วรรณกรรมนำใจ Lite Literature

ทางยมทูต ๓๗



way cover




ชลนิล



(ต่อจากฉบับที่แล้ว)



            ยมทูตหินผายืนเหนือกำแพงทึบ สายตามองไปยังบ้าน ‘คนบาป’ ความรู้สึกในดวงตาไม่แสดงทั้งรังเกียจหรือสมเพช อาจเพราะสถานที่ตนเอง ‘ทำงาน’ เห็นบุคคลประเภทนี้มากมายจนชาชิน

            ...บุคคลที่เห็นว่าอำนาจ ความร่ำรวยสุขสบายบนโลกเป็นสิ่งสำคัญ กระทำเรื่องชั่วใดก็ได้เพื่อครอบครอง ไม่สนใจผลลัพธ์อันเผ็ดร้อน ยาวนานในนิรยภูมิ...

            “ยินดีด้วย” เสียงพญามัจจุราชดังกึ่งกลางกะโหลก

            “พระองค์ยินดีต่อกระหม่อมเร็วเกินไปแล้ว เดิมพันยังไม่สิ้นสุดเลย”

            “งั้นรึ...เช่นนั้นเราจะรอจนถึงวินาทีตัดสิน...เดิมพันครั้งนี้จะมีผลลัพธ์สุดท้ายอย่างไร”

            “กระหม่อมเชื่อว่าคงไม่นานนัก”

            “ไม่นานหรอกหินผา...เราก็เชื่อเช่นนั้น”

            กระไอร้อนจางหายพร้อมร่างสูงใหญ่บนกำแพง บริเวณโดยรอบเต็มไปด้วยความเงียบงัน หากจะมีสรรพเสียงใดก็คงเป็นเสียงกระซิบกระซาบจากกรรมวิบาก ที่รอเวลาเอาคืนคนชั่วข้างใน




--------------- ------------ --------------




            รายงานจาก ‘มือดี’ ขององค์กรจ้างมาแพงลิบทำให้บัณฑิตอยากระเบิดอารมณ์ใส่เจ้าหน้าที่ชุดดำตรงหน้า ถ้าไม่ติดว่าพวกเขาไม่ใช่ลูกน้องขี้ข้าซึ่งตนสามารถบริภาษจิกด่าตามใจ

            องค์กรนี้ไม่ขึ้นตรงต่อใคร ทำงานเฉพาะคำสั่งว่าจ้าง สามารถยกเลิกสัญญาทันทีเมื่อเกิดการปฏิบัติตัวต่อกันไม่ถูกต้อง

            “คุณบอกว่ามีกลุ่มคนแอบซุ่มดูการประชุมอยู่ด้านนอก โดยไม่รู้ว่าเป็นใคร...อยู่ฝ่ายไหน” ประธานใหญ่ข่มอารมณ์ถามย้ำอีกครั้ง

            “ถูกต้อง”

            “แล้วคุณเพิ่งได้ร่องรอยพวกมันตอนการประชุมเสร็จสิ้น”

            “ใช่”

            “นอกจากจับตัวมาไม่ได้ ยังโดนพวกมันซัดจนสลบไปเป็นชั่วโมง”

            “ใช่”

            คำตอบสั้นจนคนฟังอยากลงมือรุนแรง เจตน์เห็นเช่นนั้นต้องรีบเอ่ยวาจากึ่งแก้ตัวแทน

            “แสดงว่าคนพวกนั้นฝีมือเกินธรรมดาแน่ ๆ คุณบอกว่าโดนสองคนรุมใช่มั้ย”

            “ใช่...ทำให้คนที่ซุ่มดูบนเสาไฟฟ้าหนีรอดไปได้” คำตอบยาวขึ้น

            “พวกนั้นแต่งตัวยังไง”

            “ชุดดำคลุมหน้าแบบพวกเรา แต่ไม่เหมือนซะทีเดียว”

            “วิธีต่อสู้ อาวุธที่ใช้ล่ะ”

            “คนนึงเก่งหมัดมวย การต่อสู้ระยะประชิด อีกคนใช้กระบองเหล็กคู่”

            “มีอะไรอยากบอกเพิ่มเติมอีกมั้ย”

            ดวงตาผู้รายงานฉายแววทบทวนครุ่นคิดก่อนตอบ

            “ไม่มี”

            ผู้รายงานออกไปแล้ว เหลือแค่บัณฑิตกับเจตน์

            “คิดว่าใครส่งพวกมันมา” ผู้เป็นนายถาม

            “ศัตรูของท่านเด่นชัดตอนนี้มีภากร ลูกชายพ่อเลี้ยงบุญชัย กับพลเทพที่หายสาบสูญ”

            “ตัดพลเทพได้เลย โดนกวาดล้างจนไม่มีอะไรเหลือแล้ว ส่วนลูกชายไอ้พ่อเลี้ยงมันไม่รู้นี่หว่าว่าฉันสั่งฆ่าพ่อมัน”

            เจตน์ครุ่นคิด ไม่อยากตัดตัวเลือกที่ยังไม่แน่ใจออกไป

            “ผมจะสั่งสายของเราให้สืบความเคลื่อนไหวทางนั้นอย่างละเอียดอีกที คนที่สามารถจ้างมืออาชีพระดับนี้ได้มีแค่ลูกชายพ่อเลี้ยง กับภากร”

            “งั้นเป็นไอ้ภากรแน่...มันต้องรู้ว่าเราแอบนัดประชุมกรรมการ กับผู้ถือหุ้น...ถ้าได้ข้อมูลอะไรอาจใช้ดัดหลังย้อนศรทีหลัง”

            “ถ้าอย่างนั้นวางผู้ต้องสงสัยเบอร์หนึ่งเป็นภากร เบอร์สองเป็นลูกพ่อเลี้ยงบุญชัย...ผมจะให้คนของเราสืบความเคลื่อนไหวสองด้านนี้ทันที”

            “เออ...ได้ความยังไงพรุ่งนี้บอกด้วย”

            เจตน์รับคำสุภาพ ในใจบังเกิดกังวลสังหรณ์ร้าย...ยังดีที่กลุ่มคนเหล่านั้นแค่มาสืบข่าวความเคลื่อนไหว ถ้าเปลี่ยนเป็นแผนสังหาร บุกโจมตี...พวกตนจะรอดชีวิตถึงตอนนี้หรือไม่

            แค่คิดก็เย็นวาบ เสียวสันหลังแล้ว




--------------- ------------ --------------




            แม่น้ำสายกว้างทอดยาวไหลเอื่อย เรือยนต์ขนาดย่อมลอยลำตรงกลาง ภายในลำเรือมีขุนคีรี เข้ม ลูกน้องพ่อเลี้ยงบุญชัยระดับหัวหน้าอีกนับสิบ ร่วมพิธีลอยอังคารส่งบุคคลอันเป็นที่รักครั้งสุดท้าย

            ถุงเถ้ากระดูกจมสู่ใต้ท้องน้ำ กลีบดอกไม้ลอยเกลื่อนกระจายเป็นวงกว้างแสดงความงดงามครั้งสุดท้าย ลูกชายยกมือไหว้อำลาพร้อมกับลูกน้องทั้งลำเรือ

            หลังเสร็จพิธี เรือยังลอยลำกลางแม่น้ำไม่เข้าฝั่ง เข้มมองหน้าทุกคนบนลำเรือไม่เว้นกระทั่งคนขับเรือ มั่นใจว่าไม่มีคนนอกแทรกซึมจึงพยักหน้าให้น้องชายพูดเรื่องสำคัญ

            “ขอโทษครับที่ผมเปลี่ยนใจในวินาทีสุดท้าย”

            การยกเลิกภารกิจเมื่อคืนต้องมีคำอธิบาย ขุนคีรีครุ่นคิดตลอดทางตั้งแต่นั่งเครื่องบินจนกลับมาถึงบ้าน กระทั่งเก็บเถ้ากระดูกลอยอังคารเวลานี้

            ไม่มีลูกน้องพ่อคนไหนกล้าไถ่ถามเหตุผล เพราะรู้ว่าคนต้องการแก้แค้นมากกว่าใครคือลูกชายคนเดียว ถ้าเขายังนิ่งเงียบไม่อธิบายให้ชัดเจน ความเชื่อถือมั่นใจของคนเหล่านี้ย่อมลดทอนลง

            “ขอโทษที่ทำให้ทุกคนผิดหวัง”

            ทุกคนเงียบฟังไม่เอ่ยแทรก รอคอยคำอธิบาย

            “ก่อนผมจะสั่งจุดระเบิด เกิดความคิดหนึ่งขึ้นมา...คืนนั้นพวกมันไม่ได้ฆ่าแค่พ่อคนเดียว...ยังฆ่าแดน ปราบ ก้าน และคนของเราอีกหลายคน เมื่อคืนผมเห็นลักษณะท่าทางพวกบอดี้การ์ดคุ้มครองบัณฑิตเหมือนทีมเดียวกับในคลิป...มันคงเป็นเรื่องดีถ้าแก้แค้นเช็กบิลทั้งหมดทีเดียว”

            ชายหนุ่มหยุดถอนใจ ดวงตาหรี่แสงลง

            “...แต่...อย่าลืมว่าปราบ แดน และทีมคุ้มครองพ่อฝีมือไม่ธรรมดายังโดนพวกมันเก็บเรียบ เมื่อคืนเราอาจเป็นต่อตรงจู่โจมไม่ทันตั้งตัว...แต่ไม่ว่ายังไงเชื่อว่าฝ่ายเราต้องมีการสูญเสียบาดเจ็บ หรืออาจ...ตายได้...ซึ่งผมไม่อยากให้เกิดเหตุการณ์เช่นนั้น”

            บางคนขยับปากจะค้าน คนนั่งข้างสะกิดไว้เปิดโอกาสให้ขุนคีรีพูดจนจบ

            “พ่อ แดน ปราบ ก้าน และทีมคุ้มครอง...พวกเราสูญเสียมากเกินไปแล้ว ผมจะไม่ยอมให้ใครต้องมาตายเพราะการแก้แค้นอีก...แค่พี่เข้มพลาดโดนมีดจนเลือดโชกผมยังรู้สึกผิด...ต่อไปถ้าจะล้างแค้น พวกเราต้องไม่มีใครเสียเลือดเนื้อเด็ดขาด”

            “คุณขุนจะทำยังไง” บางคนอดถามไม่ได้

            “ขอเวลาผมคิดสักหน่อย เลือดไม่จำเป็นต้องล้างด้วยเลือด การตอบโต้ไม่จำเป็นต้องใช้วิธีตาต่อตาฟันต่อฟัน...คนชั่วบางคน ปล่อยให้มันมีชีวิตอยู่โดยสูญเสียทุกอย่าง ไม่มีอะไรเหลือ...อาจน่ากลัวกว่าความตายด้วยซ้ำ”

            ไม่มีเสียงคัดค้านขัดแย้ง ความศรัทธาที่มีต่อพ่อเลี้ยงถูกถ่ายโอนมายังลูกชายคนเดียว

            ขุนคีรีกลายเป็นผู้ใหญ่ในชั่วข้ามคืน ความเกลียดชังอาฆาตแค้นยังอยู่ เพียงแต่มีสติไม่วู่วามคิดเพียงต้องการให้อีกฝ่ายตายตกตามกันเท่านั้น




--------------- ------------ --------------




            “ภากรไม่มีความเคลื่อนไหวผิดปกติ ทางลูกชายพ่อเลี้ยงบุญชัยยังวุ่นวายกับงานศพไม่เรียบร้อย ข่าวล่าสุดบอกว่าเพิ่งเก็บกระดูกตอนเช้า แล้วออกไปลอยอังคารตอนสายนี่เอง”

            นี่คือรายงานจากเจตน์

            “สองฝ่ายนี้คิดว่าใครส่งพวกสืบข่าวมือดีมา” คำถามแคบลง

            “ไม่น่าใช่ทั้งคู่...หรือถ้ามีโอกาสมากกว่าก็อาจเป็นลูกชายพ่อเลี้ยง แต่สายสืบเราบอกว่าทางนั้นไม่มีความเคลื่อนไหวผิดปกติเลย มันเช็กกระทั่งเที่ยวบินไป - กลับกรุงเทพฯ ไม่พบคนของพ่อเลี้ยงบุญชัยโดยสาร”

            “ถ้าอย่างนั้นอาจเป็น ‘มัน’...” บัณฑิตขมวดคิ้ว...เริ่มสงสัยบางคนที่คิดว่าหมดพิษสงแล้ว

            “พลเทพ...อาจเป็นได้เพราะตอนนี้ตำรวจยังไม่ได้ร่องรอย แสดงว่าอาจมีคนจงรักภักดีคอยช่วยเหลืออยู่”

            “จริงสิ...เสือเฒ่าคงไม่สิ้นลายง่าย ๆ ฉันประมาทมันเกินไป”

            “ผมจะส่งคนเกาะติดการสืบสวนของตำรวจ แล้วจะบอก ‘องค์กร’ นั่นสืบข่าวอีกทาง”

            พอเอ่ยถึง ‘องค์กรนั่น’ รอยยิ้มเยาะปรากฏบนใบหน้าประธานใหญ่

            “มันจะยอมทำงานเล็ก ๆ แบบนี้หรือ”

            “ไม่แน่ใจ ทางนั้นอาจไม่รับก็ได้ ผมจะลองถามดูก่อน”

            “สัญญาจ้างใกล้หมดแล้วใช่มั้ย”

            “เหลืออีกสามวันครับ”

            “นัดหมายตัวแทนองค์กรมาคุยกับฉันหน่อย ถ้าต่อสัญญาไม่ได้จะว่าจ้างเพิ่มอีกงานนึง”

            “ได้ครับ”

            ตอบรับโดยไม่ถามสักคำ เจ้านายต้องการให้องค์กรแสนแพงทำงานอะไรเพิ่ม มั่นใจว่าสุดท้ายตนต้องรู้อยู่ดี




--------------- ------------ --------------




            ...พลเทพถูกยิงตกคลอง ไม่ทราบเป็นหรือตาย...ไม่พบศพ ติดตามร่องรอยไม่เจอ ราวกับหายสาบสูญไปแล้ว...

            ...คืนเกิดเหตุ...

            ตำรวจบุกกวาดล้างการประชุมแลกเปลี่ยนสินค้าตัวแทนค้ายาเสพติดระดับภูมิภาค พลเทพรีบลงเรือหนี ลูกน้องขับเรือพาไปไม่ไกล เรือตำรวจไล่ตามทันเกิดการยิงปะทะ คนขับเรือถูกยิงตายคาพวงมาลัย เจ้าพ่อใหญ่โดนกระสุนเข้าที่ไหล่จนร่วงลงน้ำ

            วูบแรกที่กระสุนผ่านเนื้อรู้สึกแรงปะทะพาร่างลอยละลิ่วสู่พื้นน้ำเบื้องล่าง ความหนาวเย็นจับกระดูก หน้าอกแน่นอึดอัด น้ำไหลทะลักเต็มปอด ร่างจมดิ่งลึกลงเรื่อย ๆ

            นาน...นานเพียงใดตอบไม่ถูก...คิดว่าต้องตายแน่

            ในความมืด...เงียบงันปรากฏภาพนิมิตน่ากลัวเป็นร่างผู้คนเลือดไหลโชก บ้างโดนยิงตาย บ้างถูกซ้อมยับเยิน บางคนเกิดอาการเสี้ยนยาขนาดหนักสภาพชวนสมเพชเวทนา...ทั้งหมดเป็น ‘เหยื่อ’ บนเส้นทางค้ายาของเขา

            สรรพเสียงอื้ออึงดังก้องสะท้อนไปมา

            “อย่า...อย่าฆ่าผม...”

            “คืนชีวิตกูมา”

            “ยา...ขอยาหน่อย...ให้ทำอะไรก็ยอม...”

            “ไม่...ไม่...กลัวแล้ว...อย่าทำผมเลย”

            ภาพและเสียงเหล่านั้นบีบคั้นหัวใจพลเทพเกินทน หวาดกลัวต่อสิ่งที่ตนเคยกระทำ กลัวเกรงผลกรรมจะได้รับ สุดท้าย ‘กลัวตาย’ กลัวหมดโอกาสแก้ไขสิ่งผิดพลาด กลัวต้องรับโทษทัณฑ์อันเผ็ดร้อนเกินจินตนาการในนรก

            เจ้าพ่อผู้ยิ่งใหญ่กระทำบางสิ่ง ไม่คิดว่าชีวิตนี้ตนเองจะทำได้...ร่ำร้อง คร่ำครวญขอโอกาสอีกครั้ง

            “อย่าเพิ่งให้ผมตายเลย...ขอมีชีวิตต่ออีกหน่อย...ขอโอกาสแก้ตัวได้มั้ย...”

            ผู้กระทำชั่วเพิ่งสำนึกได้ในวาระสุดท้ายมักเป็นเช่นนี้ ส่วนใหญ่ล้วน ‘หมดโอกาส’ แล้ว

            ถึงอย่างนั้น มีบางคนต่อให้ประกอบมิจฉาชีพ สร้างความเดือดร้อนแก่ผู้อื่น ก็ยังรู้จักคบคนดี ชักพาสร้างบุญกุศลกองใหญ่ เกลี้ยกล่อมให้ปล่อยปละละเว้นการสังหารฆ่าฟันทั้งที่มีโอกาส

            สำหรับพลเทพ...บุคคลนั้นคือภรรยาผู้ล่วงลับ

            นิมิตต่อมาเป็นภาพการสร้างโบสถ์วิหาร โรงเรียน โรงพยาบาล สมทบทุนในกองบุญใหญ่ มอบเงินให้โรงพยาบาลซื้อเครื่องมือแพทย์ ขุดบ่อน้ำสร้างประโยชน์แก่สาธารณชน และมีหลายครั้งที่ภรรยาขอร้องให้สามียกโทษ ให้อภัยแก่ลูกน้องทำผิด ไว้ชีวิตพวกเขาเป็นทาน...ซึ่งพลเทพทำตามด้วยความเต็มใจ

            ผู้มีอำนาจบารมียิ่งใหญ่ สามารถสร้างบาป ความเดือดร้อนวงกว้าง ขณะเดียวกันก็ยังประโยชน์ใหญ่ สร้างคุณแก่สาธารณชนไม่น้อยเช่นกัน

            ‘กรรมวิบาก’ เป็นเรื่องอจินไตย ปุถุชนทั่วไปไม่อาจเข้าใจถูกต้องได้โดยง่าย ดังนั้นจึงยากอธิบาย คาดเดาว่ากรรมแบบใดของพลเทพจะส่งผลก่อนหลัง

            นิมิตร้าย นิมิตดีดับลง พลเทพเหน็ดเหนื่อยอ่อนล้าปล่อยกายใจไหลตามกระแสกรรม

            แวบหนึ่งมองเห็นขุนคีรีพาพรรคพวกเตรียมบุกสังหารบัณฑิต จิตใจชืดชาไม่ยินดียินร้าย ไม่สนับสนุนไม่คัดค้าน กระทั่งชายหนุ่มกรอกเสียงสั่งทางวิทยุสื่อสาร

            “ยกเลิกภารกิจ”

            จิตใจผ่อนคลาย ยินดีกับการตัดสินใจของคนที่รักเหมือนลูกชายทันที

            “ดีแล้วลูก!”

            คำอนุโมทนาในใจบังเกิดผลให้ร่างที่จมดิ่งเริ่มลอยสูงขึ้น จมูกได้กลิ่นหอมรวยรินชักพาเป็นเส้นทางสายหนึ่ง นำไปสู่ความเวิ้งว้างเบื้องบน

            ท้องฟ้ามืดมน ดวงจันทร์ลอยสูงสาดแสงสีนวลทำให้มองเห็นใบหน้าหนึ่งอยู่ใกล้ ๆ

            “แพร...”

            แพรตะวันนั่งพับเพียบอยู่ข้าง ๆ ด้านหลังเป็นบ้านทรงไทย พลเทพกำลังนั่งริมท่าน้ำซึ่งมีลำคลองไหลเอื่อย ๆ หมอกขาวลอยเรี่ยด้านบน

            “นี่พ่อฝันไป หรือเป็นความจริงในโลกหลังความตาย” ถามด้วยใจห้าวหาญ พร้อมรับผลกรรมตนเอง

            “อย่าสนใจเลยค่ะ พ่อจำอะไรได้บ้าง” หญิงสาวพยายามเรียกสติความทรงจำ

            “พ่อโดนยิงตกน้ำ เกิดนิมิตเรื่องเก่าทั้งดีและร้าย...คิดว่าคงตายไปแล้ว...ที่นี่เป็นปากทางนรกหรือเปล่า”

            “ไม่ใช่หรอกค่ะ” ตอบพร้อมรอยยิ้มเซียว ๆ “ถ้าพ่อยังไม่ตาย มีเรื่องอะไรอยากทำมั้ยคะ”

            คำถามคล้ายบททดสอบ จิตใจพลเทพหลังผ่านช่วงวิกฤตจะเปลี่ยนไปอย่างไร

            “มากมาย...เรื่องแรกคงต้องยอมชดใช้กรรม แก้ไขสิ่งเลวร้ายที่เคยทำก่อน”

            วาจานี้ไม่มีทางหลุดจากปากพลเทพคนเก่า...ทว่าชายคนนี้คือผู้เคยอ้อนวอนขอร้องให้มีชีวิตต่อเพื่อโอกาสแก้ตัว...จึงไม่ลังเลที่จะทำตามคำพูดเมื่อได้โอกาสนั้น

            พลเทพคนเก่าถูกยิงตายไปแล้ว...นี่คือคนใหม่หลังขึ้นจากห้วงน้ำอันน่าสะพรึง

            “ถ้างั้นแพรอยากให้พ่อทำเรื่องนี้ก่อนได้มั้ยคะ...”

            ชายหนุ่มคนหนึ่งเดินมานั่งตรงหน้า คุกเข่าข้างแพรตะวัน ยกมือไหว้ด้วยกิริยาเคารพให้เกียรติ

            “สัตยา...” บิดาหญิงสาวเอ่ยด้วยเสียงปนทอดถอนใจ ก่อนหันไปถามบุตรี “แพรอยากให้พ่อทำอะไรหรือ”

            “อวยพรให้เราค่ะ” เธอตอบชัดถ้อยชัดคำ

            พลเทพนิ่งอั้นครู่หนึ่งก่อนยิ้มละไมให้สองหนุ่มสาว

            “เอาสิ” จบวาจามือข้างหนึ่งราลงไปยังสายน้ำ สัมผัสความเย็นชุ่มฉ่ำ ก่อนใช้มืออีกข้างช่วยวักน้ำขึ้นมา

            “พ่อขอรดน้ำแสดงความยินดีกับพวกเธอ ถ้าเราอาจไม่ได้เจอกันอีก ขอให้รู้ไว้ว่าความรักความห่วงใยของพ่อจะติดตามลูก ‘ทั้งสอง’ ไปเสมอ”

            สองหนุ่มสาวหมอบราบ ยื่นมือออกไปรับ ‘น้ำใสใจจริง’ อันฉ่ำเย็นเบื้องหน้า พลเทพรดน้ำจากใจอันเมตตาอบอุ่น ตรวนพันธนาการเล็ก ๆ ในใจเลื่อนหลุดไปกับสายน้ำ




--------------- ------------ --------------




            เสียงน้ำหยดติ๋ง ๆ กังวานชัดในหู ตามด้วยเสียงบิดผ้าเช็ดตามใบหน้าซอกคอ ขับไล่ไอร้อนพิษไข้จากร่างกาย พลเทพรู้สึกเจ็บแปลบที่หัวไหล่ ร่างกายหนักอึ้ง ศีรษะมึนทึบคิดอะไรไม่บอก พยายามปลุกตัวเองลืมตาตื่นขึ้นมาอย่างยากลำบาก

            ดวงหน้าหญิงชรากำลังช่วยเช็ดเนื้อเช็ดตัวดูไม่คุ้นตา เธอมีสีหน้าดีใจที่เห็นเขาฟื้น รีบออกไปเรียกใครบางคนเข้ามาทันที

            ไม่นานชายวัยเกือบสี่สิบร่างผอมแห้งเข้ามาในห้องท่าทางตื่นเต้น ยินดีพยายามโบกไม้โบกมือถามอาการผู้ป่วย ขณะหญิงชราเอ่ยปากพูดเสียงแหบพร่า

            “คุณท่าน...คุณ...เป็นยังไงบ้าง...”

            พลเทพขมวดคิ้วไม่มีคำพูด ดวงตาจ้องชายร่างผอมคนนั้นอย่างพิจารณา พอแน่ใจว่าอีกฝ่ายเป็นใบ้ พูดไม่ได้ ความทรงจำกลับคืนมา...รู้แล้วสองแม่ลูกนี้เป็นใคร...











บทที่ ๒๒



            ดึกสงัด

            ห้องนอนขุนคีรีเปิดหน้าต่างรับลมเย็นอากาศบริสุทธิ์ภายนอก เตียงหนานุ่ม ผ้าห่มนวมแสนอบอุ่นกลับไม่ช่วยให้เจ้าของห้องมีความสุขในนิทรา

            ชายหนุ่มพลิกกายหลายรอบ เรื่องราวมากมายสับสนวุ่นวายในหัว ต่อให้พยายามปิดเปลือกตา ยังไม่สามารถหลับลง

            ขอเวลาผมคิดสักหน่อย...เลือดไม่จำเป็นต้องล้างด้วยเลือด การตอบโต้ไม่จำเป็นต้องใช้วิธีตาต่อตาฟันต่อฟัน...’

            คำที่รับปากพวกพ้อง...ตั้งใจแก้แค้นโดยไม่เสียเลือดเนื้อ ไม่ใช้ความรุนแรงจนเกิดความสูญเสีย...พูดง่าย ฟังมีเหตุผล...ครุ่นคิดกระทำจริงแสนยากเย็น

            เพราะคิดไม่ออกจึงนอนไม่หลับ พลิกตัวกระสับกระส่ายเช่นนี้

            ยิ่งดึกอากาศยิ่งเย็น หนาวจนอยากลุกไปปิดหน้าต่าง ทำได้แค่ขยับผ้าห่มนวมกระชับขึ้น โผล่พ้นเพียงดวงหน้าขาว ขนตาเรียงยาว

            ขุนคีรีหลับตาแต่ดวงจิตเปิดกว้าง ครู่หนึ่งรู้สึกถึงอาคันตุกะไม่ได้รับเชิญ ‘เจ้าหล่อน’ ปรากฏกายกลางห้อง ท่าทางงุนงงตอนแรก พอรู้ว่าอยู่ที่ไหนก็เที่ยวซนเดินดูข้าวของส่วนตัวคนอื่นตามสบายเหมือนอยู่บ้านตัวเอง

            พอเบื่อก็แอบยืนมองห่าง ๆ กลัวเจ้าของห้องแกล้งลุกพรวดพราดให้ตกใจ แล้วค่อย ๆ เขยิบนั่งบนพื้นข้างเตียงทีละนิด พิจารณาดวงหน้าที่นอนตะแคง เห็นขนตายาวงอน จมูก ปากได้รูปแล้วยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ ไม่กล้าส่งเสียงเกรงอีกฝ่ายได้ยินแล้วจะลืมตาตื่นเสียบรรยากาศ

            สุดท้ายยื่นหน้าเข้าไปใกล้อยากลองเขี่ยขนตายาว ๆ นั้นเล่น คาดไม่ถึงริมฝีปากเรียวบางขยับพึมพำเบา ๆ

            “ถ้าจะเข้าใกล้ขนาดนี้ จูบผมเลยมั้ย”

            “ว้าย...” บัวบุษราอุทานตกใจ กระถดตัวห่างโดยอัตโนมัติ

            นัยน์ตาคมดุลืมขึ้นมองดวงหน้าใส รอยยิ้มกะเรี่ยกะราดปกปิดความอับอาย ไม่กล้าสู้หน้าเมื่อโดนจับได้

            “ฝันถึงผมอยู่เหรอ” ดวงหน้าที่นอนตะแคงถามเบา ๆ

            หญิงสาวเพิ่งตั้งสติจึงแค่พยักหน้า ไม่กล้าพูดมาก

            “แล้ว...ถือว่าเป็นฝันดีมั้ย” เขาถามต่อ

            เธอพยักหน้าหงึก ๆ อีกครั้ง คนบนเตียงยิ้มขันขยับตัวลุกขึ้นนั่ง

            “เอ๊ย...”

            เจ้าหล่อนตกใจรีบหันหลัง ภาพแผ่นอกกว้างลอนกล้ามชัดยังติดตา กลัวเห็นชายหนุ่มเปลือยกายอย่างเคยขู่ไว้คราวก่อน

            ขุนคีรีหัวเราะเบา ๆ เดาออกว่าคิดอะไร

            “ไม่ต้องห่วง ที่นี่ดึก ๆ อากาศเย็นจนหนาว ผมไม่แก้ผ้านอนหรอก”

            ได้ยินอย่างนั้นค่อยกล้าเอี้ยวตัวกลับมา เปิดรอยยิ้มกว้างทักทาย แกล้งทำเป็นลืมว่าตนบุกรุกห้องส่วนตัวเขา

            “หวัดดีค่ะคุณผู้ช่วย คราวนี้มองเห็นบัวแล้วหรือคะ” ท้ายเสียงอดเหน็บแนมไม่ได้

            คราวก่อนนอกจากแกล้งมองไม่เห็น ยังจะรูดซิบถอดกางเกงไล่เธอออกจากห้องด้วยซ้ำ ดีที่เผ่นแน่บตั้งแต่ปลดกระดุมแล้ว

            “อือ...” อมยิ้มตอบสั้น ๆ สายตาไม่เคลื่อนจากใบหน้าใส ดวงตาแจ่มจรัสนั้น

            “ถอดผ้าพันตาแล้วเป็นยังไงบ้าง” คำถามแสดงถึงความใส่ใจ รับรู้ข่าวคราวตลอด

            “บัวเพิ่งถอดผ้าพันวันนี้เอง คุณผู้ช่วยรู้ได้ยังไง ถามคุณหมอหรือคะ”

            “อือ” คำถามยาวเหยียดตอบสั้นนิดเดียว

            “แหม...รู้เรื่องบัวทุกอย่าง แต่บัวไม่รู้เรื่องคุณผู้ช่วยเลย”

            “อย่างน้อยก็รู้ว่าผมชื่อขุนคีรี...ไม่ได้เป็นยมทูต...ไม่ต้องเรียกคุณผู้ช่วยหรอก”

            “มันเคยปากนี่คะ...จะให้เรียก...ขุน...คุณขุน...ขุนคีรี...ก็ฟังแปลก ๆ เรียกคุณผู้ช่วยอย่างเดิมสะดวกปากกว่า”

            “เรียก ‘พี่ขุน’ ก็ได้” น้ำเสียงหยอกล้อ

            “เหอะ...อายุมากกว่าเท่าไหร่เชียว”

            “ถ้าจะหลอกถามอายุ ก็ขอเบอร์โทรศัพท์ ไลน์ เฟซบุ๊ก ไอจีไปด้วยมั้ย”

            คราวก่อนนั้นเจ้าหล่อนเคยบอก ถ้าเขาเป็นคนธรรมดาคงแอบขอไลน์ ขอเบอร์ หาเฟซบุ๊ก ฟอลโลไอจีไปแล้ว

            “แหม...ยังอุตส่าห์จำได้อีก” แกล้งทำหน้าตาเจ้าเล่ห์ “ถ้าได้ก็ดีนะ...”

            ขุนคีรีหัวเราะเบา ๆ ดึงผ้าห่มขยับขาลงจากเตียง ชุดนอนเป็นเสื้อแขนยาว กางเกงขายาวนุ่มดูอบอุ่น

            “จะไปไหนคะ” แขกไม่ได้รับเชิญสงสัย

            “นั่งคุยตรงระเบียงข้างนอกดีกว่า”

            “ตะกี้บอกว่าที่นี่ดึก ๆ จะหนาว...ออกไปไม่เป็นไรเหรอ”

            “ไม่เป็นไร เห็นหน้าคุณก็อุ่นขึ้นมาแล้วล่ะ”

            ตอบด้วยรอยยิ้มในดวงตา เล่นเอาหญิงสาวหน้าร้อนผ่าวพูดอะไรไม่ออก



(โปรดติดตามต่อฉบับหน้า)



แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP