วรรณกรรมนำใจ Lite Literature

ทางยมทูต ๔๐



way cover




ชลนิล



(ต่อจากฉบับที่แล้ว)



            ออกมานอกร้านข้าวแกงเตรียมวิ่งไปหน้าปากซอยหาแท็กซี่โดยด่วน แทบสะดุดกึกเมื่อเห็น ‘คนคุ้นเคย’ จอดรถรอราวกับรู้เวลา

            “ขอบคุณน้า...มาได้เวลาพอดีเลย” พูดพลางรีบขึ้นรถ

            แท็กซี่สุรชัยหัวเราะหึหึ ตอบแกมแหย่

            “มารอสักพักแล้ว ไม่ได้ทันเวลาเป๊ะอย่างในหนังหรอก”

            รถออกตัวทันที ขุนคีรียังงุนงงอดถามไม่ได้

            “น้ารู้ล่วงหน้าว่าหลักฐานอยู่ไหนเหรอ...ทำไมไม่บอกผมแต่แรก”

            “ไม่รู้...ผมเพิ่งมารู้ตอนเย็นว่าคุณกำลังทำอะไร เลยเตรียมตัวมารอไว้ก่อน” สุรชัยเฉลย “แล้วได้ ‘เห็น’ เบาะแสจริง ๆ พร้อมคุณนั่นแหละ...เข้าใจว่าจะไปไหน ทำไมต้องรีบขนาดนี้”

            คำว่า ‘เห็นพร้อมคุณ’ แสดงว่าผู้ช่วยยมทูต กับอดีตยมทูตฝึกหัดมีจิตสื่อถึงกันระดับหนึ่ง หรืออย่างน้อยฝ่ายผู้สูงวัยกว่าจะทราบและ ‘รู้เห็น’ ทุกครั้งที่ ‘รุ่นน้อง’ ใช้พลังยมทูต

            “แหม คิดว่ามาช่วยเพราะยมทูตหินผาบอกล่วงหน้า”

            แท็กซี่สุรชัยส่ายหน้า

            “ท่านหินผาไม่ได้บอกหรอก ผมมีหน้าที่ช่วยเหลือคุณในช่วงเป็นผู้ช่วยยมทูต เลยสามารถรู้ความเคลื่อนไหวตามสมควร...ถึงยมทูตท่านนั้นจะลุ้นเอาใจช่วยขนาดไหน ก็ต้องวางใจเป็นกลาง”

            “ขอบคุณครับ”

            “ขอบคุณใคร...ผม...หรือท่านหินผา...” อดแหย่ไม่ได้

            ชายหนุ่มหัวเราะเบา ๆ ไม่จำเป็นต้องตอบคำถามนั้น




--------------- ------------ --------------




            กำแพงสูงทึบล้อมบ้านหลังใหญ่เนื้อที่กว้างขวางราวกับ ‘คุก’ แห่งหนึ่ง ตัวบ้านเก่าสร้างหลายปีมีร่องรอยซ่อมแซมบูรณะเป็นระยะ ชั้นล่างดับไฟมืด วังเวง น่ากลัว เปิดแค่ไฟสลัวบนห้องนอนชั้นสองดวงเดียว

            ‘หทัย’ หญิงกลางคนเจ้าของบ้านสวมชุดนอนยาวนั่งเอนหลังบนเก้าอี้เดียวดาย บ้านเคยมีคนอาศัยน้อยอยู่แล้ว บัดนี้ไม่เหลือใครสักคน...หลังจากวิบากกรรมโหมกระหน่ำ!

            ‘อาชีพ’ เธอโดนแฉออกสื่อ สังคมรับรู้ทั่วหน้า ญาติพี่น้องผู้มีบารมีไม่อาจปกป้องช่วยเหลือ ทำได้แค่ใช้เงินทองตำแหน่งประกันตัวออกมาสู้คดี ซึ่งทนายทุกคนพูดเป็นเสียงเดียว...ยอมรับ...ขอลดหย่อนโทษ

            คดีรับทำแท้งผิดกฎหมาย ทำให้ผู้อื่นเสียชีวิตโดยประมาท จะลดหย่อนโทษสักเท่าไร ขนาดหลานสาว คนงานที่ติดร่างแหด้วยยังรู้ว่าไม่น่ารอดคุก จึงขอไปใช้ชีวิตกับครอบครัวก่อนศาลพิพากษา ปล่อยเธอโดดเดี่ยวในบ้านหลังใหญ่คล้ายทดลองอยู่ในเรือนจำส่วนตัว ก่อนติดคุกจริง

            หทัยใช้ชีวิตซึมเซาในแต่ละวัน ไม่จำเป็นต้องปรึกษาทนายหาช่องทางสู้คดี เมื่อบอกว่าต้องยอมรับ ให้การเป็นประโยชน์ต่อศาล ก็เหลือแค่ทนายทำอย่างไรเธอจะรับโทษเบาที่สุด

            คนทั่วไปให้สมญา ‘คุณป้าหน้านิ่ง’ เพราะตั้งแต่ต้นจนถึงตอนนี้ หทัยไม่แสดงความยินดียินร้ายออกมา กล้องจับภาพออกสื่อด้วยท่าทางไม่สะทกสะท้าน ไม่สำนึกผิด ไม่มีกระทั่งความหวาดกลัวบนสีหน้า...ยกเว้นแววตา

            จะมีสักกี่คนรู้...ยิ่งกดข่มไม่แสดงออกภายนอก ในใจกลัดกลุ้มรุ่มร้อนทุกข์ทรมานแค่ไหน

            การต้องอยู่ลำพังในบ้านหลังใหญ่ ปราศจากคนดูแล ไม่มีใครกล้าเข้าใกล้ด้วย ‘เกราะ’ กำบังแน่นหนาจนญาติพี่น้องเกรงกลัว คิดว่าเธอเข้มแข็งไม่ต้องการใครวุ่นวาย นั่นทำให้แต่ละวันคิดวนเวียนกลัดกลุ้มเรื่องเดิมซ้ำซาก ความเงียบเหงาเดียวดายเป็น ‘เชื้อทุกข์’ ชั้นดีสะสมในใจจนถึงจุดเกินรับไหว

            คืนนี้หทัยอยากปลดเปลื้อง ‘หนีทุกข์’ เสียที

            ยานอนหลับกระปุกใหญ่ตั้งบนโต๊ะพร้อมน้ำดื่มเตรียมพาเธอสู่โลกใหม่...โลกที่พ้นจากคุกในบ้าน และคุกจริง ๆ ที่ต้องชดใช้กรรมหลังคำพิพากษา

            มือเปิดกระปุกเทยานอนหลับเต็มกำมือ ตั้งใจทยอยกรอกปากทีละกำจนกว่าจะหมดกระปุก มั่นใจว่ามันคือบานประตูพาไปสู่โลกดีกว่าเดิม

            ยังไม่ทันยกกำแรกเข้าปาก เสียงร้องกระจองอแงเด็กอ่อนแว่วมากระทบ มันดังจากทางซ้ายทางขวา หน้าหลังรอบบ้าน หทัยยิ้มเยาะไม่แยแส เด็กเหล่านี้ร้องระงมตั้งแต่เริ่มงานแรก ๆ จนถึงทุกวันนี้ หลายสิบปีผ่านไปเหลือแค่ความชาชินไม่หวาดกลัว

            ...พวกมันคงกำลังร้องเพลงบทสวดส่งวิญญาณกระมัง...

            คราวนี้เสียงเด็กร้องมาพร้อมกลิ่นอายแปลก ๆ อากาศรอบตัวร้อนวูบเหมือนมีเปลวไฟแลบเลียทั่วร่าง กลิ่นไหม้แบบถ่านไฟแดง ๆ กระจายทั่ว สายตาพร่าเลือนมองภาพตรงหน้าเบลอไม่ชัดเจน

            พอปรับสายตาก็พบชายคนหนึ่งนั่งเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม มองมาด้วยสายตาราบเรียบ เขาสวมเสื้อยืดกางเกงยีนสีดำแสนธรรมดา กลิ่นอายกระไอร้อนที่แผ่ออกมาทำให้คิดเป็นอย่างอื่นไม่ได้เลย

            ...ยมทูตจากนรก...

            “รีบมารับจังนะ ฉันยังไม่ได้กินยาสักเม็ดเลย”

            พูดเหมือนไม่กลัว ทั้งที่ใจหล่นวูบทันทีที่สัมผัสได้

            “คิดว่า...ตายแล้วไปไหน” คำถามลองภูมิ

            “ที่ไหนก็ได้ มันต้องดีกว่าตอนนี้แน่” ตอบดื้อดึง

            “ไม่รู้หรือว่าภูมิของมนุษย์สูงกว่าสัตว์ในอบายขนาดไหน คนลำบากทุกข์ทรมานที่สุดในโลกยังสบายกว่าสัตว์ในนรกชนิดเทียบกันไม่ได้”

            หทัยหัวเราะทั้งที่ไม่ขำขันสักนิด

            “เพิ่งเคยเห็นยมทูตมาห้ามคนไม่ให้ลงนรก” วาจาเสียดสี

            “ไม่ได้ห้าม...แค่มาแสดงให้ดู...โลกหลังความตาย...สำหรับคนฆ่าตัวตายหนีทุกข์เป็นยังไง”

            ผู้หวังถึงโลกใหม่เพิ่งเห็น ‘ยมทูต’ ชัด ๆ ดวงหน้าขาว นัยน์ตาคมกริบ เมื่อจ้องสบแล้วเสมือนโดนแรงดึงดูดให้จมดิ่งลึกลงไปยังบ่อน้ำอันดำมืด

            มืด...วังเวง...เงียบเชียบ...หนาวเหน็บถึงกระดูก ภาพปรากฏในนิมิตเป็นแผ่นหลังชายหนุ่มผอมบาง ศีรษะก้มต่ำเห็นแค่นั้นก็ทราบว่าอมทุกข์ ในใจร้อนรุ่มทรมานไม่ต่างจากเธอ...เขาแขวนเชือกบนขื่อ...คล้องคอตัวเอง เตะเก้าอี้ล้มลงร่างดิ้นเร่า ๆ ทุกข์ทรมานจนตาย

            จากนั้น...ความทุกข์แบบเดิมเวียนซ้ำอีกครั้ง กลับมานั่งซึมเซาทุกข์ร้อนเผาใจทนไม่ไหว...ตัดสินใจ...ผูกคอตาย...แล้ว...ความทุกข์ไม่หายไปไหน แผดเผากลางอกเกินทนซ้ำอีก...ต้องหนี...ผูกคอตาย...ซ้ำซาก...ซ้ำซาก...นาน...รอบแล้วรอบเล่า มองไม่เห็นปลายทางความทุกข์เลย

            หทัยอยากกรีดร้องทนไม่ไหว อย่าให้เธอต้องเห็นคนฆ่าตัวตายซ้ำ ๆ อีกเลย แค่มองเฉย ๆ ยังหดหู่เกินทน ถ้าต้องประสบกับตัวเองไม่ทราบหนักหนาขนาดไหน

            …ไม่เอาแล้ว...ฉันไม่อยากรับกรรมยืดยาวเช่นนี้...

            วูบแห่งการตัดสินใจ ชายที่ผูกคอตายก็หันหน้ามาให้ดูเป็นครั้งแรก

            “ก้าว...ลูกแม่” สตรีกลางคนหลุดวาจาแหบโหย

            เสมือนพ้นจากวังวนน่าสะพรึงชั่วคราว หทัยรู้สึกตัวในห้องนอนเดิมบรรยากาศร้อนอบอ้าวกระจายทั่ว กลิ่นอายคล้ายถ่านไฟแทรกจาง ๆ และ ‘ยมทูต’ ยังไม่ไปไหน

            “ลูกชายฆ่าตัวตายไปแล้ว...แม่...ยังคิดเดินตามเส้นทางนั้นอีกหรือ” ชายชุดดำถามกึ่งเตือนสติ



            เธอเลี้ยงดูเอาใจใส่ ‘ก้าว’ เหมือนลูกทั้งที่ไม่ได้คลอดออกมา เขาไม่ชอบงานของแม่แต่คัดค้านไม่ได้ จึงออกไปเช่าห้องพักที่อื่นตั้งแต่เริ่มทำงานเพื่อไม่ต้องรับรู้มีส่วนร่วม

            ก้าวมาเยี่ยมเธอนาน ๆ ครั้ง ช่วงก่อนฆ่าตัวตายจะมาหาบ่อย บางครั้งบ่นเป็นเชิงตัดพ้อโชคชะตาตนเอง

            “ผมไปอยู่ข้างนอกเพราะไม่อยากเห็นงานของแม่...แต่สุดท้ายก็หนีเรื่องไม่ชอบ ไม่อยากทำไม่พ้นอยู่ดี”

            หทัยเคยถาม...อยากให้เขาระบายความอัดอั้นปรึกษามารดาบ้าง ลูกชายนิ่งไม่ปริปาก เก็บทุกอย่างไว้ในใจ...เหมือนเธอ

            ครั้งสุดท้ายที่มาหา ก้าวนำกล่องใบหนึ่งมาฝาก ไม่ทราบข้างในมีอะไรบ้าง

            “แม่ช่วยเอาไปซ่อนให้มิดชิดที ไม่ต้องบอกใครแม้แต่ผม...ถ้าวันหนึ่งมีคนแปลกหน้า หรือท่าทางไม่น่าไว้ใจมาถามก็บอกไปเลยว่าผมไม่เคยฝากอะไรไว้...ยกเว้นคับขันจวนตัวจำเป็นจริง ๆ มันอาจใช้เป็นข้อต่อรอง เครื่องมือช่วยชีวิตแม่ได้”

            เธอไม่ถามไม่เคยเปิดดูในนั้นมีอะไร คาดเดาว่าต้องเป็นเรื่องคอขาดบาดตายจึงซุกซ่อนมันชนิดไม่มีใครรู้แม้แต่หลานสาว คนงานในบ้าน

            หลังได้ข่าวลูกชายเสียชีวิต ทั้งตำรวจและผู้แสดงตัวเป็นตำรวจต่างมาซักถามหาของชิ้นนั้น หทัยปฏิเสธด้วยใบหน้าเรียบเฉยตามแบบตนเอง ต่อให้ค้นทั่วบ้าน รอบบ้านก็ไม่มีวันเจอ

            เวลาผ่านไปไม่มีเหตุจวนตัวขนาดต้องใช้มันเป็นเครื่องมือช่วยเหลือ บ้านและ ‘งาน’ กลับสู่สภาวะปกติ หทัยไปดู ‘ที่ซ่อน’ ครั้งเดียว แน่ใจว่าไม่มีใครนำมันออกไปก็บอกตัวเองให้ลืมเลือนทันที

            ข้างในกล่องจะบรรจุสิ่งใดก็ช่าง เมื่อไม่สามารถซื้อชีวิตลูกชายเธอได้ ก็ถือว่าเป็นของไร้ค่า



            ดวงตายมทูตจับจ้องหญิงกลางคนสามารถ ‘อ่าน’ ความทรงจำ ทราบถึงที่ซ่อนโดยเจ้าของบ้านไม่ต้องบอก แอบระบายลมหายใจโล่งอกที่งานสำคัญชิ้นหนึ่งกำลังจะประสบผลสำเร็จ

            ทว่าเมื่อเห็นสีหน้า สัมผัสความรู้สึกฝ่ายตรงข้ามก็เกิดความเมตตา หากปล่อยไว้เช่นนี้เธออาจกลับไปคิดฆ่าตัวตายอีกรอบ

            จิตมนุษย์เปลี่ยนแปรรวดเร็ว เมื่อครู่อาจกลัวผลกรรมที่มองเห็น พอจิตหดหู่อีกรอบอาจลืมความกลัว ตัดสินใจฆ่าตัวตายโดยไม่ต้องคิดเลยก็ได้

            “อยากรู้มั้ยทำไมก้าวฆ่าตัวตาย” ยมทูตทั่วไปไม่พูดเช่นนี้แน่

            หทัยเงยหน้าประกายอยากรู้ฉายชัดในดวงตา เกิดอาการกระตือรือร้นขึ้นมาชั่วขณะ

            “เขามีหลักฐานการกระทำผิดของผู้ร้ายทรงอิทธิพลคนหนึ่ง ถ้าไม่บอกที่ซ่อนมัน ผู้ร้ายนั้นจะเปิดโปงแฉ ‘งานบาป’ ที่แม่ทำแล้วกัดไม่ปล่อยจนกว่าจะติดคุก...เขาเลยต้องยอมบอก แล้วเอาหลักฐานสำรองมาฝากให้แม่ซ่อนไว้ เพื่อเป็นหลักประกัน หากเกิดเหตุคับขันน่าจะใช้ต่อรองช่วยชีวิตแม่ได้ในอนาคต”

            “หลังจากบอกที่ซ่อนหลักฐานจนถูกเผาทำลายสิ้นซาก พวกมันยังไม่เชื่อใจมาข่มขู่ถามหาหลักฐานสำรอง ต่อให้ปฏิเสธแค่ไหนก็ไม่ฟัง พอโดนขู่ว่าจะจับแม่เป็นตัวประกันให้ยอมรับว่าซ่อนหลักฐานสำรองหรือไม่ ก้าวก็พยายามหาทางออก จนแน่ใจว่า...ต่อให้ยอมรับหรือไม่คนพวกนั้นไม่ปล่อยเขาอยู่แล้ว แม่อาจต้องมาร่วมรับเคราะห์ด้วย”

            “สุดท้าย...ยอมตายคนเดียว ดีกว่าพาแม่มาเจอเรื่องร้าย ๆ พวกนี้...เขาคิดว่าแค่ฆ่าตัวตาย ปัญหาทุกอย่างจะจบลง...แต่ในความเป็นจริง...คุณก็ได้เห็นเองอยู่แล้ว”

            เรื่องเล่าจบ ‘คุณป้าหน้านิ่ง’ น้ำตาไหลพราก ไม่มีเสียงร้องไห้คร่ำครวญ ไม่ตีโพยตีพาย ไม่มีคำพูดใดหลุดจากปากสักคำ...นอกจาก...น้ำตา...ที่ไหลลงมาราวกับเขื่อนอันแข็งแรงพังทลายในพริบตา

            ‘เขา’ ถอนใจ ทิ้งคำพูดไว้โดยไม่รู้ผู้ฟังจะเข้าใจมากน้อยแค่ไหน

            “ก้าวไม่อยากให้แม่ทำอาชีพเดิม อยากให้แม่มีชีวิตยืนยาวโดยไม่แปดเปื้อนอีก...แต่...ทำกรรมต้องชดใช้...โทษทัณฑ์ในโลกมนุษย์ไม่สาหัสเท่าอบายภูมิหรอก...

            ...คนจริง...ยอมรับ...ชดใช้กรรมตามหน้าที่...แต่...ไม่จำนนต่อกรรมเก่า...เพราะตราบใดยังมีชีวิต เป็นมนุษย์สมบูรณ์ ไม่ว่าอยู่ที่ไหนย่อมมีโอกาสสร้างกรรมใหม่ที่ดีได้...แม้แต่ในคุก




--------------- ------------ --------------




            ริมกำแพงจุดไม่สะดุดตาดูเผิน ๆ แยกแยะไม่ออกว่าเป็นส่วนไหนของแนวกำแพงยาวเหยียด แท็กซี่สุรชัยปักเสียมไว้ตรงเสาต้นหนึ่ง รอจนผู้ช่วยยมทูตมาถึงค่อยเอ่ยปาก

            “เพิ่งเห็นคุณใช้พลังยมทูตเต็มที่ขนาดนี้...อนุโมทนากับคำแนะนำตอนท้ายด้วยนะ”

            “ยมทูตตัวจริงจะทำอย่างผมเหรอน้า...บอกความจริงแค่ครึ่งเดียว...เพื่อให้เขาเลิกคิดฆ่าตัวตาย”

            อดีตยมทูตฝึกหัดไม่ตอบวาจา มีแค่แววตาแสดงความเข้าใจลึกซึ้ง

            เหตุฆ่าตัวตายของก้าวมีมากกว่าที่พูด!

            ตั้งแต่รู้ความจริงว่าไม่ใช่ลูกแท้ ๆ ก้าวกลายเป็นเด็กเงียบขรึมซึมเซา ต่อให้หทัยบอกว่าเขาเป็นลูกญาติผู้น้อง เด็กชายยังสงสัยคาใจเพราะงานของแม่ทำให้อดคิดไม่ได้ว่าตนเองอาจเป็นหนึ่งในเด็กที่พ่อแม่ไม่ต้องการแบบนั้นก็ได้

            ยิ่งโตมาในบรรยากาศปกปิดซุกซ่อนตั้งแต่ลูกค้ามาใช้บริการ งานซึ่งบอกใครไม่ได้ กระทั่งความรู้สึกตัวเอง ความเก็บกดในใจค่อยเพิ่มทีละน้อยพยายามคิดหาทาง ‘หนี’ ออกจากแรงกดดันเหล่านี้ทุกวัน

            เรียนจบทำงานสามารถใช้ชีวิตอิสระ ออกมาอยู่คนเดียวคิดว่ามีความสุข ในใจกลับมีหลุมดำติดนิสัยปิดกั้นตัวเองเก็บกดโดยไม่รู้สึกตัว และใช้วิธี ‘หนี’ เป็นทางออกเสมอ

            ไม่พอใจอพาตเม้นท์ขอย้าย เบื่องานลาออก ทะเลาะมีปัญหากับคนรักบอกเลิก จนทำงานบริษัทมั่นคงในเครือ ‘เกรทนภา’ แล้วพลาดเห็นการขนส่งของผิดกฎหมายก็พยายามหนี...เพียงแต่...หนทางหนียากเย็น

            เวลานั้นมีแค่สองทางเลือก...ร่วมทีมทำงานผิดกฎหมายด้วย หรือยอมตาย

            ก้าวเลือกเส้นทางแรก ฝืนใจทำด้วยแรงกดดัน หวาดกลัว ทุกข์ทรมาน เกรงว่าวันหนึ่งพลาดพลั้งอาจติดคุก ไม่ก็กลายเป็นศพถ่วงซีเมนต์ใต้ทะเลไม่มีใครพบร่าง

            ระหว่างทำงานผิดกฎหมายในใจคิดวิธี ‘หนี’ ตลอดเวลา แอบเก็บหลักฐาน ถ่ายภาพ ถ่ายคลิปความผิด ‘นายใหญ่’ ไว้จนมั่นใจว่ามากพอแล้วลอบติดต่อภากร ‘ศัตรูนายใหญ่’ ผู้น่าจะปกป้องเขาได้

            พอแผนการผิดพลาดทุกอย่างพังทลาย ก้าวลนลานทำอะไรไม่ถูก ยิ่งผู้ร้ายใช้แม่มาขู่ให้บอกที่ซ่อนหลักฐานสำรอง ความหวาดกลัวในใจยิ่งท่วมท้น แรงกดดันสารพัดประเดประดังจนหายใจไม่ออกเหมือนจะตายทุกขณะ

            ในใจถามตัวเองควรทำอย่างไร...ทำอย่างไรจึงจะพ้นชีวิตแบบนี้เสียที

            ตั้งแต่เล็กอยู่บ้านมีแต่ความทุกข์ ออกมาใช้ชีวิตส่วนตัวยังหนีทุกข์ไม่พ้น ได้ทำงานมั่นคงก็ยังมีทุกข์ร้อนตามติด พยายามแก้ไขหาหนทางดีที่สุดยังพลาดพลั้ง เสมือนรอบกายถูกห้อมล้อมด้วยเปลวเพลิงความทุกข์ไม่มีมอดดับ

            ใจเคยชินกับการหลบหนีมาตลอดจึงแนะนำหนทาง ‘หนี’ สุดท้าย...ฆ่าตัวตาย

            วินาทีตัดสินใจปลิดชีวิตตัวเองไม่นานเท่าไหร่...ความเห็นผิด ความทุกข์ร้อนสะสมก่อนถึงจุดนั้น...เนิ่นนานกว่า...และ...ผลแห่งกรรมที่ได้รับ...ยาวนานกว่านั้น



            ขุนคีรีถอนใจอดถามผู้สูงวัยกว่าไม่ได้

            “ผมตอบไม่ถูกเลยน้า...ถ้าตัวเองต้องมีชีวิตแบบก้าว จะตัดสินใจอย่างเขาหรือเปล่า”

            สุรชัยมองชายหนุ่มด้วยแววตาอ่อนโยน

            “พระพุทธเจ้าสอนให้เรา ‘รู้ทุกข์’ ไม่ใช่ละทุกข์ หนีทุกข์...ถ้าเราตั้งใจเรียนรู้ ‘ทุกข์’ จริง ๆ จะเห็นมันเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไปเป็นขณะ...พอจิตตั้งมั่นมีสติเพียงพอความทุกข์จะครอบงำใจเราไม่ได้นานหรอก”

            กลางอกผู้ช่วยยมทูตเสมือนมีสายน้ำเย็นใส ชะล้างความทุกข์ร้อนรุ่มจากเรื่องราวที่ได้รับรู้ บังเกิดความเย็นฉ่ำขึ้นชั่วขณะ

            “ขอบคุณครับ...เป็นครั้งแรกที่ผมรู้สึกว่าชาวพุทธเรา ได้รับสมบัติล้ำค่าจากพระพุทธองค์มากมายจริง ๆ”

            เมื่อสังเกตเห็นจิตใจชายหนุ่มผ่อนคลาย แท็กซี่สุรชัยจึงแกล้งหยอกให้อารมณ์ดีขึ้น

            “ตอนนี้เป็นไงบ้างล่ะ ยังพอมีแรงขุดหาหลักฐานมั้ย ถ้าผมไม่แก่ขนาดนี้คงขุดหลุมรอไว้ให้แล้ว”

            ถามแบบนี้เท่ากับโบ้ยงานหนักให้คนหนุ่มอยู่ดี

            “ไหวครับน้า”

            ตอบพร้อมหยิบเสียมขุดตรงบริเวณใต้คานกำแพงติดกับเสา ไม่นานเจอกองปูนระเกะระกะใต้ดิน พอกระแทกมันออกขุดคุ้ยอีกหน่อยค่อยพบกล่องหลักฐานตามต้องการ

            หทัยลงทุนแอบขุดดินใต้คานกำแพงติดกับเสาซ่อนหลักฐาน แถมยังโบกปูนทับอีกชั้นอำพรางไม่ให้หาเจอง่าย ๆ

            ถ้าขุนคีรีไม่สามารถ ‘อ่าน’ ความทรงจำเป็นภาพชัด ต่อให้ ‘คนฝัง’ มาหาเองอาจไม่เจอเร็วขนาดนี้




--------------- ------------ --------------




            รุ่งเช้า

            ดาบตำรวจพนาออกมารดน้ำต้นไม้ตามกิจวัตรประจำวัน นักมวยหนุ่มที่เคยวิ่งออกกำลังกายทุกเช้าแต่หายหน้าไปหลายวันกลับมาอีกครั้ง สวมชุดวอร์มตลบฮู้ดคลุมศีรษะปกปิดใบหน้าส่วนใหญ่ ยกมือไหว้เดินมายืนหน้าประตูพูดคุยเหมือนคนคุ้นเคยทักทายกันธรรมดา

            “ผมเจอหลักฐานเอาผิดบัณฑิตแล้ว”

            แค่ประโยคแรกทำเอานายตำรวจอาวุโสสะดุ้งวาบคาดไม่ถึง ตนเองตามหาหลักฐานชิ้นนี้สองปียังไม่ได้ร่องรอย ลูกชายพ่อเลี้ยงบุญชัยกลับพบมันรวดเร็ว

            “แล้วยังไง” ถามไว้เชิง

            “ผมอยากร่วมมือกับตำรวจ ลากไอ้บัณฑิตคนฆ่าพ่อเข้าคุกให้ได้”

            “แน่ใจได้ยังไงว่าบัณฑิตสั่งฆ่าพ่อเลี้ยงไม่ใช่ปีเตอร์”

            “เรื่องนั้นไว้คุยกันอีกทีตอนดาบไว้ใจให้ผมร่วมมือด้วย”

            “ผมคงตัดสินใจเองไม่ได้”

            “บัณฑิตเป็นหนึ่งในสามที่สั่งระเบิดร้านอาหาร ถ้าดาบอภัยเขาเหมือนให้อภัยพ่อผมแล้วก็คงไม่เป็นไร”

            เจอไม้นี้คนสูงวัยกว่าอึ้ง ไม่อาจยอมรับว่าตนยังต้องการลากคนผิดที่เหลือมาชดใช้กรรม

            สีหน้าชายหนุ่มอ่อนลง วาจานุ่มนวล

            “ผมเลือกที่จะใช้กฎหมายลงโทษคนผิด ดาบเป็นผู้รักษากฎหมายจะไม่ช่วยสนับสนุนผมหรือครับ”

            จบวาจาพร้อมยัดกระดาษชิ้นเล็ก ๆ ใส่มือ

            “นี่เป็นเบอร์โทรศัพท์ส่วนตัวผม ถ้าดาบตัดสินใจยังไงบอกได้เลย...ผมพร้อมเอาหลักฐานให้ตำรวจอยู่แล้ว”

            ร่างสูงสวมฮู้ดวิ่งต่อไปตามปกติ ฝ่ายเจ้าของบ้านหันไปรดน้ำต้นไม้ต่อจนเสร็จ แล้วเดินเข้าบ้านราวกับไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น



            ภายในห้องครัว ลูกสาวคนเล็กสวมที่ครอบตาลงมาเตรียมอาหารเช้า คนเป็นพ่อรีบห้ามแกมเป็นห่วง

            “อย่าทำเลยลูก ระวังตัวไว้ก่อน พ่อจัดการเองได้”

            “แหมให้บัวทำงานบ้างเถอะค่ะ ต่อให้ใส่ที่ครอบตาก็พอมองอะไรชัดแล้วนะคะ คุณหมอไม่ได้บอกให้พักอยู่เฉย ๆ สักหน่อย แค่ไม่ให้ทำงานหนักเท่านั้นเอง”

            “นั่นแหละระวังไว้ก่อนดีกว่า ทำไมวันนี้ลงมาเร็วนักล่ะ”

            “ได้ยินเสียงคนวิ่งผ่านหน้าบ้าน...เลยรีบลงมาดู นึกว่าเขาจะเข้ามาซะอีก” ตอบตรงไปตรงมาจนพ่อต้องหันมามองหมั่นไส้

            “หูดีจริงนะเรา”

            “วิ่งผ่านหน้าบ้านเวลาเดิมเกือบสองปี จำไม่ได้ก็แย่แล้ว...เขามาทำไมคะ ถามถึงบัวหรือเปล่า”

            ฟังจากน้ำเสียงแน่ใจว่าลูกสาวสนใจชายหนุ่มที่ไม่เคยเห็นหน้า อยากตัดบทปฏิเสธไม่ให้มีเยื่อใยสานสัมพันธ์ต่อกันแต่ทำไม่ลง

            “ไม่เกี่ยวกับเราหรอก เขามาคุยธุระกับพ่อ”

            บัวบุษราอมยิ้ม แสดงว่าเรื่องที่คุยกันคืนก่อนขุนคีรีเห็นด้วยกับเธอ

            “ธุระอะไรคะ มาขอลูกสาวคนสวยของพ่อหรือเปล่า” แกล้งเฉไฉถามไปอีกเรื่อง

            “เรื่องงาน ไม่เกี่ยวกับเราหรอก”

            “ว้า...เสียดายจัง พี่พรบอกว่าหล่อเซอร์สเปกที่บัวชอบด้วย กำลังเตรียมตัวรับขันหมากสู่ขออยู่พอดีเชียว”

            พ่อฟังแล้วอยากเอาก้านมะยมฟาดก้นเหมือนตอนเด็ก ๆ

            “เป็นผู้หญิงพูดอะไรแบบนี้ เดี๋ยวโดนฟาดเลย...อย่าไปยุ่งกับผู้ชายคนนี้ดีกว่า”

            “ทำไมคะ เท่าที่พ่อเล่าให้ฟังว่าเขาคอยช่วยเหลือเรายังไง และที่มาสารภาพผิดกับบัวคืนนั้น...เขาเป็นผู้ชายที่ดีคนนึงเลยนะ บัวชอบเขาไม่ได้เหรอ...”

            คำถามท้ายคล้ายหยอกล้อ ในใจกลับต้องการคำตอบจริง

            “เฮ้อ...ยังไม่เคยเห็นหน้าตากันเลยจะมาชอบอะไร”

            “บัวเชื่อสายตาพี่พรค่ะ ถ้าสาวช่างเลือกจนตอนนี้ยังหาแฟนไม่ได้บอกว่าหล่อโคตรเนี่ย...เชื่อได้เลย...”

            ดาบตำรวจพนาถอนใจไม่รู้ควรตอบอย่างไร...ไม่แน่ใจลูกสาวพูดจริงหรือหยอกล้อ

            “พ่อไม่ชอบเขาหรือคะ” บัวบุษราถามเสียงอ่อนไม่มีร่องรอยล้อเล่น

            “ไม่ใช่...พ่อไม่ได้เกลียดหรือไม่ชอบผู้ชายคนนี้ แค่รู้สึกเขาอันตรายเกินไป ไม่อยากให้ลูกไปเกี่ยวข้องด้วย”

            “ถ้างั้นสมมุตินะ...สมมุติว่าวันหนึ่ง...บัวชอบผู้ชายคนนี้จริง ๆ พ่อจะขัดขวางไม่พอใจมั้ยคะ”

            ไม่แน่ใจลูกสาวถามจริง ๆ หรือแค่เรื่องสมมุติก่อนอาหารเช้า คำตอบในใจผุดขึ้นโดยไม่คิดปิดบัง

            “พ่อเคยบังคับหัวใจลูกคนไหนบ้างมั้ยล่ะ สองคนช่างเลือกกันเองนี่...แต่ถ้าเกิดไปชอบผู้ชายที่ดูอันตรายเกินไป พ่อคงต้องสอดส่อง ระวังหลังให้ล่ะมั้ง”

            บัวบุษรายิ้มสดใสกับคำตอบที่ได้รับ พนาสงสัยตั้งแต่ต้นจนถึงตอนนี้ลูกสาวจริงจังกับคำถามตนเองมากแค่ไหน



(โปรดติดตามต่อฉบับหน้า)



แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP