

            ปัจจัยชี้ชัดว่าจะเดินบนเส้นทางใดคือ ‘ภารกิจสุดท้าย’ แห่งทางยมทูต

            เขามีสิทธิเลือกสรรมนุษย์คนหนึ่งที่บุญบาปก่ำกึ่ง ชีวิตอยู่กึ่งกลางระหว่างดี-ชั่ว มา ‘เดิมพัน’ ด้วยอนาคตตนเอง

            พญามัจจุราชแนะนำขุนคีรีมาให้ ถ้าเขาเดิมพันชายหนุ่มคนนี้ ก็มีสิทธิที่จะ ‘ส่งสาร’ ชี้นำด้วยวิธีต่าง ๆ ในขอบเขตตนเอง

            ยมทูตหินผาเลือกตามวาจามัจจุราช แล้วส่งสารผ่านภารกิจต่าง ๆ คำพูดกระตุ้นให้สำนึก จนถึงขั้นพามาดูโลกหลังความตาย

            หลังจากนั้นขุนคีรีจะเจอข้อสอบวัดใจทีละข้อ

            ข้อแรก...ตอนบุกเซฟเฮ้าส์บัณฑิต...ยมทูตหินผาไม่มีสิทธิห้าม ทำได้แค่ ‘สะกิด’ ให้เห็นผลการกระทำ...ขุนคีรีสอบผ่าน

            ข้อสอง...ตอนพบเจ้าพ่อพลเทพในสภาพอับจนหนทาง...ขุนคีรีมีโอกาสได้รับทุน - อำนาจก้อนใหญ่เพื่อล้างแค้น แต่เขาปฏิเสธโดยไม่ต้องมีใครสะกิดเตือน...ผ่านด้วยคะแนนสวยงาม

            ข้อสาม...ล่าสุด...การให้อภัยคนที่ฆ่าบิดามารดา ทั้งที่สามารถเชือดคอฆ่าในมีดเดียว...ครั้งนี้คะแนนเต็ม...จนยมทูตหินผาอนุโมทนาด้วย

            เมื่อพญามัจจุราชประกาศยมทูตหินผาชนะเดิมพัน ย่อมไม่ต้องสงสัย...เส้นทางต่อไปจะสุกสว่างเพียงใด



            หลังกล่าวประกาศเสร็จสิ้น พญามัจจุราชหันมาทางขุนคีรี

            “บัดนี้เจ้าไม่จำเป็นต้องทำภารกิจผู้ช่วยยมทูตแล้ว เราขออำนาจจากยมโลกคืน”

            สิ้นวาจา ขุนคีรีรู้สึกร้อนวาบตรงปลายนิ้ว ละอองไอขาว ๆ พุ่งเป็นควันออกมาครู่หนึ่งก็จางหาย ชายหนุ่มรู้สึกกลางอกว่างโล่ง ทราบเองว่าตนไม่เหลือ ‘พลังยมทูต’ อีกแล้ว

            “เสียดายหรือไม่ที่ต่อไปนี้ภูตผีจะไม่เกรงกลัวเจ้าอีกแล้ว” เจ้าแห่งนรกถามเชิงหยอกล้อ

            “ไม่หรอกครับ...เพราะสิ่งที่ผมได้รับจากภารกิจยมทูต ไม่ใช่พลังอำนาจใด ๆ แต่เป็นความศรัทธาในกรรมวิบาก และใจที่ละอายเกรงกลัวในบาปกรรม”

            “หินผา...ภารกิจสุดท้ายของเจ้างดงามเกินคาดหมายนะ”

            “ขอรับ” รับคำพลางยิ้มให้อดีตผู้ช่วยตน “ขอบใจอีกครั้งนะขุนคีรี”

            “ครับ”

            ตอบรับสั้น ๆ แล้วพูดอะไรไม่ออกเมื่อเห็นร่างยมทูตหินผาปรากฏแสงสว่างเรืองรองทีละน้อย

            “ถึงเวลาแล้วสินะ...เราไม่เสียใจหรอกที่เจ้าชนะเดิมพัน จนเราต้องอยู่ในตำแหน่งเดิม...ขอให้ใช้โอกาสในภพภูมิใหม่อย่างคุ้มค่า...ลาก่อนหินผา” พญามัจจุราชอำลายมทูตด้วยรอยยิ้ม

            ขุนคีรีตื้นตันแทบพูดอะไรไม่ออก จู่ ๆ บังเกิดจิตเจตนาแรงกล้าขึ้นมา ก้าวเท้าเข้าไปหาร่างที่กำลังเปลี่ยนภพชาติ แล้วเอ่ยวาจาด้วยน้ำเสียงหนักแน่นมั่นคง

            “นับจากวันนี้ถึงวันสุดท้ายในชีวิตมนุษย์ ไม่ว่ากระผมจะทำกรรมดี บุญกุศลน้อยใหญ่ใด ๆ ก็ตาม...ขออุทิศให้แก่ท่านพญามัจจุราช และยมทูตหินผา...ไม่ว่าจะอยู่ที่ใด...ขอให้ท่านทั้งสองรับทราบและยินดีในผลบุญที่ผมตั้งใจกระทำให้แก่พวกท่านด้วย”

            รัศมีขาวพร่างกระจ่างทั่วคูหาถ้ำมองไม่เห็นใครเป็นใคร...ถึงกระนั้นชายหนุ่มยังได้ยินเสียงตอบรับสะท้อนก้องกังวานไปมาด้วยแรงปีติ

            “สาธุ...เรา...ขออนุโมทนา...ด้วยจิตยินดียิ่ง...”




--------------- ------------ --------------




            ห้องผู้ป่วยโรงพยาบาล

            ขุนคีรีฟื้นลืมตาตื่นด้วยความรู้สึกตัวยิ่งกว่าครั้งใด แรงปีติซาบซ่านยังแทรกซึมกลางอก ขยับตัวพยายามลุกขึ้นนั่งโดยมีมือแข็งแรงช่วยพยุง

            “ขอบคุณพี่เข้ม”

            “เป็นยังไงบ้าง” ถามสั้น ๆ พี่ชายคนละสายเลือดนั่งเฝ้าอยู่ข้างเตียงไม่ไปไหน

            “โอเค” พูดพลางก้มดูตัวเองในชุดโรงพยาบาล บาดแผลจากคมมีดได้รับการเย็บทำแผลเรียบร้อย

            “ผมได้ยินเสียงปืนก่อนหมดสติ...มีใครโดนยิงมั้ย”

            ชายหนุ่มถามทั้งที่พอคาดเดาออก

            “เจตน์ตายแล้ว” เข้มตอบ

            วูบแรกขุนคีรีใจหาย อุตส่าห์ไว้ชีวิตชายคนนี้แล้ว วิบากกรรมกลับเล่นงานรุนแรง

            “ฝีมือใคร”

            “ไม่รู้ ตำรวจตามตัวไม่เจอ”

            “มันหายไปกับสายลมล่ะสิ” ขุนคีรีพอเดาออก “บัณฑิตว่ายังไง ลูกน้องคนสำคัญตายไปอย่างนี้”

            “ไม่ว่าไง...เห็นยิ้มเฉย ๆ” เข้มไม่บอกต่อว่า...เห็นแววสาสมใจในดวงตาอดีตประธานเกรทนภากรุ๊ป

            “มันนั่นแหละ...สั่งนักล่าในสายลมฆ่าลูกน้องตัวเอง” คนเพิ่งฟื้นคาดเดาเหตุการณ์ไม่ยาก

            “อาจเป็นอย่างนั้น เจตน์กำความลับบัณฑิตมากเกินไป...เสี่ยงที่จะปล่อยให้มีชีวิตรอด เพราะไม่รู้คนนี้จะแว้งกัดเอาหลักฐานให้ตำรวจเมื่อไหร่...ดีเหมือนกัน...เราจะได้ไม่ต้องเหนื่อย”

            ท้ายวาจาแสดงชัด ต่อให้รอดตายจากคมกระสุนนี้ เข้มต้องส่งคนไล่ล่าเจตน์แน่นอน

            “อภัยให้เขาเถอะพี่เข้ม...พ่อกับลุงพลทำร้ายครอบครัวเขาหนักจนกลายเป็นแบบนี้”

            “มันบอกอะไรขุนเหรอ” เข้มสงสัย

            ขุนคีรีกำลังจะเล่าอดีตของเจตน์ให้พี่ชายเข้าใจ ประตูก็ถูกเคาะเบา ๆ เชิงขออนุญาต

            “เชิญครับ” เข้มหันไปบอก

            “เอาไว้ผมจะเล่าให้ฟังทีหลังนะ” คนเจ็บให้สัญญา

            ดาบตำรวจพนาเข้ามาในห้อง เห็นคนเจ็บรู้สึกตัวนั่งคุยปกติแล้วค่อยคลายใจ

            “เอ่อ...มีคนหนึ่งอยากเจอคุณ...ให้เข้ามาได้มั้ย”

            “ได้ครับ”

            ทันทีที่ ‘เธอ’ เข้ามา ห้องผู้ป่วยคล้ายสว่างไสวกว่าเดิม ร่างโปร่งบางเดินช้า ๆ มาถึงข้างเตียง สองหนุ่มสาวสบตากันคล้ายมองไม่เห็นชายต่างวัยอีกสองคนที่อยู่ในห้อง

            ‘เธอ’ เผยรอยยิ้มกว้างงดงามคล้ายแสงตะวันสาดส่องยามอรุณ

            “สวัสดีค่ะคุณขุนคีรี...ดีใจที่ได้ ‘เจอ’ หน้ากันจริง ๆ สักที...บัวบุษราค่ะ”

            ขุนคีรีรู้สึกราวรอบตัวสว่างสดใส กลิ่นหอมจาง ๆ ของ ‘กุศล’ กระจายทั่วห้อง เปิดรอยยิ้มนัยน์ตาสดใส ตอบรับด้วยน้ำเสียงคุ้นเคย

            “ยินดีที่ได้รู้จักครับ”











บทส่งท้าย



            สถานที่แห่งนี้เต็มไปด้วยความปลอดโปร่งสุขสบาย ‘วิมาน’ บ้านเรือนสวยงามตามแต่บุญกุศลผู้เป็นเจ้าของตกแต่ง สวนพฤกษชาติกว้างใหญ่ บุปผาเบ่งบานแลครืดละลานตา แสงสว่างนุ่มนวลไม่ร้อนแรง ไม่เยือกเย็น อบอุ่นพอเหมาะแก่การดำรงอยู่โดยปราศจากทุกข์ร้อน

            แรกที่ ‘ผู้มาใหม่’ อุบัติยังดินแดนนี้ ความทรงจำภพก่อนยังแจ่มชัด หลังจากรับคำแนะนำจาก ‘ผู้อยู่ก่อน’ จนพอปรับตัวปรับใจ อดระลึกถึงบุคคลผู้มีส่วนส่งเสริมให้ตนได้มาเสวยสุขที่นี่ไม่ได้

            “ถ้าระลึกถึง ท่านสามารถมองดูความเป็นไปของพวกเขาในปัจจุบันได้” ผู้อยู่ก่อนบอกให้ทราบ

            “ทำอย่างไรหรือท่าน”

            เพียงสิ้นวาจา สถานที่รอบตัวเปลี่ยนเป็นริมลำธารใส สายน้ำไหลสงบเย็นช่วยกล่อมเกลาให้จิตใจแช่มชื่น เพียงทอดสายตามองระลอกน้ำจิตใจบังเกิดสุข แค่ระลึกถึง...ภาพบุคคลนั้นก็แสดงให้เห็นแจ่มชัด ราวกับปรากฏอยู่ต่อหน้าเช่นนั้น

            ผู้มาใหม่เพิ่งทราบ เวลาชั่วครู่ใน ‘บ้านใหม่’ เทียบกับโลกมนุษย์แล้วเป็นปีทีเดียว




--------------- ------------ --------------




            ห้องเยี่ยมผู้ต้องขัง

            การสนทนาถูกกระจกกั้น ถึงอย่างนั้นไม่อาจปกปิดความห่วงใยผู้มาเยี่ยม และไม่สามารถซ่อนสีหน้าปลงตก แววตายอมรับความจริงของผู้ต้องขัง

            “งานที่ลุงพลฝากให้ผมทำ...เรียบร้อยแล้วนะครับ” ขุนคีรีบอก

            “ดี...ขอบใจมากนะ”

            “ผมจ่ายค่าเช่าบ้านล่วงหน้าปีนึง ฝากงานมั่นคงให้ทำ ถ้าคนที่ลุงพลฝากมาขยันตั้งใจทำงานอาจได้บรรจุเป็นลูกจ้างประจำ”

            “อือ...ไอ้นี่มันทำได้แน่ ไม่ต้องห่วง”

            “ส่วนอีกสองรายที่อยู่ในนี้ ผมจ้างทนายความมือดีว่าความให้แล้ว กำลังเดินเรื่องขอประกันตัว ไม่กี่วันคงเรียบร้อย”

            “ขอบใจแทนพวกมันด้วย สองคนนี่เป็นแพะโดนใส่ความ ลำพังตัวเองไม่มีปัญญาประกันตัว หรือหาทนายความเก่ง ๆ มาสู้คดีหรอก”

            “แน่ใจนะครับว่าไม่ต้องการให้พวกเขารู้ว่าใครเป็นคนแอบช่วยเหลือ”

            “ไม่ต้อง...ให้ทุกคนในนี้เห็นลุงเป็นแค่ ‘นักโทษประหาร’ หมดทรัพย์สินอำนาจบารมี เตรียมตัวตายวันต่อวันแบบนี้ดีแล้ว จะได้เห็น ‘ความจริง’ มากกว่าใคร ๆ”

            ขุนคีรีไม่คัดค้าน ตั้งแต่ศาลพิพากษาตัดสินประหารชีวิต พลเทพปลงตกต่อทุกสิ่ง ยอมรับผลกรรมโดยไม่อุทธรณ์ ฎีกา ใช้ชีวิตพร้อมตายทุกวัน จนเกิดความคิด...ทำชั่วมามากแล้ว ก่อนตายควรทำประโยชน์ต่อผู้อื่นบ้าง

            เจ้าพ่อใหญ่ให้รหัสผ่าน โอนกองทุนลับต่างประเทศแก่ขุนคีรีตั้งแต่ก่อนมอบตัว ซึ่งเงินจำนวนนี้ชายหนุ่มยอมเป็นแค่ผู้ดูแล ไม่กล้าแตะต้องใช้ส่วนตัวเด็ดขาด

            ชีวิตนักโทษประหารหมดทรัพย์สินอำนาจ ทำให้เห็นความจริงในคุกหลายอย่าง พวกทำผิดจริงติดคุกแล้วไม่สำนึกก็มาก คนที่สำนึกอยากได้โอกาสหลังพ้นโทษยังมีไม่น้อย ยิ่งคนไม่ทำผิดแต่วิบากกรรมซัดให้โดนใส่ความ ไม่มีปัญญาต่อสู้ก็มีเช่นกัน

            คนผ่านโลกมานาน พบเห็นผู้คนมากมายหลากหลาย ‘อ่าน’ คนรอบตัวขาด ย่อมรู้ใครจริงใครเท็จ...คนไหนควรปล่อยให้รับกรรม คนไหนควรช่วยเหลือส่งเสริม

            ขุนคีรีมาเยี่ยมประจำ พยายามส่งข้าวของใช้จำเป็นเท่าที่ทางเรือนจำอนุญาตมาให้ไม่ขาดแคลน พลเทพจึงอาศัยหลานชายช่วยเหลือคนเหล่านี้ ตั้งแต่หาบ้าน หางานให้ทำหลังออกจากคุก บางคนก็ให้ทุนพอตั้งตัวไม่ลำบากขาดแคลน หลัง ๆ ถึงขนาดจ้างทนายความมือดีค่าตัวแพงให้ช่วย ‘แพะ’ ทั้งหลายจนพ้นผิด อย่างน้อยก็ได้ประกันตัวสู้คดี

            กองทุนลับที่เคยตั้งใจว่าจ้างมือสังหารล้างแค้น กลับกลายเป็น กองทุน ‘การกุศล’ ช่วยเหลือผู้คนที่เหมาะสม ให้โอกาสแก่ผู้ต้องการเปลี่ยนตัวเองเป็นคนใหม่จริง ๆ

            “ตอนนี้ลุงเป็นยังไงบ้างครับ” ถามด้วยใจเป็นห่วง

            “ถ้าตอบว่า ‘สบายใจดี’ จะเชื่อมั้ย”

            สภาพผอมซูบ อิดโรย ผิวพรรณคล้ำ เนื้อตัวมีริ้วรอยบาดแผลฟกช้ำจากการทำงานในคุก ยังบอกว่าสบายดี...ใครจะเชื่อ...

            หากบอกว่า...สบายใจ...อาจเป็นได้ เพราะดวงตาคู่นั้นไม่มีรอยหม่นเศร้า ทุกข์ทนเหมือนตอนเป็นเจ้าพ่อผู้สูญเสียภรรยาและลูกสาวคนเดียว

            “อยู่ที่นี่ลุงเตรียมตัวตายทุกวัน ไม่รู้วันไหนคำสั่งจะมาถึง...ขุนรู้มั้ยพระพุทธเจ้าเคยสอน...การระลึกถึงความตายบ่อย ๆ เป็นการเจริญมรณานุสติ...ลุงได้ปฏิบัติธรรมแบบนี้ทุกวันไม่สบายใจได้ยังไง”

            ถ้าขุนคีรีได้ยินวาจานี้เมื่อหลายปีก่อนคงเข้าใจว่าอีกฝ่ายหยอกล้อ พูดเล่น...ตอนนี้รู้มันไม่ใช่

            เมื่อพลเทพกลายเป็นคนคุก นักโทษประหารเต็มตัว นอกจากต้องรับกรรม ชดใช้ความผิดต่าง ๆ ในเรือนจำ ก็ยังมีโอกาสฟังธรรม ศึกษาธรรมะ อ่านหนังสือหลายเล่มที่ตอนอยู่นอกคุกไม่คิดจะหยิบมาดู กระทั่งโดนอบรมฝึกสมาธิที่ตัวเองไม่เคยสนใจ

            แม้โครงการที่ดีเช่นนี้อาจไม่สามารถเปลี่ยนแปลง ฟื้นฟูจิตใจผู้ต้องขังให้ดีขึ้นทุกคนตามนโยบาย ‘คืนคนดีสู่สังคม’ แต่ก็อาจมีหนึ่งในพัน หรือหนึ่งในหมื่นที่เข้าใจ...พบแสงสว่างอย่างพลเทพ

            “ถ้าลุงพลต้องการอะไรอีกก็บอกผมได้...ยังไงก็ไม่อยากให้ลำบากเกินไป”

            ต่อให้ทราบเช่นนั้น ชายหนุ่มก็ต้องการอำนวยความสะดวกแก่ผู้สูงวัยเต็มกำลัง

            พลเทพหัวเราะเบา ๆ

            “ลำบากในคุกบนโลกแค่นี้ ยังไงก็ไม่เท่าในนรกหรอก”

            ถึงเป็นแค่คำเปรียบเปรย แต่คนเคย ‘เห็น’ นรกจริง ๆ ย่อมไม่คัดค้าน

            “จริงครับ ผมดีใจที่ลุงพลเข้มแข็ง ยอมรับ และอดทนกับความลำบากในนี้ได้”

            “อยู่ในนี้ลุงได้อ่านเรื่องของ ‘องคุลีมาล’ ...คนทั่วไปชอบคิดว่าพอฟังเทศน์จบแล้วท่านดวงตาเห็นธรรมหมดกิเลสเลย...ไม่ทราบว่าท่านลำบากทนทุกข์ทรมานแค่ไหนในการบำเพ็ญเพียรภาวนา ทั้งบิณฑบาตไม่ได้อาหาร โดนชาวบ้านขว้างปาขับไล่ เจ็บเนื้อเจ็บตัวแค่ไหนก็ไม่ตอบโต้ อดข้าวอดอาหารเท่าไหร่ก็ไม่ท้อ...”

            “ในตำราไม่ได้บอกว่าท่านต้องรับกรรมตรงนี้นานแค่ไหนกว่าจะบรรลุธรรม กว่าชาวบ้านจะให้อภัย...ลุงเชื่อว่าคงไม่ใช่เวลาแค่แป๊บ ๆ แล้วคนก็ลืมหรอก...จะว่าไปความลำบากที่ลุงเจอตอนนี้ยังไม่เท่าท่านเลย...คิดดูนะท่านฆ่าคนเกือบพัน...แต่ลุงสั่งฆ่าคน...และทำให้คนตายทั้งเป็น...ไม่รู้จำนวนเท่าไหร่ บาปกรรมหนักหนากว่าท่านเยอะเลย”

            ได้ฟังเช่นนี้ขุนคีรีสัมผัสถึงจิตใจ ‘รู้ผิด’ จากผู้สูงวัย

            ...สิ่งยากเย็นสำหรับนักสู้...คือการยอมรับผิด...ยอมรับข้อบกพร่องตัวเอง...

            “ผมเชื่อว่าลุงพลมีสิ่งหนึ่งที่คล้ายท่าน...คือความสำนึกผิด...และกล้ายอมรับ แก้ไขตัวเอง”

            “อืมม์ พอขุนพูดอย่างนี้อดนึกถึง ‘มัน’ ไม่ได้”

            “ ‘เขา’ เป็นยังไงบ้างครับ”

            “ได้ยินแว่ว ๆ ว่าอาละวาดจนโดนจับขังเดี่ยว...ขุนยังแค้นมันอยู่มั้ย”

            ถามเหมือนทดสอบจิตใจ

            “ไม่แค้น...แต่ไม่ได้สงสารครับ”

            ตอบตรงความรู้สึกที่สุด

            ‘บัณฑิต’ ถูกจับข้อหาร่วมค้ายาเสพติด จ้างวานฆ่า ศาลไม่ให้ประกันตัวเพราะมีแนวโน้มว่าผู้ต้องหาจะหลบหนี ภรรยาและลูกทุ่มเงินจ้างทนายมือดี ใช้สายสัมพันธ์ส่วนตัว เล่ห์กลทุกอย่างเพื่อช่วยให้ออกมาสู้คดีนอกคุกก็ยังไม่สำเร็จ

            เบื้องหลังเกิดจาก ‘ภากร’ ประธานเกรทนภากรุ๊ปคนใหม่ประกาศชัด ไม่ช่วยคนผิด ไม่แทรกแซงกระบวนการยุติธรรม อีกทั้งคอยจับตาดูหากใครกระทำ ‘นอกเกม’ ก็พร้อมใช้อำนาจ สายสัมพันธ์ที่มีตอบโต้เช่นกัน

            แรกทีเดียวบัณฑิตโดนจับแค่ข้อหาร่วมค้ายาเสพติด ตามหลักฐานที่ ‘ก้าว’ เก็บไว้

            ไม่กี่วันหลังจากนั้นก็มีผู้หญิงคนหนึ่งนำหลักฐานความผิดเกี่ยวกับการระเบิดครัวร้านอาหาร จ้างวานฆ่าพ่อเลี้ยงบุญชัย และสั่งฆ่าจอห์นปกปิดอำพรางคดี รวมถึงความผิดทางธุรกิจอื่น ๆ ยาวเป็นหางว่าวมาให้ทางตำรวจเจ้าของคดี

            ผู้หญิงคนนั้นเป็นภรรยาลับของเจตน์ที่ไม่มีใครเคยทราบมาก่อน เธอได้รับคำสั่งเสียว่า...ถ้าเขาโดนสั่งเก็บ ให้นำหลักฐานทั้งหมดมอบให้ตำรวจทันที

            หลักฐานแน่นหนาหลายชั้น สังคมภายนอกรับรู้ความผิดเป็นวงกว้าง ตำรวจอัยการไม่กล้าบิดเบือนคดี ไม่มีแรงกดดันจากผู้มีอิทธิพลใด ๆ แทรกแซง

            คำว่า...เศรษฐี...คนมีเงินทำผิดไม่ต้องติดคุก จึงใช้ไม่ได้กับบัณฑิต...

            วันนี้เขาต้องใช้กรรมในคุกเหมือนพลเทพ...ต่างกันเพียงแค่...จิตใจรุ่มร้อนดิ้นรน ไม่ยอมรับ พยายามหลบหนีต่อสู้ทุกวิถีทาง...ไฟทุกข์จึงแผดเผาจิตใจเต็มที่ นั่งเดินยืนนอนไม่เคยเป็นสุข ใช้ชีวิตใกล้เคียง ‘นรก’ จริง ๆ มากกว่า

            “ดีแล้วที่ไม่แค้น” พลเทพบอก “ความแค้นก็เหมือนไฟ...อยู่ดี ๆ จะให้มันเผาใจเราทำไม”

            “ครับ...ผมเห็นลุงวางใจได้แบบนี้ก็สบายใจขึ้นเยอะเลย”

            “ไม่ต้องห่วงหรอก...ทุกวันนี้ลุงอยู่กับปัจจุบัน พิจารณาความตายเป็นอารมณ์เสมอ มองเห็นความทุกข์ลำบากที่เจอแต่ละวันเป็นการชดใช้กรรมชั่ว...ขอบใจที่ขุนเปิดโอกาสให้ลุงได้สร้างกุศลช่วยเหลือคนอื่นแม้จะอยู่ในคุกแบบนี้”

            “ผมสัญญา...กองทุนที่ให้มาจะเป็น ‘กองกุศล’ ที่จะได้เอื้อประโยชน์แก่ผู้อื่น ตราบเท่าที่ผมยังมีชีวิตอยู่ครับ”

            “ขอบใจมาก”



(โปรดติดตามต่อฉบับหน้า)



แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP