วรรณกรรมนำใจ Lite Literature

ทางยมทูต ๓๘



way cover




ชลนิล



(ต่อจากฉบับที่แล้ว)



            ระเบียงกว้าง เก้าอี้ยาวสองตัวยังอยู่ที่เดิม อากาศเย็นจนเริ่มหนาวอย่างชายหนุ่มบอก หญิงสาวอยู่ในฝันไม่รู้สึกสภาพเย็นร้อนในโลกจริง นั่งเก้าอี้ยาวข้าง ๆ เงยหน้ามองดวงดาวพร่างพราวเต็มฟ้าด้วยดวงตาสุกใส รอยยิ้มผุดผาดดูสว่างไสวแจ่มจรัสไม่แพ้แสงดาว

            ขุนคีรีเฝ้ามองเธอเงียบ ๆ อยากซึมซับเก็บภาพตรงหน้าไว้นาน ๆ บางคนแค่อยู่เฉย ๆ ไม่ต้องทำอะไร ความอ่อนโยนน่ารักน่ามองจากข้างในก็ทำให้คนอยู่ใกล้มีความสุขจนไม่อยากถอนสายตา

            “มองนาน ๆ บัวเก็บตังค์นะคะ” เจ้าหล่อนแหย่

            “อยู่กันสองคน ไม่มองคุณจะให้มองดาวเหรอ เห็นทุกคืนอยู่แล้ว”

            “ดาวที่นี่สวยจัง ลอยเกลื่อนเต็มฟ้าไปหมด อยากมานอนดูจริง ๆ อิจฉาคนได้เห็นทุกคืนแต่ไม่สนใจ” พูดพลางหันมาย่นจมูกใส่

            “เอาไว้หายดี แข็งแรงเมื่อไหร่ค่อยมาดูก็ได้ บ้านผมไม่หนีไปไหนหรอก”

            “หือ...พูดเหมือนหลอกเด็กกินยาเลย” เจ้าตัวรู้ทัน

            “ถอดผ้าพันตาแล้วเป็นยังไงบ้าง...คุณยังไม่ตอบผมเลย” ถามเป็นห่วง อยากรู้จริง

            “บัวมองเห็นโลกจริง ๆ แล้วค่ะ...ไม่ใช่แค่โลกในฝันแบบนี้ ได้กลับไปพักฟื้นที่บ้าน คุณหมอยังให้ใส่ที่ครอบตา ใส่แว่นดำกรองแสง ตามด้วยข้อควรระมัดระวังยาวเหยียด เดือนหน้ายังต้องไปตรวจอีก” พูดเชิงบ่น

            “ดีแล้ว...ยินดีด้วย”

            บัวบุษรากำลังจะบอกว่า...ที่หล่อนกลับมามองเห็นอีกครั้งเพราะกระจกตาบิดาเขา พอนึกได้ว่าอาจทำให้ชายหนุ่มแสลงใจจึงเปลี่ยนคำพูด

            “คุณผู้ช่วย...เอ๊ย...พี่ขุนล่ะคะเป็นยังไงบ้าง ป่านนี้ยังนอนไม่หลับอีก”

            การเรียก ‘พี่ขุน’ คำแรกฟังแปร่งกระดากไม่คุ้นปากคนพูด ไม่คุ้นหูคนฟัง

            “ผมหลับไปแล้ว ถ้าไม่มีแขกซน ๆ มากวนน่ะ”

            “หลับที่ไหน บัวรู้หรอกนอนพลิกไปพลิกมาอยู่ตั้งนาน...มีเรื่องอะไรต้องคิดมากหรือคะ”

            “อือ” ตอบสั้นเหมือนไม่ได้ตอบ

            หญิงสาวมองใบหน้ามีรอยกังวล แววตาครุ่นคิดนั้น รู้ว่าถามตรง ๆ เจ้าตัวไม่มีทางตอบ จึงทดลองตั้งปัญหาจากข้อมูลที่ตนเองทราบ

            “งานศพเรียบร้อยดีมั้ยคะ”

            “อือ”

            “ตำรวจจับคนร้ายได้หรือยัง”

            “ยัง”

            “พี่ขุนทราบแล้วใช่มั้ยว่าคนร้ายเป็นใคร” ถามโดยหวังว่าเขาจะเผลอตอบจริง

            ขุนคีรีจ้องตาเธอ ไม่ตอบรับไม่ปฏิเสธ นั่นทำให้เข้าใจเรื่องราวคร่าว ๆ พอจะตั้งคำถามต่อมา

            “พอรู้ว่าคนร้ายเป็นใคร...คิดจะแก้แค้นหรือเปล่าคะ”

            จากข่าวที่ออกมาและเลียบเคียงถามบิดา พอจะทราบว่าพ่อเขาถูกสังหารอุกอาจกลางถนน

            “ทำไมถึงคิดว่าผมต้องแก้แค้น” เขาย้อนถามนัยน์ตาเปลี่ยนไป

            บัวบุษราไตร่ตรองหาคำตอบ ถ้าพูดผิดหูอาจจบการสนทนาแบบไม่สวย

            “ถ้าให้ตอบตรง ๆ ตอนบัวมาที่นี่ในคืนสวดศพก็สังเกตเห็นบรรยากาศแปลก ๆ แล้ว ทุกคนดูเครียด คับแค้น ต่อให้พี่ขุนไม่อยากแก้แค้น ลูกน้องพ่อเลี้ยงจำนวนมากคงไม่ยอม...”

            ตอบพลางสังเกตปฏิกิริยาฝ่ายตรงข้าม พอเห็นแววตาอ่อนลงจึงกล้าพูดต่อ

            “เอาจริง ๆ นะ...คืนนั้นบัวคิดว่าหลุดมาอยู่ในหนังมาเฟียเลย ลูกน้องแต่ละคนดูโหด ๆ น่ากลัว แต่หัวหน้าแก๊งหล่อเท่สุด ๆ”

            ปลายประโยคเรียกรอยยิ้มบาง ๆ บนใบหน้าชายหนุ่ม

            “สมมุติว่า...ผมอยากแก้แค้น...แต่ไม่ต้องการยกพวกไปถล่มคู่อริให้ตายตกตามกันเหมือนในหนังมาเฟีย คุณคิดว่ามีวิธีอื่นอีกมั้ย”

            “บัวเห็นด้วยที่ไม่คิดยกพวกไปฆ่ากันให้สิ้นซาก” หญิงสาวรีบบอกก่อน “คนที่สร้างบาดแผล ทำให้เกิดรอยแค้นมีแค่คนเดียว ทำไมต้องพาคนนับสิบนับร้อยไปต่อสู้ให้บาดเจ็บล้มตาย ทุกคนมีครอบครัวที่รัก ถ้าต้องไปตายแบบนั้นมันไม่คุ้มค่าเลย”

            บัวบุษราไม่ทราบว่าคำพูดนั้นตรงใจอย่างจัง ทำให้ชายหนุ่มเปิดหัวใจให้รับฟังความเห็นเธอ

            “ถ้าเป็นบัว...จะใช้กฎหมายเอาผิด ให้เขาชดใช้การกระทำตัวเอง”

            “จะใช้กฎหมายลงโทษต้องมีหลักฐานพยาน คดีพ่อผมทั้งหลักฐานและพยานถูกบิดเบือนผิดทาง ไม่เหลือร่องรอยสืบสาวถึงผู้ร้ายตัวจริงได้”

            “คนนั้นไม่เคยทำความผิดอื่นเลยหรือคะ”

            คำย้อนถามจุดประกายความคิดชายหนุ่ม ตลอดทั้งคืนเขาพยายามทบทวนหลักฐานพยานเอาผิดบัณฑิตในคดีสังหารบิดาอย่างเดียว ลืมคิดไปว่าสามารถเล่นงาน ‘บาดแผล’ อื่นได้

            “ขอบคุณนะ” ตอบพร้อมรอยยิ้มผ่อนคลาย

            “ถ้าคนร้ายคือบัณฑิต ประธานเกรทนภากรุ๊ป บัวเชื่อว่าเราสามารถหาความผิดอื่นเล่นงานเขาได้ค่ะ”

            “เฮ้ย...คุณรู้ได้ยังไง”

            ขุนคีรีตกใจจริง ไม่คิดว่าหญิงสาวเอ่ยชื่อออกมาครั้งเดียวก็โดนตัวคนร้ายทันที

            “อย่าลืมสิคะว่าบัวรู้เบื้องหลังครัวร้านอาหารระเบิดหมดแล้ว ถ้าสองในสามผู้สั่งการโดนเก็บ เหลือแค่คนเดียวปลอดภัยลอยตัวได้ประโยชน์...คนนั้นก็น่าจะเป็นผู้ร้ายตัวจริงคดีนี้ไม่ใช่เหรอ”

            คิดไม่ถึงผู้หญิงมีปัญหาทางสายตาอยู่แค่ที่บ้านกับสถานีวิทยุ ติดตามข่าวเท่าที่พ่อกับพี่สาวหาให้ จะสามารถวิเคราะห์เหตุการณ์ ระบุตัวผู้ต้องสงสัยชัดเจนรวดเร็วขนาดนี้

            “คุณทำผมช็อกเลยนะ”

            “ขนาดบัวยังสรุปได้แบบนี้ พ่อที่รู้ข้อมูลมากกว่าน่าจะคิดเหมือนกัน ตอนนี้ตำรวจอาจแค่หลงทางกับหลักฐานฝ่ายนั้นสร้างขึ้น ถ้าพี่ขุนเอาหลักฐานข้อมูลที่มีไปร่วมมือกับตำรวจ หรืออย่างน้อยให้พ่อบัวได้ดู มันน่าจะเกิดประโยชน์มากกว่าคิดอยู่คนเดียว...พ่อยกโทษให้พ่อเลี้ยง พอใจกับการกวาดล้างเจ้าพ่อพลเทพแล้ว ไม่ได้หมายความว่าจะไม่เอาเรื่องกับอีกคนที่มีส่วนทำให้ลูกสาวมองไม่เห็นถึงสองปีนะคะ”

            ดวงตาขุนคีรีฉายแววครุ่นคิด ชั่งน้ำหนักในใจ บัวบุษราเอ่ยเข้าประเด็นสำคัญ

            “ครัวร้านอาหารระเบิดวันนั้น นอกจากมีเจตนาทำลายการประชุมวางแผนของภากรคู่แข่งแล้ว บัณฑิตยังต้องการทำลายหลักฐานความผิดตัวเองที่เคยร่วมมือกับมาเฟีย ยอมให้ลักลอบขนอาวุธ ยาเสพติดผ่านเส้นทางขนส่งในเครือเกรทนภากรุ๊ปมาก่อน”

            “หลักฐานน่าจะถูกทำลายตั้งแต่วันนั้นแล้ว” ชายหนุ่มพูดบ้าง

            “อาจเป็นได้ค่ะ” หญิงสาวไม่ขัด “แต่ก็ไม่แน่...พ่อใช้เวลาสองปีสืบหาหลักฐานที่อาจหลงเหลือ ต่อให้ยังไม่เจอเป็นชิ้นเป็นอันก็น่าจะมีร่องรอยให้สานต่อบ้าง”

            ขุนคีรีถอนใจไม่ตอบวาจา บัวบุษรารวบรัด

            “ให้บัวเป็นคนกลางติดต่อพ่อกับพี่ขุนดีมั้ยคะ”

            “อย่าเลย ตอนนี้ดูแลตัวเองให้หายเป็นปกติก่อนเถอะ”

            “งั้นบัวเอาเบอร์พ่อให้พี่ขุนติดต่อกันเอง หรือจะแลกเบอร์กันก็ได้”

            ชายหนุ่มมองดวงตาแป๋ว ๆ แกล้งดักคอ

            “อยากได้เบอร์ผม ขอตรง ๆ ก็ได้”

            “ค่ะ...งั้นขอทั้งเบอร์ ทั้งไลน์ เฟซบุ๊ก ไอจีเอาให้ครบเลย”

            ฟังแล้วอยากจิ้มหน้าผากด้วยความหมั่นไส้

            “เอาไว้ก่อนเถอะ...ช่วงนี้อย่าเพิ่งติดต่อใกล้ชิดผมขนาดนั้นเลย”

            “อ้าวทำไมล่ะ บัวอุตส่าห์เรียก ‘พี่ขุน’ แล้วนะคะ สำรวจรอบห้องก็เห็นว่าโสดสนิทจีบได้นี่หน่า”

            เจ้าของห้องหัวเราะเบา ๆ อยากเขกกะโหลกคนพูดอย่างเอ็นดู

            “ตอนนี้อยู่ใกล้ผมมันอันตรายมาก ถ้าอยากติดต่อดาบพนา ผมมีวิธีเองไม่รบกวนหรอก เราเจอกันในฝันแบบนี้ปลอดภัยกว่า เท่านี้ก็ทำให้ผมยิ้มได้มีความสุขแล้ว”

            ท้ายวาจาแฝงความหวานแสนอบอุ่น ประกายตามองมาบอกแทนคำพูดจากใจนับร้อยพัน

            ...คนจะรัก...อยู่เฉย ๆ เขาก็รัก ไม่ต้องโทรคุย เทียวจีบให้เสียเวลา...




--------------- ------------ --------------




            ...พลเทพยังไม่ตาย...

            คืนที่โดนยิงตกน้ำร่างลอยไปเกยริมตลิ่งห่างจากจุดเดิมราวสองกิโลเมตร ‘ช่วง’ ชายวัยเกือบสี่สิบเป็นใบ้แต่หูไม่หนวกไปพบจึงช่วยพามารักษาตัวที่บ้าน โดยตำรวจที่กระจายกำลังค้นหาไม่ทันสังเกต...หรืออาจ...มองไม่เห็นด้วยซ้ำ

            “ช่วงบอกว่าเหมือนมีเสียงกระซิบในหัวปลุกให้ตื่น แล้วบอกซ้ำ ๆ ให้รีบไปที่ริมตลิ่งตรงนั้นเร็ว ๆ ทั้งที่มีตำรวจเยอะแยะแต่ไม่มีใครสนใจมัน อาจเพราะเป็นตอนมืดตีสามตีสี่แล้วก็ได้ ขนาดอุ้มท่านขึ้นสามล้อเครื่องกลับมาบ้านยังไม่โดนเรียกตรวจเลย”

            ยายแช่ม มารดาสูงวัยเป็นผู้เล่าเรื่องราว

            “หลังจากนั้นก็มีตำรวจมาถาม ตรวจสอบตามหาไปทั่ว ช่วงเป็นใบ้พูดไม่ได้เขาเลยไม่รู้เรื่องอะไร ส่วนฉันก็บอกว่าไม่รู้ไม่เห็นเขาก็ไม่สงสัย...จะว่าไปก็เหมือน ‘ผีบังตา’ ตั้งแต่แรกจนถึงตอนนี้ ไม่งั้นโดนตำรวจจับได้นานแล้ว”

            พลเทพฟังแล้วอดคิดไม่ได้ ‘ผี’ ตนใดจะช่วยบังตาแอบช่วยเหลือคนบาป ถ้าไม่ใช่บุตรสาวและบุตรเขยที่เพิ่งรดน้ำอวยพรก่อนรู้สึกตัว

            บนเส้นทางชีวิต ‘เจ้าพ่อ’ ถึงสร้างศัตรูมากมาย ก็ยังแผ่พระคุณช่วยเหลือผู้คนไม่น้อย

            ‘ช่วง’ เป็นหนึ่งในคนเคยรับบุญคุณจนลืมตาอ้าปาก สามารถเลี้ยงมารดามีความสุขตามอัตภาพจนถึงปัจจุบัน

            เมื่อก่อนชายคนนี้ไม่ได้เป็นใบ้ แต่ป่วยด้วยโรคภัยใดไม่ทราบ ได้รับการรักษาผิดพลาดจนกล่องเสียงเสียหาย ถึงอย่างนั้นก็ขยันทำมาหากิน รับจ้างทำงานทุกอย่างไม่เห็นแก่เหน็ดเหนื่อย

            ครั้งหนึ่งขณะทำงานส่งของพบเห็นการซื้อขายยาเสพติด ถูกลูกน้องพลเทพจับได้โดนซ้อมยับเยิน พยายามร้องขอชีวิตน่าสงสาร พูดไม่ได้ก็สื่อสารเขียนบอกว่าตนเองต้องเลี้ยงมารดา จะตายไม่ได้เด็ดขาด

            พลเทพสั่งหยุดมือแล้วให้ลูกน้องไปสืบว่าหนุ่มใบ้เขียนเรื่องจริงหรือไม่ พอทราบความจริงนอกจากปล่อยตัวยังช่วยเหลือให้ทำงานเป็นคนสวนดูแลต้นไม้ที่คฤหาสน์ตนเอง

            เมื่ออยู่ด้วยกันหลายปีเห็นความขยันขันแข็ง จิตใจดี กตัญญูต่อมารดาก็อยากช่วยให้ชีวิตดีกว่าเดิม สังเกตว่าหนุ่มใบ้มีฝีมือการทำอาหาร จึงเรียกไปพูดคุยไถ่ถาม สุดท้ายออกทุนให้เปิดร้านอาหารตามสั่งเล็ก ๆ เลี้ยงตัวเองและมารดา

            ทุกปีใหม่ วันเกิด หนุ่มใบ้กับมารดาจะนำกระเช้าเล็ก ๆ เป็นอาหารแห้งกับยาสมุนไพรมาฝากแสดงความระลึกถึงบุญคุณไม่เคยขาด

            ผ่านไปหลายปีหนุ่มใบ้กลายเป็นชายวัยใกล้สี่สิบก็ยังไม่ลืมผู้มีพระคุณ แค่ได้ยินเสียงกระซิบในหัวก็ออกตามหาช่วยเหลือโดยไม่ลังเล กล้านำ ‘เจ้าพ่อ’ มาซ่อนรักษาตัวไม่กลัวถูกตำรวจจับข้อหาให้ที่พักพิงผู้ร้ายหนีคดี

            สำหรับ ‘ช่วง’...บุญคุณต้องทดแทน...ต่อให้เสี่ยงเท่าไรก็ยอม...

            ‘ผี’ ที่กระซิบเรียก...ช่วยบังตาตำรวจ...เบี่ยงเบนความสนใจจนพลเทพรอดมือกฎหมายถึงตอนนี้ น่าจะเลือก ‘ผู้ช่วยเหลือ’ เหมาะสมที่สุดแล้ว




--------------- ------------ --------------




            สำนักงาน ‘บิ๊กเพลิง’ เป็นอาคารพาณิชย์สามชั้นสองคูหา ด้านหน้าเหมือนร้านรับปล่อยเงินกู้ทั่วไป ชั้นบนสุดเป็นบ่อนพนันเล็ก ๆ ทำรายได้ไม่น้อย

            ห้องทำงานหัวหน้าใหญ่อยู่ชั้นสอง ด้านนอกมีลูกน้องสามสี่คนคอยรับคำสั่ง ‘วิ่งงาน’ ดูแลความเรียบร้อยทั่วไป

            “มีคนขอพบเฮียครับ” ลูกน้องหน้าห้องเคาะประตูก่อนเข้ามาบอก

            “ใครวะ”

            “มันบอกว่าชื่อขุนคีรี”

            “ชื่อคุ้น ๆ ใครวะ”

            “นักมวยที่เวทีเฮียบุ๋นไง”

            บอกอย่างนี้ความทรงจำสว่างวาบ นักมวยผมยาวมาดเซอร์ผู้เคยสยบลูกน้องนับสิบด้วยกระบองคู่เดียว ล่าสุดพ่ายแพ้กับ ‘นักชกพิเศษ’ จนตนชนะพนันได้เงินก้อนใหญ่

            “มันมีธุระอะไร”

            เจ้าพ่อพลเทพหมดอำนาจ พ่อเลี้ยงบุญชัยผู้มีอิทธิพลทางเหนือเพิ่งเสียชีวิต ชายหนุ่มไม่มีคนคุ้มหัวไม่จำเป็นต้องเกรงใจ

            “ไม่ได้บอก เฮียจะให้มันขึ้นมามั้ย”

            ขณะจะออกปากขับไล่ นึกสงสัยเจตนาฝ่ายตรงข้ามจึงเปลี่ยนใจ

            “เออ...ให้มันขึ้นมา พวกเอ็งก็ตามเข้ามาให้หมดด้วย”

            ประสบการณ์น่าอายยังฝังใจ บาดแผลคมมีดคืนนั้นเพิ่งสมานหายดี บิ๊กเพลิงไม่ปล่อยให้ตัวต้นเหตุเดินลอยชายเข้าออกถิ่นตนตามสบายแน่



            ห้องทำงานบิ๊กเพลิงแคบถนัดใจเมื่อลูกน้องสามสี่คนเข้ามาพร้อมอาคันตุกะ ขุนคีรีไม่ได้มาคนเดียว ชายสวมแว่น เชิ้ตขาว ‘ผู้เจรจา’ คืนก่อนตามมาด้วย

            “ตัดผมสั้นเกือบจำไม่ได้...มีธุระอะไร” ถามโดยไม่เชื้อเชิญให้นั่ง

            “นักมวยที่ชกชนะผมคืนนั้นมาจากไหน”

            เมื่อเจ้าบ้านไม่ยินดีต้อนรับ ไม่กล่าวทักทายตามมารยาท ผู้มาเยือนก็เข้าประเด็นทันทีไม่อ้อมค้อม

            “ใครวะ” แกล้งทำหน้าไม่รู้เรื่อง

            “บิ๊กเพลิงจำคนที่ทำเงินก้อนใหญ่ให้ไม่ได้หรือ”

            “ต่อให้จำได้ ก็ไม่จำเป็นต้องบอกใครนี่”

            อีกฝ่ายพูดแบบนี้แสดงว่าต้องคุยกันยาว ขุนคีรีนั่งเก้าอี้โดยไม่รอคำเชิญ ไม่เสียเวลาเกลี้ยกล่อมอ้อมค้อม

            “บ่อนข้างบนนี่ จ่ายตำรวจเดือนเท่าไหร่ ถ้า ‘นายเหนือ’ เขารู้จะเป็นยังไงนะ”

            “มึงขู่กูเหรอ”

            “ปล่อยเงินกู้เกินอัตราดอกเบี้ยตามกฎหมาย ทวงหนี้ยามวิกาล ข่มขู่ลูกหนี้แบบผิดกฎหมาย ผิดพรบ. ทวงหนี้...เท่านี้ก็หลายคดีแล้ว...อยากให้ขุดเพิ่มมั้ย”

            บิ๊กเพลิงตวัดสายตาสั่งลูกน้อง นักเลงสามสี่คนลงมือพร้อมกันคิดว่าผู้มาเยือนไม่ทันตั้งตัว

            ขุนคีรีนั่งยิ้มไม่แยแส คนขยับตัวคือชายสวมแว่นยืนด้านข้าง แค่ขยับมือขยับเท้าไม่กี่ครั้ง ลูกน้องมือดีบิ๊กเพลิงทั้งหมดต่างเข่าอ่อนทรุดฮวบ หน้าหงายไม่ทันตั้งตัว

            “ขอบคุณครับพี่เข้ม” พูดโดยไม่จำเป็นต้องหันไปดูผลงาน

            เจ้าบ้านหน้าซีด ฝีมือนักมวยหนุ่มคราวก่อนว่าร้ายกาจแล้ว ผู้ติดตามท่าทางเหมือนพนักงานออฟฟิศสวมแว่นคนนี้ร้ายกาจกว่า สองคนมาด้วยกันต่อให้ระดมลูกน้องทั้งหมดไม่แน่จะเอาชนะได้

            “ครั้งนี้ถือว่าผมขอร้องบิ๊กเพลิงนะ” น้ำเสียงอ่อนลง ไม่มีท่าทีโอหังทั้งที่สยบฝ่ายเจ้าบ้านได้ “ผมจำเป็นต้องรู้ที่มาที่ไปนักมวยคนนั้นจริง ๆ”

            “มึงจะรู้ไปทำไม” ถามด้วยเสียงดื้อดึงไม่ยอมแพ้ง่าย ๆ

            “นักมวยคนนี้น่าจะเป็นพวกเดียวกับมือสังหารพ่อผม”

            “หึ...ถ้าใช่แล้วมึงจะทำอะไรได้ องค์กรนี้ฝีมือร้ายกาจขนาดไหน...แค่ลูกน้องปลายแถวยังน็อกมึงได้เลย” วาจาเสียดเย้ยสะใจ

            ผู้ฟังไม่แสดงปฏิกิริยาคัดค้าน ทั้งยังยอมรับผลการต่อสู้อย่างลูกผู้ชาย

            “นั่นสิ...ถ้าอย่างนั้นรบกวนบอกรายละเอียดได้มั้ย...มันอาจเป็นเรื่องดีสำหรับบิ๊กเพลิงก็ได้ ถ้าผมกับองค์กรนี้ปะทะกันจริง ๆ”

            บิ๊กเพลิงยิ้มกริ่มเมื่อนึกภาพตาม

            “ได้...อยากรู้อะไรถามมา...ถ้ามึงรู้จักพวกมันจริง ๆ แล้ว อยากดูเหมือนกันว่าจะทำปากเก่งได้อีกมั้ย”

            เพียงเท่านี้รอยยิ้มบาง ๆ แตะริมฝีปากชายหนุ่มผู้มาเยือน ทั้งยังแอบสบตากับคนสนิทด้านข้างเป็นเชิงว่า...สืบข้อมูลที่นี่ง่ายดายกว่าคิดไว้เยอะเลย




--------------- ------------ --------------




            คอนโดมิเนียมยามค่ำคืน

            ขุนคีรี เข้มกำลังค้นข้อมูลทางอินเตอร์เน็ตเกี่ยวกับองค์กรลับชื่อ ‘Hunter in the wind’ นักล่าในสายลม

            นักมวยผู้เอาชนะขุนคีรี เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยเซฟเฮ้าส์บัณฑิต มาจากองค์กรนี้

            คนระดับบิ๊กเพลิงไม่มีปัญญาจ้างคนจากองค์กรลับราคาแพง ‘เจตน์’ เลขาประธานกรรมการเกรทนภากรุ๊ปเป็นคนติดต่อ ส่งมาให้เป็นคู่ชกขุนคีรีในแมตช์สำคัญ

            เมื่อเห็นฝีมือนักมวยคนนี้ บิ๊กเพลิงกล้าทุ่มเดิมพันหมดหน้าตัก อีกทั้งกระทำตามแผนผู้ติดต่อ สั่งเฮียบุ๋นให้จัดรายการชกตรงกับคืนที่พ่อเลี้ยงบุญชัยถูกลอบสังหาร

            “ทำไมต้องเสียเวลาจัดแมตช์ชกให้ยุ่งยาก ทั้งที่คืนนั้นปล่อยให้ผมไปกับพ่อซะ พวกมันจะขุดรากถอนโคนหมดทีเดียว” ขุนคีรีตั้งข้อสงสัย

            “ถ้าฟังจาก ‘ปีเตอร์’ พูดถึงเจตน์ หรือ ‘แมน’ ลูกน้องโจ เจ้าของบ่อนที่วางแผนเสี้ยม ให้พ่อเลี้ยงกับปีเตอร์เป็นศัตรูฆ่าแกงกัน แสดงว่าเจตน์น่าจะมีความแค้นพวกเรามาก่อน เลยอยากให้เกิดการปะทะสองบ่อนใหญ่...ถ้าคืนนั้นขุนไปกับพ่อเลี้ยงแล้วตายกันหมด ปีเตอร์จะกลายเป็นผู้มีอิทธิพลยิ่งใหญ่คนเดียว ใครก็ล้มล้างไม่ได้...แต่พอขุนรอดตายสานต่ออำนาจพ่อเลี้ยง คิดว่าปีเตอร์เป็นศัตรู...แผนการสองยักษ์สู้กันเองของมันก็จะเดินต่อไปได้”

            ชายหนุ่มหัวเราะหึหึ ส่วนลึกในใจเจ็บแปลบ ถามเข้มอีกครั้ง

            “เจตน์มันแค้นอะไรพวกบ่อนพนันนักหนา ถึงลงทุนวางแผนทำอะไรขนาดนี้”

            เข้มถอนใจ แววตาหม่น

            “พี่ไม่รู้...แต่อย่าลืมว่าผับ บาร์ บ่อนการพนัน เป็นสถานที่ทำให้เสียคน เสียอนาคต ไปไม่รู้เท่าไหร่...เจตน์อาจเป็นหนึ่งในนั้นก็ได้”

            “พวกนั้นทำตัวเอง จะมาโทษพวกเราได้ยังไง” อดเถียงแทนไม่ได้

            อดีตมือขวาพ่อเลี้ยงไม่ตอบ บางครั้งขุนคีรีก็เหมือน ‘คุณหนู คุณชาย’ บนหอคอย ไม่ค่อยรับรู้ด้านมืดของโลกเท่าไหร่ ต่อให้เคยใช้ชีวิตนอกบ้าน เป็นนักมวยใต้ดินแบบนี้ ยังมีหลายครั้งที่บิดาแอบช่วยเหลือโดยเจ้าตัวไม่รู้

            ตอนนี้ไม่ใช่เวลาสืบสาว หาเหตุผลความแค้นเจตน์ ศัตรูร้ายกาจต้องรับมือก่อนคือนักล่าในสายลม จำเป็นต้องสืบหาข้อมูลองค์กรลับนี้ให้มากที่สุด



            เสียเวลาครึ่งค่อนคืนค้นหาในเน็ต ตรวจสอบข่าวที่มีเงื่อนงำเกี่ยวข้อง กระทั่งสอบถามคนใน ‘แวดวง’ สีเทา สีดำอย่างปีเตอร์ ยังได้ข้อมูลน้อยเหลือเกิน

            “ปีเตอร์บอกว่า Hunter in the wind รับงานยาก ราคาสูงแต่รับรองผลร้อยเปอร์เซ็นต์ ทำงานตามคำสั่งข้อตกลง ไม่ทำงานตามใจ กำหนดระยะเวลาเงื่อนไขชัดเจน ถ้ามีปัญหากับผู้ว่าจ้างสามารถยกเลิกสัญญาถอนตัวทันที”

            “ข้อมูลที่พี่ได้เป็นข่าวเก่า บอกว่าสถานีตำรวจแห่งหนึ่งโดนโซนิกบูมทำลายระบบไฟฟ้า อิเล็กทรอนิกส์ ระบบสื่อสารทั้งหมด ก่อนมีกลุ่มคนไม่ทราบชื่อไม่ทราบฝ่ายบุกชิงตัวคนร้ายที่เพิ่งจับได้ออกไปทั้งหมดสามคน”

            “พี่เข้มคิดว่าน่าจะเป็นฝีมือองค์กรนี้”

            “ดูจากการใช้เครื่องมือทันสมัย กล้าบุกสถานีตำรวจกลางเมืองพร้อมอาวุธครบมือ ตอนนี้ยังไม่ถูกจับได้ ต้องไม่ใช่ผู้ร้ายกระจอกแน่”

            “เราจะรับมือพวกมันยังไง”

            “ต้องหาผู้ช่วย หาคนอยู่ฝ่ายเดียวกับเรามากกว่านี้”

            “หมายถึงตำรวจเหรอพี่”

            “ศัตรูของศัตรู...น่าจะเป็นพันธมิตรเราได้”

            คำแนะนำของเข้มสะกิดความคิดขุนคีรี นึกถึงบุคคลหนึ่งได้

            “ภากร...คู่แข่งบัณฑิตอาจร่วมมือกับเรา”

            “พี่ก็คิดอย่างนั้น...เจตน์เคยทำงานให้เขา...ภากรน่าจะรู้จักเลขานกสองหัวได้ดี...ไม่แน่อาจรู้จักองค์กรนักล่าในสายลมเหมือนกัน”

            “งั้นติดต่อ นัดเจอเขาเลย...เร็วที่สุดยิ่งดี”

            สองหนุ่มสบตากัน ประกายแวววาวการต่อสู้ลุกโชน หากไม่ต้องการเสียเลือดเนื้อผู้ใด จำเป็นต้องใช้สมองมากกว่ากำลัง



รดติดตามต่อฉบับหน้า)



แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP