วรรณกรรมนำใจ Lite Literature

ทางยมทูต ๓๕



way cover




ชลนิล



(ต่อจากฉบับที่แล้ว)



            สวดศพคืนสุดท้าย

            บริเวณหน้าโลงศพเรียงรายด้วยดอกไม้พวงหรีดงดงาม หนึ่งในพวงหรีดสวยโดดเด่น สะดุดตาแขกเหรื่อมากสุดคือพวงหรีดจาก ‘บัณฑิต’ ประธานกรรมการเกรทนภากรุ๊ป

            เสร็จจากพิธีสวดศพ แขกร่วมฟังส่วนใหญ่ทยอยกลับจนหมด เหลือแค่ลูกน้องพ่อเลี้ยงบุญชัยระดับ ‘หัวหน้า’ ไม่ว่าจะเป็นผู้จัดการบ่อนกาสิโน ผู้ดูแลกิจการสถานบันเทิง หัวหน้าคนงานคนสวน รวมถึงผู้ดูแลความเรียบร้อยกิจการทั่วไปร่วมสิบกว่าคนยังอยู่ในศาลาสวดตามคำสั่งขุนคีรี

            เวรยามรอบศาลากระจายกำลังตรวจสอบโดยรอบ มั่นใจไม่มีบุคคลภายนอกแอบสืบความเคลื่อนไหวจึงกลับมารายงาน

            “ไม่มีปัญหา ทางสะดวก” เข้มบอกขุนคีรี

            ลูกชายพ่อเลี้ยงกดโทรศัพท์บอกข้อความสั้น ๆ แล้ววางสาย เดินยิ้มเข้ามาขอบคุณกลุ่มหัวหน้า ลูกน้องคนสำคัญของบิดา

            “ขอบคุณคุณลุง คุณน้า พวกพี่ ๆ ทุกคนนะครับ ที่ช่วยให้งานสวดศพเรียบร้อยจนถึงคืนนี้”

            “คุณขุนไม่ต้องมาขอบอกขอบใจพวกเราหรอก พ่อเลี้ยงมีพระคุณกับทุกคนแค่ไหน แค่นี้เล็กน้อยเกินไปด้วยซ้ำ”

            “พรุ่งนี้พิธีเผาศพพ่อ ผมคงไม่มีเวลาเท่าไหร่ คืนนี้ขออนุญาตพาคุณลุง คุณน้า พี่ ๆ ไปเลี้ยงข้าวต้มร้าน ‘เจ๊แป๋ว’กันก่อนนะครับ”

            หัวหน้าบางคนกำลังเอ่ยขัดแล้วชะงักเมื่อได้ยินชื่อร้าน ลอบมองหน้าสบตาส่งสัญญาณ ‘รู้กัน’ เฉพาะกลุ่ม นั่นเป็นการเรียกประชุมลับ ทุกคนทราบสถานที่อยู่แห่งใด

            “ได้สิ ที่จริงคุณขุนไม่ต้องลำบากเลย”

            “ไม่เป็นไรครับ แต่ก่อนจะไปร้านเจ๊แป๋ว มีบางคนอยากมาไหว้ศพครั้งสุดท้าย ผมถือเป็นแขกคนสำคัญชวนเขามากินข้าวต้มเหมือนกัน ยังไงทุกคนช่วยให้เกียรติด้วยนะครับ”

            “โธ่แขกคุณขุนก็เหมือนแขกพวกเรา ไม่ให้เกียรติได้ยังไง”

            “เขาเป็นใครหรือคุณขุน”

            ขุนคีรีไม่ตอบ ช่วงเวลานั้นรถยนต์คันหนึ่งแล่นมาจอดตรงบันไดศาลา สภาพรถไม่สะดุดตาเป็นรถทางวัด ใคร ๆ คิดว่ามาช่วยเก็บของเคลียร์สถานที่เตรียมงานเผาศพพรุ่งนี้

            สามคนลงจากรถขึ้นบันไดศาลา อาศัยเงามืดบดบังจึงเห็นไม่ชัดเจน กระทั่งใบหน้าพวกเขากระทบแสงไฟลูกน้องพ่อเลี้ยงบุญชัยต่างขยับเตรียมลุกฮือ

            ขุนคีรีรีบออกไปต้อนรับยกมือไหว้แต่ไกลป้องกันคนของตนกระทำเสียเรื่อง

            “สวัสดีครับ...คุณปีเตอร์”

            ‘ปีเตอร์’ ลูกเสี้ยวสามสัญชาติ อเมริกัน จีน ลาว ชายกลางคนรุ่นเดียวกับพ่อเลี้ยงบุญชัย รูปร่างสูงใหญ่อย่างคนเชื้อสายตะวันตก ใบหน้าค่อนมาทางเอเชีย เด่นชัดสุดตรงดวงตาเรียวรีแบบคนจีน ผมหงอกขาวแซมโดยไม่ย้อม มากับคนสนิทอีกสองคน มิใช่โอ่อวดไม่เกรงกลัว แต่ตั้งใจให้เกียรติแสดงความเคารพต่อผู้วายชนม์

            พอเห็นลูกชายผู้ตายออกมาต้อนรับก็ยกมือรับไหว้ ส่งสายตาบอก ‘สมุน’ อีกฝ่ายว่าตนไม่มีเจตนาร้าย

            “ขอโทษนะ มาเคารพศพพ่อเธอช้าไปหน่อย”

            ‘เจ้าพ่อ’ จากอีกประเทศเอ่ยวาจาสุภาพเช่นนี้ ทุกคนต่างนิ่งไม่แสดงอาการใด นอกจากความลังเลสงสัยปรากฏในแววตา

            ผู้ทรงอิทธิพลคนนี้เคยพาพวกบุกงานวันเกิดจนเกิดเหตุการณ์ชวนสลด หากแม่เลี้ยงแสงจันทร์ไม่ใช้ชีวิตเป็นข้อต่อรองจนสองฝ่ายยอมสงบศึก ป่านนี้อาจเกิดสงครามใหญ่ไปแล้ว

            หลังจากสองผู้มีอิทธิพลร่วมมือบดขยี้ ‘มือที่สาม’ ผู้แอบจุดชนวนบาดหมางสำเร็จ ต่างคนต่างอยู่ไม่ข้องแวะกัน ต่อให้ไม่เอาเรื่องที่ทำให้ ‘แม่เลี้ยง’ เสียชีวิต รอยร้าวนั้นยังมีผลมองหน้ากันไม่ติด ไม่อยากสะกิดแผลเก่าในใจ

            ใครจะคาดวันที่พ่อเลี้ยงบุญชัยเสียชีวิต ปีเตอร์ผู้ต้องสงสัยเบอร์หนึ่ง กลับมาเคารพศพโดยปราศจากกองกำลังส่วนตัว



            จุดธูปควันลอยเป็นสาย ปักในกระถางเห็นปลายส่องแสงแดงวาบ ๆ ก้มกราบแสดงความเคารพด้วยกิริยานักเลงผู้มีใจเสมอกัน

            ปีเตอร์ถอนใจเบา ๆ ให้กับคู่แข่ง คู่อริ ที่สุดท้ายจำต้องร่วมมือกันครั้งหนึ่งแล้วต่างคนต่างอยู่...แต่...ในใจมีความนับถือกันและกันยิ่ง

            “เสียใจด้วยนะ” บอกกับลูกชายผู้ตายเท่านี้

            “ขอบพระคุณครับ” ตอบด้วยรอยยิ้ม ก่อนเน้นวาจาท้ายชัดเจน “ผมทราบว่าคุณปีเตอร์ไม่เกี่ยวข้องกับการตายของพ่อเลย”

            วาจานี้เหมือนจงใจโยนระเบิดลูกใหญ่ใส่กลางวงเหล่า ‘หัวหน้า’ ซึ่งพุ่งเป้าปีเตอร์เป็นศัตรูไม่อาจร่วมโลก

            “คุณขุน เรื่องจริงหรือเปล่า”

            ขุนคีรีหันไปพยักหน้ายืนยันกับลูกน้อง แล้วเอ่ยวาจากับแขกคนสำคัญ

            “คุณปีเตอร์เคารพศพพ่อเสร็จแล้วขอเชิญร่วมรับประทานข้าวต้มร้าน ‘เจ๊แป๋ว’ ด้วยกันนะครับ”

            “เอาสิ ระหว่างกินข้าวต้มเรามาแลกเปลี่ยนข่าวสารกัน”

            “ครับ...ผมก็เพิ่งได้ ‘ข่าว’ ใหม่ล่าสุดมาคุยเหมือนกัน”

            จากนั้นคนในศาลาต่างแยกย้าย รถยนต์ออกจากวัดบ้างเลี้ยวซ้าย บ้างเลี้ยวขวาคนละทิศทาง ท่าทางเหมือนกลับบ้านใครบ้านมัน...สุดท้ายเสียเวลาอ้อม วนเวียนมายังจุดนัดหมายในเวลาไล่เลี่ย




--------------- ------------ --------------




            ร้านข้าวต้มเจ๊แป๋วเป็นอาคารพาณิชย์สามคูหาเปิดบริการตั้งแต่เย็นถึงค่ำ

            ช่วงเวลาหัวค่ำลูกค้าคึกคักมากสุด ลานจอดรถบริเวณใกล้ ๆ เต็มต้องจอดข้างทางริมถนน ลูกค้านั่งเต็มจนล้นมาถึงโต๊ะตั้งชั่วคราวริมทางเท้า

            ลูกค้าวีไอพีจองล่วงหน้าจะมีห้องพิเศษติดแอร์เป็นสัดส่วน สำหรับขุนคีรี ปีเตอร์ เข้ม และทีมระดับหัวหน้าของพ่อเลี้ยงบุญชัยจะมีห้องพิเศษกว่านั้น เดินทะลุด้านหลังพบอาคารหลังเล็กสร้างเป็นสัดส่วน ด้านในเป็นห้องกว้างใช้จัดเลี้ยงส่วนตัว หรือประชุมลับโดยคนภายนอกไม่ล่วงรู้

            ร้านข้าวต้มชื่อดังเป็นฉากบังหน้า หนึ่งในกิจการพ่อเลี้ยงบุญชัยเช่นกัน

            หลังจากผู้ร่วมประชุมประจำที่ครบ ขุนคีรีกล่าวเปิดเข้าประเด็นโดยไม่อ้อมค้อม

            “คุณปีเตอร์ไม่ใช่คนสั่งฆ่าพ่อผม หลักฐานอยู่ในคลิปที่จะเปิดให้ทุกคนดูครับ”

            คลิปแรกภาพคมชัดเท่าที่พอทำได้ แสงน้อย ผู้ถ่ายต้องคอยหลบ ๆ ซ่อน ๆ ยังได้รายละเอียดเหตุการณ์จริงจนทุกคนเข้าใจตรงกัน

            คลิปสอง คนที่เห็นการแสดงออกของบัณฑิตต่อพ่อเลี้ยงย่อมไม่พอใจที่ปล่อยให้เจ้านายตนรอคอยเก้อ โดยเฉพาะเสียงพ่อเลี้ยงบุญชัยช่วงท้ายยืนยันคำพูดขุนคีรีตอนต้นชัดเจน

            ...ถ้าคืนนี้เกิดอะไรขึ้นกับกู...หมายหัวไอ้บัณฑิตเป็นผู้ต้องสงสัยรายแรกเลย...

            หลังจบสองคลิป หนึ่งในพวกหัวหน้าถามขึ้น

            “ทำไมคุณขุนถึงไม่บอกเรื่องนี้แต่แรก ปล่อยให้พวกเราเข้าใจผิดปีเตอร์ตั้งนาน”

            “ฝ่ายตรงข้ามอยากให้เราเข้าใจอย่างนั้น ผมเลยแสดงให้พวกมันดูไปเลย”

            “พวกมันจะได้ประมาทใช่มั้ย”

            “นอกจากประมาท ยังเปิดโอกาสให้เราตลบหลังได้อีก”

            “ขุนคีรี...” ปีเตอร์เรียกชื่อเต็ม ตั้งคำถามสำคัญ “นอกจากคลิปที่พ่อเลี้ยงเอ่ยชื่อนายบัณฑิต ยังมีหลักฐานอื่นอีกมั้ย ยืนยันว่ามันเป็นคนอยู่เบื้องหลัง”

            สำหรับลูกน้องพ่อเลี้ยงบุญชัย ไม่ว่าขุนคีรีบอกอย่างไรย่อมไม่ขัดแย้งคัดค้าน ยิ่งมีคลิปเสียงผู้ตายสั่งเสียอย่างนั้นก็ไม่ต้องการหลักฐานอื่นมาสนับสนุนอีก

            แค่นั้นไม่พอสำหรับปีเตอร์ เพราะหลักฐานแวดล้อมที่ตำรวจมีเวลานี้ล้วนพุ่งเป้ามายังตนเอง

            “สิ่งที่ผมได้มาเพิ่มตอนนี้ ยังไม่สามารถยืนยันตัวผู้อยู่เบื้องหลังชัดเจน แต่มีความเกี่ยวโยงกันไม่มากก็น้อย”

            “อะไร”

            สิ่งที่ถูกนำมาวางบนโต๊ะประชุมเป็นตั๋วเครื่องบินชั้นเฟิสต์คลาสไปต่างประเทศ เจ้าของตั๋วคือจอห์น สายการบินที่จะเดินทาง ‘เกรทนภาแอร์’

            “นายบัณฑิต ประธานเกรทนภากรุ๊ปซื้อตัวจอห์น เอเยนต์ค้ายาของลุงพลเอาไว้ก่อนเดินทางไปต่างประเทศ ตั้งใจใช้เป็นพยานเอาผิดคู่กับพี่นนท์...ธนนท์ที่เพิ่งโดนสอบสวน พอลุงพลสั่งเก็บพี่นนท์ บัณฑิตรีบส่งทีมมาชิงตัวจอห์นจากเซฟเฮ้าส์ตำรวจ และทีมที่ส่งมาลักษณะการแต่งตัว ฝีมือ การทำงานเหมือนพวกที่มาฆ่าพ่อผมในคลิปแรกเลย”

            “เธอรู้เรื่องนี้ได้ยังไง ลูกน้องพลเทพเล่าให้ฟังหรือจอห์นบอกเอง” ปีเตอร์ถาม

            “จอห์นบอกครับ” ขุนคีรีตอบ “หลังลุงพลโดนกวาดล้าง ผมให้ลูกน้องที่กรุงเทพหาเซฟเฮ้าส์จอห์นแล้วช่วยออกมา เพื่อทางเราสามารถใช้เขาเป็นประโยชน์ได้...น่าเสียดายคนของผมไปช่วยไม่ทัน...”

            “มันโดนเก็บไปแล้วเหรอ”

            ขุนคีรีถอนใจเบา ๆ ก่อนอธิบาย

            “ลูกน้องผมพบจอห์นในโกดังร้าง ตอนนั้นยังไม่เสียชีวิตเลยพาหนีออกมาจนใกล้ถึงสะพานแห่งหนึ่งก็โดนตามทัน คิดว่าไม่รอดแน่ ๆ เขาเลยเอาตั๋วเครื่องบินให้เป็นหลักฐานแล้วบอกเรื่องราวตั้งแต่ถูกล็อคตัวจากสนามบินจนมาถึงจุดสุดท้ายให้ลูกน้องผมบันทึกเสียงเอาไว้...

            ...จอห์นบอกรูปร่างลักษณะ ‘นายใหญ่’ ที่พบตอนแรก ซึ่งเหมือนกับนายบัณฑิต บอกลักษณะทีมที่ช่วยชิงตัวจากเซฟเฮ้าส์ตำรวจ เหมือนทีมล่าสังหารพ่อในคลิปแรก แต่คำพูดแค่นี้ไม่น่าใช้เป็นหลักฐานแน่นหนาเท่าไหร่”

            “แล้วยังไงต่อ”

            “จากนั้นพวกเขาแยกกันหนี ลูกน้องผมคอยป้องกันสมุนบัณฑิตไว้ให้ จอห์นก็หนีไม่รอดอยู่ดี...ผมเพิ่งทราบจากข่าวบ่ายวันนี้เองว่าเป็นศพอยู่ใต้สะพาน...น่าจะโดนฉีดยาเสพติดเกินขนาดเพื่ออำพรางคดี โยนความผิดให้ลุงพล”

            ขุนคีรีกำลังจะเปิดคลิปเสียงให้ที่ประชุมฟัง ปีเตอร์โบกมือแสดงท่าว่าไม่จำเป็น

            “เธอมีแผนตลบหลังพวกมันยังไง” ผู้มีอิทธิพลจากประเทศเพื่อนบ้านต้องการทราบเรื่องนี้มากกว่า

            “ตอนผมได้คลิปหลักฐานก็แอบติดต่อคุณปีเตอร์ตั้งแต่อยู่กรุงเทพฯ คุยกันคร่าว ๆ แล้วว่ารู้อะไรมาบ้าง จุดยืนอยู่ตรงไหน และต้องการทำอะไร”

            “อืม ตอนเธอติดต่อมาครั้งแรกฉันยังแปลกใจ ไม่คิดว่าเด็กเมื่อวานซืนจะเป็นผู้ใหญ่เร็วขนาดนี้”

            ขุนคีรียิ้มรับคำชม จากนั้นเข้าประเด็นสำคัญ

            “ผมกับพี่เข้มวางแผนตลบหลังแก้แค้นให้บัณฑิตชดใช้ไว้แล้ว...ถ้ามีจุดอ่อนช่องโหว่ตรงไหนอยากให้ทุกคนช่วยแนะนำด้วยครับ”

            วาจาอ่อนน้อมถ่อมตัว แววตามีความโกรธอาฆาต ลึกลงกว่านั้นยังมีรอยวูบไหว หวาดกลัวบาปกรรม

            ขุนคีรีโกรธแค้นจนไม่อาจอยู่ร่วมโลกกับบัณฑิตก็จริง ทว่าการเป็นผู้ช่วยยมทูตเห็นชีวิตหลังความตาย ได้พบการพิจารณาแนะนำของพญามัจจุราชทำให้ยอมรับกฎแห่งกรรม กลัวบาปกลัวผลกรรมจนเกิดความลังเล สติกับโทสะอาฆาตแค้นรบราในใจเป็นพัก ๆ ยังไม่รู้ผลแพ้ชนะ

            “แผนการเริ่มต้นจาก...”

            ชายหนุ่มบอกเล่าแผนการทั้งหมดตั้งแต่ต้นจนจบ แอบหวังลึก ๆ ว่าจะมีใครสักคนคัดค้าน โต้แย้ง แสดงเหตุผลไม่ควรใช้ความรุนแรงตอบโต้ความรุนแรง ลืมไปว่าลูกน้องพ่อทุกคนอยู่ในวงการสีเทา ถ้ากลัวบาปกรรมคงไม่ทำอาชีพนี้

            “ทั้งหมด...มีเท่านี้”

            จบแผนการแอบถอนใจลึก ๆ กระทั่งตัวเองยังหวาดกลัวต่อสิ่งที่จะกระทำ

            ...แค่ ‘คิดร้ายหมายชีวิต’ จิตก็รุ่มร้อนเหมือนตกนรกแล้ว...

            ทุกคนพยักหน้า ไม่มีใครคัดค้าน กระทั่งคนนอกอย่างปีเตอร์ยังเอ่ยชม

            “เธอกับคนสนิทคิดแผนการได้ดี ฉันยินดีสนับสนุนทุกอย่างตามที่ขอ”

            “ขอบคุณครับ”

            “แผนการคุณขุนกับเข้มเยี่ยมมาก รับรองไอ้บัณฑิตนึกไม่ถึงแน่นอน”

            “ดีแล้ว...เลือดมันต้องล้างด้วยเลือดแบบนี้ล่ะ”

            “พวกเรายินดีทำตามคำสั่งทุกอย่าง”

            ทุกคนยินดีทำตามแผนโดยไม่คัดค้าน คนคิดแผนกลับไม่สบายใจเลยสักนิด ความรู้สึกผิดชอบชั่วดีก่อตัวในใจอยากล้มเลิกแผนการเสียเอง

            ชั่วเวลานั้นมีบางเรื่องเข้ามาแทรก

            “ถ้าแผนการเธอจบแล้ว ฉันมีเรื่องอยากบอกเหมือนกัน”

            “ครับคุณปีเตอร์”

            อดีตคู่อริบิดายื่นรูปถ่ายใบหนึ่งให้ดู เป็นรูปหมู่ผู้ชายสามสี่คนหน้าบ่อนกาสิโนปีเตอร์

            “จำไอ้คนนี้ได้มั้ย” ชี้ไปที่ชายผมยาวหนวดเคราครึ้ม

            “จำไม่ได้ ไม่รู้จักครับ” ขุนคีรีตอบ

            คราวนี้เข้ม ผู้จัดการกาสิโน ลูกน้องฝั่งพ่อเลี้ยงบุญชัยต่างรุมดูภาพนั้นอย่างพิจารณา

            “ผมจำได้แล้ว” ผู้จัดการกาสิโนบอก “ไอ้นี่ไงเป็นคนตั้งใจยิงคุณขุน แต่แม่เลี้ยงมาขวางเอาไว้”

            ขุนคีรีสะดุ้งเฮือก พิจารณารูปอีกครั้ง

            ตั้งแต่มารดาประกาศห้ามเอาเรื่อง ห้ามสืบสาวคนผิด ต่างฝ่ายเลิกแล้วต่อกัน เขาก็ปิดหูปิดตาไม่รับรู้เรื่องราวใด กลัวต้องขัดคำสั่ง ละเมิดคำสั่งเสียสุดท้าย ตามล่าคนฆ่าแม่ถึงที่สุด

            “ใช่...ตอนนั้นมันชื่อ ‘แมน’ เป็นคนไทยข้ามฝั่งไปทำงานที่โน่น หลังเกิดเหตุร้ายฉันต้องการส่งตัวมันให้ตำรวจไทยดำเนินคดีตามกฎหมาย อย่างน้อยเพื่อชดเชยความผิดตัวเอง แต่มันก็หายสาบสูญ”

            ผู้สูญเสียมารดาส่งเสียงดังหึหึคล้ายพยายามข่มใจ ไม่ให้หลุดวาจาบริภาษแสดงอารมณ์ออกไป อีกฝ่ายเข้าใจไม่ถือโทษ เล่าเรื่องต่อ

            “ตอนฉันกับพ่อเธอร่วมมือทลายบ่อนไอ้ ‘โจ’ มือที่สามตัวเสี้ยมให้เกิดเรื่องถึงได้รู้ว่า แมนเคยเป็นลูกน้องไอ้โจ ถึงจะไม่ใช่คนฆ่าลูกชายฉันแต่มันช่วยคิดแผนยุให้สองบ่อนแตกคอกัน แถมแอบแทรกซึมปลอมตัวเป็นลูกน้องเพื่อเข้ามาอาละวาดก่อเรื่องราวให้ลุกลามบานปลาย”

            ปีเตอร์หยุดถอนใจเบา ๆ

            “ที่จริงการบุกงานวันเกิดนั้น ฉันสั่งลูกน้องทุกคนห้ามใช้ปืน แต่ไอ้แมนเป็นคนแรกที่ลั่นกระสุนก่อความวุ่นวาย จากนั้นตั้งใจฆ่าเธอ แต่พลาดไปโดนแม่เลี้ยงแทน ฉันเสียเวลาตามหามันหลายปี พยายามแกะรอยจากเบาะแสเล็กน้อยจนรู้ว่ามันเปลี่ยนชื่อนามสกุลใหม่ ปลอมแปลงตัวเองเป็นคนละคนแทบไม่มีใครจำได้”

            “มันเป็นใคร อยู่ที่ไหน” ขุนคีรีสวนคำถามไม่รอช้า

            “ตอนนี้มันชื่อเจตน์ เป็นเลขาคนสนิทบัณฑิต ประธานเกรทนภากรุ๊ป”

            เหมือนจิ๊กซอว์ชิ้นสุดท้ายถูกประกอบเป็นรูปร่าง ชื่อที่ได้ยินมาตลอดการตามรอยสังหารกลายเป็นคนร้ายสำคัญ

            ...คนที่ลั่นกระสุนปลิดชีวิตมารดา...

            ความรู้สึกผิดชอบชั่วดีที่เพิ่งก่อตัวในใจถูกความอาฆาตแค้นพังทลายในพริบตา ไม่ว่าต้องใช้วิธีการรุนแรงเพียงใด สูญเสียแค่ไหน อย่างน้อยต้องเอาชีวิตไอ้แมน...หรือเจตน์ ศัตรูคนนี้ให้ได้




--------------- ------------ --------------




            ห้องประธานกรรมการเกรทนภากรุ๊ป

            “วันนี้เผาศพพ่อเลี้ยงบุญชัยแล้วใช่มั้ย” บัณฑิตถามเลขาคนสนิท

            “ครับท่าน”

            “ทางนั้นเป็นยังไงบ้าง”

            “ยังไม่มีความเคลื่อนไหว ผมคิดว่าน่าจะเห็นภาพชัดเจนหลังวันนี้-พรุ่งนี้ที่เป็นวันเก็บกระดูกลอยอังคาร”

            “ลูกชายพ่อเลี้ยงรู้ใช่มั้ยว่าฉันไปงานเผาศพไม่ได้”

            “ทราบครับ ตัวแทนที่นำพวงหรีดไปมอบ ได้บอกว่าวันนี้ท่านมีประชุมผู้บริหาร ผู้ถือหุ้น ปลีกตัวเดินทางไปไม่ได้จริง ๆ”

            “ไม่เห็นต้องอธิบายยืดยาวขนาดนั้นเลย”

            เจตน์ก้มศีรษะรับคำตำหนิโดยไม่คัดค้าน

            “ทางฝั่งปีเตอร์เคลื่อนไหวยังไงบ้าง มันน่าจะรู้แล้วว่าโดนใส่ความ” ผู้เป็นนายตั้งคำถามใหม่

            “สายเรารายงานว่ามันแอบส่งคนเข้ามาฝั่งไทยเงียบ ๆ ไม่แน่ใจว่าจะใช้เป็นกองหนุนเพื่อเจรจาแก้ความเข้าใจผิด หรือเป็นกองกำลังหลักสำหรับเผชิญหน้าถ้าฝ่ายลูกพ่อเลี้ยงไม่ฟังคำอธิบาย”

            “คิดว่าสองฝ่ายจะคุยกันรู้เรื่องมั้ย”

            “ตอบยาก ลึก ๆ แล้วทางฝั่งลูกพ่อเลี้ยงน่าจะยังแค้นใจเรื่องการตายของแม่อยู่ด้วย ปีเตอร์เองเป็นผู้ใหญ่กว่าคงไม่ยอมลงให้เด็กรุ่นลูกสักเท่าไหร่ การเจรจาอาจไม่ราบรื่น”

            “ดี ปล่อยพวกมันเฝ้าระวังจ้องกันอยู่อย่างนั้นล่ะ แน่ใจนะว่าไม่มีหลักฐานถึงพวกเรา”

            “สายเราที่ติดตามการสอบสวนตำรวจแจ้งมาว่า ทีมนักล่าเก็บหลักฐานฝั่งเราเรียบร้อย ปูหลักฐานทางปีเตอร์แนบเนียน ถึงจะไม่มากพอให้ตั้งข้อสงสัยระบุตัวแต่ก็ทำให้การสืบสวนไปในทิศทางที่เราต้องการแล้วครับ”

            ริมฝีปากบัณฑิตขยับรอยยิ้มพอใจ ดวงตาวาวโรจน์คล้ายสัตว์ร้ายลำพอง

            “ถ้าอย่างนั้น ศัตรูฉันก็เหลือแค่...ไอ้ภากร นายเก่าแก...ศัตรูที่กัดไม่ปล่อยสักที”

            เจตน์ไม่แก้ตัวต่อคำว่า ‘นายเก่า’ ไม่พยายามพูดยืนยันว่าตนจงรักภักดีต่อ ‘นายปัจจุบัน’ เพียงใด

            ‘ภากร’ เคยเป็นนายเก่าจริง เขาจงใจเข้าหาเพื่อหวังประโยชน์ในอิทธิพล แต่พอฝ่ายนั้นแสดงท่าไม่เห็นด้วย ไม่คล้อยตามความเห็นที่เสนอ ประกอบกับ ‘บัณฑิต’ แทรกเข้ามา เขาจึงแกล้งทำเป็นยอมถูก ‘ซื้อตัว’ เพื่อหวังใช้อิทธิพลทางนี้กระทำตาม ‘แผน’ ในใจ

            ...และ...อีกไม่นานมันจะบรรลุผลสมตามตั้งใจแล้ว...

            “ทำไม พอพูดถึงนายเก่า เลยไม่แสดงความเห็นหรือ” บัณฑิตถามเมื่อเห็นคนสนิทนิ่งเงียบ

            “ท่านยังไม่ได้ถามความเห็นอะไรผมนี่ครับ”

            ผู้เป็นนายหัวเราะหึหึ ไม่แสดงอาการขุ่นเคืองต่อวาจายอกย้อน แววตาพยายามอ่านความรู้สึกฝ่ายตรงข้าม

            “งั้นถามหน่อย คิดว่าไอ้ภากรจะแทนตำแหน่งฉันได้มั้ย”

            คำถามเหมือนบททดสอบ เลขาคนสนิทจะกล้าตอบตามจริง หรือแค่เอ่ยวาจาให้สบายใจ

            “นั่นอยู่ที่คืนนี้ท่านจะสามารถโน้มน้าว มัดใจกรรมการ ผู้ถือหุ้นรายใหญ่ได้แค่ไหน”

            คืนนี้บัณฑิตมีนัดสำคัญ เจรจาหว่านล้อมกรรมการ ผู้ถือหุ้นรายใหญ่ให้สนับสนุน ลงเสียงเลือกเขาเป็นประธานกรรมการในวันประชุมใหญ่ประจำปี ‘เกรทนภากรุ๊ป’ ที่จะมาถึง

            “จริง” รับคำสั้น แววตามองลูกน้องอย่างต้องการคำอธิบายมากกว่าเดิม

            “ช่วงโรคระบาดที่ผ่านมา ความต้องการกักตุนอาหารเพิ่มมากขึ้น กิจการอาหารแปรรูป อาหารกระป๋องที่คุณภากรเป็นผู้อำนวยการจึงเติบโตแบบก้าวกระโดด ขณะที่กิจการสายการบินตกต่ำต้องลดเที่ยวบิน เกิดปัญหาตามมามากมาย ทำให้ขาดสภาพคล่องด้านการเงิน...คุณภากรใช้จุดนี้โจมตีการบริหารของท่านว่าผิดพลาด ไม่โปร่งใส นำกำไรกิจการในเครือไป ‘อุ้ม’ ด้านการบินมากเกินไป ซึ่งอาจทำให้ภาพรวมเกรทนภากรุ๊ปเสียหายทั้งหมด”

            เจตน์มองเจ้านายเห็นว่ายังไม่เกิดโทสะ แววตาเริ่มกร้าวพยายามข่มอารมณ์ จึงรวบรัดเข้าจุดสำคัญทันที

            “ถ้าคืนนี้ท่านเกลี้ยกล่อมกรรมการ ผู้ถือหุ้นรายใหญ่ให้อยู่ฝ่ายเดียวกันได้ ในวันประชุมรีบเสนอแนวทางฟื้นฟูที่เป็นรูปธรรมจนกรรมการ ผู้ถือหุ้นที่เหลือยอมรับ...คุณภากรไม่มีทางแทนตำแหน่งท่านได้แน่”

            บัณฑิตระบายลมหายใจ ขยับรอยยิ้มตรงริมฝีปากซ่อนความหวั่นในใจลึก ๆ คำตอบเลขาคนสนิทเป็นความจริงที่ฟังแล้วรู้สึกสบายใจ...หากทำได้อย่างพูด

            คนผู้นี้ฉลาดรู้จักเอาตัวรอด รู้วิธีเพิ่มมูลค่า ‘มันสมอง’ ตนเอง ต่อให้หวั่นใจจนอยากเขี่ยทิ้ง ก็ยังเสียดายความสามารถที่ยากจะหาจากคนอื่น

            เจตน์เป็นลูกน้องที่ฆ่าไม่ได้...ไว้ใจเต็มที่ก็ไม่ได้เช่นกัน




--------------- ------------ --------------




            ดาบตำรวจพนาเพิ่งมาดูแลลูกสาวคนเล็กตอนเที่ยง การพบศพจอห์นเมื่อบ่ายวานนี้ทำให้ตำรวจวิ่งวุ่น ตั้งแต่พิสูจน์หลักฐานหาสาเหตุการตาย พอทราบว่าเกิดจากการเสพยาเกินขนาดก็พุ่งเป้าไปยังพลเทพ พยายามตามร่องรอยตลอดคืนยันช่วงเช้ายังไม่พบเบาะแส เขาจึงมาเปลี่ยนเวรให้ลูกสาวคนโตมีเวลาทำงานธุระส่วนตัวบ้าง

            อาการบัวบุษราดีขึ้นเป็นลำดับ ยังไม่ถึงเวลาเปิดผ้าพันดวงตาก็สามารถช่วยเหลือตัวเองไม่เป็นภาระคนดูแลแล้ว

            เรื่องทำให้พ่อหนักใจกลับไม่ใช่อาการทางกาย

            “พ่อมีเบอร์ของเขามั้ยคะ”

            “เบอร์ใคร”

            “เขาน่ะ...เอ่อ...ขุนคีรี”

            “ไม่มีหรอก อยากได้ไปทำไม”

            “วันนี้เผาศพพ่อเลี้ยงบุญชัยนี่คะ บัวอยากโทรศัพท์ไปแสดงความเสียใจ พวกเราไม่ได้ไปงานสวดศพสักคืน...เหมือนอกกตัญญูยังไงพิกล”

            พ่อถอนใจเฮือกใหญ่ รำคาญกึ่งระอาลูกสาว

            “แค่ขอบคุณและยกโทษ อโหสิให้เขาวันนั้นก็พอแล้ว...อย่ายุ่งเกี่ยวอะไรกันอีกเลย”

            “พ่อยังไม่ให้อภัยอีกเหรอ...ไหนบอกไม่โกรธไม่แค้นแล้วไง”

            “ไม่ใช่...แค่ไม่อยากให้เราต้องไปอยู่ในวังวนพวกมาเฟียผู้มีอิทธิพลเท่านั้น”

            ดาบตำรวจพนาไม่อยากอธิบายว่า หลังจากนี้อาจเกิดการไล่ล่าล้างแค้นระหว่างผู้มีอิทธิพลสองฝ่าย บัวบุษราอยู่ห่างขุนคีรีมากเท่าไหร่ยิ่งปลอดภัย

            “แหม แค่โทรไปหาเท่านั้นเอง ไม่น่าเกี่ยวข้องอะไรมาก...เอ่อ...ถามคุณหมอดนัยได้มั้ยคะ ท่านน่าจะทราบเบอร์ญาติผู้บริจาคดวงตา”

            “ท่านไม่อยู่หรอก”

            “อ้าว ไปไหนคะ เมื่อเช้ายังมาตรวจตาบัวเลย”

            “ไม่รู้” โกหกดื้อ ๆ ป้องกันคำถามอื่นตามมา

            หลังตรวจตาให้บัวบุษราเรียบร้อย หมอดนัยก็ขึ้นเครื่องไปร่วมงานเผาศพพ่อเลี้ยงบุญชัย ก่อนไปยังโทรถามนายตำรวจอาวุโสว่าต้องการฝากข้อความใดถึงลูกชายผู้วายชนม์หรือไม่

            พนาไม่มีข้อความหรือสิ่งของใดฝาก เพราะคำ ‘ให้อภัย’ ของตนได้ส่งผ่านแววตา ในวันที่บัวบุษราเข้าไปขอบคุณ ยกโทษแก่ผู้ตายในห้องดับจิตแล้ว

            ผู้สูงวัยกว่าเชื่อว่าชายหนุ่มคงมองเห็นมัน จึงค้อมศีรษะขอบคุณกลับมาเช่นกัน



(โปรดติดตามต่อฉบับหน้า)



แบ่งปันบทความนี้ให้เพื่อนๆ
Facebook! Twitter! Del.icio.us! Free and Open Source Software News Google! Live! Joomla Free PHP