วรรณกรรมนำใจ Lite Literature

ทางยมทูต ๔๒



way cover




ชลนิล



(ต่อจากฉบับที่แล้ว)



            พลเทพคิดวิธีหนีออกนอกประเทศสองสามทาง แต่ละทางจำเป็นต้องมีผู้ช่วยเหลือไว้ใจได้ หรืออย่างน้อยมีเงินสดก้อนใหญ่เป็นใบเบิกทาง

            อดีตเจ้าพ่อไม่กล้าใช้โทรศัพท์เจ้าของบ้านโทรขอความช่วยเหลือจากลูกน้องเก่า คนที่เคยแผ่พระคุณ กระทั่งคนสนิทเหมือนลูกหลานอย่างขุนคีรี เกรงตำรวจจับตาคนเหล่านี้อยู่แล้วจะตามรอยถูก

            เคยคิดปลอมตัวออกไปติดต่อพวกเขาเอง ร่างกายก็ยังไม่แข็งแรงร้อยเปอร์เซ็นต์ กลัวแสดงพิรุธ หลบหนีไม่ทันเสี่ยงถูกจับได้

            สถานที่แห่งนี้เป็นหลุมหลบภัยชั้นเยี่ยม ตำรวจแวะเวียนมารอบสองรอบก็มีเหตุคลาดแคล้ว ไม่ติดใจสงสัย ผ่านพ้นตลอด เหมือน ‘ภูตผี’ บิดเบือนดลใจ

            ถึงอย่างนั้นไม่ควรอยู่นานกว่านี้อาจเป็นภัยต่อเจ้าของบ้าน อีกทั้งความแค้นรุมเร้านั่งนอนไม่เป็นสุข อยากเอาคืนคนที่พรากทุกสิ่งไปจากตน

            แต่ละวันครุ่นคิดวางแผนหลบหนี ‘แก้แค้น’ จัดการศัตรูร้ายในแบบต่าง ๆ จนเหน็ดเหนื่อยอ่อนล้า

            วันหนึ่ง...พลเทพหวนนึกถึงช่วงเวลาความเป็นความตายที่ผ่านมา!

            นิมิตกรรมดี นิมิตเรื่องเลวร้ายปรากฏให้เห็น จิตใจหวาดกลัวรุนแรง ร่ำร้องขอโอกาสมีชีวิตต่อเพื่อชดใช้กรรม แก้ไขสิ่งเลวร้ายที่ทำมา

            บัดนี้ได้รับ ‘โอกาส’ นั้น...ไฉนไม่กระทำตามตั้งใจเดิม

            นอกจากไม่สนใจชดใช้ความผิด ยัง ‘คิด’ กระทำสิ่งตรงข้าม แก้แค้นสร้าง ‘กรรมดำ’ เพิ่มหนี้สินแก่ตัวเอง

            จิตใจคนแปรเปลี่ยนไม่แน่นอน พอพ้นเภทภัยก็ลำพอง ลืมตัว ลืมคำสัญญา...หรือ...ความแค้นใจมีอำนาจเหนือ ‘สำนึกดี’

            นิมิตสำคัญคืนนั้นอีกอย่างคือ เหตุการณ์ขุนคีรียกพวกเตรียมบุกจู่โจมสังหารบัณฑิต

            ไม่แน่ใจเป็นเรื่องจริงหรือแค่จิตปรุงแต่ง...จดจำสภาวะทางใจได้ว่าจืดชืดเฉยชา ไม่ยินดียินร้าย อาจเพราะเวลานั้นไม่รู้หนึ่งในอดีตพันธมิตรสีเทาวางแผนร้ายปานใด

            ตอนขุนคีรียกเลิกคำสั่งบุก พลเทพไม่คัดค้านกลับ ‘อนุโมทนา’ ยินดีพอใจเพราะอะไร?

            ...ส่วนลึกในใจไม่อยากให้ ‘หลานชาย’ เข้าสู่วังวนด้านมืดขนาดนั้น...

            พอตื่นมาพบความจริง ทราบข่าวเลวร้ายเกิดกับตน และ ‘น้องชายคนสนิท’ คิดไม่ตกหากเจอขุนคีรี จะส่งเสริม หรือคัดค้านให้อยู่วงนอก แล้วตนล้างแค้นครั้งนี้เอง

            ‘กองทุนลับ’ ในต่างประเทศ สามารถมอบอำนาจให้หลานรักใช้ว่าจ้าง ‘มือดี’ ทั่วโลกมาแก้แค้น โดยตนเองไม่ต้องออกหน้า ตำรวจไม่มีเบาะแส กฎหมายเอื้อมแตะไม่ได้

            ...แต่...การทำเช่นนั้น ขุนคีรีจะกลายเป็นจอมวายร้ายผู้ทรงอิทธิพล ควบรวมอำนาจบารมีพ่อและลุงไว้ในตัวคนเดียว กลายเป็นบุคคลน่ากลัวกว่าใคร...แค่คิดพลเทพก็หนาวเยือก

            เขาควรสนับสนุน ‘ลูกหลาน’ ให้กลายเป็นคนประเภทนั้นหรือ

            ความแค้นกับสำนึกดีรบราในใจหลายรอบ เหมือนก่อสนามรบทุกครั้งยามเผลอคิดถึงเรื่องเหล่านี้ สุดท้ายต้องประกาศ ‘พักรบ’ บอกตัวเองว่าคงไม่มีโอกาสเจอหลานชายเร็วนัก ไม่จำเป็นต้องรีบตัดสินใจก็ได้

            ‘โอกาส’ มาถึงรวดเร็วชนิดไม่ยอมให้ตั้งตัว เมื่อประตูห้องหลบภัยเปิดออก ยายแช่มพาชายหนุ่มคนหนึ่งเข้ามา

            พลเทพค่อยทราบ...บางคน...ไม่ต้องเสาะหา...เมื่อถึงเวลาเขาจะมาเอง




--------------- ------------ --------------




            สภาพเจ้าพ่อใหญ่ไม่เลวร้ายเท่าขุนคีรีคิด ความเป็นอยู่สะอาด สะดวกสบายพอสมควร บาดแผลสมานตัวเริ่มแห้งไม่มีอาการติดเชื้อ ร่างกายแข็งแรงเท่าที่คนวัยนี้จะฟื้นตัวได้

            “ขอโทษครับลุง ผมมาช้าไปหน่อย”

            “ไม่เป็นไร เสียใจกับพ่อเราด้วยนะ รู้แล้วใช่มั้ยว่าฝีมือใคร”

            “ทราบครับ”

            “ถ้าอย่างนั้นเรามีเรื่องต้องคุยกันสักหน่อย”

            “ผมก็มีเรื่องอยากคุย กับเรื่องต้องขอร้องลุงพลเหมือนกัน”

            “เอาสิ...งั้นใครจะเป็นฝ่ายเริ่มก่อนดี”

            ชายต่างวัยทั้งสองสบตากัน ภายในนั้นฉายแววผูกพันอาทรห่วงใยปิดไม่มิด วาจาอาจกระชับสั้นชัดเจนแบบนักเลง สิ่งภายในถ่ายทอดผ่านดวงตามากมาย เป็นสายใยความรักหวังดีที่ต่างฝ่ายไม่จำเป็นต้องอธิบาย

            ขุนคีรีก้มลงโอบกอดผู้สูงวัยกว่า ไม่มีทั้งคำพูด คำขอร้อง จิตใจมีแต่ปีติยินดีที่อีกฝ่ายยังรอดชีวิต

            เขาไม่มีโอกาสช่วยเหลือชักนำบิดาสู่แสงสว่าง สิ่งใดตั้งใจกระทำเพื่อมอบแก่พ่อผู้ล่วงลับ ย่อมถูกถ่ายโอนมายัง ‘ญาติผู้ใหญ่’ ซึ่งตนรักผูกพันเสมือนบิดาอีกคน

            พลเทพไม่จำเป็นต้องครุ่นคิด ตัดสินใจใด ๆ เคยคิดว่าหลังลูกสาวคนเดียวเสียชีวิตตนไม่เหลือใครอีกแล้ว กลับเห็น ‘ลูกชาย’ อีกคน รักเอ็นดูไม่น้อยกว่ากันปรากฏกายตรงหน้า

            ในใจบังเกิดความรู้สึก สิ่งสำคัญในชีวิตมีไม่มาก...ไม่ว่า ‘ลูกชาย’ คนนี้มาเพื่อช่วยเหลือ หรือกล่าวคำขอร้องใด ย่อมไม่มีเหตุผลปฏิเสธเลย




--------------- ------------ --------------




            แม่น้ำสายใหญ่ทอดตัวยาวใต้ผืนฟ้ารัตติกาล ระลอกคลื่นสะท้อนแสงจันทร์แสงไฟริมฝั่งแลดูลึกลับงดงาม สายลมเย็นโชยพัดนำกลิ่นดอกไม้ราตรีลอยปะปนจาง ๆ

            รถมอเตอร์ไซค์จอดใต้เงาต้นไม้ใหญ่ริมถนน ขุนคีรียืนมองสายน้ำยามค่ำคืนด้วยอาการกึ่งใจหาย ดวงวิญญาณแพรตะวัน สัตยาปรากฏเป็นเงาเลือนรางใกล้ ๆ

            นี่คือภารกิจสุดท้ายของผู้ช่วยยมทูต

            “ขอบใจมากนะขุน” เสียงแพรตะวันแผ่วเบาในความเงียบ “สำหรับทุกเรื่องที่ช่วยเหลือตั้งแต่แรกจนถึงเดี๋ยวนี้”

            “ไม่เป็นไร...ขุนไม่ได้ทำอะไรเท่าไหร่หรอก”

            “ถ้าไม่ใช่ขุน...พ่อไม่มีทางยอมมอบตัวหรอก”

            “ช่วงเวลาผ่านความเป็นความตาย ลุงพลตั้งใจอยากชดใช้ความผิดตัวเองอยู่แล้ว ขุนแค่เปิดประตูให้เท่านั้นเอง”

            “ไม่จริงหรอก ตอนแรกพ่อตั้งใจยก ‘กองทุนลับ’ ให้บริหาร นำเงินไปจ้างมือดีมาแก้แค้น ขุนยังไม่เอาทั้งที่รู้ว่าจำนวนเงินมากมายขนาดไหน”

            “เอาเงินไปซื้อบาปกรรมใส่ตัว...โง่หรือฉลาด”

            หากพูดประโยคนี้ตอนยังมีชีวิต...แพรตะวันคงไม่เข้าใจ พออยู่ในจุดที่ไม่เห็นคุณค่าของเงินอีกแล้ว วาจาขุนคีรีช่วยให้ตาสว่างกว่าเดิม

            ...ตราบใดมีชีวิต ย่อมมีโอกาสเลือกเส้นทางสว่างหรือมืดมิด...ตายไปแล้วเงินทองกองท่วมหัวช่วยอะไรไม่ได้เลย...

            “พ่อหัวดื้อเอาความคิดตัวเองเป็นใหญ่ ตั้งแต่รอดตายคิดแต่เรื่องแก้แค้นตายตกตามกัน ไม่เคยคิดมอบตัวเป็นพยานเอาผิดบัณฑิตเลย เพราะรู้ว่าเดี๋ยวมันก็ให้ทีมกฎหมายช่วยพ้นผิดอยู่ดี...ขุนยังพูดให้แกเปลี่ยนใจได้”

            “นั่นเพราะลุงพลยังไม่รู้ว่าตำรวจมีแผนการยังไง พอเข้าใจแกก็ไม่ปฏิเสธ ยอมรักษาตัวต่อในเซฟเฮ้าส์ตำรวจ ให้หลักฐานข้อมูลเป็นประโยชน์ทุกอย่าง...อย่างนี้แพรควรสบายใจได้แล้วนะ”

            “อือ...แพรหมดห่วงแล้วล่ะ ถึงบอกไงว่าขอบใจสำหรับทุกเรื่อง”

            คราวนี้ขุนคีรีไม่ปฏิเสธวาจา หันไปพูดกับสัตยาอีกคน

            “คุณสัตยา ภารกิจก่อนตายของคุณถือว่าสำเร็จแล้ว ลุงพลยอมมอบตัว ขบวนการยาเสพติดสายนี้ถูกทำลายเรียบร้อย”

            “ครับ” รับคำด้วยสีหน้าปลอดโปร่ง ไม่กล้าพูดมากเกรงใจคนข้าง ๆ

            “อย่างนั้นถือว่าสองคนพร้อมไปพบท่านพญามัจจุราชแล้วล่ะ”

            “เดี๋ยวสิ ขุนยังไม่บอกแพรเลย มาเป็นยมทูตได้ยังไง”

            “เรื่องนั้นไม่สำคัญแล้ว เพราะการพาแพรกับคุณสัตยามาส่ง ถือเป็นภารกิจสุดท้ายของขุนเหมือนกัน” พูดด้วยอาการใจหาย พยายามตั้งสติแนะนำดวงวิญญาณทั้งสอง

            “ตอนพบท่านมัจจุราช พยายามระลึกถึงกรรมดีที่เคยทำไว้เยอะ ๆ ลืมภาพน่ากลัวของท่านที่ผู้คนแต่งแต้มสีสันออกไป แล้วตั้งสติฟังคำชี้นำชี้แนะของท่านให้ดี”



            “เท่านี้ก็พอแล้วกระมัง...ผู้ช่วยยมทูตขุนคีรี”

            ยมทูตหินผาจงใจเรียกเต็มยศ ร่างปรากฏยืนเหนือน้ำห่างริมฝั่งสามสี่เมตร กลิ่นอายเถ้าสะเก็ดหินนิรยภูมิลอยอบอวล คลื่นความร้อนแผ่จาง ๆ สยบเหล่าภูตผีดวงวิญญาณให้กริ่งเกรง

            ดวงวิญญาณแพรตะวัน สัตยาสงบงันแสดงความเคารพโดยไม่ต้องบอก

            “ถึงเวลาแล้วหรือครับ” ผู้ช่วยยมทูตถาม

            “ใกล้แล้ว”

            “ถ้างั้นผมขอเวลาพวกเขาอีกนิด”

            พูดจบเดินเข้าใกล้แพรตะวัน ยิ้มอ่อนโยนถามเบา ๆ

            “มีอะไรอยากฝากบอกลุงพลมั้ย”

            ถามพร้อมเปิด ‘ดวงตายมทูต’ ออกกว้าง พร้อมส่งภาพและเสียงวิญญาณสาวไปเข้าฝันบิดา

            ดวงหน้าแพรตะวันฉายรอยยิ้มสดใส คำพูดสุดท้ายก่อนลาถ่ายทอดจากใจ

            “พ่อคะ...แพรภูมิใจกับการตัดสินใจครั้งนี้ของพ่อ ต่อให้เส้นทาง ‘ชดใช้’ บาปผิดจะลำบากยืดยาวสักแค่ไหน ขอให้รู้ไว้ว่าทุกความเจ็บปวด ทุกบาดแผลภายนอก - ภายในที่จะได้รับ มันคือการ ‘ไถ่ถอน’ ความผิดพลาดตัวเอง ตอนที่พ่อท้อใจ ทนไม่ไหว แพรคงไม่มีโอกาสอยู่ใกล้ ๆ แต่ขอให้รู้ไว้...พ่อคือฮีโร่ ผู้ไม่ยอมแพ้ในใจแพรเสมอ...ถ้าความรักช่วยเยียวยาได้...ความรักของแพรจะอยู่รอบตัวพ่อ...รักพ่อนะคะ”

            ภาพในนิมิตขุนคีรี

            ...พลเทพกำลังฝันเห็นบุตรสาวบอกลาด้วยรอยยิ้มเต็มหน้า เขาตอบรับหัวใจเอ่อล้นเปี่ยมสุข อย่างไม่เคยเป็นมาก่อน...

            ภารกิจสุดท้ายเสร็จสมบูรณ์

            วิญญาณสองดวงเลือนหาย อาจกำลังเดินทางล่วงหน้าสู่สถานที่รับคำชี้แนะ-นำทาง ยมทูตหินผารั้งรอชั่วขณะ สายตามองชายหนุ่มตรงหน้า ทราบว่าเขามีวาจาล่ำลาเช่นกัน

            “ขอบคุณมากครับ...สำหรับภารกิจผู้ช่วยยมทูตที่ผ่านมา และขอบคุณสำหรับกระจกตาให้บัวบุษรา”

            “เธอไม่คิดว่าฉันหลอกลวง ใช้ทำงานเปล่าประโยชน์แล้วรึ”

            “เมื่อถึงตรงนี้ผมรู้แล้วว่า...ตัวเองได้รับโอกาสอันหายาก...ถ้ากระจกตาที่บัวบุษราได้รับ ช่วยให้เธอมองเห็นแสงสว่างในโลกอีกครั้ง ประสบการณ์ผู้ช่วยยมทูตก็ช่วยให้มองเห็น ‘อีกโลก’ จนผมเริ่มเห็นแสงสว่างในใจตัวเองเหมือนกัน”

            ยมทูตหินผาผ่อนคลาย แววตาอ่อนโยนกว่าปกติ

            “ตอนนี้ภารกิจผู้ช่วยยมทูตสิ้นสุดแล้ว...เธอจะรับ ‘คำขอ’ ของฉันสักอย่างได้มั้ย”

            ขุนคีรีเกือบหลุดปากถาม...คำขอ...คือเรื่องใด อาจมีบางเรื่องยากกระทำ บางเรื่องถึงขั้นเกินกำลัง กระทำไม่ได้

            พอฉุกคิด ที่ผ่านมายมทูตหินผาไม่เคยมอบภารกิจยากเย็นเข็ญใจ ฝืนความรู้สึก อีกทั้งฟังคำตอกย้ำมาตลอด ยมทูตไม่แทรกแซงการกระทำมนุษย์

            “ผมยินดีรับคำขอนั้นครับ” ตอบรับชัดเจน

            แววตายมทูตปรากฏรอยพึงพอใจชั่วแวบ สีหน้าเมตตาปรานีผิดเคย

            “ฉันขอให้เธอมี ‘ศรัทธา’ ในเหตุและผลของ ‘กรรมวิบาก’”

            “ครับ” วาจาหนักแน่นไม่ลังเล

            ‘กรรมวิบาก’ เป็นเรื่องยากที่มนุษย์ธรรมดาจะมองเห็น ‘ต้น’ และ ‘ปลาย’ ของมันตลอดสาย ทำให้หลายคนคลอนแคลน ลังเลสงสัย ถึงขั้นพาลไม่เชื่อถือ

            ยมทูตหินผาขอให้ขุนคีรีมี ‘ศรัทธา’ เชื่อมั่น แล้วค่อยใช้เวลาที่เหลือคอยสังเกต เฝ้าดูจนยอมรับมันด้วยความเข้าใจเอง




--------------- ------------ --------------




            ‘เกรทนภากรุ๊ป’ ตัวตึกประธานสูงหลายสิบชั้น พื้นที่บริเวณโดยรอบกว้างขวาง มีทั้งอาคารจอดรถ อาคารสำนักงานบริษัทในเครือ อาคารหอประชุมสำหรับจัดประชุมภายในองค์กร และให้เช่าทำกิจกรรม อีเวนท์

            ลานจอดรถหน้าหอประชุมเรียงรายด้วยรถยนต์ยี่ห้อดังต่าง ๆ ถึงอย่างนั้นยังมีที่ว่างมากพอสำหรับผู้เข้าร่วมประชุมใหญ่วันนี้

            รถยุโรปสีขาวคันใหญ่แล่นมาจอดโดยไม่ดับเครื่อง ผู้โดยสารยังไม่ลงจากรถ

            ขุนคีรีหยิบโทรศัพท์ดูไลน์ข้อความแล้วยิ้ม

            “ยังไม่ต้องรีบลงจากรถหรอกพี่เข้ม รอ ‘ผู้ช่วย’ มาก่อน”

            “ผู้กองไทธัตจะส่งใครมาช่วย ทำไมไม่เห็นบอกกันก่อน” เข้มสงสัย

            “คนนี้ตำรวจไม่ได้ส่งมาช่วย ผมหามาเอง...แผนเล่นละครของเราจะได้แนบเนียนกว่าเดิม”

            “ใครเหรอ”

            ถามไม่ทันขาดคำ รถยนต์ BMW รุ่น X3 สีขาวมาจอดเทียบด้านข้าง ชายกลางคนสวมสูทสง่าราศีฉายชัด ลักษณะน่าเชื่อถือลงจากรถพร้อมกระเป๋าเอกสารใบหนึ่ง

            ขุนคีรียิ้มกว้างรีบลงจากรถด้วยความประหลาดใจ

            “เฮ่ยน้าขับบีเอ็มจริงน่ะ คราวก่อนคิดว่าพูดเล่น”

            “รถเมียให้เอามาใช้ ขืนขับแท็กซี่มาจอดที่นี่คงดูพิลึกไม่เข้าพวกแน่”

            เข้มลงจากรถ ยกมือไหว้ผู้มาใหม่ตามมารยาท สายตาสงสัยหันกลับมามองน้องชาย

            “น้าแกชื่อ...เอ๊ย...นี่คุณสุรชัยเป็นนิติกร จะมาช่วยพวกเรา” ขุนคีรีแนะนำ

            “ผมเป็นนิติกร ตำแหน่งที่ปรึกษากฎหมายกระทรวง...” เป็นครั้งแรกที่แท็กซี่สุรชัยบอกตำแหน่งปัจจุบันของตน

            ต่อให้ลูกชายพ่อเลี้ยงคนดังทราบเบื้องหลังอีกฝ่าย ยังไม่คิดตำแหน่งจริงจะสูงระดับนี้

            เข้มรีบยกมือไหว้อีกครั้ง เขามั่นใจว่ารู้จักเพื่อนฝูง คนรู้จักขุนคีรีทุกคน ไม่คิดว่าน้องชายจะรู้จัก ‘ผู้ใหญ่’ คนละวงการแบบนี้

            ขุนคีรีรีบพาทุกคนเข้าหอประชุม เกรงพี่ชายจะจำได้อีกว่าเคยพบ ‘ที่ปรึกษากฎหมาย’ ในสภาพแท็กซี่มารับพวกตนในคืนที่หลบจากเซฟเฮ้าส์บัณฑิต

            คืนนั้นเข้มได้ยินแค่เสียงโต้ตอบ ไม่เห็นหน้าคนขับแท็กซี่ นั่งรถไม่กี่นาทีก็สลบไสล ต่อให้ความทรงจำแม่นยำก็คาดไม่ถึงจะเจอกันลักษณะนี้




--------------- ------------ --------------




            “ผมตรวจสอบเอกสารทั้งหมดที่ส่งมาแล้ว หุ้นเกรทนภากรุ๊ปของพ่อเลี้ยงบุญชัย โอนมาเป็นชื่อคุณทั้งหมดเรียบร้อยไม่มีปัญหา ตอนนี้ถ้าไม่นับคนในตระกูล ลูกหลานสายต่าง ๆ ของเกรทนภา จำนวนหุ้นที่คุณถือนับว่าสูงมากสำหรับบุคคลภายนอก ถ้ามีการโหวตเลือกประธานแล้วคะแนนมันปริ่ม ๆ ก้ำกึ่งกัน เสียงของคุณสามารถตัดสินได้เลย”

            “มิน่า ตำรวจถึงอยากให้เราช่วย”

            “ภากรยอมช่วยเหลือให้ข้อมูล เพราะอยากดึงเราเข้าพวกเหมือนกัน” เข้มเสริม

            “พวกนั้นไม่รู้ใช่มั้ยว่าคุณจะเข้าประชุมใหญ่ในฐานะผู้ถือหุ้นแบบนี้” สุรชัยถาม

            “พวกมันไม่คิดว่าผมอยู่กรุงเทพฯ ด้วยซ้ำ คิดว่าข้ามฝั่งไปเจรจา ‘เอาเรื่อง’ กับปีเตอร์ พร้อมลูกน้องโขยงใหญ่”

            หลังร่วมวางแผนกับตำรวจ ขุนคีรีบินไปกลับกรุงเทพฯ - บ้านเกิดบ่อย ๆ ทำทีระดมคน อาวุธเหมือนวางแผนเช็กบิลปีเตอร์ ส่วนอีกฝ่ายก็แสดงท่าพร้อมรับมือ เรียกมือดีกลับมาคุ้มครอง อีกทั้งนัดหมายพูดคุยเจรจาเป็นทางการ

            พวกเขาเลือกวันประชุมใหญ่เกรทนภากรุ๊ป เป็นวันนัดหมายเปิดโต๊ะเจรจา สืบสาวการตายพ่อเลี้ยงบุญชัย

            วันนี้สองผู้มีอิทธิพลต่างยกพวกพ้องเผชิญหน้า พร้อมเปิดสงครามทันทีหาก ‘ปีเตอร์’ ไม่สามารถแสดงความบริสุทธิ์ตัวเองได้

            นั่นเป็นแผนหลอกล่อซ้ายจู่โจมขวา

            พ่อเลี้ยงบุญชัยซื้อหุ้นเกรทนภากรุ๊ปไว้จำนวนหนึ่ง มากเท่าที่ทางนั้นปล่อยให้บุคคลภายนอกซื้อได้ ด้วยกิจการผลไม้กระป๋อง ผลไม้แปรรูปอบแห้งของตนต้องอาศัยการขนส่งจากบริษัทนี้

            เข้มจัดการโอนหุ้นทั้งหมดให้ขุนคีรีตามพินัยกรรมตั้งแต่แรก เมื่อทางตำรวจต้องการ ‘ตัวละคร’ ป่วนการประชุม จึงไม่มีใครเหมาะไปกว่า ‘ผู้ถือหุ้น’ คนสำคัญ




--------------- ------------ --------------




            “ขุนคีรี ลูกชายพ่อเลี้ยงบุญชัย เพิ่งลงชื่อเข้าประชุมกรรมการ ผู้ถือหุ้นเมื่อครู่นี้” เจตน์รายงาน

            “เฮ้ย มาได้ยังไง ตะกี้ ‘สาย’ ยังรายงานบอกว่า ลูกชายพ่อเลี้ยงบุญชัยเพิ่งยกพวกข้ามชายแดนไปที่บ่อนปีเตอร์ไม่ถึงสิบห้านาทีนี้เอง”

            “ผมเช็กรูปถ่ายที่สายส่งมาแล้ว พวกพ่อเลี้ยงบุญชัยข้ามฝั่งไปขบวนใหญ่จริง แต่ไม่เห็นลูกชาย กับมือขวาคนสนิทอยู่ในคณะด้วย”

            “ทำไมสายถึงพลาดแบบนี้วะ”

            “ผมว่าพวกมันกำลังวางแผนป่วนการประชุมแน่ หลังจากได้ข่าวผมตรวจกล้องวงจรปิดทั่วหอประชุม สังเกตเห็นผู้ไม่เกี่ยวข้องกับกรรมการ ผู้ถือหุ้นอยู่คนหนึ่ง”

            “ใคร”

            “ดาบตำรวจพนา”

            “อะไรวะ ขนาดพลเทพโดนออกหมายจับ พ่อเลี้ยงบุญชัยตาย มันยังไม่พอใจตามกัดทุกคนเรื่องคดีลูกสาวอีกหรือ”

            การสืบสวนลับของนายตำรวจอาวุโสไม่เป็นความลับสำหรับประธานเกรทนภากรุ๊ป ทุกสิ่งที่พนารู้...ฝ่ายตรงข้ามรู้เช่นกัน ที่ยังรอดปลอดภัยไม่โดนเก็บเพราะบัณฑิตต้องการยืมมือตำรวจคนนี้จัดการเสี้ยนหนามตัวเอง

            “ผมคิดว่าลูกชายพ่อเลี้ยงบุญชัยร่วมมือกับดาบพนา อาจระแคะระคายว่าคนสั่งฆ่าไม่ใช่ปีเตอร์ เลยตั้งใจมาป่วนการประชุมในฐานะผู้ถือหุ้นแทนพ่อ”

            เจตน์พยายามอ่านเจตนาฝ่ายตรงข้าม

            “ไอ้ดาบนั่นมันจะร่วมมือกับลูกชายคนที่ทำให้ลูกสาวตาบอดเหรอ” บัณฑิตไม่อยากเชื่อ

            “ผมได้ข่าวว่าลูกสาวดาบพนาได้การรับกระจกตาจากพ่อเลี้ยงบุญชัยมาเปลี่ยน จนตอนนี้เกือบมองเห็นปกติแล้ว”

            เหตุผลนี้น่าจะเพียงพอ

            “เฮ้ย ทำไมไม่บอกเรื่องนี้ให้รู้แต่แรก”

            เลขาคนสนิทก้มหน้าเงียบ ไม่อธิบายแก้ตัว

            “คิดว่าพวกมันจะป่วนการประชุมยังไง” ผู้เป็นนายไม่ไล่จี้เรื่องไม่จำเป็น เจาะจงถามปัญหาสำคัญกว่า

            “ผมว่า พวกมันต้องทำทุกวิถีทางให้ท่านลงจากตำแหน่ง”

            คำว่า ‘ทุกวิถีทาง’ กินความหมายกว้างยากชี้เฉพาะ บัณฑิตไม่เสียเวลาซักถามเรื่องไม่จำเป็นขนาดนั้น

            “เราจะเตรียมการรับมือยังไง”

            “ชิงจู่โจมจุดอ่อนพวกมันก่อน!”

            เจ้านายยิ้มเข้าใจ ก่อนดาบตำรวจพนากับขุนคีรีจะป่วนการประชุมเพื่อไม่ให้ตนได้รับตำแหน่ง พวกตนต้องจู่โจมจุดอ่อนคู่ต่อสู้

            ระหว่างนายตำรวจอาวุโส กับลูกชายพ่อเลี้ยงทรงอิทธิพล ไม่จำเป็นต้องจัดการทีเดียวพร้อมกัน แค่เลือกจุดอ่อนคนที่หาง่าย สะดวกรวดเร็วเพียงคนเดียวเท่านั้น...พวกมันก็ดิ้นไม่หลุด ขยับไม่ได้แล้ว




--------------- ------------ --------------




            แสงสว่างกระทบเปลือกตาเต็มที่หลังจากนำฝาครอบออก บัวบุษราลืมตาช้า ๆ สัมผัสแสงนุ่มนวลในห้องตรวจ แล้วมองใบหน้าคุณหมอกับพี่สาวด้วยรอยยิ้ม

            นายแพทย์ดนัยตรวจละเอียดซ้ำอีกครั้งค่อยวางใจ

            “โอเคเรียบร้อย ตอนนี้ไม่ต้องใส่ที่ครอบตาแล้ว มองเห็นชัดเจนมั้ย”

            “ชัดเป๊ะเลยค่ะ”

            หมอหัวเราะกับคำตอบหนักแน่นเกินจริง

            “ไม่ต้องเป๊ะเอาใจหมอขนาดนั้นหรอก ยินดีด้วยนะ”

            จบวาจาก็แนะนำการปฏิบัติตัวต่ออีกยืดยาว

            “ขอบคุณค่ะหมอ” พรไพลินขอบคุณแทนน้องสาว

            บัวบุษรายิ้มสดใสอดแหย่พี่สาวไม่ได้

            “พี่พรแย่งเค้าพูดทำไม...คำนี้บัวต้องพูดก่อน...ขอบคุณหมอที่สุดเลยค่ะ...รักนะคะ”

            ดนัยส่ายหน้ากับความดีใจจนล้นเกินของคนไข้

            “เสร็จแล้วจะไปไหนต่อล่ะ ดาบเขาจะมารับมั้ย” หมอเห็นมาแค่สองสาวจึงถามอย่างคุ้นเคย

            “ไม่มาค่ะ” คนเป็นพี่สาวตอบ

            “พ่อติดงาน...อะไรก็ไม่รู้...” น้องสาวตอบบ้าง ดวงตาฉายรอยเป็นห่วง

            “งั้นพรกับบัวขอตัวกลับก่อนนะคะ”

            “จ้ะ”

            สองสาวลุกจากเก้าอี้ กำลังจะเปิดประตูออกไป จังหวะเดียวกับเสียงโทรศัพท์นายแพทย์ดนัยดังขึ้น

            บัวบุษราชะงักเหลียวกลับไปมอง หูได้ยินเสียงหมอดนัยคุยโทรศัพท์แว่ว ๆ ผ่อนลมหายใจเบา ๆ รอยยิ้มบาง ๆ แตะใบหน้า ยังไม่เดินตามพี่สาวออกจากห้องตรวจ

            “เรายังไม่ต้องรีบกลับบ้านหรอกพี่พร”

            ปากหลุดวาจาทันทีที่คุณหมอวางสายเรียบร้อย



(โปรดติดตามต่อฉบับหน้า)



แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP