วรรณกรรมนำใจ Lite Literature

ทางยมทูต ๓๙



way cover




ชลนิล



(ต่อจากฉบับที่แล้ว)



            หน้าจอคอมพิวเตอร์ฉายภาพห้องสลัวราง ร่างร่างหนึ่งนั่งบนเก้าอี้เป็นเงาดำมองไม่เห็นรายละเอียดใด ผู้นั้นส่งเสียงสนทนาเป็นภาษาอังกฤษชัดเจน

            “ผู้ติดต่อบอกว่าคุณอยากคุยกับผม...มีธุระอะไรหรือ”

            บัณฑิตนั่งหน้าจอ ตอบด้วยภาษาเดียวกัน

            “ใช่ ผมอยากต่อสัญญางานอีกสักหน่อย”

            “เสียใจด้วย ทางเราเพิ่งรับงานชิ้นใหม่ ไม่มีคนพอส่งให้คุณแน่”

            “งานนี้ไม่ต้องใช้คนมากเป็นทีมอย่างคราวก่อน แค่สองสามคนก็พอ”

            “ถึงอย่างนั้นก็คงไม่ได้อยู่ดี”

            “ทำไมถึงไม่ได้ ที่จริงงานล่าสุดทีมคุณบกพร่อง ปล่อยให้มีคนรู้เห็นการประชุมลับของผมได้”

            “งานล่าสุด คุณบอกว่าต้องการทีมบอดี้การ์ด ดูแลความปลอดภัยตัวเองและผู้ร่วมประชุมทุกคน...งานนั้นมีใครเป็นอันตรายหรือเปล่า”

            ผู้อยู่ในเงามืดย้อนถามเสียงเรียบ บัณฑิตข่มโทสะตอบ

            “มีสิ...คนของคุณไง...ถูกน็อกสลบเหมือด ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าคู่ต่อสู้เป็นใคร”

            “นั่นเป็นปัญหาของทางเรา พวกคุณไม่รับบาดเจ็บอันตรายถือว่างานวันนั้นไม่มีข้อบกพร่อง”

            “ไม่บกพร่องได้ยังไง ความลับการประชุมผมรั่วไหล ผู้เข้าร่วมประชุมตกเป็นเป้าหมาย วันประชุมใหญ่จะเกิดอะไรขึ้นบ้างผมยังคาดเดาไม่ได้เลย”

            “ทางเราขอย้ำคำเดิม งานคืนนั้นคือปกป้องคุ้มครองคน ไม่ได้ปกป้องคุ้มครองความลับของใคร”

            บัณฑิตอยากแผดเสียงใส่ เชื่อว่าถ้าทำอย่างนั้นอีกฝ่ายคงปิดหน้าจอยุติการสนทนา จึงข่มใจระบายลมหายใจช้า ๆ

            “วันประชุมใหญ่เกรทนภากรุ๊ป ผมต้องการบอดี้การ์ดคุ้มครอง เผื่อเกิดเหตุการณ์ฉุกเฉิน คุณส่งคนมารับงานนี้ได้มั้ย...ผมจะถือว่างานประชุมลับที่ผ่านมาพวกคุณทำหน้าที่เรียบร้อยถูกต้อง”

            เสียงหัวเราะหึหึขำขันดังมาจากในจอ

            “นักล่าในสายลมไม่จำเป็นต้องให้ใครมารับรองผลงานตัวเอง...แต่...เอาเถอะถ้าคุณจำเป็นต้องใช้บอดี้การ์ดขนาดนั้น ทางเราพอจะส่ง ‘มือดี’ ไปได้หนึ่งคน”

            “ไม่พอหรอก ผมต้องการให้ทำงานอีกชิ้นนึง”

            “งานอะไร”

            “ฆ่าคน” คำพูดจากปากเหมือนเรื่องปกติธรรมดา

            “ทางเราส่งไปให้ได้แค่คนเดียว ทำหน้าที่เดียว...เลือกเอาว่าจะใช้เขาเป็นบอดี้การ์ด คุ้มครองคุณ หรือมือสังหาร ฆ่าคนให้คุณ”

            บัณฑิตถอนใจหนักหน่วง จำเป็นต้องยอมรับข้อเสนอ

            “ตกลง งั้นผมจะคุยกับ ‘มือดี’ ที่ส่งมาเอง”

            “ถ้าอย่างนั้น กรุณาโอนค่าจ้างล่วงหน้ามาให้หลังจบการสนทนาด้วย”

            เพียงเท่านี้การติดต่อแบบเห็นหน้าฝ่ายเดียวก็จบลง




--------------- ------------ --------------




            ขุนคีรีไม่คิดว่าภากรจะนัดให้มาพบกันที่นี่...สนามเด็กเล่นร้าง!

            ทราบดีว่าสถานที่นัดพบควรลับหูลับตาไม่ให้ฝ่ายศัตรูพบเห็น ที่นี่เหมาะสมเพราะรกร้างมานานอยู่หน้าสโมสรเก่าปิดทำการหลายปี ปกติไม่มีคนเดินผ่านไปมา ต้นไม้ต้นหญ้ารกช่วยปิดบังสายตาภายนอกได้ดี

            แต่...มันเคยมีข่าวเกี่ยวกับผีเด็กผู้ชายตกชิงช้าตาย...หรือผู้นัดหมายไม่ทราบเรื่องนี้

            ภากร ชายวัยห้าสิบกลาง ๆ แข็งแรง ดูดีเท่าที่คนวัยนี้เป็นได้ หน้าตาจริงจังเอางานเอาการ มาถึงที่นัดหมายตรงเวลาไม่คลาดเคลื่อนสักนาที

            ขุนคีรี เข้มมารออยู่ก่อนแล้ว นึกแปลกใจที่ฝ่ายผู้สูงวัยกว่ามาคนเดียว สวมเชิ้ตแขนสั้นสีขาว ผมเผ้าหงอกขาวแซมไม่มีการตัดแต่งดูคล้ายพวกแท็กซี่ ขับรถญี่ปุ่นเก่า ๆ คันเล็กไม่สมฐานะผู้บริหารบริษัทผลิตภัณฑ์อาหารแปรรูปในเครือเกรทนภา ทั้งยังมีโอกาสชิงตำแหน่งประธานใหญ่ด้วยซ้ำ

            “สวัสดีครับ” สองหนุ่มยกมือไหว้ทักทาย

            ผู้มาใหม่มองทั้งคู่ด้วยสายตาประเมิน สังเกตเห็นแววตาซื่อตรง ท่าทางคนจริงค่อยไว้ใจกว่าเดิม

            “ขอโทษที่นัดให้มาเจอที่นี่” ภากรออกตัวก่อน “ถ้าเรื่องที่เราจะคุยกันเกี่ยวกับหลักฐานความชั่วไอ้บัณฑิต ผมต้องมั่นใจว่าไม่มีรู้ว่าพวกเราติดต่อกัน”

            พูดอย่างนี้แสดงว่าผู้บริหารใหญ่ตั้งใจปลอมตัวมา

            “ไม่เป็นไรครับ”

            ขุนคีรีตอบพลางมองสำรวจรอบ ๆ ทั้งหมดกำลังยืนคุยหลังรถ ด้านข้างสนามเด็กเล่นซึ่งมีร่มไม้ใบบัง คนนอกสังเกตยาก เวลานี้ไม่มีผู้คนสัญจร มั่นใจภายในระยะสองสามร้อยเมตรไม่มีคนอื่น

            “คุณบอกว่ามีหลักฐานเรื่องบัณฑิตสั่งฆ่าพ่อเลี้ยงบุญชัย”

            นี่เป็นเหตุผลทำให้เขายอมปลอมตัวออกมาพบคนที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน

            เข้มเปิดคลิปหลักฐานสองคลิปให้ดู ภากรสังเกตรายละเอียด ฟังคำพูดทั้งสองคลิปนั้นอย่างตั้งใจจนจบ สุดท้ายถอนใจยาวผิดหวัง

            “คลิปการพูดคุยระหว่างบัณฑิตกับพ่อเลี้ยง และที่พ่อเลี้ยงพูดเชิงสั่งเสียเอ่ยชื่อผู้ต้องสงสัยก่อนตายไม่มีน้ำหนักพอ ส่วนคลิปทีมล่าสังหารในชุดดำ สวมหมวกคลุมปิดหน้าตายิ่งไม่ช่วยอะไรเลย...นักล่าในสายลมทำงานไร้ร่องรอยหลักฐาน จากนั้นกลืนหายไปกับสายลม ตำรวจไม่มีทางจับนักฆ่าพวกนี้มาเป็นพยานเอาผิดผู้ว่าจ้างได้หรอก”

            “คุณรู้จักนักล่าในสายลม” ขุนคีรีแปลกใจ

            “รู้จักสิ...เจตน์...อดีตเลขาผมเป็นคนแนะนำองค์กรนักล่านี้ เพื่อให้ผมจ้างพวกเขามาใช้งานในแผนเอาชนะบัณฑิตเมื่อสองปีก่อน ตอนแย่งชิงตำแหน่งประธานกัน”

            “เขาวางแผนยังไง”

            “จ้างคนกลุ่มนี้หาหลักฐานความผิดที่บัณฑิตร่วมมือกับมาเฟียค้ายา และเป็นทีมป้องกันต่อต้านเจ้าพ่ออย่างพลเทพ พ่อเลี้ยงบุญชัยซึ่งขณะนั้นเป็นพันธมิตรกันอยู่”

            “ทำไมคุณไม่ทำตามแผนนั้น”

            ภากรหัวเราะเบา ๆ

            “ผมไม่จำเป็นต้องเสียเงินมหาศาลจ้างผู้ร้ายไปฆ่าผู้ร้าย ในเมื่อตอนนั้นมั่นใจว่ามีหลักฐานความผิดบัณฑิตแน่ ๆ ผมก็ขอความร่วมมือกับตำรวจ อาศัยกฎหมายเป็นที่พึ่งดีกว่าใช้โจรไปล้างโจร”

            “พอคุณไม่ทำตามแผนเจตน์...เขาเลยแปรพักตร์ไปอยู่ฝ่ายบัณฑิต” เข้มคาดเดา

            “ว่าอย่างนั้นก็ได้ ถ้าให้พูดจริง ๆ เพราะผมไม่ยอมโง่เป็นหมากในกระดาน ล้มศัตรูตัวจริงของมันอย่างพลเทพ พ่อเลี้ยงบุญชัยต่างหาก”

            “คุณทราบว่าเจตน์แค้นผู้มีอิทธิพลทั้งสอง”

            “รู้...แต่ไม่รู้เหตุผลลึก ๆ มีหลายครั้งที่ดูแววตาออก แต่ไม่อยากสนใจ...พอเห็นว่าหลอกใช้ผมไม่ได้ก็หักหลังยอมแฝงตัวไปอยู่ฝ่ายศัตรูเสียเลย”

            ภากรมองสองหนุ่มด้วยแววตาเห็นใจ

            “ตอนผมเห็นข่าวพลเทพโดนกวาดล้าง พ่อเลี้ยงบุญชัยโดนล่าสังหารริมถนนก็เดาออกว่าเป็นฝีมือใคร เพราะอย่างนั้นตอนพวกคุณติดต่อมา ผมจึงไม่ปฏิเสธที่จะออกมาเจอ”

            “ขอบคุณครับ” ขุนคีรีพูดได้เท่านี้

            “หลังจากปฏิเสธแผนการเจตน์ คุณหาหลักฐานได้หรือเปล่า” เข้มถามเรื่องสำคัญ

            “เกือบได้...ผมรับการติดต่อจากลูกน้องบัณฑิตคนหนึ่งที่อยากถอนตัวจากการทำงานเสี่ยง เขาบอกว่ามีหลักฐานความผิดเกี่ยวกับการร่วมมือค้ายาทั้งหมด น่าเสียดายตอนนั้นผมยังไม่รู้ตัวจริงของเจตน์ ปล่อยให้มันเป็นคนติดต่อนัดหมายประสานงานทั้งหมด”

            เล่าถึงตรงนี้ขุนคีรีเดาเรื่องออกทันที

            “ถ้าอย่างนั้นเจตน์คงเป็นคนนัดหมาย ‘พยาน’ เจ้าของหลักฐาน คุณพานายตำรวจผู้ใหญ่มาร่วมรับรู้ ประชุมวางแผนที่ร้านอาหารแห่งหนึ่งซึ่งเลขาเป็นคนกำหนด คิดว่าจะได้เจอตัวพยานหลักฐานพร้อมกัน สุดท้ายนอกจากพยานไม่มา ยังเกิดระเบิดเพลิงไหม้ หลักฐานที่ต้องการอยู่ตึกข้าง ๆ ถูกเผาเรียบไม่หลงเหลือ”

            ภากรพยักหน้า ไม่แปลกใจที่ลูกชายพ่อเลี้ยงบุญชัยเข้าใจเรื่องราวรวดเร็ว

            “หลังจากคืนนั้น เจตน์บอกว่าพยานเสียชีวิตไปแล้ว ส่วนตัวเองขอลาออกแสดงความรับผิดชอบ...ผมได้เห็นธาตุแท้สันดานมันตอนเป็นลูกน้องเดินตามไอ้บัณฑิตขึ้นรับตำแหน่งประธานใหญ่”

            “วันนั้นคุณคงผิดหวังมาก ทั้งโดนลูกน้องหักหลัง ทั้งพลาดตำแหน่งสำคัญ”

            ผู้สูงวัยกว่าเหยียดรอยยิ้มเยาะหยัน

            “โดนลูกน้องหักหลังไม่เท่าไหร่ คุณไม่รู้หรอกว่า ตอนนั้นตำแหน่งประธานเกรทนภากรุ๊ปสำคัญกับผมขนาดไหน”

            ‘เกรทนภากรุ๊ป’ เป็นบริษัทก่อตั้งโดยตระกูลใหญ่ ลูกหลานหลายสายสืบทอดตำแหน่งสำคัญ ขยายกิจการครอบคลุมธุรกิจกว้างขวาง ทายาทแต่ละสายต่างมุ่งหวังเป็นประธานใหญ่ มีการช่วงชิงขัดแข้งขัดขากันมานาน

            ไม่แปลกที่ภากร ทายาทสายหลักคนหนึ่งมุ่งหวังตำแหน่งสำคัญไม่น้อยกว่าใคร

            “รู้มั้ย ทำไมผมนัดพวกคุณมาที่นี่” จู่ ๆ ทายาทเกรทนภากรุ๊ปตั้งคำถามนี้ขึ้น

            สองหนุ่มไม่ตอบ ภากรส่งสายตามองสนามด้านใน จับจ้องยังชิงช้าเก่าโทรมไม่น่าใช้งานได้

            “ลูกชายคนโตผมตายที่นี่”

            คำพูดนั้นทำเอาขุนคีรีสะดุ้งวาบ จ้องหน้าผู้พูดไม่เชื่อสายตา

            “น้อง...มิว...” เสียงภากรแหบพร่า “ตกชิงช้าตาย...เพราะพ่อเลว ๆ ...อย่างผม”

            “เกิดอะไรขึ้น” ชายหนุ่มรีบถาม

            “วันนั้นวันเกิดน้องมิว...เราสามคนพ่อแม่ลูกตั้งใจพากันไปฉลองที่ร้านประจำกัน ขับรถออกมาได้หน่อยท่านประธานในสมัยนั้นโทรศัพท์เรียก...บอกว่าตอนนี้อยู่ในงานที่สโมสรใกล้บ้าน สั่งผมซื้อไวน์ไปให้ที่งาน...ผมตั้งใจเอาใจท่านจึงรับปาก ยอมเสียเวลาซื้อไวน์วกกลับมาที่สโมสรเพื่อเอาไปส่ง

            ทีแรกตั้งใจเข้าไปในสโมสรคนเดียว ให้ภรรยากับลูกรอที่สนามเด็กเล่นด้านนอก เมียผมรู้นิสัยท่านประธานต้องดึงตัวผมไว้ในงานนานแน่ จึงเข้าไปด้วยตั้งใจหาข้ออ้างเลี่ยงออกมา นั่นทำให้เราต้องฝากน้องมิวไว้กับคนรู้จักข้างบ้านที่พาลูกมาเล่นที่สนามเหมือนกัน

            ท่านประธานดึงตัวผมไว้ตามคาด พาไปแนะนำผู้หลักผู้ใหญ่หลายคนที่คิดว่าจะช่วยสนับสนุนมีตำแหน่งสูงขึ้นได้ ภรรยาพยายามสะกิดเรียก...หาข้ออ้างปลีกตัวหลายครั้ง ผมห่วงแต่โอกาสสำคัญไม่ยอมออกมาสักที จนคนข้างนอกเข้ามาบอกว่าน้องมิว...ตกชิงช้าแล้ว

            สายลมเย็น ๆ โชยพัด ความเงียบครอบคลุมชั่วขณะ ชิงช้าไม่แกว่งไกว ทว่าคล้ายได้ยินเสียงเอี๊ยดอ๊าดดังจากส่วนลึกในใจ

            “เราสองคนทนอยู่บ้านหลังเดิมไม่ได้ ทนดูสนามเด็กเล่นแห่งนี้อีกไม่ได้จึงขายและย้ายไปอยู่ที่อื่น ในวันเผาศพน้องมิว ผมประกาศในใจว่า...ถ้าเสียลูกไปอย่างนี้ พ่อต้องก้าวไปถึงตำแหน่งประธานใหญ่ให้ได้สักวัน”

            ขุนคีรีฟังแล้วสลดในใจ...บางคนเจอเรื่องร้ายทำให้คิดถึงความสำคัญครอบครัว...ภากรกลับนำความสูญเสียบุตรชายเป็นแรงผลักดัน หวังก้าวหน้าในการงาน

            ...ตำแหน่งประธานเกรทนภากรุ๊ปคือสิ่งแลกเปลี่ยนกับชีวิตลูกชาย...

            “ตอนนี้คุณยังคิดเหมือนเดิมมั้ย” อดถามไม่ได้

            แววตาภากรเปลี่ยนไป

            “ไม่นานมานี้ผมกับภรรยาเพิ่งฝันเห็นน้องมิว” คำตอบคนละเรื่อง

            “แกบอกว่ารอพวกเราอยู่ที่สนามเด็กเล่นตั้งนาน ทำไมไม่มารับสักที...ผมถึงเข้าใจ...น้องมิวไม่ได้อยากให้พ่อมีตำแหน่งใหญ่โตเลย...แค่ต้องการพ่อกับแม่มารับไปงานวันเกิดเท่านั้น”

            “ในฝัน...พวกเราจัดเลี้ยงวันเกิดอย่างมีความสุข ก่อนจากกันแกบอกว่า...คุณอาใจดี รูปหล่อผมยาวเป็นคนพามาหาพ่อแม่ที่บ้านใหม่ แล้วคุณลุงหน้าตาดุ ๆ รับปากว่าจะพาไปเกิดใหม่...คุณเชื่อมั้ย...เมื่อวานนี้ผมเพิ่งได้ข่าวจากญาติผู้น้องว่าภรรยาเขากำลังตั้งครรภ์ลูกคนแรก...ผมกำลังคิดถึงน้องมิวพอดีตอนพวกคุณติดต่อมา...”

            ภากรหยุดถอนใจยาว

            “เวลานี้ตำแหน่งประธานใหญ่ไม่ใช่จุดหมายสำคัญสำหรับผม...ปมในใจเรื่องน้องมิวคลี่คลายตั้งแต่เชื่อว่าแกได้มาเกิดใหม่เป็นคนในตระกูลเราอีกครั้ง”

            พอฟังอย่างนี้ขุนคีรีไม่แน่ใจอีกฝ่ายยังตั้งใจร่วมมือช่วยเหลือหรือไม่ จนได้ยินวาจาต่อมา

            “แต่...เกรทนภากรุ๊ปไม่ควรมีผู้นำที่จะพากิจการก้าวไปสู่หายนะ พอคุณบอกว่ามีหลักฐานเอาผิดบัณฑิต ผมจึงนัดหมายมาคุยกันที่นี่...ซึ่ง...ผมกับภรรยาไม่กล้ากลับมาเหยียบอีกเลยตลอดยี่สิบกว่าปีที่ผ่านมา”

            “ขอโทษที่คลิปหลักฐานของเราอ่อนเกินไป” เข้มออกปากแทนน้องชาย

            “ไม่หรอก ตอนมาสนามเด็กเล่นแห่งนี้ผมผ่านร้านข้าวแกงแห่งหนึ่งซึ่ง ‘ก้าว’ พยานคนเก็บหลักฐานเคยเช่าห้อง และผูกคอตายที่นั่น เกิดความมั่นใจเหมือนมีพรายกระซิบว่าเขาต้องมีหลักฐานอีกชุดซ่อนไว้แน่ จึงมีแรงกดดันทำให้ฆ่าตัวตาย...ถ้าฝ่ายนั้นอยากฆ่าปิดปากคงใช้วิธีอื่น เพราะตำรวจชันสูตรแล้วว่าฆ่าตัวตายจริง ไม่ได้ถูกฆ่าแล้วผูกคออำพรางคดี”

            “ก้าวเช่าห้องพักในร้านข้าวแกงยายปัน ที่อยู่ปากทางเข้าชุมชนนกคู่หรือเปล่า” ขุนคีรีถามทันทีเมื่ออีกฝ่ายพูดจบ

            ภากรพยักหน้ารับ แววตาสงสัยที่อีกฝ่ายรู้จักสถานที่นั้นด้วย

            “คุณเคยหาหลักฐานสำรองอีกชุดหรือยัง”

            “ทั้งผมและตำรวจอีกคนชื่อพนาช่วยกันตามหายังไม่ได้ร่องรอย วันนี้ตอนผ่านร้านข้าวแกง...เกิดความมั่นใจแรงกล้าว่ามันต้องมีอยู่แน่ ๆ เลยไม่รู้สึกผิดหวังมากเมื่อเห็นคลิปหลักฐานพวกคุณ”

            รอยยิ้มบาง ๆ แตะริมฝีปากขุนคีรี สมองครุ่นคิดหาวิธีสืบหาหลักฐานสำคัญ ส่วนเข้มตั้งคำถามกับอีกฝ่ายต่อ

            “คุณรู้จักพวกนักล่าในสายลมมากแค่ไหน...เราอาจต้องเผชิญหน้าพวกเขา”

            “มากพอสมควร อยากรู้อะไรถามมาได้เลย”

            ขณะที่เข้มได้ข้อมูลขบวนการนักล่าเพิ่มเติม ขุนคีรีก็ทราบวิธีหาหลักฐานสำคัญได้เช่นกัน











บทที่ ๒๓



            บานประตูปิดสนิทไม่ล็อคกุญแจดังเดิม ภายในมีแค่เตียงไม้ปราศจากเบาะ แดดยามเย็นส่องแสงสลัวรางลอดช่องลม ก่อให้เกิดเงามืดตามหลืบมุมชวนขนลุก

            ‘ก้าว’ ชายหนุ่มผอมบาง ผิวพรรณเสื้อผ้าหมองหม่นซึมเซาไม่ต่างจากใบหน้า นั่งเหม่อลอยบนเตียง นานครั้งเงยหน้ามองขื่อคานด้านบน แววตาครุ่นคิดลังเลแล้วก้มหน้างุดราวกับจมในโลกความคิดซ้ำแล้วซ้ำอีก

            กระแสอึดอัด ทุกข์ทนแผ่กระจายโดยรอบ ขนาดรับหน้าที่ผู้ช่วยยมทูตมาหลายงานยังไม่ไหว อยากกระโจนหนี ไม่สามารถทนรับกองทุกข์ร้อนรนในใจที่เกลื่อนกล่นทั่วบรรยากาศได้

            ...แค่สัมผัสห่าง ๆ ยังหนักหนาเพียงนี้...เจ้าตัวผู้กำลังรับ ‘วิบาก’ เต็ม ๆ จะทรมานเท่าใด...

            “ก้าว...” ผู้ช่วยยมทูตส่งเสียงเบา ๆ

            ใบหน้าเทาซีดไม่แสดงอาการรับรู้ ขุนคีรีไม่อาจหยั่งเข้าไปในความทรงจำเหมือนเคยทำกับวิญญาณดวงอื่น

            ...ต้องรอเวลาฆ่าตัวตาย...พลังยมทูตในตัวกระซิบบอก

            ถอนใจเบา ๆ จำได้ว่าเคยเห็น ‘การเวียนฆ่าตัวตาย’ เวลาดึกพอสมควร จำเป็นต้องรอคอย




--------------- ------------ --------------




            เวลาเย็นถึงค่ำ ร้านข้าวแกงยายปันจะขายเฉพาะอาหารถุง ประเภทต้ม ผัด แกงให้ลูกค้าที่เพิ่งเลิกงานซื้อกลับไปรับประทานที่บ้าน ไม่ตักขายข้าวราดแกงในร้าน

            ขุนคีรี เข้มมาถึงร้านช่วงเดียวกับลูกค้ารอบเย็น เจ้าของร้านดีใจแค่ไหนก็กำลังยุ่งไม่สะดวกพูดคุย จึงบอกให้ผู้มาเยือนทำตัวตามสบาย

            นักมวยเก่าขอตัวเข้าไปทำธุระด้านใน ปล่อยพี่ชายไว้ด้านนอก เข้มพับแขนเสื้อทะมัดทะแมงช่วยยายปันมัดถุงกับข้าวขายโดยไม่รอให้ใครบอก

            แรก ๆ เจ้าของร้านเกรงใจ ไล่ให้ไปนั่งรอเฉย ๆ ชายหนุ่มผิวคล้ำยิ้มแต่ไม่หยุดมือ ตาแคล้ว ยายปันมองอย่างทึ่ง ไม่คิดว่าหนุ่มที่ดูเหมือนทำงานห้องแอร์จะคล่องแคล่ว เป็นงานราวกับเคยขายกับข้าว แกงถุงมาก่อน

            เขาพูดคุยทักทายลูกค้าราวกับรู้จักเป็นแรมปี รู้ชื่อกับข้าว อาหารในถาดทุกประเภท จากช่วยมัดถุงตอนแรก พอลูกค้ารุมหน้าร้านมากขึ้นก็ช่วยตักกับข้าวขายไม่เงอะงะ จนหลายคนคิดว่าเป็นลูกหลานเจ้าของร้าน

            ฟ้าเริ่มมืดลูกค้าซาลง เข้มโดนยายปันไล่ไปนั่งพัก ค่อยเห็นขุนคีรีนั่งรอสีหน้าผ่อนคลาย

            “ลูกมือคนใหม่เป็นยังไงบ้างครับ”

            “คล่องงานขนาดนี้ไปหามาจากไหน” ยายปันถาม

            “พี่ชายผมเอง” ตอบสีหน้าภูมิใจ

            “เออ แล้วเป็นยังไงบ้าง งานศพพ่อเรียบร้อยดีมั้ย” ตาแคล้วถามบ้าง

            “เรียบร้อยแล้ว พอดีแวะมาทำธุระกรุงเทพฯ เลยเอาผลไม้จากไร่มาฝาก รอเดี๋ยวนะครับ”

            จบวาจาสองหนุ่มเดินออกไปที่รถยนต์ข้างร้าน ช่วยกันยกผลไม้สดจากไร่มาให้สามสี่ลัง

            “โอ๊ย ขนมาทำไมเยอะแยะ คนแก่กินไม่ทันหรอก”

            “ยายปันก็แจกคนแถวนี้ได้นี่ ปกติผมเห็นชอบแถมข้าว แถมขนมให้ลูกค้าบ่อย ๆ”

            ตาแคล้วมองของฝากแล้วยิ้มให้ผู้มาเยือน

            “เกรงใจแย่เลย...คืนนี้พักที่ไหนกันล่ะ ห้องนั้นยังว่างอยู่นะ ทำความสะอาดเรียบร้อยแล้ว...คนเช่าใหม่จะมาอยู่ตอนต้นเดือน”

            “โฮ้ย ไอ้แก่...ใครเขาจะมานอนห้องเก่าโทรมโคตรร้อนแบบนี้ อุตส่าห์ขับรถแพง ๆ มาเยี่ยมก็ดีใจแล้ว นอนโรงแรมเปิดแอร์เย็น ๆ ให้สบายเถอะ” ยายปันขัด

            “ผมนอนห้องนั้นเป็นปีจนชินแล้ว ตั้งใจจะมาขอค้างสักคืน พูดอย่างนี้ไม่กล้านอนเลย”

            วาจาขุนคีรีสร้างความแปลกใจแก่เข้มมากกว่าเจ้าของบ้าน เพียงแต่ไม่เอ่ยปากถามเหตุผล

            “เฮ้ย...นอนได้อย่าไปฟังยายแก่เลย”

            “ขอบคุณครับ งั้นคืนนี้ผมช่วยเก็บร้าน ล้างจานแทนค่าที่พักแล้วกัน”

            สองผู้เฒ่าไม่ขัด อยู่ร่วมกันมาสองปีพอจะทราบนิสัยส่วนตัวดี



            ขุนคีรีเดินมาส่งเข้มที่รถ ทราบว่าต้องบอกเหตุผลต้องค้างคืนที่นี่

            “ธุระที่ผมตั้งใจทำยังไม่เรียบร้อย พรุ่งนี้สาย ๆ พี่เข้มค่อยมารับก็ได้”

            อธิบายเพียงเท่านี้อีกฝ่ายก็ไม่ซักไซ้

            “ได้สิ งั้นคืนนี้จะเอาข้อมูลที่ได้จากภากรไปตรวจสอบ อาจได้เบาะแสผลงานเก่าทีมนักล่าในสายลม แล้วเอามาใช้วางแผนรับมือได้”

            “ดีเลยพี่ ฝากงานทางนั้นด้วย ส่วนผมจะหาหลักฐานจากก้าวให้เจอเอง”

            เข้มพยักหน้า ไม่แสดงความสงสัย...ต่อให้ก้าวเคยอยู่ที่นี่จริง ก็ตายไปสองปีจะค้นหาเบาะแสหลักฐานสำรองที่ซ่อนไว้อย่างไร




--------------- ------------ --------------




            ตั้งแต่ขุนคีรีบอกลาครูมวยกับภรรยาไปจัดการงานศพพ่อจนถึงตอนนี้ไม่เกินสองสัปดาห์ ฝ่ายเจ้าของบ้านรู้สึกเหมือนหายไปนาน ชวนพูดคุยไถ่ถามสารทุกข์สุกดิบอย่างใส่ใจ ชายหนุ่มเล่าเรื่องส่วนตัวมากกว่าเดิม บอกว่าที่บ้านทำสวนผลไม้ หลังบิดาเสียชีวิตต้องดูแลร่วมกับพี่ชาย

            สองสามีภรรยาเล่าเรื่องตนเองบ้าง หลังขุนคีรีจากไปก็ทดลองเปิดห้องเช่าแบบรายวัน พวกแบ็กแพ็กเช่านอนคืนสองคืนไม่ปรากฏว่าพบภูตผี วิญญาณผูกคอตาย ผ่านไปราวหนึ่งสัปดาห์ไม่มีผู้เช่ารายใดบ่น ยายปันจึงเปลี่ยนเช่าเป็นรายเดือนซึ่งได้เงินก้อน และไม่ต้องเหนื่อยดูแลห้องพักเหมือนรายวัน

            จากนั้นลูกค้ารายเดือนคนแรกก็มาจองไว้เตรียมเข้าพักตอนต้นเดือน

            เก็บร้านล้างจานชามเรียบร้อย นั่งพูดคุยจนสองผู้เฒ่าเข้าบ้านนอน ขุนคีรีค่อยกลับห้องพักตนเอง ดูนาฬิกาทราบว่าใกล้เวลาแล้ว

            หยิบกีตาร์ซึ่งเจ้าของบ้านทิ้งไว้ในห้องมาดีดไล่เสียงเบา ๆ ผ่อนคลายอารมณ์ ช่วยให้จิตใจสงบระดับหนึ่ง สมาธิจดจ่ออยู่กับการจับคอร์ด เสียงดนตรีกังวานกระทั่งโปร่งเบา รู้ลมหายใจเข้าออกชัดเจน

            ...ถึงเวลาแล้ว...



            มองผ่านดวงตายมทูตเห็นเงาร่างสีเทากำลังวนเวียนหน้าห้องหาของสำคัญ สีหน้าเศร้าซึม เงาหม่นหมองครอบคลุมน่ากลัว

            เชือกขดหนึ่งแขวนอยู่มุมเสาใกล้กระสอบชกมวย เขาหยิบมันมาด้วยแววตาเลื่อนลอย ก้มหน้าเดินเซื่องซึมไร้ความรู้สึกเข้าห้อง

            ขุนคีรีเปิดประตูตามเข้าไปทันเห็นเก้าอี้ถูกลากวางใต้ขื่อ ปมคล้องคอผูกเรียบร้อย จากนั้นปีนขึ้นไปแขวนเชือกบนขื่อมัดปมแน่นหนาไม่หลุด

            “ก้าว...”

            ผู้ช่วยยมทูตส่งเสียงเรียก จังหวะเดียวกับฝ่ายนั้นชะงักคล้ายเกิดสำนึกเตือนสั้น ๆ ชั่วเวลาไม่ถึงเสี้ยววินาทีก่อนตัดสินใจกระทำอัตวินิบาตกรรม

            ...ช่วงเวลาแค่นั้นมากพอให้ใช้พลังยมทูตเข้าไปอ่านความทรงจำผ่านมา ก่อนตัดสินใจผิดพลาดครั้งนี้...

            เรื่องราวความทรงจำที่พามาสู่จุดสุดท้ายถาโถมเข้ามาราวคลื่นลูกใหญ่ หากขุนคีรีไม่เตรียมจิตใจมั่นคงไว้ก่อนคงถูกซัดไม่รู้เหนือใต้ ต่อให้มองเห็นทั้งหมดก็แยกแยะไม่ออก

            ด้วยจิตตั้งมั่นมีกำลังเช่นนี้ นอกจากเห็นภาพความทรงจำรับรู้เรื่องผ่านมา ยังเห็น ‘ภาพปัจจุบัน’ ของ ‘อีกบุคคล’ ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องเกินคาด

            บุคคลนั้นทราบที่ซ่อนหลักฐานสำคัญ...แต่...อาจมีชีวิตอีกไม่นานนัก

            ขุนคีรีลืมตาเหงื่อโซมเต็มหน้า หัวใจเต้นถี่เร็ว พยายามสูดลมหายใจลึก ๆ ผ่อนออกยาว ๆ สามสี่ครั้งปรับสติให้เข้าที่ทาง ทบทวนเรื่องราวในหัวด้วยใบหน้าซีดเผือด แล้วหันหลังออกจากห้องรวดเร็ว



(โปรดติดตามต่อฉบับหน้า)



แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP