วรรณกรรมนำใจ Lite Literature

ทางยมทูต ๔๔



way cover




ชลนิล



(ต่อจากฉบับที่แล้ว)



            “ถ้าไม่เกี่ยวกับสัมปทานเหล้า...ที่ตั้งใจขอไปให้ทางญาติคุณ งั้นคงเป็นเรื่องที่จะช่วยให้พ่อผมเปิดบ่อนเสรีในเมืองไทยได้ใช่มั้ยครับ”

            ขุนคีรีลุกขึ้นถามในที่สุด

            ประธานใหญ่รู้ว่าต้องเจอคำถามนี้ จึงยิ้มให้พร้อมคำตอบเตรียมไว้ล่วงหน้า

            “ใช่...พ่อเลี้ยงบุญชัยเคยขอร้องให้ผมติดต่อรัฐมนตรีท่านหนึ่ง เพื่อเสนอโครงการบ่อนเสรี แต่ท่านปฏิเสธที่จะให้เข้าพบ ผมเลยนัดหมายพ่อเลี้ยงมารับประทานอาหารเย็น เพื่อบอกข่าวน่าผิดหวังนี้”

            “สิ่งที่ผมได้ยินจากพ่อไม่ใช่แบบนี้นะ คืนนั้นท่านประธานเป็นคนกลางนัดพ่อผมมาเจอท่านรัฐมนตรีที่ร้านอาหารไม่ใช่หรือ”

            บัณฑิตยิ้มละไมเป็นหน้ากากชั้นดี            

            “ผมคิดว่าพ่อเลี้ยงเข้าใจผิด เลยบอกลูกชายกับลูกน้องอย่างนั้น ทั้งที่จริงคืนนั้นผมตั้งใจเลี้ยงอาหารปลอบใจ พร้อมบอกข่าวร้ายเท่านั้นเอง”

            “ท่านประธานยืนยันว่าไม่ได้นัดท่านรัฐมนตรีใช่มั้ยครับ”

            “แน่นอน ท่านรัฐมนตรีปฏิเสธแล้ว ผมจะนัดหมายให้พ่อคุณได้ยังไง”

            ประธานใหญ่ตอบด้วยท่าทางมั่นใจ พ่อเลี้ยงบุญชัยกับลูกน้องตายหมด ไม่มีใครเป็นพยาน ทุกคนที่รู้เรื่องนี้ล้วนเป็นฝ่ายตน

            “ถ้าอย่างนั้น...นี่คืออะไรครับ”

            จบวาจาชายหนุ่ม จอหน้าเวทีเปลี่ยนไปฉับพลัน กลายเป็นภาพห้องอาหารส่วนตัว บนโต๊ะมีแค่บัณฑิตกับพ่อเลี้ยงบุญชัย เสียงสนทนาดังกังวานชัดเจน



            ขอโทษจริง ๆ ท่านเพิ่งให้เลขาส่งข้อความบอกว่าโดนเรียกตัว ต้องเลี้ยวรถกลับทันที

            ตะกี้คนของคุณบอกว่าท่านรัฐมนตรีเพิ่งลงจากทางด่วน จะมาถึงภายในสิบห้าถึงสามสิบนาที

            พ่อเลี้ยงอย่าเพิ่งอารมณ์เสียผิดหวังขนาดนั้นสิ โอกาสหน้ายังมี แล้วผมจะพยายามติดต่อนัดหมายท่านให้ได้เร็วที่สุด

            เร็วที่สุดของคุณรอบนี้ใช้เวลานานแค่ไหน

            ไม่เกินหนึ่งสัปดาห์...ผมรับรอง



            คลิปหลักฐานแรกทำลายคำพูด ความน่าเชื่อถือบัณฑิตทันที ไม่เพียงเท่านั้น คลิปหลักฐานสองยิ่งสร้างความตกใจแก่ทุกคนในที่ประชุมยิ่งกว่า

            ภาพใบหน้าจอห์นปรากฏท่ามกลางแสงสลัว สีหน้าตื่นกลัวคล้ายกำลังหลบหนี พูดด้วยเสียงเหนื่อยปนหอบ

            ผมชื่อจอห์น กำลังหนีตาย...เจ้านายของคนที่ชื่อเจตน์ ยัดหลักฐาน บังคับให้ผมเป็นพยานเอาผิดเฮียนนท์...ธนนท์ ตอนนี้เฮียแกตายไปแล้ว พลเทพโดนยิงหายสาบสูญ...ผมหมดประโยชน์ นายใหญ่ที่ผมไม่รู้จักชื่อเลยสั่งคนตามเก็บเพื่อปิดปาก...ไม่รู้จะรอดถึงเมื่อไหร่...เรื่องราวตั้งแต่ต้นเป็นอย่างนี้...”

            หลังจากนั้นภาพก็ดำมืด กลายเป็นเสียงเล่าเรื่องราวกระท่อนกระแท่น จอห์นไม่รู้จักชื่อ ‘นายใหญ่’ ผู้ออกคำสั่งก็จริง แต่เคยเห็นตัวจริงบรรยายรูปร่างหน้าตาลักษณะเหมือนบัณฑิตไม่ผิดเพี้ยน

            แค่สองคลิปก็ทำบัณฑิตแตกตื่นคาดไม่ถึง หนักกว่านั้นคือ...มือถือทุกคนในหอประชุมต่างได้รับข้อความและคลิปหลักฐานสำคัญพร้อมกัน

            ‘แฉหลักฐานประธานเกรทนภากรุ๊ปร่วมมือเจ้าพ่อค้ายาเสพติด

            ในนั้นได้เปิดเผยหลักฐาน ภาพถ่าย คลิปสั้น ๆ เกี่ยวกับการร่วมค้ายาเสพติดของบัณฑิตไว้ทั้งหมด

            หลักฐานชิ้นสำคัญเป็นฝีมือของ ‘ก้าว’ ใช้เวลาเก็บรวบรวมนานนับปี ต้องใช้ชีวิตตนเองปกป้อง เพิ่งจะได้เผยแพร่เอาผิดคนร้ายในวันนี้

            คลิปหลักฐานไม่ได้ปรากฏแค่ในมือถือคนในหอประชุม แต่ยังปรากฏตามเว็บไซด์ใหญ่ ๆ ป้ายบิลบอร์ด สถานีโทรทัศน์ สำนักข่าวดัง รวมถึงสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และกรมอัยการ กระทรวงยุติธรรม

            นับเป็นการประกาศ ‘ความชั่ว’ ให้โลกรู้แบบไม่เกิดขึ้นบ่อยนัก เชื่อว่าจะได้รับการแชร์นับพันนับหมื่นครั้ง กลายเป็นทอล์กออฟเดอะทาวน์ภายในไม่กี่ชั่วโมง



            บัณฑิต เจตน์ยังไม่รู้ว่าความชั่วพวกตนแพร่สะพัดไกลขนาดนั้น เพียงเท่านี้ก็เกินรับไหว ยังดีมีแผนสำรองสำหรับเหตุฉุกเฉินเช่นกัน

            กริ๊งงงงง....สัญญาณไฟไหม้ดังขึ้น ผู้เข้าประชุมทุกคนลุกพรวด ทำท่ากระโจนออกจากหอประชุมเร็วที่สุด ความโกลาหลวุ่นวายกำลังจะเกิดขึ้นในอีกไม่กี่นาที

            “ทุกคนครับ มันเป็นสัญญาณปลอม ไม่ต้องตกใจไป ผมสั่งเจ้าหน้าที่ตรวจสอบแล้ว”

            ภากรคว้าไมโครโฟนส่งเสียงชัดถ้อยชัดคำ ดังจนสามารถกลบเสียงสัญญาณไฟไหม้ เรียกสติผู้คนหายลนลานกลับนั่งประจำที่ตามเดิม

            ทว่า...บัณฑิตและเจตน์หายไปแล้ว

            “ทั้งหมดเป็นแผนของบัณฑิต ตอนนี้เขาหนีความผิดไปแล้ว” เสียงพูดซ้ำ ตอกย้ำให้ทุกคนเข้าใจ

            ผู้ท้าชิงตำแหน่งประธานเกรทนภากรุ๊ปเดินขึ้นบนเวที ลักษณะสงบมั่นใจชวนให้คนในหอประชุมเกิดความศรัทธาเชื่อมั่น

            “ผมคิดว่าเราไม่ควรเลื่อนการประชุมใหญ่ และเลือกตั้งประธานคนใหม่ออกไป ตอนนี้ทุกคนได้เห็นหลักฐานอย่างผมเห็นแล้ว คงไม่มีใครคิดว่าเป็นการปลอมแปลงใส่ความกัน”

            ภาพบนจอด้านหลังดับหาย ไฟสปอตไลท์ส่องภากรจนโดดเด่นขึ้น

            “ตอนนี้คุณบัณฑิตได้แถลงผลงาน แสดงวิสัยทัศน์ของตัวเองเรียบร้อยแล้ว ถ้าทุกท่านไม่รังเกียจ ผมขออนุญาตแสดงวิสัยทัศน์ แนวทางบริหารเกรทนภากรุ๊ปในอนาคตบ้าง พอจะให้โอกาสได้มั้ยครับ”

            เสียงปรบมือดังกึกก้องหอประชุมแทนคำตอบชัดเจนจากทุกคน

            น่าเสียดาย...ขุนคีรี ผู้แฉคลิปคว่ำประธานคนเก่าหายตัวไปเสียแล้ว




--------------- ------------ --------------




            บัณฑิตถอดสูทออก สวมเสื้อคลุมทับเชิ้ตข้างใน สวมหมวกอำพรางใบหน้าไม่ให้เป็นจุดสังเกตง่าย ลัดเลาะหลบหนีด้วยอารมณ์โกรธจัด คาดไม่ถึงพ่อเลี้ยงบุญชัยจะให้ลูกน้องแอบถ่ายคลิปการสนทนาในห้องอาหาร และไม่คิดว่ามันจะอยู่ในมือขุนคีรีจนนำมาฉายในช่วงเวลาสำคัญได้

            ทั้งที่รู้พวกนั้นรวมหัวตั้งใจป่วนการประชุม อุตส่าห์วางแผนรับมือพร้อมสรรพกลับพลาดท่า ภากร ขุนคีรีจงใจนิ่งเฉย ไม่ซักถามไล่จี้ตอนแรก ปล่อย ‘หน้าม้า’ ทำให้ไขว้เขว ล่อหลอกจนเผลอยืนยันเรื่องที่ไม่คิดว่ามีหลักฐานมัดตัว สุดท้ายตลบหลังด้วยคลิปไม้ตาย

            ยังดีเตรียมทางหนีไว้แล้ว เพียงแค่ขยิบตาส่งสัญญาณ เลขาผู้รู้ใจก็สั่งลูกน้องกดสัญญาณไฟไหม้สร้างความแตกตื่น เปิดโอกาสให้หลบจากห้องประชุมทันที

            คลิปหลักฐานมากมายโผล่ออกมาขนาดนี้ ประธานใหญ่ไม่คิดหนีตำรวจเนิ่นนาน ตั้งใจซ่อนตัวในเซฟเฮ้าส์สักวันสองวัน ศึกษาสถานการณ์ปัจจุบัน ระดมทีมทนายหาทางหักล้างสู้คดีเพื่อวางแผนเอาตัวรอดโดยไม่ติดคุกทุกวิถีทาง

            ใกล้ถึงที่จอดรถ ค่อยสังเกตเลขาคนสนิทไม่ตามมาด้วย ทราบทันทีโดนลูกน้องคนสำคัญหักหลังเสียแล้ว

            เจตน์ฉลาดคม ไหวพริบรอบตัว พอเห็นหลักฐานความผิดถูกแฉผ่านสื่อออนไลน์ก็คาดเดาทันที ‘เจ้านาย’ ไม่รอดแน่ ต้องทิ้งเรือเอาตัวรอดก่อน

            บัณฑิตโกรธแค้นแค่ไหนพยายามระงับไว้ ต้องรีบซ่อนตัวตั้งหลักก่อน เขายังมีไพ่เด็ดสำหรับล้างแค้นแก้มือเหมือนกัน!

            รถยนต์สำหรับหนีเป็นคนละคันกับที่ใช้ประจำ มันจอดด้านหลังหอประชุมปะปนกับรถทั่วไป จุดที่จอดไม่มีคันอื่นขวางหน้าสามารถขับออกถนนใหญ่ทันที

            ประธานใหญ่วางแผนรอบคอบรัดกุม คาดไม่ถึงอย่างเดียว...ตำรวจมาเร็วเกินไป

            ไทธัต พนา และตำรวจนอกเครื่องแบบสามสี่นายกระจายกำลังสังเกตจุดหลบหนีแต่แรกอยู่แล้ว พอสัญญาณไฟไหม้ดังก็คาดเดาออกว่าเป็นแผนหลอกล่อไม่ใช่เรื่องจริง

            แรก ๆ ยังหาตัวไม่พบ จนดาบตำรวจอาวุโสสังเกตเห็นชายสวมหมวกก้มหน้ากำลังก้าวยาว ๆ จนเกือบวิ่งมุ่งหน้าทิศทางตรงข้ามกับที่จอดรถประธานใหญ่ ฉุกใจสงสัยรีบวิ่งตาม พอเห็นใบหน้าชั่วแวบก็มั่นใจ วิทยุบอกคนอื่นในทีมทันที

            ทีมตำรวจตามมาขวางหน้ารถทันก่อนเคลื่อนออกจากลานจอด บัณฑิตยังสวมหมวกแต่ไม่อาจปิดบังสีหน้าแตกตื่นตกใจในแวบแรกได้ ตำรวจแต่ละนายแขวนป้ายแสดงตนพร้อมเชิญให้ลงจากรถด้วยวาจาสุภาพ

            “กรุณาลงจากรถด้วยครับ”

            “มีอะไรหรือคุณตำรวจ” กดกระจกถามยังไม่ยอมกระทำตาม

            “เชิญคุณบัณฑิตไปให้ปากคำกับทางตำรวจด้วยครับ” คำบอกย้ำชัดเจน

            ถึงขั้นนี้บัณฑิตรู้สถานการณ์ยอมปลดล็อกเตรียมลงจากรถโดยไม่ขัดขืน

            “ถ้าอย่างนั้นผมขอโทรเรียกทนายก่อนนะครับ” คนระดับเขาไม่ปล่อยให้ตำรวจสอบสวนง่ายดายแน่

            “เชิญครับ”

            บัณฑิตกำลังจะกดเบอร์โทรทนายความส่วนตัว ฉุกคิดถึงเรื่องสำคัญบางอย่างจึงตัดสินใจกดส่งข้อความด่วนไปยังบุคคลหนึ่งก่อน แล้วค่อยโทรหาทนายความ

            ยอมลงจากรถติดตามตำรวจด้วยสีหน้าปกติใจเย็น

            “คุณตำรวจ ผมโดนเรียกไปสอบปากคำเรื่องอะไร” ถามหยั่งเชิง

            “หลายเรื่องครับ หลัก ๆ น่าจะเป็นการมีส่วนร่วมในคดีค้ายาเสพติด”

            “คุณเชื่อข้อมูลปลอมที่คนอยากกลั่นแกล้งผมปล่อยในเน็ตหรือ”

            “เรื่องนั้นเราต้องพิสูจน์พยานหลักฐานอีกที”

            ประธานใหญ่หัวเราะขบขัน

            “โธ่...เสียเวลาเปล่า...เอาเถอะอยากสอบปากคำอะไรก็เชิญ บอกไว้ก่อนถ้าผมพิสูจน์ความบริสุทธิ์ได้เมื่อไหร่พวกคุณเดือดร้อนแน่”

            ตำรวจทั้งกลุ่มหยุดชะงัก ดาบตำรวจพนาจ้อง ‘ผู้ต้องสงสัย’ ด้วยแววตากร้าว

            “คุณบัณฑิต...ผมมีบางคนอยากให้ทักทายกันหน่อย” พูดพลางส่งสายตาทางนายตำรวจหนุ่ม

            “ใคร”

            ผู้กองไทธัตหยิบโทรศัพท์กดโทรออกให้คุยกันแบบเห็นหน้าทันที

            “สวัสดีคุณบัณฑิต...ไม่เจอกันนานเลยนะ”

            ใบหน้าพลเทพ...เจ้าพ่อค้ายาเสพติดผู้หายสาบสูญปรากฏในจอ

            บัณฑิตเบิกตากว้างพูดอะไรไม่ออก ฝ่ายตรงข้ามเผยรอยยิ้มสาสมใจ

            “...แต่...ไม่เป็นไรหรอก...เราสองคนคงได้เจอหน้ากันจนเบื่อไปเลย...ในคุก!”

            แค่หลักฐานต่าง ๆ ที่เผยแพร่ออกมาก็ดิ้นให้หลุดยากเย็นแล้ว ยิ่งมีพยานระดับเจ้าพ่อใหญ่ยอมให้การซัดทอด ติดคุกด้วยอย่างนี้...เส้นทางหลบหนีเอาตัวรอดมืดมนทันที




--------------- ------------ --------------




            ตอนกริ่งสัญญาณไฟไหม้ดังลั่น ขุนคีรีรู้แผนฝ่ายตรงข้ามทันที บัณฑิตกับเจตน์หนีคนละทาง ไม่แน่ใจเป็นแผนการนัดแนะไว้ล่วงหน้า หรือเลขาคนสนิทตั้งใจทิ้งเจ้านายเอาตัวรอดลำพัง

            ชายหนุ่มเลือกตามเจตน์โดยไม่ลังเล โทรศัพท์บอกเข้มสั้น ๆ บัณฑิตหนีไปทางไหน ตนเองติดตามทางใด จากนั้นมุ่งมั่นไล่จับเต็มกำลัง

            คนร้ายรายนี้อยู่เบื้องหลังยุแยงให้พ่อกับปีเตอร์เป็นศัตรูกัน ทั้งยังลั่นกระสุนสังหารมารดา วางแผนให้ครัวร้านอาหารระเบิด ว่าจ้างนักล่าในสายลมให้ยิงถล่มบิดาและลูกน้องจนเสียชีวิต

            ความผิดมากมายเช่นนี้ต้องเอาตัวมาชดใช้...รับโทษทัณฑ์

            หนึ่งหลบหนีคล่องแคล่วชำนาญทาง หนึ่งไล่กวดติด ๆ ไม่ยอมคลาดสายตา วิ่งไล่ล่าชนิดเอาเป็นเอาตาย ผ่านซอกตึก อาคาร ถนน วนเวียนไปมาไม่มีใครยอมแพ้ใคร

            เจตน์ตั้งใจหนีไปขึ้นรถที่เตรียมไว้ พอทราบว่าโดนไล่ล่าก็พยายามวิ่งซอกซอนหลอกล่อให้ผู้ติดตามหลงทาง แต่ทำอย่างไรก็สลัดไม่หลุดเสียที ยิ่งนานระยะห่างยิ่งกระชั้นสั้นลง สุดท้ายเลือกเส้นทางหนีเปะปะจนไปเจอซอยตันไม่อาจย้อนกลับทางเดิมได้

            ท้ายซอยนั้นห้อมล้อมด้วยตึกสูง กำแพงทึบยากปีนข้ามในเวลาอันสั้น เจตน์หันมาเผชิญหน้าขุนคีรีอย่างไม่มีทางเลือก เปิดรอยยิ้มกว้างเอ่ยปากใจเย็น

            “คุณขุนคีรีตามมานี่ มีอะไรให้ผมช่วยหรือครับ”

            “มี...ช่วยกลับไปรับโทษจากความผิดที่เคยกระทำมาทั้งหมดเถอะ”

            “พูดอย่างนี้กล่าวหากันนะครับ”

            “ผมคงไม่กล้ากล่าวหาลอย ๆ หรอกคุณเจตน์...หรือจะให้เรียก ‘แมน’ ลูกน้องบ่อน ‘โจ’ ที่เคยปลอมตัวเป็นลูกน้องปีเตอร์ ก่อกวนงานวันเกิด...และ...ยิงแม่ผม”

            ท้ายเสียงไม่อาจปกปิดความแค้นใจ

            “ทำการบ้านมาดีนะขุนคีรี” น้ำเสียงแปลกไป แววตากร้าวขึ้น ไม่จำเป็นต้องเสแสร้งสุภาพอีก

            “นอกจากยุแยงให้บ่อนปีเตอร์กับพ่อผมขัดแย้งกัน ทำให้แม่ผมตาย วางแผนระเบิดตึกร้านอาหาร จัดนัดหมายปลอม ๆ หลอกพ่อผมไปฆ่า...น่าจะมีความชั่วอีกมากที่ผมยังไม่รู้ใช่มั้ย”

            ขุนคีรีตั้งใจไล่เลียงความชั่วเพื่อกระตุ้นฝ่ายตรงข้าม

            “แหมขุดบ่อล่อผมติดกับขนาดนี้ แอบซ่อนกล้องถ่ายคลิปไว้ตรงไหนอีกหรือเปล่า” เจตน์รู้ทัน

            “ไม่ต้องซ่อนกล้องแล้วล่ะ บัณฑิตถูกจับอย่างนี้เขาไม่ซัดทอดคุณก็แปลกแล้ว”

            เลขาประธานใหญ่ใช้รอยยิ้มปิดบังใบหน้าแทนหน้ากากชั้นดี ไม่ให้ฝ่ายตรงข้ามทราบว่าตีโดนจุดสำคัญ

            ตั้งแต่เห็นคลิปแฉความผิดปรากฏทางมือถือทุกคนในห้องประชุม เจตน์รู้ทันที...บัณฑิตหมดทางรอดแล้ว จำเป็นต้องหลบหนีก่อนโดนสืบสวน ซัดทอดเป็นผู้สมรู้ร่วมคิด ซึ่งจะทำให้ความผิดเก่าถูกขุดยาวเป็นหางว่าว

            เขาสลัดตัวตนเดิมแสนยากเย็น กว่าจะมายืนหยัดในชื่อใหม่ตัวตนใหม่ลำบากแทบเลือดตากระเด็น ไม่มีทางยอมกลับไปเป็นคนเก่าอีกเด็ดขาด

            “ที่จริง...ความผิดผมมีมากกว่าที่คุณพูดเยอะเลย” พูดพร้อมรอยยิ้มเริ่มเปลี่ยนไป “แต่มีบางเรื่องผมไม่ตั้งใจ...เช่น...ฆ่าแม่คุณ”

            คำพูดหวังกระตุ้นโทสะอีกฝ่าย ผลตอบรับคือแววตาราบเรียบ...รู้ทัน

            “ผมรู้...วันนั้นคุณตั้งใจยิงผมอ้างว่าแก้แค้นแทนลูกชายปีเตอร์ เจ้าพ่อบ่อนคนนั้นจะได้กางปีกปกป้องลูกน้องเต็มที่ แผนเสือร้ายสองตัวห้ำหั่นกันสำเร็จสมตั้งใจ”

            พอเห็นเรื่องแรกจุดไฟโกรธชายหนุ่มไม่สำเร็จ เจตน์จึงเปลี่ยนเรื่อง

            “ระเบิดห้องครัววันนั้น ธนนท์ไม่ได้ทำอะไรผิดพลาด เหตุผลที่มันระเบิดก่อนเวลาเพราะผมแอบแก้ชนวน...นิดหน่อย”

            “ทำเพื่ออะไร” น้ำเสียงขุนคีรีเข้มขึ้น

            “ถ้ามีคนไม่รู้อีโหน่อีเหน่รับบาดเจ็บครั้งนี้ น่าจะมีการสอบสวนเบื้องหลังละเอียด...น่าเสียดายบารมีบัณฑิตกับ ‘พันธมิตร’ ของเขาตอนนั้นเข้มแข็งเกินไป สามารถปิดคดีเคลียร์หลักฐานหมดจด”

            พูดอย่างนี้แสดงว่าเจตน์ไม่ได้หวังดีกับบัณฑิต พลเทพ และพ่อเลี้ยงบุญชัยตั้งแต่แรก

            ประโยคหนึ่งแวบในหัวขุนคีรี

            ...ถ้าเป็นศัตรูต่อกรตรง ๆ กันไม่ได้...ก็ต้องแทรกซึมชอนไช เข้าไปบ่อนทำลายจากข้างในแทน...

            ไม่รู้ชายคนนี้โกรธแค้นอะไรบิดา กับพลเทพนักหนา...ถึงกล้าเสี่ยงวางแผนกระทำเรื่องราวขนาดนี้

            “พ่อผมกับลุงพลทำอะไรให้คุณ ถึงต้องตามล้างกันขนาดนี้” ขุนคีรีอดถามไม่ได้

            “เรื่องนั้นค่อยไปถามพวกเขาในนรกก็ได้” ตอบพลางเอ่ยวาจากระตุ้น “ไม่อยากรู้อีกหรือว่าผมวางแผนทำอะไรอีก”

            “ว่ามาสิ” รู้ว่าอีกฝ่ายจงใจยั่วยุ ยังมั่นใจตนเองหนักแน่นพอ

            “ผู้หญิงคนนั้นชื่ออะไรนะที่ตาบอด...อ้อ...บัวบุษรา...ต้องขอบคุณเธอนะที่มีพ่อเป็นตำรวจกัดไม่ปล่อย ขนาดผู้ยิ่งใหญ่สองคนปิดคดีแล้วยังตามสืบเสาะไม่เลิก”

            “คุณกับบัณฑิตรู้ว่าดาบพนาแอบสืบสวนลับ ๆ”

            “รู้สิ...แต่ให้ตำรวจเกาะหลังพวกมันไว้ก็ดี พลาดเมื่อไหร่เชือดทันที...เสียดายตำรวจนั่นแก่เกินไป ทำอะไรเชื่องช้าเลยต้องใช้ยากระตุ้นสักหน่อย”

            “ยา...กระตุ้น...”

            “ใช่...ยากระตุ้นแรงสุดน่าจะเป็นความแค้น...ดาบตำรวจแก่ ๆ ถึงทำทุกอย่างเพื่อจัดการพลเทพ”

            “แก...ส่งคนบุกบ้าน...ทำร้ายบัวบุษรา...” ขนาดถามเรื่องที่รู้แล้ว น้ำเสียงยังเข้มโกรธ

            “ใช้คำว่า ‘ทำร้าย’ อาจจะเบาไปหน่อยมั้ง...คนของผม ‘ทำ’ มากกว่านั้นอีก...สามคนพ่อลูกคงไม่กล้าบอกใคร”

            วาจายอกย้อนซ่อนนัย ตั้งใจพูดให้ชายหนุ่มเข้าใจว่าหญิงสาวถูกล่วงละเมิดรุนแรงเพียงใด โดยไม่รู้ว่าขุนคีรีคือบุคคลลึกลับที่เข้าไปช่วยเธอ

            ต่อให้ทราบความจริงทั้งหมด ต่อให้เป็นคนช่วยเหลือบัวบุษรากับมือ ขุนคีรีไม่อาจทนให้อีกฝ่ายพูดจาเหยียดหยามใส่ร้ายป้ายสีเธอได้

            “หยุดพูดเลยนะมึง!” น้ำเสียงเปลี่ยนแววตาอำมหิต “กูรู้ดีเรื่องราวเป็นยังไง”

            “อ้อ...งั้นคงรู้สิว่าคนร้ายคืนนั้นมีสามคน...เสียดายต้องดับไฟมืดเลยถ่ายคลิปสามต่อหนึ่งไม่ได้”

            ขุนคีรีพุ่งเข้าหาด้วยโทสะแรงกล้า เจตน์เผยรอยยิ้มสาสมใจที่แผนกระตุ้นประสบผลสำเร็จ

            ...ฉัวะ...มีดคมกริบตั้งใจปาดคอผู้โถมเข้ามาอย่างขาดสติ ยังดีหนุ่มนักมวยตาไว ปฏิกิริยาตอบสนองรวดเร็ว เบี่ยงหลบทัน คมมีดจึงกรีดลึกต้นแขนเรียกเลือดไหลชุ่มแทน

            มีดสอง มีดสาม มีดสี่ฉกฉวยโอกาสตามมาติด ๆ สร้างรอยแผลตามแขน ลำตัวไม่ลึกนัก

            ขุนคีรีถอยห่างตั้งหลักเร็ว ใช้มือเปล่าสู้กับมีดหนาปลายแหลมด้วยความระมัดระวังกว่าเดิม ปลายมีดตวัดวูบ เอี้ยวตัวหลบพร้อมปล่อยหมัดสวน อีกฝ่ายพลิกมีดกลับจู่โจมเร็วจนกลายเป็นฝ่ายได้เปรียบ

            บุคลิกภายนอก เจตน์เป็นชายวัยสามสิบเศษ ร่างผอมสันทัด มักยืนค้อมไหล่ทำตัว ‘เล็ก’ เมื่ออยู่ท่ามกลางผู้คน ขณะนี้กลับกลายร่างเป็นนักฆ่าร้ายกาจใช้มีดช่ำชองคุ้นมือราวกับเป็นอวัยวะตัวเอง การก้าวเท้าตวัดมีด ปาดแทง พลิกมีดกลับแต่ละครั้งสร้างความหวาดเสียวแก่คู่ต่อสู้ ไม่ต่างกับยืนริมเหวมรณะ

            ขุนคีรีพยายามหาข้อมูลเจตน์มาตลอด กลับไม่รู้อะไรมากไปกว่าปีเตอร์เคยบอก

            ไม่มีใครทราบ...ก่อนเป็นลูกน้องบ่อนโจเคยเป็นใคร ทำอะไรมาก่อน ไม่มีใครรู้...ช่วงเวลาบ่อนโจถูกถล่มเขาหนีหัวซุกหัวซุนซ่อนตัวที่ไหน ทำอย่างไรถึงเปลี่ยนแปลงเป็นอีกคนจนกลายเป็นเลขาภากร และคนสนิทบัณฑิตในที่สุด

            วันนี้รู้แล้ว...เจตน์เป็นนักฆ่า ฝีมือไม่ด้อยกว่านักล่าในสายลม เป็นกุนซือวางแผนร้ายต่าง ๆ โดยไม่เคยออกหน้าออกตา...และ...ยังแค้นพ่อเลี้ยงบุญชัย พลเทพลึกซึ้ง!

            การต่อสู้ดุเดือดหวาดเสียว ฝ่ายมีอาวุธได้เปรียบกว่าชัดเจน ต่อให้ขุนคีรีเป็นนักมวยต่อสู้มือเปล่าแทบไม่แพ้ใคร พอเจอมือมีดระดับไม่ธรรมดาก็เล่นเอามือไม้ปั่นป่วน คอยตั้งรับหลบหลีก หาจังหวะบุกไม่ได้เลย

            ระหว่างต่อสู้พยายามครุ่นคิดหาวิธีเอาชนะจนเกือบพลาดหลายครั้ง จนนึกถึงคำสอน ‘พ่อครู’ สมัยก่อนได้

            ...ศิลปะการต่อสู้ เรียนไว้เพื่อป้องกันตัว ป้องกันคนรักคนสำคัญ...ไม่ใช่หวังเอาชนะกัน...

            สงบอารมณ์ ตั้งสติ เคลื่อนไหวหลบหลีกตามสัญชาตญาณ ไม่จำเป็นต้องรีบร้อนบุกจู่โจมเอาชัย หวังสยบคู่ต่อสู้ในเวลาอันสั้น มองเห็นคมมีดฉวัดเฉวียนไปมาคล้ายผีเสื้อร่ายระบำ ใจคิดแค่หาวิธีหยุดผีเสื้อตัวนั้นไม่ให้เป็นอันตรายต่อตนเอง

            มือมีดรวดเร็ว อำมหิตรุนแรง นักมวยหนุ่มไม่เชื่องช้ากว่า มือเท้าเป็นอิสระไม่ถูกจำกัดด้วยวิชาต่อสู้แบบใดแบบหนึ่ง สามารถใช้หมัด ศอก ปลายนิ้ว สันมือสกัดกั้น ฉกฉวยโอกาสตอบโต้รวดเร็วแทบมองไม่ทัน

            จังหวะมีดแทงสวบหวังทะลุกลางอก ขุนคีรีหลบนิดเดียวใช้สันมือข้างหนึ่งฟันฉับแล้วรวบจับข้อมือฝ่ายตรงข้ามบิดรวดเร็ว พร้อมเสยหมัดฮุกเข้าลิ้นปี่เต็มแรงจนอีกฝ่ายตัวงอต้องคลายมือถือมีดทันที

            มีดเล่มนั้นถูกเปลี่ยนมือรวดเร็ว กลับมาจ่อคอหอยเจ้าของเดิมไม่ทันตั้งตัว

            พอเป็นฝ่ายได้เปรียบจิตใจฮึกเหิมลำพอง ขุนคีรีกำด้ามมีดแน่น แรงอาฆาตในใจพลุ่งพล่านรุนแรง ภาพมารดาถูกยิงปรากฏในหัว เสียงรัวปืนลั่น เสียงพ่อในคลิปสุดท้ายยังกังวาน แค่กดมือลงไปไม่เท่าไหร่จะสามารถปลิดชีวิตชั่วร้ายทันที ได้แก้แค้นแทนพ่อแม่ ชดเชยความสูญเสียมากมาย...ฆ่ามันสิ...ฆ่ามัน...

            เจตน์เห็นเงามรณะทาทาบศีรษะ ดวงตาคนถือมีดทอประกายแรงกล้า ยิ่งกว่าเปลวเพลิงลุกโชติช่วง วินาทีนั้นนึกทอดอาลัย หมดกำลังดิ้นรน...ตายก็ตาย

            ดวงตาขุนคีรีเบิกกว้างกำลังจะกดมีดสังหาร จู่ ๆ คำหนึ่งก้องกังวานในใจ

            ...ขอให้ ‘ศรัทธา’ ในเหตุและผลของ ‘กรรมวิบาก’...

            ถ้าลงมือฆ่ามันตอนนี้เท่ากับสร้าง ‘กรรมดำ’ ติดตัว ต้องชดใช้กันยาวนาน...ปล่อยมันไป...กรรมวิบากจะเตรียม ‘เครื่องมือ’ ชิ้นอื่นไล่ล่าเอง เขาไม่ต้อง ‘ผูกเวร’ ตกในวังวนวิบากกรรม

            วินาทีนี้มีสิทธิเลือก!

            “ไปเข้าคุกเถอะ”

            ถอนมีดออกจากลำคอ...ขุนคีรีเลือกที่จะ ‘ให้อภัย’ ไม่จองเวรต่อกัน

            เจตน์เหมือนได้รับนิรโทษกรรมโดยไม่รู้ตัว ถอยหลังก้าวหนึ่งมองผู้เกือบเป็น ‘มือสังหาร’ อย่างงุนงง

            จิตใจขุนคีรีผ่อนคลายปลอดโปร่ง สบตาคู่แค้นด้วยแววราบเรียบปราศจากโทสะ ชั่วขณะนั้น ‘ดวงตายมทูต’ เปิดกว้าง มองเห็นความทรงจำฝ่ายตรงข้ามหลั่งไหลให้รับรู้



(โปรดติดตามต่อฉบับหน้า)



แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP