วรรณกรรมนำใจ Lite Literature

ทางยมทูต ๔๓



way cover




ชลนิล



(ต่อจากฉบับที่แล้ว)



บทที่ ๒๕



            ภายในหอประชุม

            กลุ่มผู้ถือหุ้นทยอยเข้ามานั่งประจำที่เป็นระเบียบ กรรมการบริษัทยังเข้ามาไม่มากนัก เก้าอี้ที่นั่งจึงว่างมองเห็นหน้ากันทั่ว

            ‘ภากร’ หนึ่งในกรรมการ และผู้อำนวยการธุรกิจอาหารแปรรูปเข้ามาพูดคุย ทักทายกับผู้ถือหุ้นบางคนที่รู้จัก แล้วนั่งคุยกับผู้ถือหุ้นหนุ่มรายหนึ่งนานเป็นพิเศษ

            ภาพเหล่านี้ถ่ายทอดผ่านกล้องวงจรปิด สามารถเปิดดูในห้องพักส่วนตัวประธานบริษัท ซึ่งอยู่ในหอประชุมเดียวกัน

            “ภากรรู้จักกับลูกชายพ่อเลี้ยงบุญชัยตั้งแต่เมื่อไหร่” ประธานถาม

            “ผมไม่ทราบ” คำตอบจากเลขาคนสนิท ก่อนแสดงความเห็น “ถ้าขุนคีรีร่วมมือกับดาบพนา ก็ไม่แปลกที่ตำรวจคนนี้จะแนะนำให้รู้จักภากร ยิ่งพวกเขาวางแผนป่วนการประชุมก็ต้องการกรรมการที่มีหุ้นใหญ่ เป็นปากเป็นเสียงคอยหนุนหลัง”

            หึหึ บัณฑิตหัวเราะเสียงเครียดแววตากร้าว

            “พวกมันตั้งใจรวมหัวกันหวังคว่ำฉันให้ได้ มันไม่ง่ายอย่างนั้นหรอก” จบวาจาเอ่ยปากอีกคำถาม “ตอนนี้กรรมการ ผู้ถือหุ้นที่ยืนยันสนับสนุนฉันมีจำนวนเท่าไหร่แล้ว”

            “เกินครึ่งแล้วครับ”

            “ดี...มีข่าวอะไรเพิ่มอีกมั้ย”

            “สายทางเหนือส่งข่าวมาเพิ่ม เรื่องไม่สำคัญเท่าไหร่...”

            “พูดมาเถอะ”

            “พวกพ่อเลี้ยงบุญชัยยกขบวนข้ามชายแดนแล้ว ไม่ได้บุกบ่อนกาสิโนปีเตอร์” หยุดวาจาสังเกตสีหน้าเจ้านาย ไม่เห็นรอยโทสะหงุดหงิดค่อยพูดต่อ “แต่ไปที่วัด...ร่วมทำบุญครบรอบวันตายลูกชายปีเตอร์แทน”

            ดวงตาบัณฑิตวาววับเมื่อรู้ว่าโดนหลอกตลบหลัง

            “แสดงว่าพวกมันเคลียร์ปัญหากันนานแล้วโดยที่เราไม่รู้เลย” น้ำเสียงตำหนิชัด

            “ผมว่าพวกนั้นตั้งใจแสดงละครหลอกให้เราประมาทมากกว่า” เจตน์จงใจไม่กล่าวโทษ ‘สาย’ ให้ข้อมูลผิดพลาด

            “ตอนนี้แผนเอาคืนของเราเป็นยังไงบ้าง” เขาไม่มัวขุ่นใจเรื่องผิดพลาด มุ่งจัดการแผนสำรองเอาคืนทันที

            “คนของเราไปถึงโรงพยาบาลที่ลูกสาวดาบพนาไปตรวจตาเรียบร้อย”

            “ได้ความว่ายังไง จับพวกมันมาได้หรือยัง”

            “ยังครับ”

            “ทำไม”

            “พวกนั้นกระจายค้นจนทั่วยังหาตัวไม่พบ ทั้งที่รถยนต์จอดอยู่ที่โรงพยาบาล”

            เจ้านายใหญ่ไม่แผดเสียงบริภาษอาละวาดใหญ่โต แค่สายตาเปลี่ยนเป็นร้อนแรงคล้ายภูเขาไฟใกล้ปะทุลูกน้องก็รู้ว่าควรทำอย่างไร

            “ตอนนี้กำลังสอบถามพวกพยาบาล สักครู่คงได้เรื่อง”

            “บอกพวกมัน...จับลูกสาวดาบพนาให้ได้ก่อนการประชุมเสร็จ”

            คำสั่งเรียบเย็นอำมหิต ผู้รับคำสั่งรีบส่งข้อความต่อทันที ไม่กล้าเอ่ยวาจาแสดงความเห็นใดเพิ่มเติม




--------------- ------------ --------------




            ดาบตำรวจพนา เข้มหลบมุมด้านนอกห้องประชุมไม่ไกลกันนัก ปล่อยให้ ‘ผู้ถือหุ้น’ ทั้งสองเข้าไปด้วยกัน

            ตอนแรกเข้มคิดว่า นิติกรสุรชัย มาช่วยให้คำปรึกษาแนะนำเกี่ยวกับกฎหมายบางอย่างแล้วกลับไปทำงานตนเอง

            ผิดคาดเมื่ออีกฝ่ายถือกระเป๋าหนังสีดำทำท่าเข้าห้องประชุมด้วย

            “เขาให้เข้าได้เฉพาะผู้ถือหุ้นกับกรรมการไม่ใช่เหรอ” ถามเพราะตนเองอยากเข้าไปช่วยน้องชาย ติดตรงระเบียบการประชุม

            “เออจริงสิ” ขุนคีรีทำท่าเพิ่งนึกได้ “เมียน้าเขาโอนหุ้นให้แล้วใช่มั้ย”

            คำถามแฝงอารมณ์หยอกล้อ

            “ไม่ต้องโอนหรอก แค่เขียนใบมอบอำนาจเข้าประชุมแทนก็พอแล้ว...ขืนโอนให้กลัวผมไม่คืนน่ะ”

            ขุนคีรีทราบแต่แรก นอกจากภรรยาสุรชัยจะทำงานธนาคารตำแหน่งสูงระดับผู้บริหาร ยังเป็นนักเล่นหุ้นชั้นเซียน สามีเคยบอกอย่างไม่อาย

            บ้านช่อง สมบัติ เงินเก็บเงินออม กระทั่งบีเอ็มคันนี้...เงินเมียผมทั้งนั้นแหละ

            เข้มได้คำตอบพอใจแล้วไม่ซักไซ้เพิ่ม วางใจปล่อยทั้งสองเข้าสู่ ‘สมรภูมิ’ โดยไม่กังวล



            บริเวณรอบหอประชุมเกรทนภากรุ๊ปไม่ได้มี ‘คนนอก’ แค่พนาคนเดียว ยังมีตำรวจนอกเครื่องแบบสี่ห้านายยืนกระจายตามจุดต่าง ๆ ไม่เป็นที่สังเกต คอยควบคุมเส้นทางหลบหนี มองหานักล่าในสายลม และพร้อมรอรับคำสั่งดำเนินตามแผนจากผู้ควบคุม

            ตำรวจทุกคนใช้วิทยุสื่อสารคลื่นความถี่เฉพาะ เมื่อใกล้เวลาปฏิบัติงานจะปิดเสียง หรือไม่ก็ปิดโทรศัพท์ป้องกันปัญหา พนาเช็กโทรศัพท์ตัวเองเตรียมปิดเสียงล่วงหน้า พบข้อความและภาพทางไลน์ส่งมาจากรัชตะ

            เจอตัวพวกมันแล้ว อยู่ที่บ่อนกาสิโนประเทศเพื่อนบ้าน

            นอกจากจะให้ทางตำรวจสืบหาตัวคนร้ายบุกบ้านหวังข่มขืนลูกสาว พนายังนำรูปพวกมันให้รัชตะช่วยค้นประวัติ ติดตามอีกแรง

            เสียเวลานานพอสมควรกว่าจะทราบว่าพวกมันสามคนเคยทำงานบริษัทในเครือเกรทนภากรุ๊ป ถูกไล่ออกเพราะประพฤติตัวเสื่อมเสีย

            แฮกเกอร์ ‘กลุ่มคนหลังจอ’ เพิ่งเจาะข้อมูลโทรศัพท์พบว่าก่อนและหลังบุกบ้านดาบตำรวจ พวกมันได้ติดต่อกับเจตน์ เลขาคนสนิทประธานเกรทนภา

            กว่านายตำรวจอาวุโสจะรู้ว่าเข้าใจผิดก็ตอนเจ้าพ่อพลเทพแอบมอบตัวเงียบ ๆ แล้ว

            รัชตะและแฮกเกอร์มือพระกาฬรับปากตามหาตัวพวกมันมาลงโทษตามกฎหมาย ทั้งยังมีประโยชน์ใช้พวกนี้เอาผิดบัณฑิต...ผู้จ้างวานได้อีก

            พวกเขาเพิ่งส่งภาพหลักฐานที่อยู่คนร้ายสด ๆ ร้อน ๆ เดี๋ยวนี้เอง

            “รบกวนหน่อยสิ” พนาเข้าไปหาเข้มซึ่งอยู่ไม่ไกลกันนัก “ช่วยดูทีว่าบ่อนแห่งนี้ใช่ของพวกคุณหรือเปล่า”

            “ไม่ใช่...เป็นบ่อนของปีเตอร์...มีอะไรหรือเปล่า”

            “สามคนในรูปเป็นคนบุกบ้านทำร้ายลูกสาวผม พวกมันน่าจะกบดานอยู่ที่นี่”

            “รูปนี้ถ่ายเมื่อไหร่”

            ภาพนั้นถูกแคปมาจากกล้องวงจรปิดในบ่อน พนาพยายามดูตัวเลขวันเวลา

            “น่าจะวันนี้ ไม่ถึงชั่วโมงหรอก”

            เข้มพูดง่าย ๆ

            “ส่งรูปพวกมันแบบชัด ๆ ให้ทางมือถือผมที...ถ้าดาบแจ้งความไว้ แล้วพวกมันมีหมายจับ...ก็บอกตำรวจรอรับที่ด่านได้เลย ลูกน้องผมอยู่แถวนั้นหลายคนเดี๋ยวจะให้หิ้วตัวไปส่ง”

            “ขอบคุณมาก”

            นายตำรวจอาวุโสกำลังจัดการตามคำบอกก็มีสายเข้ามาก่อน

            “ว่าไง...เกิดอะไรกับลูกสาวผมหรือเปล่าผู้กอง”

            หลังจากทราบว่าใครอยู่เบื้องหลังการบุกบ้าน พนาก็ขอให้ไทธัตจัดตำรวจนอกเครื่องแบบแอบคุ้มครองลูกสาวเป็นพิเศษ เนื่องจากเกรงบัณฑิตจะซ้อนแผนสั่งคนจับสองพี่น้องเป็นข้อต่อรอง

            “ตอนนี้ยังไม่มีอะไร ตำรวจที่แอบติดตามรายงานมาว่า หลังตรวจตาเสร็จสองสาวยังไม่กลับบ้าน ทิ้งรถตัวเองไว้ที่ลานจอดแล้วนั่งรถบัสของโรงพยาบาลออกไป”

            “ไปไหน...วันนี้ลูกผมไม่มีโปรแกรมอะไรพิเศษนี่”

            “ผมจะโทรมาถามดาบนี่แหละ ถ้าไม่รู้ไม่เป็นไร ทางนั้นกำลังขับตามรถบัสอยู่ อีกเดี๋ยวคงรายงานมาใหม่ เท่าที่ฟังดูไม่น่ามีอะไร เหมือนทางโรงพยาบาลจะไปออกหน่วยอะไรสักอย่าง”

            “ขอบคุณผู้กอง งั้นผมปิดแค่เสียงไม่ปิดโทรศัพท์แล้วกัน”

            “ไม่ต้องห่วงหรอก ผมอยู่แถวนี้ไม่ไกลจากดาบเท่าไหร่ ต่อให้ปิดโทรศัพท์ถ้ามีเรื่องด่วนจริงก็แจ้งทางวิทยุได้”

            “งั้นฝากด้วยนะผู้กอง”

            วางสายพร้อมสอดส่ายสายตา พบผู้กองไทธัตอยู่อีกด้านของหอประชุม พยักหน้าพร้อมส่งสัญญาณมือบอกเป็นเชิงว่าไม่ต้องห่วง




--------------- ------------ --------------




            เมื่อคืน...บัวบุษราฝันว่าพบขุนคีรีที่สวนสาธารณะใกล้บ้าน ต่างฝ่ายมาเจอกันแบบไม่นัดหมาย ยมทูตหินผาไม่ได้ชักจูงมา

            “ช่วงนี้อยู่กรุงเทพฯ หรือคะ” ถามดักคอ

            “คุณเริ่มรู้ความเคลื่อนไหวผมเหมือนกันนี่”

            “พรุ่งนี้จะมีประชุมใหญ่เกรทนภากรุ๊ป บัวเห็นพ่อกับพี่ธัตแอบคุยนัดหมายอะไรกันอยู่ คิดว่าพี่ขุนน่าจะมีส่วนร่วมเหมือนกัน”

            คราวนี้ชายหนุ่มเฉยจงใจไม่ตอบ

            “มีอะไรให้บัวช่วยมั้ยคะ” หล่อนเสนอตัว

            “พรุ่งนี้นัดคุณหมอไม่ใช่เหรอ ดูแลตัวเองดีกว่า”

            “แหม บัวอยากช่วย...มีอะไรพอให้ทำบ้างมั้ย”

            “มี” คำตอบสั้น

            “จริงเหรอ อะไรคะ” ยิ้มกว้างรอรับ ‘หน้าที่’ ตน

            “...อยู่เฉย ๆ ดูแลตัวเองดี ๆ...ไม่ต้องให้ผมกับพ่อคุณเป็นห่วง...เท่านี้ก็ช่วยได้เยอะแล้ว”

            “โหย...พูดงี้เท่ากับกีดกัน กดขี่ทางเพศนะคะ”

            ขุนคีรีหัวเราะเบา ๆ

            “เคยดูในหนังมั้ย เวลาพระเอกวางแผนจับผู้ร้ายดี ๆ แล้วนางเอกอยากมีมิชชั่นพยายามหาเรื่องช่วยเหลือ แต่ไป ๆ มา ๆ กลับโดนผู้ร้ายจับซะนี่ กลายเป็นภาระเสียเวลาให้พระเอกต้องไปช่วยทุกที”

            พูดอย่างนี้เจ้าหล่อนทำหน้าง้ำ

            “เค้าอยากช่วยจริง ๆ ไม่ได้อยากเป็นภาระสักหน่อย”

            “สำหรับคุณ...การอยู่เฉย ๆ คอยระวังตัวเองดี ๆ ไม่ต้องทำอะไรมากกว่านี้ ก็เป็น ‘หน้าที่’ สำคัญแล้วนะ”

            “เจ้าค่ะ” กระแทกเสียงประชดใส่

            “เสร็จงานนี้ผมจะพาไปเที่ยว...” ชายหนุ่มหาของมาล่อ “ภูเขา แม่น้ำ ป่าลำธารแถวบ้านผมสวยมากนะ”

            “ไม่ต้องเอาเรื่องเที่ยวมาหลอกเลย บัวไม่ใช่เด็กสามขวบนะคะ”

            “ก็รู้ว่าไม่ใช่เด็ก...แต่เป็นสาวสวย...เลยชวนไปเดท...เที่ยวด้วยกันไง”

            เจอไม้นี้บัวบุษราเถียงไม่ออก อ้ำอึ้งไม่กล้ามองหน้า ไม่กล้าสบดวงตาคมกริบที่มองมาไม่ปกปิดความรู้สึกข้างใน

            “ค่ะ...บัวจะอยู่เฉย ๆ พอใจมั้ยคะ”

            “อือ...รักเลยล่ะ”

            ไม่รู้เป็นวาจาจากใจหรือคำหยอกล้อ แค่นั้นก็ทำใจเธอเต้นไม่เป็นจังหวะ พยายามย้ำบอกตัวเองว่าเป็นความฝัน...จิตปรุงแต่งไปเอง ทว่าสายตาชายหนุ่มมองมานั้น...แสดงชัด...

            ทุกคำพูดเวลานี้ไม่ใช่เพียงฝัน...ที่ตื่นมาแล้วจะลืมเลือน




--------------- ------------ --------------




            ตอนขุนคีรีพามาส่งหน้าบ้าน บัวบุษราพอจะพูดคุยหยอกล้อด้วยอารมณ์ปกติ ไม่หวั่นไหวกับความ ‘น่ารัก’ แบบนานครั้งของเขาแล้ว

            บริเวณริมกำแพงมีวิญญาณชายชรา ผมหงอกขาวทั้งศีรษะ แต่งกายเสื้อผ้าโบราณเดินไปมาคอยดูแลสอดส่องความปลอดภัย

            “สวัสดีครับคุณปู่” ขุนคีรีทักทาย

            “อ้อ...ท่านนั่นเอง” เสียงตอบรับยินดีกึ่งยำเกรง

            บัวบุษรายกมือไหว้โดยไม่ต้องบอก ส่งรอยยิ้มไมตรีแล้วมองชายหนุ่มข้างกายเป็นเชิงขอให้แนะนำ

            “อ้อ...จริงสิผมลืมไป...คุณปู่ ‘ทองก้อน’ เคยเป็นเจ้าของที่ดินแถวนี้ทั้งหมด ท่านคอยดูแลคุณอยู่นะ ตอนผู้ร้ายบุกบ้านคราวก่อน ถ้าไม่ได้คุณปู่รีบไปบอก ผมคงมาช่วยคุณไม่ทันเหมือนกัน”

            “ขอบคุณมากค่ะ...ขอโทษจริง ๆ บัวเพิ่งทราบเดี๋ยวนี้เอง ไม่งั้นคงมีโอกาสขอบคุณ ทำบุญกรวดน้ำให้เป็นประจำแล้ว”

            เหตุการณ์น่ากลัวยังฝังใจ เพิ่งทราบว่ามีผู้ช่วยเหลือเพิ่ม จิตใจสำนึกบุญคุณจนอยากตอบแทน

            “หลังจากคืนนั้น ผมก็มีเรื่องยุ่งตามมาติด ๆ เลยไม่มีโอกาสบอก ต้องขอโทษเหมือนกัน” ชายหนุ่มอธิบาย

            “โธ่...ถึงท่านยมทูตไม่เคยบอกแม่หนู แต่ก็ทำบุญกรวดน้ำให้กระผมเสมอ บุญกุศลเหล่านั้นช่วยให้ผมสุขสบายกว่าผีแถวนี้เยอะเลย”

            วิญญาณอดีตเจ้าของที่บอก

            “งั้นต่อไปบัวจะทำบุญกรวดน้ำให้คุณปู่ทองก้อนบ่อย ๆ เหมือนกันค่ะ”

            “ขอบใจนะ”

            ดวงวิญญาณเลือนหายพร้อมใบหน้าสดใส

            บัวบุษรารีบหันมาถามชายหนุ่มด้วยข้อสงสัยคาใจมานาน

            “จริงสิ...พี่ขุนมาเป็นผู้ช่วยยมทูตได้ยังไง แถมมีความสามารถพิเศษหลายอย่าง ภูตผีเกรงใจ ตอนอยู่ที่คอนโดเมย์ มายาวียังหายตัวได้พี่พรกับคุณเหมยลี่ไม่เห็นอีก”

            “ไม่ต้องรู้ได้มั้ย...ผมขี้เกียจเล่า” ตัดบทง่าย ๆ “รีบเข้าบ้านเถอะ”

            ขุนคีรีไม่อยากพูดถึง ‘สัญญา’ กับยมทูตหินผา ไม่ต้องการให้เธอทราบ...ตนเองทำอะไรบ้างเพื่อชดใช้ความรู้สึกผิดในใจ




--------------- ------------ --------------




            หลังแยกจากชายหนุ่ม เข้าบ้านพบบุคคลหนึ่งกำลังนั่งรอในห้องรับแขก

            “ไม่เจอกันหลายวันเลยคุณยมทูต...วันนี้จะพาบัวไปเที่ยว หรือมีงานอะไรให้ทำคะ”

            ถามด้วยความหวัง ผู้ช่วยยมทูตไม่ยอมมอบ ‘ภารกิจ’ ยมทูตตัวจริงอาจมีเรื่องให้ทำก็ได้

            “ไม่มี ฉันแค่มาบอกลาเธอ”

            คำตอบเกินคาดเล่นเอาหญิงสาวใจหายวูบ ยืนอึ้งทำอะไรไม่ถูก ร่างสูงใหญ่ผิวสีทองแดงลุกจากเก้าอี้มายืนใกล้ ๆ กระไอร้อนจาง ๆ แปรเปลี่ยนเป็นอบอุ่นกว่าเดิม กลิ่นอายสะเก็ดหินจากนิรยภูมิเจือจาง สีหน้าผ่องใสผิดเคย

            “คุณยมทูตจะไปเกิดใหม่หรือคะ”

            “เส้นทางยมทูตของฉันใกล้สิ้นสุดแล้ว”

            “ได้ไปเกิดที่ไหน ทราบมั้ยคะ”

            “ตอนนี้ยังตอบไม่ได้...ต้อง...รอ...”

            บัวบุษราไม่กล้าถาม ด้วยสีหน้าแววตายมทูตแสดงชัด...จงใจหยุดวาจาแค่นั้น

            “งั้นพอจะบอกได้มั้ยคะ ทำไมพี่ขุนถึงมาเป็นผู้ช่วยยมทูต”

            เมื่อไม่ได้คำตอบจากชายหนุ่ม จึงถามจากยมทูตตัวจริงแทน

            “เธอไม่ต้องรู้หรอก” คำตอบชายทั้งสองไม่แตกต่างกัน

            “เฮ้อ...เป็นผู้หญิงไม่ต้องรู้ทุกเรื่องก็ได้...แกล้งโง่สักหน่อยถึงจะดูน่ารักใช่มั้ยคะ”

            ตอบกระฟัดกระเฟียดไม่จริงจัง เรียกรอยยิ้มปรากฏในดวงตาอีกฝ่าย

            “นอกจากบอกลา...ฉันตั้งใจทำหน้าที่ยมทูต ‘ส่งสาร’ จากยมโลกแก่เธอเป็นรายสุดท้าย”

            “ค่ะ” หญิงสาวรับคำสีหน้านอบน้อม

            “ศีล...นอกจากเป็น ‘ต้นทุนมนุษย์’ ยังเป็นเกราะกันเภทภัยชั้นดี...มนุษย์มีโอกาสสร้างคุณงามความดี ยกระดับจิตใจได้ง่ายกว่าภพภูมิใด ๆ เมื่อมีโอกาสกระทำกรรมดีอย่ารีรอ อายุขัยหนึ่งชั่วชีวิตคนไม่ยาวนานเลย”

            บัวบุษรายกมือประนมไหว้ กล่าวรับคำเต็มตื้น

            “บัวจะจดจำ ‘สาร’ ชิ้นสุดท้ายของยมทูตหินผาไว้ตลอดชีวิตค่ะ”




--------------- ------------ --------------




            หลังหญิงสาวตรวจนัยน์ตาเรียบร้อย กำลังออกจากห้องแพทย์ ได้ยินเสียงหมอดนัยคุยโทรศัพท์แว่ว ๆ ว่าพยาบาลที่รับปากจะไปออกหน่วยจิตอาสาชุมชนชานเมืองติดธุระด่วน ไม่สามารถช่วยงานได้ เธอจึงชวนพี่สาวเป็นผู้ช่วยคุณหมอแทน

            “กลับเย็นเลยนะ ไม่ติดธุระอะไรหรือ” คุณหมอรีบบอกก่อน

            “ว่างค่ะไปได้ ถือว่าบัวขอใช้ดวงตาคู่นี้ทำประโยชน์แก่คนอื่น แทนเจ้าของกระจกตาที่มอบให้มาค่ะ”

            พูดอย่างนี้พี่สาวคัดค้านไม่ออก ยอมตามใจน้องสาว

            บัวบุษราตั้งใจดำเนินชีวิตตาม ‘สาร’ สุดท้ายยมทูต...เมื่อมีโอกาสกระทำดีอย่ารีรอ...

            หมอดนัยชวนสองพี่น้องนั่งรถบัสโรงพยาบาลไปด้วยกัน ระหว่างทางก็แนะนำเกี่ยวกับยาที่จะนำไปแจก การปฏิบัติงานจิตอาสาครั้งนี้จนเข้าใจ

            พอไปถึงสถานที่จริงค่อยทราบว่าเป็นงานใหญ่ มีทหารตำรวจประชาชนช่วยงานกันมากมาย ตั้งเต็นท์หน่วยแพทย์เคลื่อนที่ มีงานขุดลอกคูคลอง ทำความสะอาดชุมชน ซ่อมแซมศาลาสาธารณะประโยชน์ที่ชำรุด

            บัวบุษราไม่อาจทราบเลย การมาร่วมงานจิตอาสาสร้างกรรมดีวันนี้ ช่วยปัดเป่าเภทภัย เรื่องร้ายให้พ้นตัวโดยไม่ตั้งใจ




--------------- ------------ --------------




            บัณฑิตยืนบนแสตนด์หน้าเวที พูดถึงผลงานที่ผ่านมาในตำแหน่งประธานเกรทนภากรุ๊ป จากนั้นแสดงวิสัยทัศน์ นโยบายที่จะช่วยให้องค์กรก้าวหน้า ใหญ่โตกว่าเดิม

            ภาพบนจอด้านหลังฉายถึงการทำงานแต่ละองค์กรในเครือ การพัฒนาที่ผ่านมา รวมถึงแสดงผลประกอบการตลอดสองปีที่ตนดำรงตำแหน่งว่าสูงขึ้นจากเดิมเท่าไร

            เมื่อถึงเวลาตอบข้อซักถามผู้ถือหุ้น ประธานใหญ่เตรียมรับมือขุนคีรี ภากรเป็นพิเศษ มั่นใจว่าทั้งคู่วางแผนป่วนการประชุม ตั้งใจหาข้อผิดพลาดมาโจมตีให้ร่วงจากตำแหน่ง

            ผิดคาดเมื่อทั้งสองนิ่งเฉยปล่อยผู้ถือหุ้นคนอื่นซักถามตามสะดวก ในผู้ถือหุ้นเหล่านั้นคนหนึ่งมีความรู้ด้านกฎหมาย การเงิน ระบบบริหารธุรกิจรอบตัว ตั้งคำถามเฉียบคม ไล่จี้ชาญฉลาด ต้อนเกือบจนมุมหลายครั้ง

            ประเด็นโดนหนักคือ ช่วงโรคระบาดที่ผ่านมา บัณฑิตบริหารงานโดยใช้กำไรธุรกิจในเครือ ‘อุ้ม’ สายการบินมากเกินไปโดยไม่ยอมลดค่าใช้จ่าย ปรับโครงสร้างหรือวางแผนแก้ไขสถานการณ์อย่างเป็นรูปธรรม

            ผู้ถือหุ้นรายนั้นยกผลประกอบการสายการบินที่ลดลงชนิดดิ่งลงเหว แล้วนำตัวเลขเม็ดเงินจากธุรกิจในเครือต่าง ๆ มา ‘อุด’ โดยแยกแยะชัดเจนว่าธุรกิจใดถูกนำผลกำไรเท่าไหร่ไปช่วยธุรกิจการบิน

            สุดท้ายตั้งคำถาม...ประธานบริษัทมีแนวทางเยียวยา ชดเชยแก่ผู้ถือหุ้นรายย่อยบริษัทในเครือที่เสียประโยชน์อย่างไร

            ขนาดเป็นตัวเลขที่ผู้ถือหุ้นรายนั้นอ่านข้อมูลให้ฟัง ไม่ได้ฉายภาพขึ้นจอ กรรมการ ผู้บริหารที่อยู่ฝ่ายประธานยังต้องลอบพยักหน้าคล้อยตามหลายคน

            สถานการณ์กำลังคับขัน บัณฑิตเตรียมรับมือแค่ภากร ขุนคีรี ไม่คิดว่าจะโดนผู้ถือหุ้นคนอื่นเล่นงานเช่นกัน พยายามสังเกตประเมินฝ่ายตรงข้าม พบว่าเป็นชายกลางคนท่าทางภูมิฐาน เข้าประชุมผู้ถือหุ้นแทนภรรยา ลักษณะพูดจาเหมือนนักกฎหมาย ไม่ก็อัยการกำลังซักฟอกผู้ต้องหาในศาล

            พยายามตั้งสติ ตอบคำถามด้วยรอยยิ้ม น้ำเสียงหนักแน่นน่าเชื่อถือ ลอบส่งสายตาให้เจตน์ส่งข้อมูลมาช่วยเหลือ

            เลขาทำหน้าที่ดีเยี่ยม รีบรวบรวมแผนชดเชยแก่ผู้ถือหุ้นเดินขึ้นเวทีส่งให้ประธานทันท่วงที

            บัณฑิตอ่านแผนการเยียวยา แนวทางชดเชยผลกำไรให้กลุ่มผู้ถือหุ้น เพื่อเรียกคะแนนเสียงกลับคืนมา

            ผู้ถือหุ้นที่กำลังไล่บี้กลับตั้งคำถามเกินคาด

            “นอกจากแนวทางที่ท่านประธานอ่านให้ฟังแล้ว เกรทนภากรุ๊ปได้มองหาธุรกิจตัวอื่นเพื่อเสริมรายได้จากการขาดทุนสายการบินหรือเปล่าครับ”

            “ธุรกิจอื่น...เช่นอะไรบ้างครับ...เอ่อ...คุณสุรชัยพอจะแนะนำผมได้มั้ย” ประธานใหญ่จงใจเรียกชื่อผู้ถือหุ้นรายนั้นอย่างสนิทสนม

            “ผมคงไม่กล้าแนะนำ แต่มีข่าววงในเล่าว่าท่านประธานกำลังมองธุรกิจสุราเครื่องดื่มผสมแอลกอฮอล์อยู่”

            “ข่าวที่คุณได้มาคงผิดแล้วล่ะ”

            “เท่าที่ทราบ ท่านประธานเคยพูดคุยเกี่ยวกับสัมปทานเหล้ากับพ่อเลี้ยงทางเหนือคนหนึ่งนี่ครับ”

            บัณฑิตกำลังจะปฏิเสธ ฉุกคิดได้รีบหันมองทางลูกชายพ่อเลี้ยงใหญ่ พบว่ากำลังจ้องตนด้วยแววตาพร้อมฟาดฟันทันทีหากพลาดพลั้ง

            “ครับ ผมยอมรับว่าเคยติดต่อพ่อเลี้ยงบุญชัยจริงแต่ยืนยันว่าไม่เกี่ยวกับธุรกิจนี้แน่นอน”



(โปรดติดตามต่อฉบับหน้า)



แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP