วรรณกรรมนำใจ Lite Literature

ทางยมทูต ๓๖



way cover




ชลนิล



(ต่อจากฉบับที่แล้ว)



            งานเผาศพพ่อเลี้ยงบุญชัย นับเป็นงานใหญ่รวบรวมคนสำคัญในจังหวัดมากสุดงานหนึ่ง ทั้งงานประดับประดาตกแต่งดอกไม้สวยงาม พวงหรีดเรียงยาวหนาแน่นเป็นภาพไม่เห็นบ่อยนัก

            ขุนคีรีในฐานะเจ้าภาพแต่งกายชุดสูทสีดำสนิท เชิ้ตตัวในสีดำเข้ารูปรับกัน ผมตัดสั้นเกรียนเรียบร้อย ใบหน้าขาวจนดูเผือดเล็กน้อย ริมฝีปากยังเป็นสีแดงระเรื่อ ดวงตาคมกริบฉายแสงเรืองโรจน์แห่งความเจ็บปวดอาฆาตแค้นในบางขณะ พอรู้สึกตัวก็หรี่แสงซึมเซาไม่ให้คนนอกสังเกต อ่านความรู้สึกออก

            “สวัสดีครับคุณหมอ...มาจากกรุงเทพฯ เลยหรือเปล่า...ผมเกรงใจจริง” ทักทายหมอดนัยด้วยความรู้สึกเต็มตื้นเมื่อพบคนคุ้นเคยจริง ๆ

            “นั่งเครื่องจากกรุงเทพฯ มาถึงตะกี้ ไม่ต้องเกรงใจหรอก...ขอโทษนะไม่ได้มาฟังสวดเลยสักคืน”

            “โธ่หมอ...แค่มาวันนี้ผมก็ดีใจแล้ว...พ่อก็คงดีใจเหมือนกัน”

            “นั่นแหละ...ถือว่ามาบอกลาพ่อเลี้ยงครั้งสุดท้าย”

            ขุนคีรียกมือไหว้ด้วยไม่รู้ว่าควรตอบแทนอีกฝ่ายอย่างไร

            “อืม...แล้วไม่ถามถึง...คนป่วยหรือ” ถามลอย ๆ ดูปฏิกิริยาชายหนุ่ม

            “ถ้าหมอมางานนี้อย่างสบายใจ ผมก็...คงไม่ต้องห่วง...เธอ...แล้วล่ะ”

            หมอดนัยยิ้ม ตบไหล่เจ้าภาพอย่างเข้าใจ

            “เมื่อเช้าตรวจดูแล้วแผลไม่ติดเชื้อ สะอาดดี อีกวันสองวันคงเอาผ้าพันตาออกได้”

            จิตใจคนฟังผ่อนคลาย สบายใจขึ้นวูบหนึ่ง...อย่างน้อยท่ามกลางเรื่องแย่ ๆ รอบตัวยังมีเรื่องดีน่าพอใจอยู่บ้าง

            “ขอบคุณหมอมากเลยครับ”

            “จะฝากอะไรไปบอกเขามั้ย เสร็จงานเผาคงขึ้นเครื่องเที่ยวเย็นกลับกรุงเทพฯ เลย”

            ขุนคีรีส่ายหน้า

            “ไม่ล่ะครับ เราสองคนไม่ต้องเห็นหน้ากันจริง ๆ แบบนี้ดีแล้ว”

            คุณหมอพยักหน้าเข้าใจก่อนไปนั่งพักในศาลา

            พิธีการดำเนินไปเรื่อย ๆ แขกเหรื่อขึ้นไปวางดอกไม้จันทน์อำลาผู้ตายครั้งสุดท้าย ไม่นานศพถูกนำเข้าเตาเผา พระเพลิงลุกโชน ฝาเตาปิดสนิทดังเป็นการปิดฉากชีวิตคนคนหนึ่ง

            ขุนคีรียืนบนลานกว้างหน้าเมรุ ยกมือไหว้ลาแขกผู้ใหญ่กำลังทยอยกลับ บางครั้งเหลียวมองควันไฟลอยเหนือปล่องเมรุคล้ายกล่าวอำลาบิดา

            เข้มเดินมากระซิบใกล้ ๆ

            “ทุกอย่างพร้อมแล้วขุน”

            ชายหนุ่มยืดกายสูดลมหายใจยาวลึก ดวงตาเจิดจ้าทอประกายลุกโชนไม่ต่างจากพระเพลิงกำลังแผดเผาร่างในเตานั้น

            “ทางนี้เรียบร้อยมั้ย” ถามเพื่อมั่นใจว่าแผนการดำเนินตามที่วางไว้

            “เรียบร้อย พิธีตอนเย็นเราจัดเฉพาะคนในครอบครัว ‘สาย’ พวกมันเข้าไปปะปนสืบข่าวไม่ได้แน่ อีกอย่างพี่บอกทุกคนแล้วว่าจะมาเก็บอัฐิพ่อเลี้ยงแต่เช้า แล้วไปขึ้นเรือลอยอังคารกัน”

            “ดี...พวกมันไม่คิดแน่ว่าเราจะไป ‘เช็กบิล’ กันคืนนี้”

            “รอแขกกลับไปหมดแล้วค่อยเดินทางกัน”

            เข้มบอกกึ่งเตือนสติไม่ให้น้องชายพลุ่งพล่านเกินไป ตั้งแต่ทราบว่าใครลั่นกระสุนสังหารมารดา ความแค้นในใจขุนคีรียิ่งทบทวีแทบแล่นไปเด็ดชีพฆาตกรเสียเดี๋ยวนั้น

            ครั้งนี้ถือว่าไม่ได้ขัดคำสั่งแม่เลี้ยงแสงจันทร์ พวกเขาตั้งใจแก้แค้นแทนพ่อเลี้ยงบุญชัยต่างหาก...เพียงแต่ ‘เป้าหมาย’ นั้นเคยสร้างบาดแผลรอยแค้นเก่าเอาไว้เท่านั้นเอง











บทที่ ๒๑



            ที่นี่เป็นเซฟเฮ้าส์ลับส่วนตัวของบัณฑิตอยู่ไม่ไกลจากกรุงเทพนัก บ้านหลังใหญ่สองชั้นสไตล์โมเดิร์นตั้งอยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา บริเวณกว้างขวางปลูกต้นไม้ใหญ่รายรอบ เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยเฝ้าระวังตรงประตูด้านหน้า กำแพงทึบเป็นแนวยาว รอบกำแพงมีชายฉกรรจ์แต่งกายชุดดำเดินตรวจตราเป็นระยะ

            ช่วงเวลาหัวค่ำ

            ลานจอดรถภายในเต็มไปด้วยรถหรู ยี่ห้อดังราคาแพงบอกฐานะเจ้าของ คนขับรถคอยดูแลไม่ไกล ส่วนเจ้าของรถเหล่านั้นกำลังร่วมรับประทานอาหาร ประชุมส่วนตัวกับเจ้าของบ้านข้างใน

            การประชุมพูดคุย รับประทานอาหารดำเนินราบรื่น กรรมการ ผู้ถือหุ้นรายใหญ่มาร่วมงานต่างพอใจทั้งรสชาติอาหาร นโยบาย และผลประโยชน์ตามมา ไม่แปลกที่ผู้ร่วมงานคืนนี้ยินดีลงเสียงสนับสนุนบัณฑิต ประธานคนเดิมในวันประชุมใหญ่จะมาถึง

            งานเลี้ยงอาหารมื้อพิเศษประสบความสำเร็จงดงาม

            ในความสมบูรณ์พร้อมอาจมีช่องโหว่ซึ่งบางคนลืมสังเกต มองไม่เห็น...เป็นช่องทางผู้หวังแก้แค้นพยายามเสาะหาจนเจอ

            รอบเซฟเฮ้าส์มีจุดสามารถใช้ซุ่มโจมตีสามสี่แห่ง เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยตรวจสอบจุดเหล่านี้ตั้งแต่บ่ายเย็นไม่พบร่องรอยผิดปกติ พอฟ้ามืดผู้ร่วมงานแต่ละคนทยอยเข้ามาก็ไม่มีเวลาใส่ใจ เปิดโอกาสให้ ‘บางกลุ่ม’ เข้ายึดจุดซุ่มโจมตีเหล่านั้นอย่างเงียบเชียบไร้ร่องรอย




--------------- ------------ --------------




            หลังพิธีเผาศพเสร็จสิ้น แขกเหรื่อผู้ใหญ่กลับจนหมด ลูกน้องระดับหัวหน้าของพ่อเลี้ยงบุญชัยไปร่วมพิธีตอนเย็นแสดงตัวเป็นเจ้าภาพไม่ให้ผิดสังเกต ขุนคีรี เข้ม และทีมล่าสังหารเฉพาะกิจนั่งเครื่องบินเช่าเหมาลำเข้ากรุงเทพฯ ทันที

            เครื่องลำนี้ปีเตอร์ติดต่อเช่าในนามเพื่อนชาวต่างชาติไม่ผู้ใดล่วงรู้ พวกเขามาถึงกรุงเทพฯ ตั้งแต่ฟ้ายังไม่มืด ลอบเข้าประจำจุดซุ่มโจมตีช่วงเวลาเดียวกับแขกร่วมประชุมเริ่มเข้างาน จากนั้น...รอคอยเวลาสำคัญ

            ตั้งแต่ได้รับพวงหรีดจากประธานเกรทนภากรุ๊ป พร้อมคำขออภัยที่ไม่สามารถร่วมงานเผาศพ ขุนคีรีปรึกษาเข้มเรื่องสั่งสายสืบที่กรุงเทพหาข่าวว่าวันนั้นบัณฑิตติดธุระใด

            พอทราบข้อมูลทั้งหมด จึงส่งคนปลอมตัวเป็นหนึ่งในคนขับรถผู้ถือหุ้น ‘สาย’ รายนี้บอกความเคลื่อนไหวบัณฑิตและผู้ร่วมประชุม แอบถ่ายคลิปสถานที่ภายในส่งมาให้ดูเพื่อเป็นข้อมูลโจมตี

            แผนโจมตีเริ่มต้นเมื่อการประชุมเสร็จสิ้น กรรมการ ผู้ถือหุ้นออกจากสถานที่นั้นทั้งหมด เหลือแค่บัณฑิตกับคนสนิท ผู้ติดตาม เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย

            วิชาการทำระเบิดที่ธนนท์ หรือ ‘นล’ เคยสอนถูกนำมาใช้ประโยชน์คืนนี้ ขุนคีรีจะระเบิดกำแพงด้านหนึ่งเพื่อเรียกร้องความสนใจให้ลูกน้องบัณฑิตแห่มาดู จากนั้นระเบิดประตูด้านหน้าอีกครั้งไม่ให้รถเข้าออกได้ ส่วนพวกตนจะข้ามกำแพงตรงจุดใกล้บ้านสุดเพื่อเข้าไปสังหาร

            เสร็จภารกิจรีบกลับขึ้นเครื่อง รุ่งเช้าเก็บอัฐิลอยอังคารตามกำหนดเวลาเดิม แสดงให้ทุกคนเห็นว่าพวกเขาไม่เคยเดินทางไปไหนเลย




--------------- ------------ --------------




            ดึกแล้ว...การประชุมร่วมรับประทานอาหารค่ำใกล้เสร็จสิ้น

            ‘สาย’ ส่งภาพสถานที่ด้านในครบทุกรายละเอียด ตามด้วยข่าวความเคลื่อนไหวสั้น ๆ เป็นระยะ จนถึงรายงานสำคัญ

            คืนนี้บัณฑิตพักที่เซฟเฮ้าส์

            ทุกอย่างลงล็อกตามต้องการราวกับ ‘นรก’ จัดสรร เมื่อประธานใหญ่พักที่นี่ เลขาคนสนิทย่อมไม่ไปไหน ต่อให้การระวังป้องกันเข้มงวดก็ไม่ใช่ปัญหาสำหรับผู้หวังจู่โจม

            ‘ทีม’ คัดมาฝีมือเกินธรรมดา อาวุธครบมือชำนาญการต่อสู้ทุกรูปแบบ ทุกคนแต่งกายชุดดำสวมหมวกคลุมดำเลียนแบบทีมล่าสังหารพ่อเลี้ยงบุญชัย

            ขุนคีรีแต่งกายไม่แตกต่างคนอื่น เข้มเปลี่ยนจากแว่นตาเป็นคอนแทกเลนส์ สองหนุ่มสวมหมวกคลุมดำแทบแยกไม่ออกใครเป็นใคร

            ทั้งคู่ศึกษารายละเอียดด้านในจาก ‘สาย’ จนกระจ่าง มั่นใจว่าแผนการไม่มีช่องโหว่ จำนวนคนของตนสามารถรับมือฝ่ายตรงข้ามเหลือเฟือ น่าจะใช้เวลาตั้งแต่ต้นจนปิดบัญชีไม่นาน

            เลิกประชุม กรรมการ ผู้ถือหุ้นออกจากบ้านแล้ว

            ข่าวจากสายข้างในแจ้งชัด ทุกคนอยู่ในอาการเฝ้าระวัง ไม่นานประตูบ้านเปิด รถยนต์เริ่มทยอยออกทีละคัน

            ...เวลาแห่งการบุกโจมตีใกล้มาถึง...

            รถผู้ร่วมประชุมออกมาหมดแล้ว บัณฑิตกับเลขายังอยู่ในบ้าน

            ข่าวนี้มาจากหน่วยซุ่มด้านนอก แฝงตัวบนเสาไฟฟ้าคอยส่องกล้องดูความเคลื่อนไหวภายในหลังจากสายที่ปลอมเป็นคนขับรถออกมาแล้ว

            ประตูใหญ่ด้านหน้าปิดสนิท เหลือช่องประตูเล็กให้เวรยามสามารถออกมาเดินตรวจตรารอบนอกกำแพง

            ขุนคีรีส่องกล้องดูเจ้าหน้าที่เดินตรวจรอบกำแพง หาจังหวะย้ายจากจุดซุ่มโจมตีไปยังริมกำแพงที่จะปีนข้ามไปจู่โจม

            กล้องส่องทางไกลดึงภาพเจ้าหน้าที่ชุดดำเข้ามาใกล้จนเห็นใบหน้าชัด ชายหนุ่มชะงักคุ้นตา...เจ้าหน้าที่คนนี้คือนักมวยต่างชาติที่เอาชนะเขาบนเวทีมวยใต้ดิน

            พอฉุกใจสงสัยพยายามส่องกล้องดูเวรยามคนอื่น พบว่าส่วนใหญ่ท่าทางทะมัดทะแมงปราดเปรียว พอสังเกตดี ๆ พบว่าหลายคนรูปร่างคล้ายทีมล่าสังหารชุดดำในคลิปหลักฐานคืนนั้น

            ต่อให้ไม่ใช่คนเดียวกัน ก็น่ามาจากองค์กรเดียวกัน พวกเขาไม่สวมหมวกดำคลุมศีรษะ เผยใบหน้าจริงไม่สะดุดตา อาจมีบางคนหรือมากกว่านั้นอยู่ในทีมไล่ล่าลั่นกระสุนใส่พ่อเลี้ยงบุญชัยและลูกน้องผู้ติดตาม

            ...ดี...จะได้เช็กบิลพร้อมกันทีเดียว...

            นัยน์ตาชายหนุ่มวาวโรจน์ดุจสัตว์ร้ายพร้อมขย้ำเหยื่อ กรอกเสียงสั่งทางวิทยุสื่อสารสั้น ๆ

            “เข้าประจำจุด รอคำสั่งระเบิดลูกแรก”

            ทุกคนเคลื่อนไหวเงียบเชียบไม่เป็นที่สังเกต กลมกลืนกับความมืด พลิ้วไหวไปกับสายลมพัดยอดหญ้าข้างทาง ไม่นานแต่ละกลุ่มเข้าประจำจุดสำคัญ รอคำสั่งจุดระเบิดลูกแรก

            บัณฑิต เลขาฯ เข้าไปในบ้าน พร้อมผู้ติดตามสองคน เวรยามด้านในเพิ่งเข้าประจำจุดตัวเอง

            รายงานล่าสุดถูกส่งมาจากหน่วยซุ่มบนยอดเสาไฟฟ้า แสดงว่าสั่งจุดระเบิดได้แล้ว!

            ขุนคีรีสบตาเข้มแล้วเหลือบมองดูทีมสังหารด้านหลัง ทุกคนกำลังรอคำสั่งเปิดเกม

            หยิบวิทยุเตรียมสั่งระเบิด...วินาทีนั้นเสมือนกาลเวลาหยุดนิ่ง กลิ่นคุ้นเคยแตะจมูก กระไอร้อนแผ่ลงมาจากเบื้องบนกำแพง

            ...กลิ่นก้อนเถ้าสะเก็ดหินจากนิรยภูมิ...ยมทูตหินผาอยู่ที่นี่

            ผู้นำทีมล่าสังหารเงยหน้า พบร่างสูงใหญ่ผิวสีทองแดงยืนตระหง่านเงื้อมบนยอดกำแพงดุจหินผาก้อนใหญ่ มือกอดอกนิ่ง สายตาทอดมองภายในบ้านราวกับรอคอยเวลา

            “ท่านยมทูต...” กระแสเสียงดังแผ่วในใจ

            ยมทูตหินผาเหลือบตามอง แววตาเสมือนเป็นคนอื่น ไม่เคยรู้จักกัน

            “ท่านมาทำไม” ถามทั้งที่ในใจคิดว่ารู้คำตอบ

            “ฉันมาทำงาน”

            ตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ไม่ยินดียินร้าย

            “ไม่ใช่จะมาห้าม...หรือ...มาเตือนไม่อยากให้ผมตกนรกงั้นหรือ”

            ถามกึ่งหวั่นเกรง ส่วนลึกบังเกิดความดื้อดึงไม่ไยดี...ต่อให้ฆ่าพวกมันจนสิ้นซากแล้วต้องตกนรกก็ยอม

            ขนาดเคยเห็นบางส่วนในนรก หวาดกลัวต่อทัณฑ์ทรมานที่สัตว์นรกได้รับ พอจิตใจบังเกิดความโกรธแค้นอาฆาต กิเลสหนาหนักเหล่านั้นก็ปิดบังดวงตา ชักพาจิตใจมืดบอดไม่กลัวผลกรรมเลวร้ายตามมา

            ...เช่นนี้กระมัง...ไฟนรกจึงไม่เคยมอดดับเลย...

            “ฉันไม่มีหน้าที่ห้ามผู้ใดลงนรก ไม่มีหน้าที่ขัดขวาง แทรกแซงการกระทำ ‘กรรม’ ของมนุษย์”

            “ถ้าอย่างนั้น ‘งาน’ ครั้งนี้ของท่านคืออะไร”

            “ฉันมารับวิญญาณดวงหนึ่งไปพบท่านพญามัจจุราช และคอยดูวิญญาณอีกหลายดวงร่วงหล่นลงนรก”

            “ท่านมารับใคร?”

            “เธอมีดวงตายมทูต ทำไมไม่ดูเอาเอง”

            คำตอบเสมือนการท้าทาย

            ผู้ช่วยยมทูตกวาดสายตามองทุกคนรอบกาย...แต่ละคนอยู่ในสภาพชะงักงันไม่เคลื่อนไหว กาลเวลารอบกายหยุดนิ่ง เสมือนหลุดเข้าไปอีกมิติหนึ่ง

            สายตาขุนคีรีพร่าเลือนในหัวมีเสียงดังเปรียะ ๆ ก่อนสรรพสิ่งทั้งหมดเข้าสู่ความเงียบงัน วินาทีนั้นดวงตายมทูตเปิดกว้าง แสดงภาพอนาคตสั้น ๆ ให้เห็นชัดเจนกระจ่างตา

            ระเบิดกำแพงสำเร็จ ระเบิดประตูด้านหน้าตามแผน ขุนคีรีนำทีมล่าสังหารข้ามกำแพงเข้าไปรวดเร็ว เกิดการต่อสู้ปะทะระหว่างสองฝ่ายชุลมุน เจ้าหน้าที่ชุดดำในบ้านฝีมือร้ายกาจเกินคาด ขนาดทีมฝีมือดีต่อสู้แบบสูสีก็ยังเสียชีวิตล้มตายไม่น้อยกว่ากัน

            ขุนคีรี เข้มบุกเข้าเซฟเฮ้าส์สองคน รับมือบอดี้การ์ดด้านในเต็มกำลัง ลั่นกระสุนโดยไม่ลังเล เหล็กท่อนฟาดกระหน่ำไม่ปรานี หยาดเลือดกระเซ็น ต้องรีบจัดการคนเหล่านี้ก่อนเป้าหมายหลบหนี จิตใจมุ่งมั่นกับการแก้แค้น ไม่สนใจมือชุ่มโชกโลหิต ไม่ทราบทำคนล้มตายกี่ชีวิต

            สุดท้ายบุกเจอพวกมันทันเวลา เข้มสังหารบัณฑิต...ขุนคีรียิงเจตน์...แก้แค้นแทนมารดา...แต่เลขาคนสนิทยังไม่หมดพิษสง สามารถลั่นกระสุนนัดสุดท้ายก่อนหมดลมหายใจ

            ขุนคีรีไม่ตาย...เข้มโถมร่างรับกระสุนจนเสียชีวิตแทน

            ...แก้แค้นสำเร็จแล้ว...ยินดีหรือไม่?

            ...ทุกคนตายหมด เหลือเขารอดชีวิตคนเดียว...ความรู้สึกหลังจากนั้นคือความอ้างว้าง หนาวเหน็บ มองซากศพเกลื่อนด้วยสายตาซึมเซา เห็นมือเปื้อนเลือดแล้วขยะแขยง หวาดกลัวตัวเอง

            ...เขากลายเป็นตัวอะไรไปแล้ว...จอมวายร้ายผู้รอดชีวิตงั้นหรือ...

            แก้แค้นสำเร็จแล้วได้อะไรบ้าง...ความสะใจ ได้เอาคืน...เสียค่าตอบแทนสูงขนาดนี้...คุ้มค่าหรือไม่




--------------- ------------ --------------




            “ยกเลิกภารกิจ”

            คำสั่งสั้น ๆ ทำเอาทีมล่าสังหารงงงันไม่เข้าใจ

            เข้มมองขุนคีรีและเป็นคนเดียวกล้าถามเหตุผลการตัดสินใจ

            “ทำไม”

            ผู้นำทีมไม่ตอบ กรอกเสียงผ่านวิทยุสื่อสารแจ้งทุกจุดอีกครั้ง

            “ยกเลิก แยกย้ายกลับไปรอจุดนัดพบเลย”

            “รับทราบ รับทราบ รับทราบ”

            ขนาดพี่ชายคนสนิทยังไม่ได้คำตอบ ลูกทีมคนอื่นทำได้แค่ปฏิบัติตามคำสั่ง แยกย้ายกลับโดยไม่ต้องไถ่ถามเหตุผล

            ทีมจู่โจมถอยร่นเป็นระเบียบ ไม่มีร่องรอยให้เจ้าหน้าที่ชุดดำผิดสังเกต ขุนคีรี เข้มตามหลังปิดท้ายคอยระวังลูกทีม

            คิดว่าการถอยครั้งนี้คงราบรื่นไม่มีปัญหา...มันกลับไม่ใช่

            ผู้แฝงตัวบนเสาไฟฟ้ากำลังลงมาหลังได้ยินคำสั่งยกเลิกภารกิจ ไม่สามารถใช้เวลาถอยรวดเร็วเช่นจุดซุ่มอื่น อีกทั้งสังเกตง่ายดายหากมีการเคลื่อนไหว

            หนึ่งในเจ้าหน้าที่ชุดดำด้านนอกสังเกตเห็นจึงเดินจากจุดตนเองเพื่อมาตรวจสอบ ขุนคีรี เข้มรีบไปสกัดกั้นก่อนฝ่ายนั้นถึงตัวลูกทีม

            “รีบขับรถไปก่อนเลย ไม่ต้องรอ” ออกคำสั่งผ่านวิทยุอีกครั้ง หากรับมือเจ้าหน้าที่คนนี้ต้องใช้เวลาพอสมควร

            ...เขาเป็นนักมวยที่เคยชนะขุนคีรี...

            สองฝ่ายประจันหน้ากันก่อนถึงเสาไฟฟ้า เปิดโอกาสให้คนที่เพิ่งลงมาหลบหนีทัน ต่อให้ลูกทีมเป็นห่วงหัวหน้าก็ยังต้องกระทำตามคำสั่งเคร่งครัด

            ฝ่ายตรงข้ามชะงักงันเมื่อเห็นสองหนุ่มชุดดำคลุมหน้า แต่งกายคล้าย ‘ชุดปฏิบัติการ’ พวกตน ความเป็นมืออาชีพจึงไม่ลังเลที่จะจู่โจมก่อนโดยไม่หวั่นหนึ่งต่อสอง

            เข้มขึ้นมาขวางรับมือแทนขุนคีรี การต่อสู้รวดเร็วฉับไว จุดนั้นอับสายตามองจากเซฟเฮ้าส์ไม่เห็น เจ้าหน้าที่คนอื่นไม่ทราบเหตุ ไม่ระดมกำลังมาช่วย

            ขุนคีรีถอยห่างยืนมองวงนอก ยอมรับเรื่องหมัดมวยพี่ชายเก่งกว่าตน การต่อสู้ครั้งนี้ดุเดือดสูสี อาจจบเกมเร็วกว่าคาดคิด

            สองฝ่ายผลัดกันรุกรับ แลกหมัดแบบหวังสยบฝ่ายตรงข้ามในเวลาอันสั้น ความอึดทนทานไม่ด้อยกว่ากัน

            ลูกน้องพ่อเลี้ยงบุญชัยรุ่นหลัง ๆ ไม่ค่อยทราบฝีมือเข้ม คิดว่าเป็นแค่มือขวาดูแลธุรกิจสีขาวใช้มันสมอง ไม่ใช้กำลัง หารู้ไม่สมัยวัยรุ่นเคยเป็นเด็กเกเรฝีมือเกินตัว นักเลงโตกว่าหลายคนเคยแพ้มาแล้ว เพิ่งมาเปลี่ยนบุคลิกตนเองตอนรับงานธุรกิจ ติดต่อการค้าแทนพ่อเลี้ยงทั้งหมดเท่านั้นเอง

            คู่ต่อสู้ทั้งสองต่างคาดไม่ถึงฝีมือกันและกัน หากเป็นเวลาอื่นคงทุ่มเทเต็มที่วัดฝีมือใครเหนือกว่าใคร ตอนนี้กลับไม่ใช่...ฝ่ายหนึ่งต้องการถอยร่น หลบหนีรวดเร็ว อีกฝ่ายต้องการสยบเพื่อนำตัวไปสอบสวน ทั้งยังกริ่งเกรงอีกคนที่ยืนคุมเชิง เมื่อไหร่โดนกลุ้มรุมคงยากเอาชัย จำเป็นต้องปิดบัญชีไม่สนใจวิธีการ

            ขุนคีรีจับตาการต่อสู้แทบไม่กะพริบหาจังหวะช่วยเหลือ ทราบว่าเป็นการต่อสู้เอาตัวรอด ไม่ใช่วัดฝีมือใครเหนือกว่าใคร ฝ่ายเสียเปรียบย่อมไม่คำนึงวิธีการใช้

            ความคิดไม่ทันสิ้นกระแสการต่อสู้พลิกผันชั่ววูบ คมมีดขาววับจากมือคู่ต่อสู้ชักมาในจังหวะเหมาะสม เฉือนปาดต้นแขนเข้มรวดเร็วหลบไม่ทันเรียกเลือดชุ่มโชก

            พอเห็นเช่นนั้น คนวงนอกรีบดึงเหล็กยืดข้างเอวออกมาจู่โจมทันที

            เหล็กคู่นั้นได้มาจากเฮียบุ๋น ตั้งใจเอามาใช้ต่อสู้ในระยะประชิดกรณีไม่อยากฆ่าใคร ไม่คิดจะได้นำมาใช้จริง นั่นทำให้การต่อสู้เปลี่ยนไปอีกครั้ง

            ขุนคีรีเห็นอีกฝ่ายใช้มีดก่อนจึงไม่ยั้งมือ ทุ่มเทฟาดฟัน ทิ่มแทงในแง่มุมคาดไม่ถึงจนผู้นั้นเสียสมาธิรับมือพัลวัน จังหวะเดียวกับเข้มกัดฟันเสยหมัดน็อกปลายคางปิดเกม ลักษณะเดียวกับน้องชายเคยโดนน็อกมาแล้ว

            สยบคู่ต่อสู้สำเร็จ เจ้าหน้าที่ชุดดำที่เหลือไม่สังเกต ผู้แพ้ถูกลากหมกพงหญ้าอำพรางไม่ให้พรรคพวกเห็นเร็วนัก เข้มลังเลใจควรปล่อยไว้เช่นนี้ หรือเชือดทิ้งไม่ให้ไปรายงานดี

            “ปล่อยไว้เถอะพี่” ขุนคีรีกระซิบเบา ๆ

            ใจจริงเข้มไม่โหดร้ายขนาดฆ่าคนไม่มีทางสู้ แต่งานนี้ไม่ควรมีร่องรอยให้สืบสาว บัณฑิตไม่ควรรู้ว่ามีกลุ่มคนแอบซุ่มดูนอกเซฟเฮ้าส์

            “กว่ามันจะฟื้นก็สองสามชั่วโมง ป่านนั้นเราไปกันไกลแล้ว”

            เข้มยอมทำตามคำสั่ง ทบทวนปฏิบัติการอีกครั้งมั่นใจพวกตนไม่ทิ้งร่องรอยอื่นไว้ ต่อให้ปล่อยชายคนนี้ ผู้เป็นเจ้านายไม่น่าได้ข้อมูลมากนัก

            ขุนคีรี เข้มลัดเลาะหนีตามเส้นทางเดิมวางไว้ พบว่าลูกน้องทำตามคำสั่งเคร่งครัด ต่างขับรถออกไปจนหมด ป้องกันฝ่ายตรงข้ามตามรอยทัน พวกเขาจำเป็นต้องหารถไปจุดนัดหมายเอง

            ทั้งสองหลบออกมาจนถึงถนนสายหลัก ถอดหมวกคลุมสีดำเสื้อชั้นนอกสีดำเหลือเสื้อยืดสีน้ำตาลด้านใน ยืนริมถนนมองรถราแล่นผ่านไปมา ตั้งใจเรียกรถรับจ้างสักคัน

            ต้นแขนเข้มยังมีเลือดชุ่ม ใช้เศษผ้าพันไว้ยังไหลซึม ขุนคีรีใช้เสื้อชั้นนอกตนคลุมไว้ไม่ให้สังเกตชัดนัก ไม่เช่นนั้นอาจไม่มีรถคันไหนยอมให้ขึ้น

            สองหนุ่มยังไม่ทันพูดจาอะไรก็มีรถแท็กซี่คันหนึ่งแล่นมาจอดเทียบโดยไม่ต้องเรียก

            ขุนคีรีจดจำได้จึงขยับจะเปิดประตูขึ้นรถ เข้มรั้งไว้...พวกตนยังไม่โบกมือเรียกเหตุใดแท็กซี่คันนี้แล่นมาจอดอย่างกับรู้เวลา

            “ไม่เป็นไรหรอกพี่” พูดพร้อมเปิดประตูชะโงกหน้าทักทายเจ้าของรถ

            “หวัดดีน้า ไม่เจอกันนานเลยนะ”

            “ขึ้นรถเลยมั้ย หรือจะถามราคาก่อน...ดึกแล้วไม่กดมิเตอร์นะ”

            “ขึ้นสิครับ ถ้าทำรถน้าเปื้อนสักหน่อยอย่าว่ากันนะ”

            เมื่อขุนคีรีไว้ใจ เข้มไม่ขัดยอมขึ้นไปนั่งเบาะหลังเคียงข้างกัน จับตามองแท็กซี่วัยกลางคนไม่ไว้ใจเต็มที่

            รถแล่นจากจุดที่จอดรวดเร็ว ไม่ถามสักคำปลายทางที่ใด พ้นจากจุดอันตรายขุนคีรีถอนใจเฮือกใหญ่ ความอดทนข่มกลั้นในใจคลายลง หันไปกอดเข้มกระชับแน่น

            “ขอบคุณพี่...ที่ไม่เป็นอะไร”

            “ขุน...มีอะไร...แผลแค่นี้เอง...พี่ไม่ได้เป็นอะไรมากสักหน่อย” คนโดนกอดไม่เข้าใจ

            ขุนคีรีไม่อธิบาย ภาพอนาคตจากดวงตายมทูตยังติดตา ความอ้างว้างหวาดกลัวจากการสูญเสียค้างคาในใจ เขายอมตายตกนรก ยอมทุ่มเททุกอย่างเพื่อการแก้แค้น แต่ไม่อาจทนสูญเสียใครได้อีกแล้ว

            ...การแก้แค้นจะมีประโยชน์อะไร ถ้าต้องแลกด้วยคนสำคัญในครอบครัว...

            ความสะใจสาสมใจที่เห็นพวกมันดับดิ้น เทียบไม่ได้เลยกับความเสียใจรุนแรงเมื่อเห็นพี่ชายโถมมารับกระสุนแทน

            เขาสั่งยกเลิกภารกิจโดยไม่ลังเล ข่มกลั้นความหวั่นไหว หวาดกลัวต่อภาพอนาคต ตั้งใจพาทุกคนกลับโดยปลอดภัย พอวางใจความอดทนค่อยพังทลาย กอดพี่ชายอย่างยินดี...ไม่ยอมเสี่ยงชีวิตใครเพื่อการแก้แค้นอีก

            เข้มตบไหล่น้องชายเบา ๆ ถึงไม่เข้าใจชัดเจนนักก็อยากให้อีกฝ่ายสบายใจ กลิ่นหอมแปลก ๆ โชยมากับลมแอร์ช่วยให้อาการปวดตรงบาดแผลเบาลง พร้อมกับความง่วงงุนรุนแรงเกินต้านทาน

            ขุนคีรีคลายอ้อมกอด ถอนใจเบา ๆ เมื่อเห็นร่างในวงแขนหลับใหล

            “ฝีมือน้าหรือครับ” ถามคนขับแท็กซี่

            “อย่าหาว่าผมมอมยาผู้โดยสารสิ...คุณผู้ช่วยยมทูต”

            “ฝีมือใครก็ช่างเถอะ ผมรู้สึกขอบคุณตั้งแต่น้าขับรถมารับแล้ว...ทุกอย่างเป็นการจัดการของยมทูตหินผาใช่มั้ย”

            แท็กซี่สุรชัยหัวเราะเบา ๆ

            “จะให้บอกกี่ครั้งว่ายมทูตไม่แทรกแซงกฎแห่งกรรม...ถ้าคุณ ‘เลือก’ เส้นทางหนึ่งก็จะได้รับผลแบบหนึ่ง...พอเปลี่ยนใจ ‘เลือก’ อีกเส้นทาง...ผลอีกแบบก็จะมารอรับเหมือนกัน...ไม่เกี่ยวกับท่านหินผาเลย”

            “ไม่เกี่ยวได้ยังไง ตะกี้ยังยืนดักผมบนยอดกำแพง บอกให้ใช้ดวงตายมทูตอยู่เลย”

            “ยมทูตทำได้แค่นั้น...ถ้าคุณมองเห็นอนาคตแล้วยังฝืนทำตามความตั้งใจเดิม...คิดว่าไม่เป็นไรฉันรู้แล้วว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง แค่คอยระวังไม่ให้เกิดเหตุผิดพลาดเท่านั้น...ยังไงเรื่องแก้แค้นสำคัญกว่า...ผลลัพธ์จะเป็นอีกแบบ”

            “ผมไม่ยอมเอาชีวิตคนในครอบครัวมาเสี่ยงเด็ดขาด...ยิ่งเห็นภาพชัดขนาดนั้นยิ่งไม่กล้า...น้าไม่รู้หรอกว่าผมกลัวขนาดไหน...ถ้าต้องอยู่คนเดียวโดยไม่เหลือใครอีกแล้ว”

            “เพราะอย่างนี้คุณถึงเปลี่ยนใจโดยไม่ลังเลเลยไง”

            ขุนคีรีหัวเราะเสียงปร่าทอดอาลัยเต็มที่

            “ผมคงยอมรับกฎแห่งกรรมแล้วมั้ง...ปล่อยให้กฎแห่งกรรมจัดการพวกมันแทน”

            น้ำเสียงประชดเสียดเย้ย บอกให้ทราบในใจยังมีความแค้นเต็มอก

            “ถ้ากฎแห่งกรรมทำงานช้า...ก็ลองปล่อยให้ ‘กฎหมาย’ ทำหน้าที่ดูบ้างมั้ย”

            “หือ...” เสียงในลำคอบอกความไม่เชื่อถือ

            สุรชัยยิ้มบาง ๆ วาจาอ่อนโยน

            “ผมพูดในฐานะนิติกร นักกฎหมายคนนึง...ตัวบทกฎหมายอาจไม่สมบูรณ์พร้อมถูกใจทุกคน มีช่องโหว่มีจุดบอดให้คนฉกฉวยเล่นแง่เอาเปรียบได้ แต่มันเป็นสิ่งที่คนส่วนใหญ่ยอมรับและพึ่งพาได้นะ”

            ผู้โดยสารไม่ตอบวาจา ไม่ถึงขนาดไม่เชื่อถือเพียงแต่กำลังสับสน ตอบตนเองไม่ถูกว่าควรจัดการอย่างไรต่อไป

            “อ้อ...ผมขอบคุณแทนท่านหินผาด้วยนะ”

            “ขอบคุณเรื่องอะไร...เรื่องที่ไม่เพิ่มภาระพาคนลงนรก...หรือช่วยลดงานท่านพญามัจจุราช ไม่ต้องพิจารณาไต่สวนช่วยเหลือพี่เข้ม”

            ถึงตอนนี้ทราบแล้วว่า คืนนี้...ยมทูตหินผามารับใคร

            “หึหึ...วันนึงคุณจะเข้าใจ...ตอนนี้บอกจุดหมายได้แล้วมั้ง จะให้ผมไปส่งที่ไหน”

            “อ้าว...คิดว่าน้ารู้ ขับมาตั้งไกลแล้ว...”

            บ่นพลางบอกที่หมายชัดเจน เหลือบมองเข้มแล้วถอนใจยาวในหัวเต็มไปด้วยเรื่องราวมากมายครุ่นคิด ดวงตาทอประกายสับสนอ่อนล้า ระบายลมหายใจยาวหนักหน่วงเสมือนบนไหล่แบกภาระหนักอึ้ง



(โปรดติดตามต่อฉบับหน้า)



แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP